ธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์ทั้งลำห้วยแม่ป้าก แม่น้ำยมไหลผ่าน และมีประเพณีสำคัญ อาทิเช่น ประเพณีเลี้ยงผีเจ้าบ้าน ประเพณีสงเคราะห์บ้าน ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีพิธีสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต ที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา
แม่น้ำ 2 สายบรรจบ (สบ) กันบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งเป็นปากแม่น้ำ จึงเรียกว่า "สบปาก" และได้เพี้ยนมาเป็น "สบป้าก"
ธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์ทั้งลำห้วยแม่ป้าก แม่น้ำยมไหลผ่าน และมีประเพณีสำคัญ อาทิเช่น ประเพณีเลี้ยงผีเจ้าบ้าน ประเพณีสงเคราะห์บ้าน ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีพิธีสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต ที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา
บ้านสบป้าก เดิมชื่อบ้านหาดอ่อนและเพี้ยนมาเป็นบ้านหาดอ้อน ในอดีตมีคนเฒ่าคนแก่มาจาก อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง และมาจากอำเภอลอง จังหวัดแพร่ มาตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านหาดอ้อนอยู่ 7 ครอบครัว จากนั้นมีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่เรื่อย ๆ บริเวณท้ายหมู่บ้านในปัจจุบันพอมีคนเยอะขึ้นก็ขยายอาณาเขตสร้างวัดสัมฤทธิบุญและสร้างโรงเรียนบ้านสบปากขึ้น
ในอดีตโรงเรียนมี 2 ที่คือทางด้านใต้ของหมู่บ้าน แล้วย้ายมาที่ใหม่แต่ใช้ชื่อเดิม และเสนอเป็นชื่อหมู่บ้านชื่อ บ้านสบป้าก มาจากแม่น้ำ 2 สายคือสายในหมู่บ้านเรียกว่า ห้วยแม่ป้าก อีกสายคือ แม่น้ำยม แม่น้ำทั้งสองสายไหลมาบรรจบ (สบ) กัน โดยบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ตรงปากน้ำจึงเรียกว่า หมู่บ้านสบปาก แล้วเพี้ยนมาเป็น สบป้าก ในปัจจุบัน
บ้านสบป้าก ตำบลแม่เกิ๋ง ตั้งอยู่ในอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ห่างจากอำเภอวังชิ้น ไปทิศทางใต้ 11 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดแพร่ ไปทิศทางเหนือ 76 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านนาฮ่าง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ป้าก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านสบเกิ๋ง หมู่ที่ 1 ตำบลแม่เกิ๋ง อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านแม่จอกนอก หมู่ที่ 8 ตำบลแม่ป้าก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านแม่สิน หมู่ที่ 6 ตำบลแม่เกิ๋ง อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
ลักษณะทางกายภาพ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขา มีลำห้วยแม่ป้าก และแม่น้ำยมไหลผ่าน
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือนและประชากรบ้านสบป้าก จำนวน 255 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 717 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 376 คน หญิง 341 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชุมชนเมืองทั้งหมด คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวขยายที่มีผู้คนหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
กลุ่มที่เป็นทางการ
- กลุ่มร้านค้าชุมชน เกิดขึ้นจากชาวบ้านระดมทุนเป็นค่าหุ้น หากชาวบ้านมาซื้อของก็จะจดรหัสของผู้ซื้อ ในแต่ละสิ้นปีจะมีการปันผลกำไรค่าหุ้น แรกเริ่มมีองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เกิ๋งสนับสนุนงบประมาณโครงการสร้างอาคารปัจจุบันมีสมาชิก 110 คน มีประธานกลุ่มคือ นายพัฒนเชษฐ์ กิติเขียว ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันด้วย
- กลุ่มกองทุนเงินล้าน มีนายสุภาพ ชำนาญ เป็นประธานกลุ่ม และมีนายไพโรจน์ ริพล เป็นรองประธานกลุ่ม ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 320 คน
กลุ่มไม่เป็นทางการ
- กลุ่มสตรีแม่บ้าน โดยมีนางขันทอง รินก๋อง เป็นประธานกลุ่ม โดยเริ่มจากการเชิญชวนกลุ่มสตรีในหมู่บ้านมารวมกลุ่มกันเดิมมีแค่แม่บ้านซึ่งเป็นผู้หญิงแต่ปัจจุบันสามารถเข้าร่วมกลุ่มเป็นสมาชิกได้ทุกเพศ ทั้งแม่บ้านและพ่อบ้าน
- กลุ่มผู้สูงอายุ
- กลุ่ม อสม.
- กลุ่มศรัทธาวัด
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
- ประเพณีเลี้ยงผีเจ้าบ้าน จัดทำประเพณีในเดือน 4 เหนือหรือเดือนมกราคมของทุกปีโดยจะใช้ไก่ในการประกอบพิธีในอดีตจะใช้ไก่หลังคาละ 1 ตัวพอเสร็จพิธีจะเอากลับบ้านใครบ้านมันหรือจะกินด้วยกันก็ได้แต่ปัจจุบันไม่ได้บังคับว่าจะต้องใช้ไก่บ้านละ 1 ตัวหากบ้านไหนไม่มีไก่ก็จะเก็บเงินหลังคาละ 30 บาทเพื่อไปซื้อไก่ ในการเลี้ยงผีเจ้าบ้านจะทำพิธี 3 ที่คือบ้านใต้บริเวณติดน้ำยมบ้านเหนือบริเวณข้างวัดและเจ้าด่านบริเวณติดน้ำยม ในวันประกอบพิธีสามารถเข้าร่วมได้ทุกเพศ
- ประเพณีสงเคราะห์บ้าน จะจัดทำประเพณีในวันที่ 16 เดือนเมษายนของทุกปี แต่หากมีคนเสียชีวิตก็จะเลื่อนไปไม่สามารถทำในวันที่ 16 ได้ต้องเลื่อนพิธีสงเคราะห์บ้านไปจนกว่างานศพจะแล้วเสร็จ
- ประเพณีบวชภาคฤดูร้อน จัดทำขึ้นทุกปีในวันที่ 2-3 เมษายนเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติให้กับสมเด็จพระเทพฯ โดยทางเจ้าคณะอำเภอวังชิ้นซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสัมฤทธิบุญจะประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ที่อยากบรรพชาภาคฤดูร้อนหรือบวชเรียน ให้มาที่วัดสัมฤทธิบุญโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆในวันที่ 2 เมษายน จะเป็นการบวชนาคพร้อมกับแห่นาควันที่ 3 เมษายนเป็นวันบวชบรรพชาเป็นพระหรือสามเณร ในแต่ละปีจะมีผู้ที่สนใจบวชเป็นจำนวนมากประมาณ 50 คนขึ้นไป
- ประเพณีสงกรานต์ จัดทำขึ้นช่วงวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปีในช่วงเช้าจะมีการทำบุญ ตักบาตรภายในวัดวันที่ 15 จะมีกิจกรรมสรงน้ำพระทอดผ้าป่า มีการขอพรจากกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ และมีการละเล่นสงกรานต์
- ประเพณีลอยกระทง เนื่องจากบ้านสบป้ากอยู่ติดแม่น้ำยมในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีช่วงลอยกระทงชาวบ้านจะจัดกิจกรรมแห่ประกวดกระทงแล้วนำกระทงไปลอยที่แม่น้ำยมเพื่อขอขมาแม่น้ำคงคาซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ
- ประเพณีพิธีสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต จัดทุกวันที่ 1 ของทุกปี วัดสัมฤทธิบุญจะจัดประเพณีสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต โดยมีประชาชนจากทั้งตำบลแม่เกิ๋ง และตำบลอื่น ๆ เพื่อร่วมพิธีสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต โดยทางวัดจะจัดขึ้นทุกปี มีการสวดเจริญพระพุทธมนต์และการจำหน่ายสินค้าเพื่อหารายได้เข้าวัด โดยทางวัดจะนำใบสืบชาตาไปแจกให้ประชาชน โดยพิธีจะเริ่มตั้งแต่ 09.00 น. ถึงประมาณ 11.00 น. ซึ่งจะมีการโยงสายสิญจน์ภายในเต็นท์ โดยในแต่ละปีจะมีประชาชนเป็นจำนวนมากที่มาร่วมสืบชาตาหลวงเสริมดวงชะตาชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ของทุกปี
- ประเพณีสวดมนต์ข้ามปี จัดทุกสิ้นปีทางวัดสัมฤทธิบุญจะจัดพิธีสวมมนต์ข้ามปี เพื่อเสริมสิริมงคล ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยจะมีพระสงฆ์และสามเณร ตลอดจนประชาชน จะร่วมกันสวมมนต์ข้ามปี ซึ่งทางวัดได้จัดทุกปี โดยจะมีประชาชนที่กลับมาจากต่างจังหวัดช่วงเทศกาลได้เข้าไปร่วมสวดมนต์ข้ามปีด้วย
1.นายสม สุดธะ อายุ 75 ปี ผู้มีความรู้ด้านการเป่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บและสามารถประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ โดยได้รับความรู้มาจากบรรพบุรุษประกอบกับศึกษาเพิ่มเติมจนเกิดความเชี่ยวชาญ สามารถรักษาอาการโรคภัยไข้เจ็บทั่วไปด้วยการเป่าหรือประกอบพิธีกรรม จนมีชาวบ้านทั้งในและต่างหมู่บ้านให้ความศรัทธาและได้มาขอความช่วยเหลือมากมาย เมื่อชาวบ้านที่มารักษาหายขาด จากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะนำข้าวตอกดอกไม้มาดำหัวเป็นค่าครู
2.นายเลย จันทร์ตา อายุ 77 ปี มีความสามารถและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำพิธีเรียกขวัญ ซึ่งได้ไปร่ำเรียนมาจากพ่ออาจารย์หล้า บ้านปากจอก อำเภอลอง จังหวัดแพร่ และเรียนการทำพิธีเรียกขวัญนาคจากพ่ออาจารย์น้อย บ้านนาแก อำเภอลอง จังหวัดแพร่ ในระหว่างที่เรียนก็จะฝึกทำพิธีร่วมกับอาจารย์ไปด้วย ปัจจุบันเป็นประธานผู้สูงอายุบ้านสบป้าก และเป็นผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญเนื่องในโอกาสต่างๆ เช่น เรียกขวัญนาค เรียกขวัญแต่งงาน เป็นต้น
3.นางแก้ว อินดี อายุ 75 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจักสานกระติ๊บข้าวและไม้กวาดทางมะพร้าว โดยได้รับความรู้จากการอบรมที่ อบต.แม่เกิ๋ง และได้นำความรู้ดังกล่าวมาต่อยอดโดยการหัดทำประกอบกับการศึกษาเพิ่มเติม ทำให้ในปัจจุบันนางแก้ว อินดี มีรายได้เสริมจากการทำงานฝีมือดังกล่าว และได้รับโอกาสไปเป็นวิทยากรสอนคนอื่น ๆ รวมทั้งสามเณรในวัดสัมฤทธิบุญ
4.นายพัฒนเชษฐ์ กิติเขียว อายุ 58 ปี ปราชญ์ชาวบ้านด้านผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนพิธี ซึ่งเคยบวชเรียนมาก่อนจึงอาศัยประสบการณ์ที่ได้ร่ำเรียนมาทำให้มีความสามารถในการบริหารชุมชนและเป็นผู้นำด้านศาสนพิธี
ทุนวัฒนธรรม
วัดสัมฤทธิบุญ
เป็นวัดแห่งเดียวในบ้านสบป้าก เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านสบป้าก ซึ่งเป็นวัดที่มีศาลาการเปรียญที่สวยงาม โดยมีท่านพระครูวิจิตร ธรรมสาธก เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะอำเภอวังชิ้น ซึ่งเป็นวัดในตำบลแม่เกิ๋งที่โดดเด่นมีอาคารสำหรับปฏิบัติธรรม และศาลาการเปรียญที่สวยงาม ซึ่งทางอำเภอวังชิ้น หรือองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เกิ๋ง จะเลือกวัดสัมฤทธิบุญสำหรับใช้ประกอบพิธีเนื่องในวันสำคัญต่างๆ เนื่องจากทางวัดสัมฤทธิบุญมีความพร้อมด้านอาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนสถานที่กว้างขวาง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั้งจังหวัดแพร่ โดยหากทางจังหวัดแพร่มีกิจกรรมเกี่ยวกับทางพระพุทธศาสนา มักจะเลือกวัดสัมฤทธิบุญ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ปัจจุบันศาลาการเปรียญกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนหลังคาศาลาเนื่องจากมีสภาพการใช้งานมานาน ซึ่งหากหน่วยงานจะใช้สถานที่ของวัดสัมฤทธิบุญเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จะใช้อาคารปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นอาคารที่กว้างขวาง สามารถรองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก และมีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสำหรับผู้เข้ารับการฝึกปฏิบัติ ตลอดจนผู้เข้ารับการอบรม
สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแพร่ แห่งที่ 14 วัดสัมฤทธิบุญ
ปัจจุบันวัดสัมฤทธิบุญยังเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแพร่ แห่งที่ 14 โดยจะมีการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยมีผู้มาปฏิบัติมาจากหลายแห่ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะมีเจ้าภาพถวายปัจจัยเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้ากรรมฐาน อีกทั้งยังเป็นสถานที่อบรมให้เยาวชนทั้งในอำเภอวังชิ้นและต่างจังหวัด มาปฏิบัติธรรมอบรม จริยธรรม คุณธรรม และวัดสัมฤทธิบุญยังมีโรงเรียนวัดสัมฤทธิบุญวิทยาที่สอนพระเณรที่บวชเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย
บ้านสบป้ากมีชุมชน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มบ้านสบป้าก จะอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงของบริเวณหมู่บ้าน ส่วนอีกกลุ่มคือบ้านหาดอ้อน ซึ่งอาศัยตามบริเวณพื้นที่ลุ่มหมู่บ้าน ในช่วงฤดูฝนจะเกิดฝนตกหนักแม่น้ำยมสูงขึ้นทำให้น้ำท่วมบริเวณหมู่บ้านที่อยู่พื้นที่ลุ่มในปี พ.ศ. 2554 ได้เกิดอุทกภัยที่สร้างความเสียหายแก่ชาวบ้านผู้นำชุมชนได้อพยพประชาชนที่อยู่ลุ่มน้ำมาอาศัยอยู่ที่โรงเรียนและบริเวณวัดเป็นที่พักชั่วคราวประมาณ 7 วันพอสถานการณ์คลี่คลายก็อพยพกลับไปที่เดิม ต่อมาได้มีการก่อสร้างผนังกันดินและฝายน้ำล้นเพื่อลดการเกิดภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม)
การเปลี่ยนแปลงของสังคมในชุมชนบ้านสบป้าก จะเห็นได้ชัดเจนว่าปัจจุบันทางวัดสัมฤทธิบุญ ซึ่งมีโรงเรียนสอนสามเณรแห่งเดียวในอำเภอวังชิ้น โดยปัจจุบันได้มีศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแพร่ แห่งที่ 14 ซึ่งภายในศูนย์ฯ ได้มีการจัดกิจกรรมอบรมคุณธรรม การปฏิบัติกรรมฐาน โดยมีผู้เข้ารับการปฏิบัติกรรมฐานจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้ชุมชนมีรายได้เสริมจากการประกอบอาชีพหลัก โดยมีชาวบ้านบางกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อประกอบอาหารให้กับผู้เข้ารับการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำให้ผู้คนได้รู้จักชื่อเสียงของวัดสัมฤทธิบุญ แต่ในความเปลี่ยนแปลงมีทั้งด้านดีและด้านลบ ซึ่งผลจากที่ทางศูนย์ฯมีกิจกรรมบ่อยครั้ง ส่งผลให้มีปริมาณขยะมูลฝอยในหมู่บ้านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการบริหารจัดการ
การเคลื่อนย้ายของประชาชน
ในอดีตคนในสังคมมีการอยู่อาศัยร่วมกันแบบครอบครัวขยาย ทำให้เกิดการเรียนรู้พิธีกรรมต่างๆ ให้สมาชิกรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากการถ่ายทอดของคนในครัวเรือน เช่น วิถีชีวิต ปราชญ์ชาวบ้าน ต่อมาเมื่อสังคมพัฒนาไปสู่ความทันสมัย เกิดการเคลื่อนย้ายการใช้ชีวิตไปอยู่นอกชุมชน ตั้งแต่วัยเด็กที่ออกไปศึกษานอกชุมชน จนกระทั่งการประกอบอาชีพ และการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม จนนำไปสู่การตั้งถิ่นฐานในต่างถิ่น
- วัดสัมฤทธิบุญ
- โรงเรียนสัมฤทธิบุญ
- สถานปฏิบัติธรรม
- สะพานสบป้าก-วังชิ้น
- ร้านค้าชุมชน
- ร้านก๋วยเตี๋ยว
- ร้านมินิมาร์ท
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2566). รายงานภายใต้โครงการ การขับเคลื่อนแนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ประจำปีงบประมาณ 2566. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
แก้ว อินดี, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566
ชัยวุฒิ สารโพธิ์ทอง, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566
พระครูวิจิตร ธรรมสาธก, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566
พัฒนเชษณ์ กิติเขียว, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566
เลย จันทร์ตา, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566
สม สุดทะ, สัมภาษณ์, 2 สิงหาคม 2566