
บ้านเวียคะดี้ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ พ.ศ. 2558 ชุมชนนวัตวิถีแห่งเมืองกาญจนบุรี
เวียคะดี้ หรือเวียคาดี้ เป็นภาษาปกาเกอะญอ โดยคำว่า “เวีย” แปลว่าทุ่ง ส่วนคำว่า “คะดี้” แปลว่า หวายขม รวมกันได้ว่า “หมู่บ้านทุ่งหวาย”
บ้านเวียคะดี้ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ พ.ศ. 2558 ชุมชนนวัตวิถีแห่งเมืองกาญจนบุรี
ประวัติความเป็นมาของบ้านเวียคะดี้นั้นมีอยู่หลายที่มาทั้งที่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและแบบมุขปาฐะหรือคำบอกเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาจากคนในชุมชน โดยจะอธิบายพอสังเขป ดังนี้
ประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวถึงบ้านเวียคะดี้ว่า ได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2348 โดยประชากรที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มแรก คือ ชาปกาเกอะญอจำนวน 15 หลังคาเรือน ก่อนจะมีการอพย้ายเข้ามาสมทบและเกิดการขยายตัวของบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง พ.ศ.2526 มีประชากรส่วนหนึ่งอพยพหนีน้ำท่วมมาจากบ้านนิเถะและอําเภอสังขละบุรี (เก่า) (บ้านนิเถะ หมู่ที่1 ตําบลหนองลู อําเภอสังขละบุรี ในปัจจุบัน) มาตั้ง บ้านเรือนอยู่ในบริเวณนี้ ทางราชการจึงได้กําหนดให้เป็นหมู่บ้าน หมู่ที่ 5 ตําบลหนองลู อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และเกิดเป็นกลุ่มบ้านอีก 3 กลุ่มบ้าน ได้แก่ กลุ่มบ้านช่องลุ กลุ่มบ้านชูแหละ และกลุ่มบ้านโมระข่า
ส่วนตํานานหรือคําบอกเล่าที่สืบต่อกันมาปรากฏอยู่ 3 ตํานานดังนี้
- ตำนานแรกเล่าว่าบ้านเวียคะ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งมาตั้งแต่สมัยอําเภอสังขละบุรียังเป็นกิ่งอําเภอวังกะ ครั้งพระศรีสุวรรณคีรียาเชียงโปรย เป็นนายอําเภอ เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว ตามตํานานกล่าวว่า มีชาวปกาเกอะญอ 2 คนพี่น้องชื่อ นายทูกู (คนพี่) และนายหม่องโกหล่า (คนน้อง) ที่มาจากฝั่งทวายประเทศพม่าได้ลายแทงสมบัติจากปู่ย่าตาทวด ในลายแทงได้แสดงเส้นทางการเดินทางไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากที่อยู่เป็นระยะทาง มากกว่า 100 กิโลเมตร ในบริเวณแห่งนั้นเป็นที่ราบลุ่ม ประกอบด้วยดงป่าหวายหนาแน่นซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล หลังจากนั้นไม่นานนายทูกูและนายหม่องโกหล่าได้รวบรวมสมัครพรรคพวกออกเดินทางจากบ้านทวาย ประเทศพม่า มุ่งไปยังสถานที่ตามลายแทงได้ระบุไว้ และได้ทําพิธีกรรมตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หากพบสมบัติจะสร้างเจดีย์ถวาย ณ ที่แห่งนั้นเพื่อแก้บน หลังจากทําพิธีกรรมตั้งจิตอธิษฐานเสร็จ ต่อมาไม่นานบุคคลทั้งสองจึงได้พบสมบัติมากมายในบริเวณสถานที่ดังกล่าว แล้วได้แบ่งให้ผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันจํานวนหนึ่งเพื่อนํากลับไปบ้านเกิด ส่วนบุคคลทั้งสองที่เป็นเจ้าของลายแทงไม่ได้เดินทางกลับทันที เพราะต้องสร้างเจดีย์ดังที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ และตั้งหลักปักฐานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ร่วมกับพรรคพวกจำนวนหนึ่ง ภายหลังตั้งบ้านเรือนแล้วจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านโดยสังเกตจากสภาพแวดล้อมโดยรอบของพื้นที่ซึ่งเป็นดงป่าหวาย จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “เวียคาดี้” (เป็นภาษาปกาเกอะญอ เวีย แปลว่า ทุ่ง ส่วน คาดี้หรือคะดี้ แปลว่า หวายขม) ซึ่งต่อมาได้แผลงมาเป็น “เวียคะดี้”
- ตำนานที่สองเล่าว่าบ้านเวียคะดี้ หรือเวียคาดี้ ก่อตั้งมาแล้วกว่า 250 ปี โดแกนนำหมู่บ้านชื่อ พู่จาปี้ พาคนจํานวนประมาณ 15 ครอบครัว มาตามหาพระเจดีย์ในลายแทง เมื่อเดินทางตามเส้นทางแล้วยังไม่พบร่องรอยพระเจดีย์เพราะเดินเลยจุดหมายตามลายแทงมาแล้ว จึงย้อนกลับมาตั้งหลักปักฐาน เพราะเชื่อว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ พู่ซาโพ่ว หนึ่งในคณะที่เดินทางได้ลงมือปลูกกระเทียมป่า (เอเกรอ) โดยถางพื้นที่บริเวณในการเพาะปลูก ขณะนั้นได้พบจอมปลวกใต้ต้นมะม่วงและพบอิฐสีแดงก้อนใหญ่วางเรียงอยู่จึงกลับไปดูในลายแทง แล้วรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของพะเจดีย์ตามลายแทง จึงบอกกล่าวให้ผู้คนในคณะรู้และเป็นที่เคารพสักการะบูชา บริเวณใกล้พระธาตุเจดีย์นั้นมีต้นมะม่วงศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่ง เมื่อกินผลมะม่วงจะช่วยแก้โรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดีและทําให้ร่างกายแข็งแรง ไม่แก่ชรา แต่พู่ซาโพ่วได้เตรียมสถานที่บูรณะพระธาตุเจดีย์จึงตัดต้นมะม่วงนี้ทิ้งเสีย ผู้นําพี่จาปี้ทราบก็รู้สึกเสียใจกับการกระทําจึงเดินทางกลับพม่าพร้อมกับอีก 2 ครอบครัวที่ติดตามมาในครั้งแรก ส่วน ชาวบ้านที่เหลือก็ได้ตั้งรกรากทํามาหากิน และช่วยกันนําดินมาทําอิฐและบูรณะพระธาตุเจดีย์ให้สวยงาม ซึ่งในการทําเจดีย์ต่างก็มีขั้นตอนมากมายตาม มีการนํายอดฉัตรเงินและฉัตรทองบนภูเขากองเงินที่จะต้องทําพิธีบนภูเขาแล้วไหเงินไหทองจะปรากฏขึ้นมา ซึ่งผู้ที่ทําพิธีได้มีข้อกําหนดว่าเงินและทองนี้ห้ามนําไปใช้ส่วนตัว เมื่อได้แร่เงินและทองแล้ว ชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้นําแร่เงิน-ทองเดินทางไปยังประเทศพม่าเพื่อสร้างฉัตร เมื่อทําเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับมาเพื่อประกอบฉัตรบนยอดพระธาตุเจดีย์ แต่ว่าระหว่างทางถูกโจรปล้น จึงจําเป็นต้องกลับไปประกอบพิธีขอเงินและทองใหม่ แต่ก็ถูกปล้นอีก จากนั้น 2-3 ปีชาวบ้านจึงได้รวบรวมเงินกันไปซื้อฉัตรมาจากเมืองมะละแหม่ง เมื่อประกอบฉัตรเงินและฉัตรทองได้สําเร็จ ต่อมาก็ได้ข่าวว่าคนที่ปล้นฉัตรไปนั้น นําฉัตรไปหลอมเป็นทองแท่ง เงินก้อน แล้วแบ่งกันไม่ลงตัวจึงฆ่าเองกันเองตายทั้งหมด หลังจากนั้นชาวบ้านก็เริ่มแบ่งที่ดินทํากินในบริเวณนี้ ซึ่งก็คือบ้านเวียคะดี้ในปัจจุบัน
- ตำนานที่สามว่ากันว่าในสมัยก่อนพื้นที่เวียคะดีนี้ไม่ใช่พื้นที่ของชนกลุ่มใด เป็นที่ไม่มีเจ้าของ ต่อมามีชาวพม่าคนหนึ่งอพยพลี้ภัยสงครามจากดินแดนพม่า แต่การเดินทางโดยไม่มีจุดหมายปลายทางทําให้ชายผู้นั้นหลงทางในป่าอยู่หลายเดือน ซึ่งจําต้องดํารงชีพด้วยหาของป่ากินเพื่อประทังชีวิต ในที่สุดชายพม่าผู้นั้นได้เดินมาพบเจอกับฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีได้กล่าวว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมแก่การตั้งบ้านเรือนให้ถอยย้อนกลับไปอีกหากคิดจะตั้งหมู่บ้าน ที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่ที่ดี มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งคุ้มครองอยู่แถวนั้น เมื่อฤาษีกล่าวจบ ชายพม่าผู้นั้นก็ได้ถอยหลังกลับไปยังตําแหน่งที่ฤาษีบอก และลงหลักปักฐานอยู่ที่นั้นซึ่งเป็นบริเวณเขตกลุ่มบ้านเวียคะดี้ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน บ้านเวียคะดี้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มบ้าน ได้แก่ ช่องลุ ชูแหละ เวียคะดี้ และโมระข่า โดยการตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นนิยมใช้ภาษาปกาเกอะญอในการตั้งชื่อและตั้งจากสภาพพื้นที่ สถานที่สําคัญ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ในหมู่บ้าน ดังนี้
- กลุ่มบ้านเวียคะดี้ แปลว่า ดงหวาย ตามที่ได้กล่าวถึงในประวัติศาสตร์หมู่บ้านเวียคะดี้
- กลุ่มบ้านช่องลุ แปลว่า ลําห้วยที่น้ำแห้ง ใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างกลุ่มบ้านช่องลุกับหมู่ที่ 6 บ้านห้วยมาลัย
- กลุ่มบ้านชูแหละ แปลว่า อาคารสถานที่ราชการชั่วคราวที่ใช้เป็นสถานที่ราชการในการสํารวจสํามะโนครัวประชากรในสมัยก่อน
- กลุ่มบ้านโมระข่า แปลว่า กระสุนปืน เนื่องจากพื้นที่นี้ สมัยก่อนมีการทําสงครามกันระหว่างพม่าและปกาเกอะญอในพม่า ทําให้มีปลอกกระสุนปืนหล่นอยู่ตามไร่นาของชาวบ้าน
ที่ตั้งและอาณาเขต
บ้านเวียคะดี้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตําบลหนองลู จังหวัดกาญจนบุรี มีเขตปกครองครอบคลุม 4 กลุ่มบ้าน ได้แก่ ช่องลุ ชูแหละ เวียคะดี้ และโมระข่า ซึ่งแต่ละพื้นที่มีความห่างไกลกันพอสมควร มีอาณาเขตดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านปะไรโหนก หมู่ที่ 10 อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านห้วยมาลัย หมู่ที่ 6 อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านห้วยกบ หมู่ที่ 4 อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศพม่า ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านมะล็อคกานี
จุดศูนย์กลางของ 4 กลุ่มบ้าน คือ กลุ่มบ้านเวียคะดี้ เพราะเป็นสถานที่ตั้งของวัด โรงเรียน หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิที่ ท.ภ.7 บ้านเวียคะดี้ กองร้อยทหารพราน และสถานที่ทําการกํานันตําบลหนองลู
ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีเขาช้างเผือกทางทิศตะวันตกวางตัวเป็นแนวยาวตลอดพื้นที่ของหมู่บ้าน มีทั้งป่าดงดิบและป่าไม้เบญจพรรณ มีพื้นที่ราบเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่เป็นแนวชายเขา มีลําห้วยน้ำไหลตลอดปีแต่ไม่เพียงพอต่อการอุปโภค-บริโภค และมีระยะทางห่างจากแนวชายแดนไทย-พม่า 12 กิโลเมตร มีเส้นทางคมนาคมเข้า-ออกเพียงเส้นทางเดียว ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม (การทํานา ข้าวไร่ และเลี้ยงสัตว์) พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาช้างเผือก มีอาณาเขตประมาณ 2,891 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
สภาพภูมิอากาศ
บ้านเวียคะดี้ หมู่ที่ 5 ตําบลหนองลู อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียง และลมมรสุมทะเลอันดามันใต้ มีฝนตกชุกและมีฤดูฝนที่ยาวนาน อยู่ในเขตโซนร้อน สามารถแบ่งลักษณะภูมิอากาศได้ 3 ฤดู ดังนี้
ฤดูร้อน อยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมฤดูฝน อยู่ในระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคมฤดูหนาว อยู่ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคมแหล่งน้ำ
เขื่อนขนาดเล็ก จํานวน 1 เขื่อน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกลุ่มบ้านเวียคะดี้ ระยะห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1.5 กิโลเมตรห้วยตะโก มีต้นสายมาจากต้นน้ำบีคี่ ประเทศพม่า และมีห้วยต่าง ๆ ไหลมารวมกัน ซึ่งรวมแหล่งน้ำที่ไหลมาจากประเทศพม่า ไหลผ่านมะล็อคกานี กลุ่มบ้านโมระข่า กลุ่มบ้านเวียคะดี้ กลุ่มบ้านช่องลุ และบ้านห้วยมาลัย ลงสู่ลําน้ำประโด่งรวยที่บ้านใหม่พัฒนา ตําบลหนองลู อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีห้วยป่าไม้ป้อม เป็นห้วยธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกลุ่มบ้านโมระข่า ห่างจากหมู่บ้าน 600 เมตร ชาวบ้านในกลุ่มบ้านโมระข่าได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำนี้ทั้งการอุปโภค-บริโภค และเป็นลําห้วยที่ไม่ได้สร้างเป็นระบบประปาท่อ เนื่องจากไม่มีพื้นที่ลาดชันชาวบ้านจึงอาศัยแหล่งน้ำนี้ด้วยวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมห้วยทิลูซองค่าคี่ เป็นห้วยที่อยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกลุ่มบ้านโมระข่า ห่างจากหมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณล่องหุบเขา ใช้ระบบกาลักน้ำโดยการทําฝายกั้นน้ำให้มีขนาดลึกพอที่จะวางแนวท่อส่งน้ำได้และจ่ายน้ำแบบระบบท่อประปาส่งน้ำไปยังกลุ่มบ้านโมระข่าห้วยคีถุ ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกลุ่มบ้านชุแหละ ใช้ระบบกาลักน้ำโดยการทําฝ่ายกั้นน้ำ แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทําให้ร่องน้ำมีความลึกมาก จึงไม่ต้องขุดพื้นที่วางระบบท่อได้ทันที โดยกลุ่มบ้านที่ได้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มบ้านชูแหละ กลุ่มบ้านเวียคะดี้ และกลุ่มบ้านช่องลุบางส่วนแหล่งน้ำที่มีการทําระบบประปาได้รับการสนับสนุนจากสถานทูตออสเตรเลียประจําประเทศไทย อาสาสมัครออสเตรเลีย และสถานพยาบาลคริสเตียนแม่น้ำแควน้อย ใน พ.ศ. 2529 มีชาวบ้านเป็นผู้ดูแลรักษาและแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำสาธารณะที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย แหล่งน้ำต่าง ๆ นี้ชาวบ้านหมู่ที่ 5 เวียคะดี้ใช้ในการอุปโภค-บริโภคมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สถิติจำนวนประชากรจากสำนักทะเบียนราษฎร์ (รายเดือน) รายงานจำนวนประชากรตำบลหนองลู หมู่ที่ 5 บ้านเวียคะดี้ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 4,884 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 2,535 คน และประชากรหญิง 2,349 คน จำนวนครัวเรือน 1,144 คน ซึ่งบ้านเวียคะดี้แห่งนี้นับเป็นศูนย์รวมของชนชาติพันธุ์หลายเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็นพม่า ละว้า มอญ และประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดหมู่บ้าน คือ ปกาเกอะญอเชื้อสายโปว์และสะกอ โดยบางส่วนได้รับสัญชาติไทยแล้ว และบางส่วนได้รับสถานะให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวตามสถานะที่บุคคลนั้น ๆ ได้รับ
ปกาเกอะญอ, มอญ, ละว้า (ว้า)ชาวบ้านใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ยึดอาชีพทําไร่ ทํานา เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างในการสร้างรายได้ ผลผลิตที่ได้จากการทําไร่ทํานาจะเก็บไว้บริโภคในครัวเรือน และแบ่งขายเป็นเพียงบางส่วน นอกจากนี้ ชาวบ้านบางรายมีรายได้จากอาชีพค้าขาย ในหมู่บ้านทั้ง 4 กลุ่ม มีร้านค้า 29 ร้าน โรงสีข้าว 3 แห่ง และเก็บพืชผักตามธรรมชาติมาขายให้เพื่อนบ้านในชุมชน
นอกจากนี้ ปัจจุบันบ้านนเวียคะดี้ได้เปิดชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้เข้ามาร่วมสัมผัสวิถีการดำเนินชีวิตของชาวปกาเกอะญอ มีผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ของชุมชนที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกจับจ่ายเป็นของฝาก รวมถึงศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ โดยมีการแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งพืชผักสวนครัว ไม้ผล ไม้ยืนต้น และกิจกรรมด้านปศุสัตว์ อาทิ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงกบคอนโด เลี้ยงสุกรพื้นเมือง และปลูกหญ้าเนเปียสำหรับเป็นอาหารของโคและสัตว์อื่น ๆ อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คือ วัดเวียคะดี้ ซึ่งมีโบราณสถานที่สำคัญ คือ พระเจดีย์อุณาโลม (เจดีย์สององค์) ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว สถานที่ตั้งของเจดีย์สององค์นี้มีการเล่าต่อ ๆ กันมาว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการแลกเปลี่ยนตัวประกันระหว่างพระนเรศวรมหาราชกับพระพี่นางสุพรรณกัลยา และเป็นเจดีย์ที่ปรากฏในตำนานของบ้านเวียคะดี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีต้นลีลาวดี (ลั่นทม) โบราณ อายุกว่า 400 ปี ขนาด 3 คนโอบชาวบ้านเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนเรศวรมหาราช และยังมีต้นโพธิ์ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ทรงปลูกไว้ ณ โรงเรียน ตชด.สหธนาคารกรุงเทพ
ผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP
- เสื้อ/ย่ามกะเหรี่ยง
- ปลานิลแดดเดียว
- ผักเหลียงปลารมควัน
- น้ำมันงาพนาวัลย์
- น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
- หมูแดดเดียว
- ข้าวเกรียบสมุนไพร
ศาสนา
ประชากรส่วนใหญ่ในบ้านเวียคะดี้เป็นชาวปกาเกอะญอเชื้อสายโปว์และสะกอ มีศาสนาที่นับถืออยู่ 2 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ร้อยละ 90 และศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ร้อยละ 10 ของจํานวนประชากร ในกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ จะมีการกําหนดเวรในการทําอาหารไปถวายพระตอนฉันเช้าและฉันเพลก่อนวันพระทุกวัน ซึ่งจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละกลุ่มบ้าน ก่อนถึงวันพระหนึ่งวันชาวบ้านจะมารวมตัวกันในช่วงบ่ายไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ไม่แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน และชาวบ้านก็จะเตรียมอาหารจนถึงตอนเช้าแล้วจึงนําไปถวายพระสงฆ์ได้ทันที ส่วนในกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ก็จะมีการปฏิบัติกิจทุกวันอาทิตย์เป็นประจํา อยู่ที่โบสถ์คริสตจักรสังขละบุรีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มบ้านช่องลุ ข้อสังเกตหนึ่งที่สำคัญของชาวบ้านเวียคะดี้ คือ เมื่อถึงวันพระของทุกเดือน ชาวบ้านทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์จะหยุดทําภารกิจในชีวิตประจําวัน อันได้แก่ การไปทําไร่ ทํานา และทําสวน ชาวบ้านจะถือวันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนหรือเป็นวันที่ชาวบ้านช่วยเหลือกันในการพัฒนาหมู่บ้าน บูรณะวัด และทํากิจกรรมอื่น ๆ ที่มีในชุมชนร่วมกัน ซึ่งไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็สามารถช่วยเกื้อกูลกันเป็นอย่างดีโดยไม่แบ่งแยกศาสนา
ศาสนสถานที่สำคัญ ในหมู่บ้านเวียคะดี้มีจำนวน 4 แห่ง ดังนี้
- วัดเวียคะดี้ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2484 ตั้งอยู่ที่กลุ่มบ้านเวียคะดี้
- สํานักสงฆ์โมระข่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2529 ตั้งอยู่ที่กลุ่มบ้านโมระข่า
- โบสถ์คริสตจักรสังขละบุรี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2516 ตั้งอยู่ที่กลุ่มบ้านช่องลุ ผู้นําทางศาสนา คริสต์ คือ อาจารย์ทองคํา ทองเปราะ ประธานคริสตจักรภาคที่ 16
- ศาลาธรรมโมระข่า สังกัดคริสตจักรยาระเด็น สร้างเมื่อ พ.ศ. 2549 ตั้งอยู่ที่กลุ่มบ้านโม ระข่า ผู้ดูแลศาลาธรรมโมระข่า คือ นายเต้อกี ชาวปกาเกอะญอกลุ่มบ้านโมระข่า
ความเชื่อ
ชาวบ้านเวียคะดี้ ยังคงมีความเชื่อเรื่องเทวดา นางฟ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รวมไปถึงผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีไร่ ผีนา ผีน้ำ ฯลฯ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ชาวบ้านได้แสดงออกผ่านสะมูที่ทําจากไม้ไผ่สานเป็นรูปทรงตามลักษณะการใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในขณะที่สัตว์ป่า เช่น เก้ง กวาง เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะถือว่าเป็นลางไม่ดี จะต้องทําพิธีกรรมปะไรหนาด ซึ่งเป็นพิธีปัดเป่ารังควานให้เหตุร้ายหายไปจากหมู่บ้าน การประกอบพิธีกรรมมีทั้งพิธีกรรมสงฆ์และพิธีกรรมฆราวาส จะเริ่มทําพิธีกรรมตั้งแต่ 20.00 นาฬิกา บริเวณที่มีการตั้งศาลหรือสะมูที่ใช้ไหว้ผี นอกจากนี้ ยังพบว่ามีพิธีกรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น พิธีกรรมกินไก่เลี้ยงผี เป็นพิธีกรรมในครอบครัวชาวปกาเกอะญอ จากความเชื่อว่าหากมีใครเจ็บป่วยรักษาไม่หายหรือป่วยเรื้อรัง ชาวบ้านมีความเชื่อว่าผีบรรพบุรุษเป็นผู้กระทํา จึงต้องมีพิธีกรรมกินไก่เลี้ยงผี เพื่อขอขมาผีบรรพบุรุษของตน และคนในครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากมีการประกอบพิธีกรรมนี้จะต้องกลับมากินไก่ต้มที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทุกคน โชคร้ายและโรคที่เป็นอยู่ก็จะบรรเทาลงตามความเชื่อนั้น
ประเพณีประจำเดือน
- เดือนมกราคม : ทําบุญปีใหม่/กินข้าวใหม่ ชาวบ้านจะเตรียมตัวกันตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม เตรียมอาหารคาวหวาน ห่อข้าวต้ม นําไปถวายพระที่วัดเวียคะดี้ เพื่อทําบุญในวันขึ้นปีใหม่ตามคติความเชื่อที่ว่าให้ความทุกข์ ความโศก โรคภัย และสิ่งที่ไม่เจริญหมดไปพร้อมกับปีเก่า ให้ประสบแต่สิ่งที่ดีงามในปีใหม่ที่เริ่มขึ้น
- เดือนมีนาคม : ทำบุญประจําปีวัดเวียคะดี้ ในวันขึ้น 12 ค่ำ-15 ค่ำ เป็นงานประเพณีทําบุญเจดีย์ประจําหมู่บ้าน มีการแสดงทั้งรําตง รําละคร และการแสดงของโรงเรียน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้าร่วม
- เดือนเมษายน : ประเพณีสงกรานต์ ทุกบ้านนิยมทําข้าวต้มมัดและเรียกให้เพื่อนบ้านมารับประทาน โดยประเพณสงกรานต์ของชาวบ้านเวียคะดี้มีข้อสังเกต คือ ไม่มีการเล่นสาดน้ำเหมือนประเพณีสงกรานต์ของชาวไทย แต่นิยมเล่นสะบ้า และจะมีการถวายน้ำหอมแก่นางสงกรานต์ มีการนำข้าวต้มมัดที่ทําเสร็จใหม่ ๆ มาวางถวายบนสะมูและตั้งจิตอธิฐานขอในสิ่งที่เจริญและดีงาม เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว
- เดือนกรกฎาคม : เทศกาลเข้าพรรษา
- เดือนสิงหาคม : ประเพณีผูกข้อมือ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดมาอย่างยาวนาน เป็นประเพณีที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ในหมู่บ้านกับกลุ่มเยาวชน เพื่อให้เด็กในหมู่บ้านได้ตระหนักถือการมีสัมมาคารวะ ให้ความเคารพผู้อาวุโส และเป็นประเพณีปัดรังควานให้เด็กในหมู่บ้านได้เติบโตมีความ เจริญรุ่งเรือง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ โดยประเพณีผูกข้อมือนี้จะมีทั้งพิธีกรรมสงฆ์และฆราวาส พิธีกรรมของสงฆ์จะทําตอนเช้าเช่นเดียวกับการทำบุญในวันพระ ส่วนพิธีกรรมของฆราวาสจะมีการเตรียมพิธีผูกข้อมือ คือ ชาวบ้านจะเตรียมกล้วย อ้อย ข้าวสวยปั้นเป็นก้อน และดอกไม้สีขาว คนที่จะมาผูกข้อมือให้ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ความอาวุโส เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น คนไหนต้องการผูกข้อมือจะต้องถือข้าวสวยปั้น กล้วย และอ้อย ไว้ในมือนำไปหาผู้เฒ่าผู้แก่ให้ผูกข้อมือให้ เป็นอันเสร็จพิธี
- เดือนตุลาคม : เทศกาลออกพรรษา
- เดือนพฤศจิกายน : ประเพณีลอยกระทงและประเพณีทอดกฐิน
- เดือนธันวาคม : ประเพณีฟาดข้าวของชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธ และวันคริสต์มาสของชาวบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์
อาหารพื้นถิ่น
- น้ำพริกแตงเปรี้ยว
- ข้าวหมูยำกะเหรี่ยง
- ปลาสับข้าวคั่ว
- ปลาหมักเกลือขมิ้นทอง
- ลาบปลาสูตรกะเหรี่ยง
รำตง
รำตง เป็นการแสดงเฉพาะของชาวปกาเกอะญอ ในชุมชนบ้านเวียคะดี้นิยมทำการแสดงนี้ในช่วงวันสำคัญทุกเทศกาลหรือในงานประจำปี รวมถึงงานบวช งานแต่ง และงานรื่นเริงอื่น ๆ คําว่ารําตง หมายถึง การเต้นรํา การเหยียบย่ำให้เข้าจังหวะเพื่อแก้บน หรือขอบคุณพระแม่โพสพในบริเวณลานฟาดข้าว ในภาษาปกาเกอญอ เรียกว่า เท่อลีโตงว์ หรือไยโตงว์ โดยมีเครื่องดนตรีประกอบการละเล่น 2 ชิ้น คือ กลองสองหน้า ที่ทําจากไม้ขนุน และเครื่องเคาะจังหวะ หรือเรียกว่า วาเหล่เคาะ ที่ทําจากไม้ไผ่ป่า ต่อมาได้มีผู้คิดค้นเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีกหลายชิ้น และคิดท่ารําตงขึ้นมาใหม่อีกหลายรูปแบบ เครื่องดนตรีที่คิดขึ้นมาใหม่ต้องการเน้นประกอบเสียงร้องเพลงให้ไพเราะยิ่งขึ้น เร้าใจขึ้น ผู้ชมและผู้ฟังจะเกิดอารมณ์ไปตามเนื้อหาของเพลง เช่น ระนาดเหล็ก โหม่งราง ฉาบ ฉิ่ง ฯลฯ
แม้ว่าการรำตงจะเป็นการแสดงที่มักแสดงกันในงานรื่นเริง ทว่า ยังมีนัยแฝงด้วยความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์เกี่ยวกับพระแม่โพสพและความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีบ้านผีเรือน ซึ่งเป็นคติดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ โดยในพื้นที่ที่จะทำการแสดงต้องทําพิธีกรรมบอกกล่าวผีบ้านผีเรือน เจ้าที่เจ้าทาง รุกขเทวดา ในเขตพื้นที่นั้นให้รับทราบเสียก่อน โดยนําธูป เทียน ดอกไม้ อย่างละ 5 ชุด มาขอขมาในการลบหลู่ หรือทําผิด อีกทั้งจะต้องทําพิธีกรรมไหว้หรือบูชาครูบาอาจารย์เพื่อเป็นสิริมงคล และสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้แสดงประสบผลสําเร็จ ด้วยเครื่องบูชา (กระต้อมป่วย” หรือ “ปวย”) ที่ประกอบด้วย กะละมัง มะพร้าว กล้วยน้ำว้า หมาก พลู บุหรี่ ดอกไม้ ธูป เทียน น้ำขมิ้น ส้มป่อย หรือน้ำหอม เงินไหว้ครู 5 บาท เครื่องดื่ม 1 ขวด มาจัดใส่กะละมัง แล้วผู้ทำพิธีจะพรมน้ำขมิ้น ส้มป่อย ให้ผู้แสดงทุกคนเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มการแสดง
ชาวบ้านเวียคะดี้ใช้ภาษาไทย (ภาคกลาง) เป็นภาษาราชการ และมีภาษาเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่แบ่งได้อีกสองภาษา คือ ภาษากะเหรี่ยงโปว์ และภาษากะเหรี่ยงสะกอ ซึ่งการสื่อสารในชีวิตประจําวันของชาวบ้านมักใช้ภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในการสื่อสาร
ภายหลังการประกาศพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิครอบคลุมพื้นที่อำเภอทองผาภูมิและอำเภอสังขละบุรี ส่งผลให้บ้านเวียคะดี้เป็นหนึ่งหมู่บ้านที่ถูกกำหนดเข้าอยู่ในอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติไปโดยปริยาย และมีการตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิที่ ท.ภ.7 (เวียคะดี้) สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการดํารงวิถีชีวิตของชาวบ้านให้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามระบบทุนนิยมซึ่งเข้ามามีบทบาทในการดํารงชีพ ทําให้มีความต้องการทางด้านวัตถุมากขึ้น ชาวบ้านจึงมองว่าการมีหน่วยพิทักษ์อุทยานสร้างความยากลำบากต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตมากขึ้น ชาวบ้านไม่สามารถหาของป่าหรือล่าสัตว์ได้ ทําให้ขาดรายได้มาจุนเจือครอบครัวและขาดรายได้ที่จะนํามาซึ่งการตอบสนองความต้องการของครัวเรือน ไม่สามารถที่จะทําไร่ได้อีก แม้ว่าความเป็นจริงแล้วการมีหน่วยพิทักษ์อุทยานขึ้นมาก็เพื่อที่จะรักษาความอุดมสมบูรณ์ของป่า โดยเจ้าหน้าที่ในหน่วยพิทักษ์อุทยานก็มิได้เคร่งครัด บางอย่างก็ได้รับการอนุโลมให้ชาวบ้านได้อาศัยผืนป่าในการดํารงชีวิต ทว่า ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงพบว่าในปัจจุบันนี้มีชาวปกาเกอะญอบ้านเวียคะดี้จำนวนหนึ่งเริ่มออกไปประกอบอาชีพนอกชุมชนเพื่อหารายได้ที่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัวและดำรงชีพ
ทองผาภูมิ
ตวงสิทธิ์ ตงศิริ. (2555). การเกื้อกูลที่ดินทำกินเพื่อความอยู่รอดของชาวกะเหรี่ยง : กรณีศึกษา บ้านเวียคะดี้ หมู่ที่ 5 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี. ประกาศนียบัตรบัณฑิต (บัณฑิตอาสาสมัคร) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นวัตวิถีบ้านเวียคะดี้. (2566). ^^หนาเด่^^..เป็นภาษากระเหรี่ยงที่ใช้เรียกชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้..ส่งต่อมาจากคนรุ่นก่อน. สืบค้นเมื่อ 24 กรกฎาคม 2566, จาก https://web.facebook.com/
Google Earth. (2563). สืบค้นเมื่อ 24 กรกฎาคม 2566, จาก https://earth.google.com/
NEUNG007. (2561). บ้านเวียคะดี้ สังขละบุรี. สืบค้นเมื่อ 24 กรกฎาคม 2566, จาก https://taronpaitour.wordpress.com/
Sanook. (2562). บ้านเวียคะดี้ ด่านเจดีย์ 2 องค์. สืบค้นเมื่อ 24 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.sanook.com/travel/
wow together. (ม.ป.ป.). บ้านเวียคะดี้ จังหวัดกาญจนบุรี. สืบค้นเมื่อ 24 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.wowtgt.com/