Advance search

ชุมชนต้นตำรับข้าวซอยอิสลามยูนนาน

ช้างม่อย
เมืองเชียงใหม่
เชียงใหม่
ธนพล เลิศเกียรติดำรงค์
7 ส.ค. 2023
ธนพล เลิศเกียรติดำรงค์
7 ส.ค. 2023
บ้านฮ่อ

ชื่อชุมชนบ้านฮ่อ มีที่มาจากการเป็นชุมชนของชาวมุสลิมเชื้อสายจีนที่เดินทางมาจากมณฑลยูนนานเพื่อทำการค้าขาย โดยคำว่า "ฮ่อ" เป็นคำที่คนล้านนาหรือคนเชียงใหม่นิยมเรียกกลุ่มพ่อค้ามุสลิมเชื้อสายจีนกลุ่มนี้ 


ชุมชนต้นตำรับข้าวซอยอิสลามยูนนาน

ช้างม่อย
เมืองเชียงใหม่
เชียงใหม่
50300
18.786508
99.001849
เทศบาลนครเชียงใหม่

ชุมชนบ้านฮ่อ เป็นชุมชนที่ไม่มีขอบเขตเชิงกายภาพอย่างแน่ชัด โดยทั่วไปใช้เรียกชุมชนหรือเครือข่ายมุสลิมเชื้อสายจีนยูนนานหรือจีนฮ่อ การทำความเข้าใจชุมชนบ้านฮ่อ จึงจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การค้าของชาวมุสลิมยูนนานในบริเวณภาคเหนือของไทย

ช่วงลงหลักปักฐานในเชียงใหม่

ผลจากการพยายามบีบคั้นและควบคุมชาวจีนมุสลิมภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงทำให้ชาวจีนมุสลิมจำนวนมากเดินทางออกนอกประเทศโดยอพยพไปยังประเทศพม่า ช่วง พ.. 2398-2419 มีชาวจีนยูนนานอพยพเข้ามายังภาคเหนือของพม่าและไทยจำนวนมากเนื่องจากการกบฎโดยกลุ่มมุสลิมชาวจีนในมณฑลยูนนาน

การตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิมเชื้อสายจีนยูนนานในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ เริ่มปรากฎเห็นชัดช่วง พ.ศ. 2440 เป็นต้นมาจากการเข้ามาค้าขายของพ่อค้าคาราวาน การสร้างถนนแก้วนวรัฐในเชียงใหม่สมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้การเดินทางจากดอยสะเก็ดมายังสันกำแพงมีความสะดวกสบายมากขึ้น พ่อค้าบางส่วนได้ตั้งฐานการค้าที่ประตูทางฝั่งทิศเหนือของเชียงใหม่ และสร้างสถานที่ละหมาดบริเวณประตูช้างเผือก (ในปัจจุบันคือมัสยิดช้างเผือก) ต่อมามีการขุดท่าแพที่เชิงสะพานนวรัฐ ทำให้มีชาวจีนกลุ่มหนึ่งเข้ามาค้าขายบริเวณนี้ หนึ่งในบุคคลสำคัญคือ เจิ้ง ชง หลิง ที่เข้ามาปักหลักในเชียงใหม่ พ.. 2453 สร้างบ้านไม้หลังใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเฮือนหลวง เจิ้งชงหลิงประสบความสำเร็จในการค้าขายเนื่องจากภรรยาสามารถพูดภาษาเมืองได้ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการทำการค้าและการติดต่อสื่อสารกันคนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ เจิ้งชงหลิงและคนจีนที่อพยพเข้ามาได้ร่วมหุ้นกันสร้างตลาดค้าขายโดยนำสินค้าแปลกใหม่มาขายให้กับคนเชียงใหม่ รวมถึงเสาะหาสินค้าในท้อนถิ่นเพื่อนำไปขายต่อนอกเมือง

เฮือนหลวง บ้านของเจิ้งชงหลิง ถือว่ามีขนาดใหญ่มากในสมัยนั้น และถูกใช้เป็นแหล่งรวมตัวของผู้คน การเป็นคนที่ทำมาค้าขายเก่งและมีบารมี ทำให้คนจีนยูนนานเข้ามาร่วมอาศัยในบริเวณบ้านเจิ้งชงหลิงมากขึ้น กระทั่ง พ.. 2458 ชาวจีนยูนนานมีความเห็นตรงกันให้สร้างมัสยิดขึ้นบริเวณชุมชนเนื่องจากมัสยิดช้างเผือกไกลจากชุมชน จึงรวมเงินซื้อที่ดินและสร้างมัสยิดติดกับวัดอุปคุตซึ่งได้รับความเห็นชอบจากเจ้าเมืองผ่านการเจรจาของภรรยาเจิ้งชงหลิง มัสยิดสร้างแล้วเสร็จ พ.. 2460 เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังจากนั้นชาวจีนยูนนานที่เข้ามาค้าขายก็เริ่มซื้อที่ดินบริเวณรอบมัสยิดมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนชาวจีนมุสลิมยูนนาน

ช่วงการอพยพระรอกสอง พ.ศ. 2490-2530

การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุงและการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.. 2492 เกิดเหตุการณ์ปล้น-เผามัสยิด และสังหารผู้คนในหมู่บ้านของชาวมุสลิมในประเทศจีน ด้วยรัฐบาลหวังที่จะควบคุมชาวจีนมุสลิมให้อยู่ใต้อำนาจอันเป็ฯผลจากนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม ที่พยายามขจัดหลักศาสนาที่ขัดแย้งกับหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ในประเทศจีนส่งผลให้พ่อค้าคาราวานที่เดินทางมาค้าขายในภาคเหนือของไทยไม่สามารถเดินทางกลับไปยังประเทศจีนได้ หลายคนจึงทำการค้าขายในไทยต่อและบางส่วนแต่งงานใหม่กับลูกครึ่งชาวจีนพื้นเมืองและชาวเชียงใหม่เชื้อสายบังคลาเทศ นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มที่อพยพเข้ามาจากพม่า จากการที่ถูกรัฐบาลพม่าผลักดันออกนอกประเทศพร้อมกับกลุ่มชาวจีนคณะก๊กมินตั๋งเข้ามายังประเทศไทย

การเข้ามาของคนมุสลิมจำนวนมากทำให้เกิดการตั้งสมาคมมุสลิมเชียงใหม่ พ.. 2502 โดยชาวมุสลิมบ้านฮ่อ เพื่อวัตถุประสงค์ในการรวบกลุ่มกันของชาวมุสลิมในเชียงใหม่และการติดต่อกับทางราชการในการจัดงานต่าง ๆ และการอพยพเข้ามาในพม่าและไทยของชาวจีนมุสลิมช่วงที่มีการกำจัดและจำกัดกิจกรรมด้านศาสนาภายในประเทศจีนโดยกลุ่มเรดการ์ด การโต้ตอบรัฐบาลของชาวจีนมุสลิมทำให้ถูกปราบปรามอย่างหนัก ชาวจีนมุสลิมจำนวนมากจึงหลบหนีเข้ามายังพม่าและไทย การเพิ่มขึ้นของประชากรจำนวนมากทำให้มัสยิดหลังเดิมไม่สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของชาวมุสลิมที่มาประกอบศาสนกิจได้ จึงมีการรื้อถอนอาคารมัสยิดหลังเดิม พ.. 2509 และสร้างอคารมัสยิดหลังใหม่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นแทน

การขยายตัวและการเพิ่มขึ้นของชาวจีนมุสลิม ทำให้สมาชิกชุมชนมีการกระจายตัวออกไปตั้งบ้านเรือนในที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากการอาศัยอยู่แค่ในละแวกมัสยิด บางส่วนกระจายตัวไปยังชุมชนวัดเกตุ บริเวณมัสยิดอัตตักวา บางส่วนไปชุมชนช้างคลานบริเวณมัสยิดช้างคลาน แต่ชาวมุสลิมเชื้อสายจีนยูนนานยังคงมีสำนึกความเป็นชุมชนและมีความผูกพันกับมัสยิดบ้านฮ่อ เนื่องจากมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่และเป็นแหล่งรวมตัวของสมาชิกชุมชนมาเป็นระยะเวลานาน

ช่วง พ.. 2530-ปัจจุบัน

ชาวจีนมุสลิมยูนนานมีการศึกษาเล่าเรียนในสาขาวิชาต่าง ๆ และประกอบอาชีพที่หลากหลาย ปัจจุบันเป็นกลุ่มชนที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และยังคงมีการติดต่อกับญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองจีนด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน แต่การเดินทางติดต่อกันยังเป็นไปอย่างยากลำบาก จนกระทั่งการบินไทยเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงใหม่-คุณหมิง พ.. 2529 ทำให้ชาวจีนมุสลิมยูนนานทั้ง 2 ฝั่งมีการติดต่ออาศัยกันมากขึ้น เกิดการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านศาสนาและเศรษฐกิจ มีการลงทุนทั้งในไทยและยูนนาน

ความรุ่งเรืองจากการติดต่อเครือญาติ การพัฒนาเศรษฐกิจสองฝั่ง การท่องเที่ยวในประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นหลัง พ.. 2530 ทำให้ชุมชนบ้านฮ่อเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนในชุมชนจึงมีมติร่วมกันในการสร้างอาคารละหมาดมุสลิมะฮ์ และศูนย์อิสลามศึกษาติดกับมัสยิดใน พ.. 2553 โดยสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น สำหรับใช้ละหมาด จัดกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมทางสังคม การติดต่อกับเครือญาติฝั่งจีนทำให้คนบ้านฮ่อค้นพบเรื่องราวสำคัญว่า เจิ้งชงหลิง เป็นทายาทรุ่นที่ 14 ของเจิ้งเหอ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนและเอเชีย กลายเป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ชุมชนบ้านฮ่อให้ความสนใจและภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของตน 

พื้นที่ชุมชนบ้านฮ่อในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในซอยเจริญประเทศ 1 หรือภายในพื้นที่ชุมชนวัดศรีดอนไชย มีมัสยิดบ้านฮ่อเป็นศูนย์กลางชุมชน ในพื้นที่ชุมชนมีร้านข้าวซอยที่สืบทอดสูตรการทำแบบสไตล์ดั้งเดิมจากบรรพบุรุษชาวจีนมุสลิมยูนนาน บริเวณโดยรอบชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ ย่านการค้าไนท์บาร์ซ่า และโรงแรมต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ลักษณะและพื้นที่ทางกายภาพของชุมชนบ้านฮ่อจึงจำกัดอยู่ในละแวกซอยเจริญประเทศ 1 ทำให้พื้นที่ชุมชนมีขนาดเล็กเพียงสองฟากฝั่งซอย แต่เครือข่ายชุมชนบ้านฮ่อ หรือสมาชิกชุมชนมีการกระจายตัวออกไปอาศัยอยู่ที่อื่น หากนับตามเครือข่ายความสัมพันธ์สมาชิกชุมชน ชุมชนบ้านฮ่ออาจหมายรวมถึงผู้มีความผูกพันกับมัสยิดบ้านฮ่อที่อาศัยอยู่ในบริเวณชุมชนมุสลิมรอบ ๆ บ้านฮ่อ เช่น ชุมชนมัสยิดช้างคลาน ชุมชนมัสยิดช้างเผือก ชุมชนมัสยิดอัตตักวา ได้ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันไม่ทราบจำนวนผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนบ้านฮ่อแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจมีผู้อาศัยอยู่ในชุมชนประมาณ 200-300 คน เนื่องจากมีการอพยพย้ายเข้า-ออกหลายครัวเรือน สมาชิกชุมชนหลายคนย้ายไปอยู่บริเวณมัสยิดอัตตักวา มัสยิดช้างคลาน หรือออกไปประกอบอาชีพและอาศัยอยู่ต่างจังหวัด แต่ยังคงมีความสัมพันธ์กับบ้านฮ่อและมีการกลับมาประกอบพิธีเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญทางศาสนา หากนับรวมสัปบุรุษของมัสยิด อาจมีมากถึง 2,000 คน

จีนยูนนาน(จีนฮ่อ)

ข้อมูลจากการอบรมและเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือ 7 ชิ้น วันที่ 12-14 สิงหาคม พ.. 2565 ประกอบไปด้วยกลุ่มที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่

กลุ่มที่เป็นทางการ

  • สมาคมมุสลิมเชียงใหม่ เป็นเครือข่ายชาวมุสลิมในจังหวัดและภูมิภาคสำหรับใช้ติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

  • สมาคมสตรีมุสลิมล้านนา สำหรับหาเงินกองทุนสะกาตใช้ในงานต่าง ๆ ของชุมชน เช่น งานเมาริด ค่ายฤดูร้อนเยาวชน รอมฎอน เป็นต้น รวมถึงบริหารจัดการการตั้งร้านขายอาหารช่วงเทศกาลเมาริดในมัสยิดต่าง ๆ และทำงานภาคประชาสังคมอื่น ๆ เช่น เยี่ยมเด็กกำพร้าในจังหวัดเชียงใหม่ การส่งมอบอาหารให้ผู้ต้องขังหญิงมุสลิมช่วงรอมฏอน ฝึกอาชีพ จัดอบรมให้ความรู้ แจกอาหาร และร่วมงานกับหน่วยงานภายนอกชุมชน โดยทำงานร่วมกันระหว่าง 4 มัสยิด คือ มัสยิดบ้านฮ่อ อัตตักวา ช้างคลาน และช้างเผือก

  • คณะกรรมการชุมชน สำหรับดำเนินงานกิจกรรมชุมชน เช่น ตรวจสุขอนามัยชุมชน ทำงานตามนโยบายที่ได้รับจากเทศบาลนครเชียงใหม่

กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ

  • กลุ่มหนิงจิง หรือกลุ่มสอนกุรอาน

  • กลุ่มการศาสนา ประกอบไปด้วยอิหม่าม คอเต็บ(ผู้บรรยาย) บิหลัน(ผู้เชิญชวน) เป็นคณะทำงานหลักของสุเหร่า

  • กลุ่มจิตอาสาบ้านฮ่อ ทำหน้าที่ระดมทุนให้สุเหร่า คุณวราภรณ์ เจ้าของร้านข้าวซอยอิสลามเป็นผู้นำกลุ่ม ทำงานช่วยเหลือชุมชน กระจายข่าวสารของมัสยิดและชุมชน ทำความสะอาดพื้นที่กุโบร์(สุสาน) และรวบรวมเงินบริจาคสำหรับกิจการมัสยิดบ้านฮ่อ

กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในระดับชุมชนจะเป็นกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม โดยมีกำหนดช่วงเวลาทำกิจกรรมและประกอบพิธีต่าง ๆ ตามปฏิทินอิสลาม สำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือการประกอบอาชีพ ขึ้นอยู่กับแต่ละครัวเรือน เนื่องจากชุมชนบ้านฮ่อมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย แต่ชุมชนบ้านฮ่อจะมีกาดหรือตลาดบ้านฮ่อในทุกวันศุกร์ โดยสมาชิกในชุมชนจะนำสินค้ามาจำหน่ายในกาดดังกล่าว

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ทุนกายภาพ

แต่เดิมพื้นที่ชุมชนเป็นทำเลยุทธศาสตร์ในการค้าขายระหว่างยูนนานและเชียงใหม่ เป็นจุดแวะพัก จำหน่ายสินค้า และรับซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายนอกเมืองเชียงใหม่ เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันที่การท่องเที่ยวเชียงใหมได้รับความนิยม พื้นที่ชุมชนอยู่ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ใกล้กับกำแพงเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยม เป็นหมุดหมายจากการท่องเที่ยวของคนในประเทศ ทำให้พื้นที่ชุมชนมีศักยภาพในการพัฒนาและอาศัยประโยชน์จากความนิยมในการท่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่ อย่างไรก็ตามความท้าทายของชุมชนบ้านฮ่อจากการเป็นชุมชนเมืองคือการเข้ามาของนายทุนที่ต้องการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว บริเวณรอบมัสยิดกลายเป็นพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เกิดโรงแรม ย่านการค้าจำนวนมาก

ทุนมนุษย์

สมาชิกบ้านฮ่อประกอบด้วยคนหลากหลายสาขาอาชีพ ทำให้มีความรู้ความสามารถและความถนัดที่หลากหลาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสนอความเห็นและแนวทางการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนและมัสยิด

ทุนวัฒนธรรม

สำหรับชุมชนบ้านฮ่อ กิจกรรมทางศาสนาอิสลามเป็นต้นทุนวัฒนธรรมที่สำคัญกับชุมชน เป็นเครื่องมือในการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งให้กับชุมชน บางกิจกรรมมีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจด้วย ตัวอย่างทุนชุมชนที่สะท้อนผ่านกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่

งานเมาลิดนบี งานเมาลิดนบีของชุมชนบ้านฮ่อมีการจัดส่งอาหารจีนยูนนานให้กับผู้บริจาคเงินให้กับมัสยิด โดยมีผู้ต้องการบริจาคเงินให้กับมัสยิดจำนวนมากจนทางมัสยิดต้องประชาสัมพันธ์ให้มีการจองอาหารล่วงหน้า การเตรียมอาหารสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิกชุมชนและคนในพื้นที่ อาทิ คณะเจ้าหน้าที่มัสยิดบ้านฮ่อและมัสยิดใกล้เคียง บุคลากรโรงเรียนสันติศึกษา ที่ช่วยทำอาหารและจัดส่งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ

งานรอมฎอน ข้อสังเกตของชุมชนบ้านฮ่อคือ สมาชิกชุมชนจะแข่งกันบริจาคเงินค่าอาหารกันอย่างคึกคัก สมาชิกชุมชนต่างแย่งกันเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงถึงขนาดที่มัสยิดต้องใช้ระบบจองก่อนได้ก่อน ผู้บริจาคหน้าใหม่ที่ต้องการบริจาคเงินสำหรับรอมฎอนจึงมักไม่ได้เนื่องจากถูกจองข้ามปีโดยคนในชุมชนก่อนแล้ว แม้จะมีสถานการณ์โควิดแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยง เพราะหันไปใช้วิธีการจัดเตรียมอาหารใส่ถุงหรือกล่องแยกชุดสำหรับแจกจ่ายแทน

นอกเหนือจากกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ข้าวซอยถือเป็นอาหารที่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชนบ้านฮ่อและชาวจีนมุสลิมยูนนานเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวซอยมีต้นกำเนิดจากการเป็นอาหารมุสลิมที่นิยมกินในแถบยูนนานก่อนจะแพร่หลายในเมืองเชียงใหม่ผ่านพ่อค้าคาราวาน ที่แม้ภายหลังข้าวซอยจะได้รับความนิยมโดยคนเมืองและมีการปรับสูตรเพื่อเข้ากับท้องถิ่น แต่ชุมชนยังคงมีความภาคภูมิใจและสืบทอดสูตรการทำข้าวซอยแบบดั้งเดิม(น้ำใส)ไว้อยู่

สำหรับภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สมาชิกชุมชนส่วนใหญ่ใช้ภาษาพื้นถิ่น (คำเมือง) และภาษาไทยกลางเป็นภาษาพูด และใช้ตัวอักษรไทยกลางเป็นภาษาเขียนหลักในการสื่อสาร 


เช่นเดียวกับชุมชนมุสลิมอื่น ๆ ในประเทศไทย ชุมชนบ้านฮ่อมีความกังวลเรื่องความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างทางศาสนา และความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและความคิด รวมถึงกระแสความกลัวอิสลามที่กำลังเพิ่มขึ้นในไทยและทั่วโลก ชาวมุสลิมบ้านฮ่อจึงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติกับคนต่างศาสนิกเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมถึงกิจกรรมของชุมชนที่พยายามสร้างการยอมรับและแสดงความเข้าอกเข้าใจ เพื่อการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนในสังคม 

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

สัมพันธ์ วารี. (2565). โครงการวิจัยสมรรถนะทางวัฒนธรรมในการป้องกันความขัดแย้งของชนส่วนน้อยทางชาติพันธุ์ : กรณีศึกษาชุมชนบ้านฮ่อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (รายงานวิจัย). กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.