Advance search

ชาวไทยเขินบ้านสันก้างปลา เป็นชุมชนชาวไทเขินที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบัน อพยพมาคราวเดียวกับไทเขินในพื้นที่บ้านทรายมูล บ้านมอญ บ้านสันกลางเหนือ และอีกหลายแห่งที่พลัดถิ่นอยู่กันคนละอำเภอ แต่ได้รับอิทธิพลในสมัยนั้น คือ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น วัฒนธรรมการพูด การทำอาหาร การแต่งกาย การก่อสร้างบ้านเรือน และประเพณีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น

หมู่ที่ 6
สันก้างปลา
ทรายมูล
สันกำแพง
เชียงใหม่
พิสุทธิลักษณ์ บุญโต
1 มิ.ย. 2023
พิสุทธิลักษณ์ บุญโต
1 มิ.ย. 2023
พิสุทธิลักษณ์ บุญโต
29 ส.ค. 2023
สันก้างปลา

ชื่อของชุมชน สันก้างปลา มีที่มาจากลักษณะพื้นที่เป็นป่าไม้ก้างปลา ซึ่งเป็นพืชที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม เกิดขึ้นที่ดอนทราย ในอดีตพื้นที่นี้มีลักษณะเป็นเนินเขาเล็ก ๆ เมื่อชาวไทเขินอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ดังกล่าว จึงได้ถือชื่อเรียกไม้ดังกล่าวเป็นชื่อเรียกของหมู่บ้านว่า "บ้านสันก้างปลา" 


ชาวไทยเขินบ้านสันก้างปลา เป็นชุมชนชาวไทเขินที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบัน อพยพมาคราวเดียวกับไทเขินในพื้นที่บ้านทรายมูล บ้านมอญ บ้านสันกลางเหนือ และอีกหลายแห่งที่พลัดถิ่นอยู่กันคนละอำเภอ แต่ได้รับอิทธิพลในสมัยนั้น คือ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น วัฒนธรรมการพูด การทำอาหาร การแต่งกาย การก่อสร้างบ้านเรือน และประเพณีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น

สันก้างปลา
หมู่ที่ 6
ทรายมูล
สันกำแพง
เชียงใหม่
50130
18.74566543933578
99.13419033131365
เทศบาลตำบลสันกำแพง

บ้านสันก้างปลา เป็นชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเขตอำเภอสันกำแพง หมู่บ้านแห่งนี้มีอายุนานกว่า 200 ปี ชาวไทเขินที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันคือ บ้านทรายมูล บ้านหัวทุ่ง บ้านร้องและบ้านม่วงม้า ชาวบ้านที่นี่เกือบทั้งหมดเป็นชาวไทเขิน สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในสมัยที่พระเจ้ากาวิละ ได้กวาดต้อนกลุ่มชาวไทยเขินให้มาอยู่เมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2339 เวลาได้ล่วงเลยมากว่าสองร้อยปี แต่ชาวไทยเขินยังคงรักษาเอกลักษณ์ของชุมชนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

ชาวไทเขินบ้านสันก้างปลาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ นอกจากนั้นยังมีชาวไทเขินที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันอีกด้วย เช่นชาวไทเขินบ้านหัวทุ่งและบ้านสันทรายมูล แต่เดิมชาวไทเขินทั้งสามหมู่บ้านนี้เกาะกลุ่มกันเป็นเครือญาติมีศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่วัดทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่

วัดทรายมูลสันกำแพง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน เป็นวัดราษฎร์ มหานิกาย ได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัด พ.ศ. 2465 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2470 และมีพระครูพิพิธสุภาจาร สุภาจาโร เจ้าอาวาสวัดทรายมูล

วัดทรายมูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2246 แต่เดิมชื่อว่า วัดสันก้างปลาเพราะเรียกชื่อตามหมู่บ้าน แต่เดิมนั้นเป็นป่าไม้ก้างปลาเกิดขึ้นที่ดอนทราย ที่น้ำแม่ออนพัดพามา ชาวบ้านในสมัยนั้นช่วยกันแผวถ้างสร้างโรงกระต๊อบมุงด้วยใบจาก ใช้เป็นโรงปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์และศรัทธาทายกทายิกาศรัทธาที่อุปถัมภ์วัด วัดทรายมูล แต่เดิมมีการบอกเล่าสืบต่อกันมา และอ้างประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ว่าสร้างขึ้นเมื่อสมัยเมืองเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า สมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ลิ้นคำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2101 ถึง พ.ศ. 2317 เป็นเวลา 216 ปี มีพระยาสุรวะฤาชัยสงคราม (หนานติ๊บช้าง) กู้เอกราชพร้อมกับพระเจ้าตากสิน ช่วยกันกอบกู้เมืองเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2317 ในสมัยนั้นเชียงใหม่ยังตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่ ในสมัยที่เจ้าแรนร่าเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 11 ซึ่งเป็นคนพม่าและมีเจ้าเมืองสืบต่อมาอีก 6 องค์ โดยได้ยึดคืนได้

ต่อมาในปี พ.ศ. 2341 พระยากาวิละได้รวบรวมคนจากเมืองต่าง ๆ เหล่านั้นไว้เมืองเชียงใหม่หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แล้ว เมืองเชียงใหม่ตกเป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ โดยไปต้อนผู้คนจากเมืองปุ เมืองสาด เมืองแจด เมืองกึง เมืองกุน มารวมเมืองเชียงใหม่

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2342 ไปตีเอาชาวเมือง (ตอนเอาผู้คน) ในรัฐฉานมาไว้ที่วัวลาย นันตาสี่เหลี่ยม บ้านสะต่อย สร้อยไร่ ท่าร้างบ้านนา ทุ่งอ้อ และไปตีเอาเมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ้ง แคว้นต่าง ๆ ในสิบสองปันนามาถึงหัวเมืองบนถึงฝั่งแม่น้ำสาละวิน

ทั้งนี้ ยังมีอีก 1 วัดในชุมชน คือ วัดสันก้างปลา ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของหมู่บ้าน เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2527 เป็นวัดในพระพุทธศาสนาสังกัดมหานิกาย โดยคณะศรัทธาประชาชนในหมู่บ้าน เกิดความเห็นชอบร่วมกัน จึงได้รวบรวมทุนปัจจัยซื้อพื้นที่นาและพัฒนาขึ้นมาให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา

บ้านสันก้างปลาอยู่ในเขตการปกครองของเทศบาลตำบลสันกำแพง แต่เดิมก็คือ สุขาภิบาลสันกำแพง มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศจัดตั้งให้เป็นหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2499 และต่อมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2537 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะสุขาภิบาลที่มีฐานะการคลังเพียงพอที่จะบริหารงานประจำสุขาภิบาลได้โดยมีประธานกรรมการสุขาภิบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากสุขาภิบาลมีโครงสร้างการบริหารงานขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่มีเจตนารมณ์แบ่งแยกโครงสร้างการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การบริหารงานเทศบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนรวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ส่งผลให้สุขาภิบาล 980 แห่งทั่วประเทศ ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล

ลักษณะที่ตั้ง

เทศบาลตำบลสันกำแพง อยู่ห่างจากจังหวัดเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกตาม ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 1006 (เชียงใหม่ - สันกำแพง) ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 22.714 ตารางกิโลเมตร ศูนย์กลางชุมชนที่หนาแน่นตั้งอยู่ริมถนนสาย เชียงใหม่ - สันกำแพง

อาณาเขต

  • ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ฟากตะวันตกของทางไปตำบลห้วยทราย ตรงที่อยู่ห่างจากฟากเหนือของทางไปตำบลแม่ปูคาไปทางทิศเหนือ 600 เมตร และจากหลักเขตที่ 1 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงฟากใต้ของทางไปบ้านม่วงม้าตรงที่บรรจบกับทางสาย คำซาว - บ้านร้อง ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 2
  • ด้านตะวันออก จากหลักเขตที่ 2 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ถึง ฟากเหนือของทางหลวงสายเชียงใหม่ - สันกำแพง ตรงที่อยู่ห่างจากลำเหมืองแม่ออน ไปทางทิศ ตะวันออก 150 เมตร ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 3 และจากหลักเขตที่ 3 เป็นเส้นตั้งฉากกับทางหลวงสายเชียงใหม่ - สันกำแพง ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง 1,000 เมตร ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 4
  • ด้านใต้ จากหลักเขตที่ 4 เป็นเส้นขนานกับฟากใต้ของทางหลวงสาย เชียงใหม่ - สันกำแพง ไปทางทิศตะวันตก ถึงจุดที่อยู่ในแนวตั้งฉากจากหลักกิโลเมตรที่ 11,500 ของทางหลวงสายเชียงใหม่ - สันกำแพง ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง 1,000 เมตร ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 5
  • ด้านตะวันตก จากหลักเขตที่ 5 เป็นเส้นตั้งฉากกับ หลักเขตที่ 4 และหลักเขตที่ 5 ไปทางทิศเหนือถึงฟากเหนือของทางไปตำบลแม่ปูคาซึ่งเป็นหลักเขตที่ 6 จากหลักเขตที่ 6 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจนบรรจบหลักเขตที่ 1

สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร สำรวจข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม 2566 ในพื้นที่หมู่ที่ 6 สันก้างปลา พบว่า มีประชากรเพศชาย จำนวน 146 คน เพศหญิง จำนวน 155 คน รวมทั้งสิ้น 301 คน

ไทขึน
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ด้านวิถีชีวิตและความเป็นอยู่โดยทั่วไปชาวไทเขินมักทำการเกษตร ปลูกข้าว พืชผัก เลี้ยงสัตว์อย่างพอเพียงในครอบครัว และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในสังคมแบบเครือญาติ

ประเพณีของชาวไทเขินมีความคล้ายคลึงกับชาวล้านนาในการจัดพิธีสืบชะตาหรือต่ออายุหมู่บ้านเพื่อเป็นพลังให้แก่กลุ่มชน ส่วนศิลปะการแสดงที่นิยมเล่นกันตามงานประเพณี เช่น การฟ้อนรำหางนกยูง ฟ้อนฆ้องเชิง ฟ้อนรำนก ฟ้อนรำดาบ ฟ้อนโต ซึ่งการฟ้อนโตเป็นการแสดงถึงวัฒนธรรมร่วมของชาวไทใหญ่และชาวไทเขิน

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ศูนย์วัฒนธรรมไทยเขิน วัดสันก้างปลา จัดตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวไทเขิน และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังเป็นการปลูกจิตสำนึกแก่เยาวชนให้มีความรักท้องถิ่น รวมไปถึงตระหนักในคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสมมาหลายชั่วอายุคน ภายในศูนย์วัฒนธรรมวัดสันก้างปลานี้ ประกอบด้วยนิทรรศการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาวไทเขิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบชาวไทเขิน ทั้งที่เป็นของเก่าแก่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษและที่ตัดเย็บขึ้นมาใหม่โดยกลุ่มแม่บ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งเดิมเคยมีการจัดทำทะเบียนวัตถุ แต่ภายหลังเมื่อมีวัตถุใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม ทำให้เลขทะเบียนกระจัดกระจาย ทางศูนย์กำลังจัดทำเลขทะเบียนใหม่เพื่อการจัดเก็บที่เป็นระบบมากขึ้น การจัดตั้งและการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์เป็นความร่วมมือระหว่างวัดและชุมชน โดยชาวบ้านจะแวะเวียนมาดูแลศูนย์ฯ ถ้าผู้มาเยี่ยมชมศูนย์มีข้อสงสัยอะไร ชาวบ้านสามารถเป็นวิทยากรแนะนำและตอบคำถามได้ แต่โดยปกติแล้วพระในวัดจะเป็นวิทยากรประจำ ถือได้ว่าศูนย์แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่สำคัญของคนในชุมชนและชุมชนข้างเคียง วัดยังจัดกิจกรรมให้กับเยาวชน โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนธรรมะและส่วนวัฒนธรรม อันดับแรกเป็นการบรรยายธรรมะเพื่อให้สงบจิตสงบใจและเกิดสมาธิ จากนั้นจึงนำชมศูนย์ การนำชมนี้จะไม่ยัดเยียดข้อมูลให้ผู้ชม แต่จะรอตอบข้อสงสัยเป็นเรื่อง ๆ ไป เพราะมีป้ายเขียนบรรยายรายละเอียดไว้หมดแล้ว พระวิทยากรจะแนะนำเฉพาะเรื่องที่นอกเหนือไปจากนั้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นผู้มาชมให้คิดให้ถาม และรับข้อมูลตรงตามที่ตนสนใจได้อย่างเต็มที่และตรงวัตถุประสงค์มากที่สุด

การสื่อสารในชุมชนใช้ภาษาไทเขินซึ่งมีสำเนียงแตกต่างจากคำเมืองหรือภาษาไทยท้องถิ่นภาคเหนือหรือชาวไทยวนเล็กน้อย โดยภาษาของชาวไทเขินมีสำเนียงที่แตกต่างจากชาวไทยวน มักลงท้ายด้วยคำว่า “แด้” ใช้ตัวอักษรธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาพม่า ส่วนภาษาเขียนของชาวไทเขินได้รับมาจากอักษรธรรมล้านนา ที่ชาวไทยวนล้านนาเข้าไปเผยแพร่พร้อมกับรากฐานทางพุทธศาสนา 

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

เชียงใหม่นิวส์. (2562). ชุมชนไทเขิน “บ้านสันก้างปลา”. จาก https://www.chiangmainews.co.th/

ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ประเทศไทย. (2555). พิพิธภัณฑ์ไทยเขิน วัดสันก้างปลา. จาก https://db.sac.or.th/museum/

นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม. (2566). พิพิธภัณฑ์ไทเขินวัดสันก้างปลา. จาก https://www.navanurak.in.th/watsankangpla/

เบญจวรรณ สุขวัฒน์. (2558). การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน : การต่อรองเพื่อสิทธิทางการเป็นพลเมืองทางวัฒนธรรม. ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ไทศึกษา), มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

เทศบาลตำบลสันกำแพง. (2566). ข้อมูลทั่วไป. จาก http://www.sankamphaeng.go.th/

Chiangmaitouring. (2557). ศูนย์วัฒนธรรมไทเขิน บ้านสันก้างปลา. จาก https://www.chiangmaitouring.com/