Advance search

บ้านเชียง

ชุมชนที่ค้นพบ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535 และเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย

หมู่ที่ 1, หมู่ที่ 2, หมู่ที่ 11, หมู่ที่ 12, หมู่ที่ 15
บ้านเชียง
บ้านเชียง
หนองหาน
อุดรธานี
ไกรวิทย์ นรสาร
25 มิ.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
27 มิ.ย. 2023
ไกรวิทย์ นรสาร
31 ก.ค. 2023
บ้านเชียง

สำหรับที่มาของชื่อชุมชน “บ้านเชียง” นั้นมีการสันนิษฐานกันไปหลายแนวทาง

แนวคิดที่หนึ่ง หัวหน้าครอบครัวที่อพยพเข้ามารุ่นแรกมียศนามตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “เซียง” หรือ “เชียง” อันเป็นนามนำหน้าชื่อของผู้ที่เคยได้บวชเป็นสามเณรมาก่อน คนจึงนิยมเรียกหมู่บ้านกันว่า “บ้านเชียง” นอกจากนั้นยังมีนิทานพื้นบ้านเรื่อง เชียงงาม ซึ่งบางคนคิดว่าอาจเป็นต้นตอของชื่อ “เชียง” ที่นำมาตั้งเป็นนามหมู่บ้านก็ได้

แนวคิดที่สอง เล่ากันมาว่าผืนดินที่ตั้งเป็นชุมชนบ้านเชียงนั้นเคยเป็นเมืองโบราณสมัยขอม มีชายรูปงานคนหนึ่งบวชเป็นสามเณร เมื่อสึกออกมาแล้วเรียกกันว่า “เชียงงาม” เพราะเป็นหนุ่มที่มีรูปร่างสง่างาม เป็นที่รักใคร่ต้องใจหญิงทั้งหลายในหมู่บ้าน กิตติศัพท์ความงามของหนุ่มผู้นี้ได้ยินไปถึงเมียพญาขอมที่เมืองหนองหาน จนกระทั่งเมียพญาขอมได้ลุ่มหลงในเสน่ห์ของเชียงงามด้วย อันเป็นเหตุให้พญาขอมโกรธแค้นอย่างมาก จึงสั่งให้จับตัวมาประหารชีวิตเสีย ให้เอาศีรษะมาเสียบประจานไว้กลางเมือง ก่อนตายเชียงงามได้สาปแช่งว่าขอให้บ้านเมืองขอมล่มจม เพราะตนไม่มีความผิดแต่ต้องมาถูกประหารชีวิต

เมื่อพิจารณาดูเนื้อเรื่องของนิทานเรื่องเชียงงาม พอจะเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านแต่งขึ้นภายหลังจากที่อพยพเข้ามาอยู่ในบ้านเชียงแล้ว คงไม่ใช่เรื่องเก่าที่เล่าถ่ายทอดกันมาก่อนนั้นเพราะเนื้อเรื่องเป็นสมัยที่ขอมยังคงเป็นใหญ่ในบริเวณนี้ ซึ่งเป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่ชาวบ้านเชียงจะเข้ามาอาศัยอยู่ นิทานพื้นเมืองเรื่องเชียงงามจึงน่าจะเป็นผลงานของคนในยุคหลังที่พยายามผูกเรื่องขึ้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของถิ่นของตน แต่สอดคล้องกับหลักฐานที่ค้นพบว่าบริเวณนี้ที่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่ในสมัยทวารวดีและลพบุรีมาก่อน อาจจะสรุปได้ว่า ที่มาของชื่อชุมชนบ้านเชียงนั้น มาจากนิทานประจำถิ่นของชุมชน 


ชุมชนที่ค้นพบ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535 และเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย

บ้านเชียง
หมู่ที่ 1, หมู่ที่ 2, หมู่ที่ 11, หมู่ที่ 12, หมู่ที่ 15
บ้านเชียง
หนองหาน
อุดรธานี
41320
เทศบาลตำบลบ้านเชียง โทร. 0-4223-5001
17.42570742
103.2304949
เทศบาลตำบลบ้านเชียง

วัฒนธรรมบ้านเชียง เดิม "บ้านเชียง" เป็นชื่อหมู่บ้านในเขตการปกครองของ ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัว จังหวัดไปทางทิศตะวันออกตามเส้นทางคมนาคมสายอุดรธานี-สกลนคร ประมาณ 60 กิโลเมตร แต่หลังจากได้มีการเผยแพร่เรื่องการพบหลักฐานของ ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์และมีการขุดค้นทางโบราณคดีที่หมู่บ้านนี้ ชื่อบ้านเชียงก็มีความหมายเพิ่มขึ้น อีกนัยหนึ่ง คือหมายถึงวัฒนธรรม ของชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออก เฉียงเหนือประเทศไทย และเป็นวัฒนธรรมของประชากรที่ดำรงชีวิต ด้วยการเกษตรกรรม รวมทั้งได้ปรับตัวมาตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัยถาวรใน สภาพภูมิประเทศแบบที่ราบลุ่มแล้วตั้งแต่เมื่อกว่า 5,000 ปีมาแล้ว และ วัฒนธรรมนี้ได้มีการพัฒนาการสืบต่อมาอีกนับพัน ๆ ปี

บ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1966 ก่อนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 มีพื้นที่ราว 420 ไร่ ซึ่งข้อมูลจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกระบุว่าถึงปี 2012 มีการขุดสำรวจแล้ว 0.09 เปอร์เซนต์ โดยวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงแบ่งออกได้เป็น 3 สมัยใหญ่ ดังนี้

สมัยต้น (Early Period) มีอายุตั้งแต่ราว 5,600-3,000 ปีมาแล้ว มีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีภาชนะวางอยู่ที่เท้าหรือศีรษะศพ ฝังงอตัว มีหรือไม่มีของฝังรวมอยู่ด้วย ภาชนะดินเผาระยะแรก ๆ ของสมัยต้น คือ ภาชนะดินเผาสีดำ-เทาเข้ม มีเชิงหรือฐานเตี้ย ๆ ตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้ง ในระยะที่ 2 ของสมัยต้น มีภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพเด็ก ในระยะที่ 3 ของสมัยต้น มีภาชนะแบบที่มีผนังด้านข้างตรงถึงเกือบตรง รูปร่างเป็นภาชนะทรงกระบอก (Beaker) และในระยะที่ 4 ของสมัยต้น มีภาชนะประเภทหม้อก้นกลม ตกแต่งบริเวณไหล่ภาชนะด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้งผสมกับการระบายสี มีการตั้งชื่อเรียกว่า "ภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้ว" เนื่องจากได้พบเป็นครั้งแรกที่บ้านอ้อมแก้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเชียง

สมัยกลาง (Middle Period) มีอายุตั้งแต่ราว 3,000-2,300 ปีมาแล้ว มีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีเศษภาชนะดินเผาที่ถูกทุบคลุมศพ ภาชนะดินเผาประเภทเด่นที่พบ ได้แก่ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ ผิวนอกสีขาว ทำส่วนไหล่ภาชนะหักเป็นมุมหรือโค้งมากจนเกือบเป็นมุมค่อนข้างชัด มีทั้งแบบที่มีก้นภาชนะกลมและก้นภาชนะแหลม บางใบมีการตกแต่งด้วยลายขีดผสมกับลายเขียนสีที่บริเวณใกล้ปากภาชนะ ในช่วงปลายสุดของสมัยกลางเริ่มมีการตกแต่งปากภาชนะดินเผารูปแบบนี้ด้วยการทาสีแดง

สมัยปลาย (Late Period) มีอายุตั้งแต่ราว 2,300-1,800 ปีมาแล้ว การฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีภาชนะดินเผาเต็มใบวางอยู่บนลำตัว ภาชนะดินเผาที่พบในช่วงต้นของสมัยปลายได้แก่ ภาชนะเขียนลายสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ต่อมาในช่วงกลางสมัยเริ่มมีภาชนะดินเผาเขียนลายสีแดงบนพื้นสีแดง ถัดมาในช่วงท้ายสุดของสมัยจึงเริ่มมีภาชนะดินเผาทาด้วยน้ำดินสีแดงแล้วขัดมัน

จากข้อมูลเบื้องต้นมีข้อสันนิษฐานได้ว่า ชุมชนบ้านเชียงมีกลุ่มอาศัยมาแล้วจำนวน 3 พวก สรุปได้ดังนี้

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คงเริ่มตั้งแต่ยุคหินใหม่ก่อนปลายจนถึงยุคโลหะสำริดและเหล็ก ไม่สามารถทราบได้ว่าผู้คนเหล่านี้มีเชื้อชาติอะไร อย่างไรก็ตามผู้คนกลุ่มนี้ได้มีการอพยพไปจากบริเวณนี้ไปมากกว่าสองพันปีแล้ว

สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นคงมีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณบ้านเชียงเนื่องจากมีการค้นพบสิ่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัยรวมถึงภาชนะดินเผาและเครื่องมือเครื่องใช้ในยุคนี้ด้วย จากลักษณะของศิลปวัตถุที่ค้นพบทำให้พอจะประมาณอายุได้ว่าอยู่ในสมัยทวาราวดีและลพบุรี สันนิษฐานกันว่าวัฒนธรรมสมัยนี้เป็นของคนเชื้อชาติมอญและขอมรุ่นเก่า ราวพุทธศตวรรษที่ 11-16 ศูนย์กลางความเจริญของวัฒนธรรมมอญและเขมรในสมัยหลังรุ่งเรืองมากในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงเขตของประเทศกัมพูชาในปัจจุบันหลังจากนั้นบ้านเชียงก็รกร้างไปอีกระยะหนึ่ง

บ้านเชียงไม่มีผู้คนอาศัยมานานจนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงได้มีชาว "ไทยพวน" อพยพจากเมืองเชียงขวาง ประเทศลาว (ซึ่งขณะนั้นยังเป็นประเทศราชของไทย) พบสภาพบ้านเชียงว่าเหมาะสมที่จะตั้งเป็นบ้านเรือน เพราะเป็นที่เนินสูง น้ำท่วมไม่ถึงในฤดูฝน นอกจากนั้นบริเวณรอบ ๆ ยังเป็นที่ลุ่มเหมาะแก่การทำนา ทำไร่ และมีแหล่งน้ำสำหรับกินและใช้อย่างเพียงพอ จึงพากันถากถางป่าและตั้งบ้านเรือนอยู่เรื่อยมา ในระยะหลังมีญาติอพยพเข้ามาสมทบ ทำให้มีผู้คนอยู่กันอย่างหนาแน่นขึ้นตามลำดับในเวลาต่อมา

บ้านเชียงเริ่มก่อตั้งเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2360 มีชนกลุ่มพวกหนึ่งเรียกตนเองว่าไทยพวนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ได้พากันอพยพลงมาทางทิศใต้ รุ่นแรกมี 4 ครอบครัว คือ ท้าวเชียงใหญ่ ท้าวเชียงนา ท้าวเชียงคะ ท้าวเชียงพิน

ความเป็นมาของชุมชนบ้านเชียงในยุคหลัง เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเชียงหนาแน่นขึ้น จึงได้จัดระบบการปกครองภายในหมู่บ้านขึ้นคล้ายกับแบบที่เคยใช้ในประเทศลาว คือ มีตาแสง (กำนัน) และกวนบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยภายในชุมชน ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง หัวเมืองต่าง ๆ ขึ้น บ้านเชียงได้ถูกจัดให้เป็นตำบลบ้านเชียง ขึ้นต่ออำเภอหนองหาน กำนันบ้านเชียงบางคนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหมื่น และขุน มาจนกระทั่งถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 จึงหมดไป ชาวบ้านได้ดำเนินชีวิตไปด้วยการประกอบอาชีพในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์และทาน เรื่อยมา หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวก็ทำการค้าขายกับหมู่บ้านใกล้เคียง จนกระทั่งการค้าขายได้เจริญ ก้าวหน้ามากขึ้น จึงได้รวมกันจัดเป็นขบวนกองเกวียนไปค้าขายกันในระยะทางไกลยิ่งขึ้น คนบ้านเชียงจึงเป็นผู้ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมากพอสมควร

ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการตัดถนนหนทางภายในหมู่บ้าน ต่อมามีการพัฒนา หมู่บ้าน สร้างถนนหนทางเชื่อมต่อกับหมู่บ้านอื่นและถนนสายอุดรธานี-สกลนคร คมนาคมสะดวกยิ่งขึ้น บ้านเชียงได้ถูกตั้งเป็นเขตพัฒนาชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 มีการตั้งกรรมการ พัฒนาหมู่บ้าน และจัดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้น ปรากฏว่าการปฏิบัติงานได้ผลดี ยังความเจริญก้าวหน้าทางด้าน วัตถุและการบริหารหมู่บ้านดียิ่งขึ้น จนได้รับการสนับสนุนให้จัดระบบการปกครองท้องถิ่นในรูปของ องค์การบริหารส่วนตำบลเป็นแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2509 จึงนับว่าเป็นความก้าวหน้าของชาวบ้านเชียงที่ตื่นตัวในการมีส่วนในการบริหารท้องถิ่นของตน นอกจากนั้นองค์การบริหารส่วนตำบลของบ้านเชียง ยังก่อให้เกิดความเจริญในชุมชนในด้านจัดส่งบริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ถนน น้ำบาดาล ไฟฟ้า เป็นต้น

ในเวลาต่อมา ประมาณปี พ.ศ. 2517-2518 ได้มีการศึกษาและขุดค้นทางโบราณคดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในบ้านเชียง มีผู้คนเดินทางไปชมการขุดค้นทางโบราณคดีและซื้อสินค้าจากบ้านเชียงเป็นจำนวนมาก ทำให้การค้าขายคล่องตัวและชาวบ้านมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นเป็นอย่างมาก มีการก่อสร้างและปรับปรุงบ้านเรือน ตลอดจนสาธารณสมบัติในหมู่บ้านอย่างคึกคักในปัจจุบันบ้านเชียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งการเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่ให้ความสนใจในเรื่องโบราณคดีบ้านเชียง

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
ไทยพวน
  • กลุ่มอาชีพปั้นหม้อเขียนสี บ้านเชียง หมู่ 13

คนในชุมชนบ้านเชียงยังคงปฏิบัติพิธีกรรมในรอบสิบสองเดือนหรือฮีตสิบสอง พิธีกรรมทางศาสนาของชาวบ้านเชียงมีทั้งพิธีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพุทธและความเชื่อเรื่องผีต่าง ๆ ในรอบปีหนึ่ง ๆ เขาจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ที่เรียกกันว่า ฮีตสิบสอง ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่เมื่อยังอยู่ในประเทศลาว

1. นายชาตรี ตะโจปะรัง : ปราชญ์ชาวบ้านกลุ่มปั้นหม้อเขียนไห

2. นางไพจิตร จันดาดาล : ปราชญ์ชาวบ้านกลุ่มจักสาน

3. นายสมบัติ มัญญะหงส์ : ปราชญ์ชาวบ้านกลุ่มทอผ้า-มัดย้อม

4. นางฉันทนา ศิริชุมแสง : ปราชญ์ชาวบ้านกลุ่มฟ้อนรำ

  • แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
  • ชุดแต่งกายท้องถิ่น ผ้าฝ้ายย้อมคราม
  • เครื่องจักสาน แตกต่างจากท้องถิ่นอื่นด้วยลวดลายที่มีความประณีตและผสมผสานกับศิลปะของชาวไทพวน
  • ฟ้อนรำไทพวน เป็นศิลปวัฒนธรรมที่ท้องถิ่นของชาวไทพวนที่อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านเชียงตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต
  • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง

คนในชุมชนบ้านเชียงใช้ภาษาลาว (ภาษาอีสาน) และภาษาของชาวไทพวนในการพูดสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ภาษาของชาวไทยพวนมีความคล้ายภาษาพูดในภาษาผู้ไท หรือไทยล้านนา และคําศัพท์ส่วนใหญ่จะคล้ายกับภาษาไทยอีสาน แต่ภาษาไทยพวนจะมีเสียง ญ เพิ่มเสียงนาสิกเข้าไปด้วย และจะไม่มีเสียง ช หรือ ฉ โดยจะออกเสียงเป็น ซ หรือ ส แทน ส่วนตัวรอเรือนั่นจะออกเสียงเป็น ฮอ และ ลอ แทน ดังนั้น ภาษาไทยพวนจึงไม่มีการออกเสียงควบกล้ำ ในอดีตชาวพวนจะใช้อักษรไทยน้อย จารึกเรื่องราวทางโลก นิทานพื้นบ้าน และใช้อักษรธรรมจารึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาลงในใบลาน ปัจจุบันพบได้น้อย และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อราชการ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประเภทแหล่งอนุสรณ์สถานจัดตั้งขึ้นในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 13 ตำบล บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลแล้ว พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ บ้านเชียงได้จัดแสดงหลักฐานที่ ได้จากการสำรวจขุดค้นที่บ้านเชียง และแหล่งโบราณคดีใกล้เคียง อันประกอบด้วยกลุ่มภาชนะดินเผา เครื่องมือ เครื่องใช้และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย จุดเริ่มต้นของการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง มาจากการพบภาชนะลายเขียนสี เมื่อปี พ.ศ. 2503 โดยชาวบ้านเชียง ต่อมาปี พ.ศ. 2509 ชาวอเมริกัน ได้พบภาชนะดินเผาที่บ้านเชียงโดยบังเอิญจึงนำไปแจ้งที่กรมศิลปากร ปี พ.ศ. 2510 จึงได้มีการขุดค้นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกปี พ.ศ. 2515 ได้ขุดค้นเป็นครั้งที่ 2 ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เสด็จทอดพระเนตรแหล่งขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีในพร้อมกับแหล่งอื่นในบ้านเชียง และครั้งสุดท้ายปี พ.ศ. 2517-2518 กรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ร่วมมือขุดค้นและหาข้อมูลใหม่เพิ่มเติม โดยเรียกโครงการนี้ว่า "โครงการ โบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งชาติ บ้านเชียง จึงได้เริ่มจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา

สุมิตร ปิติพัฒน์และปรีชา กาญจนาคม.(2518).รายงานการศึกษาชุมชนและขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียง.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.