Advance search

แมะแตะคี

ผืนป่าชุมชนมีสภาพเป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ ป่าต้นน้ำเป็นพื้นที่อนุรักษ์ใช้ประโยชน์ดูดซับน้ำสำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและเกษตร ชุมชนนิยมปลูกข้าวพันธุ์ บือพะโด๊ะ บือโพ ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กะหล่ำปลี ซูคีนี่ ถั่วลิสง ถั่วพูและพืชพื้นถิ่นอื่น ๆ ตามปลายไร่นา

หมู่ 5
ขุนแตะ
ดอยแก้ว
จอมทอง
เชียงใหม่
บัญชา พุฒิวนากุล
29 ม.ค. 2024
Bancha Bhutwanakul
28 ม.ค. 2024
บ้านขุนแตะ
แมะแตะคี

ชุมชนบ้านขุนแตะมาจากคำในภาษาถิ่นว่า แมะแตะคี สันนิฐานว่าที่มา “แมะหรือโหม่” คำคล้องเสียงคือ แม่ “แตะ” เป็นคำพูด “คี” คือ ต้นน้ำ กล่าวว่า แมะแตะคี เมื่อมารวมกันแปลว่า แม่เป็นต้นน้ำ/ผืนดินแห่งชีวิต


ชุมชนชาติพันธุ์

ผืนป่าชุมชนมีสภาพเป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ ป่าต้นน้ำเป็นพื้นที่อนุรักษ์ใช้ประโยชน์ดูดซับน้ำสำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและเกษตร ชุมชนนิยมปลูกข้าวพันธุ์ บือพะโด๊ะ บือโพ ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กะหล่ำปลี ซูคีนี่ ถั่วลิสง ถั่วพูและพืชพื้นถิ่นอื่น ๆ ตามปลายไร่นา

ขุนแตะ
หมู่ 5
ดอยแก้ว
จอมทอง
เชียงใหม่
50160
18.396221185478964
98.50411371029456
เทศบาลตำบลดอยแก้ว

ตำบลดอยแก้ว เดิมมีฐานะเป็นสภาตำบลดอยแก้ว ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะสภาตำบลดอยแก้ว ขึ้นเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลดอยแก้ว เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2540 ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีหมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 9 หมู่บ้าน

  • หมู่ที่ 1 บ้านแม่กลางป่าปู
  • หมู่ที่ 2 บ้านดอยแก้ว
  • หมู่ที่ 3 บ้านแม่เตี๊ยะ
  • หมู่ที่ 4 บ้านห้วยส้มป่อย
  • หมู่ที่ 5 บ้านขุนแตะ
  • หมู่ที่ 6 บ้านใหม่แม่เตี๊ยะ
  • หมู่ที่ 7 บ้านแม่เตี๊ยะใต้
  • หมู่ที่ 8 บ้านห้วยส้มป่อยใหม่
  • หมู่ที่ 9 บ้านห้วยขนุน

และได้ยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลตำบลดอยแก้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลตำบล พ.ศ. 2496 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเทศบาลตำบล เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552

ความเป็นมาของชุมชน แบ่งเป็นยุคดังนี้

ยุคบุกเบิก การตั้งถิ่นฐานของชุมชนแมะแตะคีหลักฐานจากจดหมายเหตุหริภุญชัยอาณาจักรมอญโบราณและลัวะรอบ ๆ เมืองเชียงใหม่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 (ประมาณ 1,200 ปี) โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางทางด้านตะวันตก ชุมชนตั้งถิ่นฐานนานกว่า 200 ปีจากคำบอกเล่าและการปะติปะต่อทางประวัติศาสตร์เชียงใหม่กว่า 700 ปี สันนิษฐานว่าลุ่มน้ำแม่แตะเคยเป็นที่ตั้งของชนกลุ่มลเวือะ (ลัวะ) มาก่อน (เก่อวาโล) พบเครื่องใช้โบราณในบริเวณแดลอโหน่ลอซิ (ห้วยหนองแห้ง) ในลุ่มน้ำแม่ยะระยะหนึ่งย้ายมาแดลอพะโดะเป็นพื้นที่กว้างเหมาะสม (ปัจจุบันอยู่แถบบริเวรบ้านป่าเกี๊ยะนอกหรือต่าเบาะถ่า) เกิดโรคฝีดาษระบาดอย่างหนัก สมัยนั้นมีนายปู่ก๊ะ (ปอชิโพ) ได้ไปขออนุญาตเจ้าเมืองเชียงใหม่ (เจ้าชีวิต) สำหรับจัดตั้งชุมชนและส่งส่วยเจ้าเมืองเชียงใหม่ระยะหนึ่ง ต่อมาปี พ.ศ. 2477 ชาวบ้านนับถือผี (โหม่ลึป่าหล่า) ที่ศรัทธาครูบาศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนาเชื้อสายกะเหรี่ยง (เพ็ญสุภา สุขคตะ, 2560) เดินทางเท้าไปกราบไหว้และร่วมบุญสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ปกาเกอะญอลำพูนและขุนแตะมีความเชื่อมโยงทางชาติพันธุ์ แม้จะอยู่ป่าห่างไกลการเดินทางเท้านับแรมเดือน เป็นกลุ่มเรียบง่าย พึ่งพาป่าธรรมชาติ ปรากฏในวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรม เช่น ป่าสะดือ ป่าเดหมื่อบอ ทำไร่หมุนเวียน (ประเสริฐ ตระการศุภกรและคณะ,2552) มีเสี่ยวคบค้าสมาคมระหว่างกัน การตั้งถิ่นฐานของชุมชนเป็นป่าต้นน้ำ หมายถึง ป่าธรรมชาติที่ปรากฏอยู่บริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยทั่วไปอยู่ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไปหรือเป็นพื้นที่ลาดชันมากกว่า 35% ชนิดของป่าไม้ที่มักจะปรากฏให้เห็นในพื้นที่ต้นน้ำ ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าดิบ (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, ออนไลน์) ต่อมาหน่วยงานราชการส่งเสริมและห้ามปรามฝิ่น ปีพ.ศ. 2482-2488 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดความอดอยากชาวบ้านต้องแอบซ่อนข้าวเปลือกไปไว้ที่ดอยพอคาโจ๊ะ (ยุ้งฉางเก่า) กลัวทหารญี่ปุ่นทำร้ายและทำลายข้าวของ บางรายแลกข้าวกับทหาร เช่น หม้อ ปืน มีด เป็นต้น ต่อมา พ.ศ. 2507 ประกาศใช้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2484 เป็นต้นมาหน่วยงานของรัฐจัดตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ และสัมปทานป่าแก่นายทุน การทำมาหากินพึ่งพาธรรมชาติตามวิถีคนป่าภายใต้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำไร่ทำนา ปลูกผักพื้นบ้าน หาของป่า เลี้ยงสัตว์ มีช้าง ม้า วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ สุนัขเลี้ยงไว้เพื่อล่าสัตว์และเป็นเพื่อน ยังไม่ได้ติดต่อกับสังคมภายนอกนักเนื่องจากเป็นพื้นที่สูงทุรกันดาร

ยุคพัฒนาสู่ชุมชน ปี พ.ศ. 2520-2529 หน่วยงานและองค์กรภายนอกเข้ามาส่งเสริมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชนให้ทันสมัย ภาครัฐเข้ามาปราบปรามยาเสพติดและสงเคราะห์ชาวเขา พ.ศ. 2515 เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คณะบาทหลวงซาเกนอส จากบ้านแม่ปอน อำเภอจอมทอง (โบสถ์ไม้ในบ้านขุนแตะเหนือได้รื้อย้ายมาตั้งอยู่ในขุนแตะใต้เป็นอาคารตึกปูนสองชั้น)“โบสถ์พระคริสต์พระแม่มารีย์นิรมล” จัดศาสนพิธีสำคัญทางศาสนาโดยสมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520-2524 องค์การพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Program: UNDP) มาดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ ลดละเลิกปลูกฝิ่น พ.ศ. 2525- 2530 โครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศนอเวย์ “โครงการพัฒนาที่สูงไทย-นอเวย์” (Thai-Norway) มาส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ พลับ บ๊วย และอื่น ๆ พ.ศ. 2530-2532 กรมทหารพรานที่ 36 มาดำเนินการเพื่อจำกัดการปลูกและเลิกปลูกฝิ่น พ.ศ. 2530 ก่อตั้งโรงเรียนบ้านขุนแตะ (โรงเรียนขยายโอกาสในเขตพื้นที่สูง) สังกัดสำนักงานเขตการศึกษาที่ 5 จังหวัดเชียงใหม่ และ พ.ศ. 2534 จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กรมการพัฒนาชุมชนร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลดอยแก้ว กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย

ยุครัฐและการช่วงชิงทรัพยากร ปี พ.ศ. 2530-2539 เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนต้นน้ำกับปลายน้ำจากวาทกรรมที่รัฐสร้างขึ้น “ไร่เลื่อนลอย ชาวเขาทำลายป่า” ก่อให้เกิดอคติทางชาติพันธุ์ในสังคมไทย ต่อมานักวิชาการสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาเกษตรศาสตร์เสนอข้อมูลวิจัยไร่หมุนเวียนและวิถีชีวิตชุมชนพื้นที่สูง พ.ศ. 2537 สมาคมศูนย์การศึกษาและวัฒนธรรมชาวไทยภูเขาแห่งประเทศไทย (IMPECT) ส่งเสริมและเป็นที่ปรึกษาแก่องค์กรชาวบ้านด้านการจัดการวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับวิถีชาวไทยภูเขา ไร่หมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม

สถานการณ์การจัดการทรัพยากรในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้สัมปทานป่าแก่นายทุน ไม่สนใจกลุ่มชายขอบทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตและโอกาสเข้าถึงกฎหมายสิทธิชุมชน นโยบายสัมปทานดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญของป่าถูกทำลายและเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว รัฐจัดการป่าแบบตะวันตก “ป่าต้องปลอดคน” ชาวเขาเป็นผู้ทำลายป่าเพราะตั้งชุมชนอยู่ในเขตป่าพื้นที่สูงแบบเหมารวม จนกลายเป็นจำเลยสังคมสร้างความเกลียดชังไปทั่ว พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีสมัยชาติชาย ชุณหะวัณ มีมติให้ย้ายชาวเขาที่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่าสงวนลงมา แต่เมื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมไม่ได้ ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้และชาวบ้านต่างก็อ้างเหตุผล ชาวปกาเกอะญอต้องนำเสนออัตลักษณ์เพื่อตอกย้ำคนรักษ์ป่า (นครินทร์ เข็มทอง.2550)

ยุคแม่สร้างพัฒนา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ (ในรัชกาลที่ 9) ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ได้พระราชทานให้จัดตั้งฟาร์มตัวอย่างฯ อันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นศูนย์สาธิตและส่งเสริมในลักษณะฟาร์มแห่งแรกของประเทศในนามโครงการ “ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” เป็นศูนย์สาธิตและส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกพืช ฟื้นฟูสภาพป่า พ.ศ. 2546 ก่อตั้งสำนักสงฆ์บ้านขุนแตะ (อาศรมพระธรรมจาริก) สังกัดโครงการพระธรรมจาริกมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาเพื่อยกระดับคุณธรรมและเผยแพร่หลักธรรมคำสอน ปี พ.ศ. 2547 สร้างโบสถ์คริสตจักรของพระคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ (Protestantism) พ.ศ. 2550 สถานีอนามัยบ้านขุนแตะเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนและต่อมาปี พ.ศ. 2552 เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอยแก้ว

พ.ศ. 2553 มติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงชี้ว่าไร่หมุนเวียนกับวิถีชีวิตชาวปกาเกอะญอมีระบบการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ดิน น้ำที่น่าสนใจ พ.ศ. 2562 ประกาศพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 การเปลี่ยนแปลงของชุมชนในช่วงเวลาดังกล่าวพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงห่วงใยราษฎรชุมชนพื้นที่สูงสร้างอาชีพชุมชน เศรษฐกิจ รายได้ดีขึ้น สามารถพึ่งตนเองได้ พระองค์เป็นร่มให้ชุมชนได้พึ่งพระโพธิสมภารสามารถดำรงวิถีดั้งเดิม อนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่มีความยั่งยืนตลอดไป

ชุมชนบ้านขุนแตะหมู่ที่ 5 ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่เป็นชุมชนชนบทตั้งอยู่ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 1,229 เมตร ระยะทางห่างจากเมืองเชียงใหม่ 90 กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอจอมทอง 28 กิโลเมตร เป็นชุมชนปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) การดำรงวิถีชีวิตเกษตรกรรมพึ่งพาธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรป่าไม้ และภูเขาล้อมรอบชุมชน อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี 

ทรัพยากรธรรมชาติ

แหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำสร้างขึ้น แหล่งน้ำธรรมชาติสายเล็ก ๆ ได้แก่ แม่น้ำแม่แตะโกล๊ะ แม่น้ำพอเกอตีโกล๊ะ แม่น้ำต่าเจ๊โกล๊ะ แม่น้ำแน๊ะโกล๊ะ เบาะเดโกล๊ะ แหล่งน้ำสร้างขึ้นเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กสร้างโดยกรมชลประทาน 3 แห่ง อ่างเก็บน้ำแม่แตะ (ปัจจุบันใช้สำหรับสำนักสงฆ์ฯ) อ่างเก็บน้ำเบาะเดใช้ในกิจกรรมฟาร์มตัวอย่างฯ และอ่างเก็บน้ำแม่แตะขนาดเล็กเก็บน้ำใช้สำหรับประปาชุมชน

พื้นที่ป่าหรือป่าชุมชน ผืนป่าชุมชนมีสภาพเป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากชุมชนอนุรักษ์ไว้โดยพื้นที่ป่า เช่น ป่าต้นน้ำเป็นพื้นที่อนุรักษ์ใช้ประโยชน์เป็นป่าต้นน้ำดูดซับน้ำสำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและเกษตร จำนวน 3,460 ไร่ ห้ามล่าสัตว์ ชุมชนได้ทำพิธีสาปแช่งตามความเชื่อและอนุรักษ์ไว้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นมรดกลูกหลาน เรียกว่า ป่าดูต่าเออ ป่าเดะหม่ือเบอ บริเวณป่าดังกล่าวมีลักษณะเป็นเนินหลังเต่ามีสายน้ำล้อมรอบเชื่อว่า มีผีป่าอยู่ และป่านาอุ๊หรู่ จำนวน 70 ไร่ ส่วนพื้นที่ป่าพิธีกรรม ใช้ประโยชน์เป็นป่าช้า ป่าเดปอถู่ ป่าบวช จำนวน 300 ไร่  พื้นที่ป่าอนุรักษ์อีกแห่งหนึ่ง จำนวน 1,400 ไร่ เป็นป่าอนุรักษ์เพื่อมรดกคงความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ป่าใช้สอยใช้ประโยชน์เป็นป่าไม้้ใช้สอยสำหรับสร้างคอกสัตว์ ทำรั้วไร่นา และเป็นป่าสมุนไพร จำนวน 7,200 ไร่ และพื้นที่ปลูกป่าทางราชการ ใช้ประโยชน์สำหรับโครงการปลูกป่าของหน่วยงานราชการ จำนวน 250 ไร่

พื้นที่ชุมชน ตั้งอยู่ในเขตป่าประเภทป่าดิบเขา (เก่อเนอพา) มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 16,855 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ที่ตั้งหน่วยงานราชการ เขตพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอย พื้นที่ป่าพิธีกรรมความเชื่อ กล่าวคือ

  1. พื้นที่ทำกินใช้ประโยชน์เป็นที่ทำกิน ทำนา ทำไร่ สวน ไร่ จำนวน 3,870 ไร่
  2. พื้นที่ของสิ่งปลูกสร้างใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย บ้านเรือน อาคาร ราชการ โรงเรียน วัด โบสถ์ จำนวน 375 ไร่ 

ปกาเกอะญอ

การปกครองชุมชนบ้านขุนแตะ หมู่ที่ 5 มีประชากรจำนวน 821 คน ครอบครัว 245 ครัวเรือน การปกครอง 3 หย่อนบ้าน คือ ขุนแตะเหนือ ขุนแตะใต้ และต่าเบาะถา

กฎระเบียบชุมชน

กฎระเบียบทั่วไป

  1. ทุกครัวเรือนต้องร่วมทำกิจกรรม ทำแนวกันไฟทุกปีภายในเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน
  2. เมื่อเกิดไฟป่าทุกครั้งคนในชุมชนต้องช่วยกันดับไฟ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกครัวเรือน
  3. ห้ามทำไม้ขายแก่บุคคลภายนอก ผู้ใดฝ่าฝืนปรับ 2 เท่าตามราคา และยึดไม้ไว้เป็นของกลาง
  4. ต้องกำหนดพื้นที่ป่าให้ชัดเจน พร้อมติดป้ายเป็นพื้นที่จัดการของชุมชน
  5. ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของหมู่บ้านที่ตั้งไว้
  6. หากมีผู้ทำให้เกิดไฟไหม้ป่าโดยเจตนาปรับ 1000-1500 บาทขึ้นไปพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย
  7. ถ้ากรณีเผาไร่ต้องให้คนในหมู่บ้านไปร่วม 10 คนขึ้นไป ต้องทำแนวกันไฟกว้าง 3 เมตรขึ้นไป กรณีเผาไร่ถ้าไฟลุกลามเข้าในเขตป่าครั้งที่ 1 มีการตัดเตือน ครั้งที่ 2 ปรับ 250 บาท ครั้งที่ 3 ปรับ 500 บาทและส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
  8. ห้ามนําเลื่อยโซ่ยนต์เข้าไปตัดหรือแปรรูปไม้ในเขตป่าโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะยึดเป็นของกลาง ปรับและดำเนินคดีตามกฎหมาย

กฎระเบียบเขตป่าอนุรักษ์

  1. ห้ามตัดไม้เผาป่า และทำการเกษตรใด ๆ ในเขตป่าอนุรักษ์ ผู้ใดฝ่าฝืนปรับ 5,000 บาทขึ้นไปและดำเนินคดีตามกฎหมาย
  2. อนุญาตให้เก็บหาสมุนไพร เก็บใบตอง เก็บไม้ผล เก็บปลีกล้วยได้ในปริมาณที่เหมาะสม ห้ามเก็บนำไปจำหน่ายข้างนอก
  3. ห้ามล่าสัตว์ป่าทุกชนิด ผู้ใดฝ่าฝืนปรับ 500 บาทขึ้นไป
  4. ห้ามจับสัตว์ในเขตป่าอนุรักษ์ รวมทั้งสัตว์น้ำ ผู้ใดฝ่าฝืนปรับ 500 บาทขึ้นไป

กฎระเบียบป่าใช้สอย

  1. ห้ามทำการเกษตรใดๆ ในพื้นที่ป่าใช้สอยเด็ดขาด
  2. ผู้ที่ต้องการตัดไม้เพื่อทำการก่อสร้างบ้าน ต้องบันทึกขอใช้ประโยชน์จากคณะกรรมการป่าชุมชนก่อน

กฎระเบียบพื้นที่ทำกิน

  1. จำนวนพื้นที่แต่ละครัวเรือน จะต้องแสดงจำนวนการใช้ที่ดินต่อสาธารณะ
  2. ผู้ใดมีความประสงค์ต้องการขยายพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาเห็นชอบ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกยึดคืนเป็นป่าทันที
  3. ห้ามขายหรือให้นายทุนมาเช่าพื้นที่หรือทำด้วยตนเองแต่รับทุนจากนายทุน ผู้ใดฝ่าฝืนปรับ 500 บาท และยึดพื้นที่คืนเพื่อเป็นเขตป่าต่อไป
  4. คณะกรรมการจะรับรองที่ดินได้ตามที่มีการสำรวจเรียบร้อยแล้วโดยคณะกรรมการป่าชุมชนเท่านั้น

เดือน (ลา)กิจกรรม/ประเพณี/บุญ
ลาเต่อเลสำรวจพื้นที่เพาะปลูกหรือทำไร่ “ดูหละ” “บือโข่”
ลาทีแพะแผ้วถางไร่สวน (แพะคึ)  ทำนา (มาฉิ) เหม่โตแกละ (ทำแนวกันไฟ)
ลาทีคุทำแนวกันไฟ  เผาไร่ และล้อมรั้ว
ลาเซอ

ทำบุญ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ แข่งกีฬาพื้นบ้านระหว่างศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันโรงเรียนบ้านขุนแตะ

พิธีบวชป่า พิธีเดปอ

ลาเด่ญาเริ่มฤดูทำนา (มาลอฉี่) หยอดเมล็ดข้าว (โท่คึ) พิธีเลี้ยงผีไฟ เลี้ยงผีฝาย
ลานวีถอนวัชพืช เริ่มเก็บผักในไร่สวน
ลาเคอถอนวัชพืช เก็บผักในไร่สวน
ลาคุเต่อะเหมาะชิ กี่จื้อ ต่าแซะคี ต่าคะแก๊ะ หรือเลี้ยงผีไร่
ลาชิหมื่อเก็บผักในไร่สวน
ลาชิชาเก็บผักในไร่สวน
ลานอเกี่ยวข้าว ผูกข้อมือครอบครัว แซะคลี
ลาบลือพิธีขอบคุณโถ่พือค่าร์ เออะบือโข่

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ภาษาไทย และภาษาปกาเกอะญอ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

กุลวดี เจริญศรี และคณะ. (2559). มรดกภูมิปัญญาปกาเกอะญอ. ค้นเมื่อ มิถุนายน 2563 จาก https://zhort.link/fJv

ขวัญชีวัน บัวแดง. (2541). การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง: กรณีศึกษา หมู่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่: รายงานการวิจัย. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

จรัสพร ธงสินธุศักดิ์. (2560). กระบวนการผลิตของ “กลุ่มอนุรักษ์” กับการสร้างการยอมรับในอัตลักษณ์ความเป็นกะเหรี่ยง: กรณีศึกษาบ้านกุยเลอตอ จังหวัดตากประกาศนียบัตรบัณฑิต ปทุมธานี: บัณฑิตอาสาสมัคร วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2563 สืบค้นจาก shorturl.asia/xp0g9

ฉลาดชาย รมิตานนท์ และวิระดา สมสวัสดิ์. (2530). ยุทธวิธีในการดำรงชีวิตของปกาเกอะญอภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาภูเขา: ความสัมพันธ์ทางการผลิต ระหว่างเพศ. เชียงใหม่: คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ไชยนารายณ์. (2563). ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านเป็นกระเหรี่ยงยางแดง บันทึกแห่งล้านนา:ตอนครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านเป็นกระเหรี่ยงยางแดง. ค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2563 สืบค้นจาก https://zhort.link/fJA

นครินทร์ เข็มทอง. (2550). การต่อสู้กับปัญหาการผลิตพืชเชิงพาณิชย์ของกลุ่มอนุรักษ์ชาวปกาเกอะญอ: กรณีศึกษาบ้านห้วยส้มป่อย ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทองจังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. เชียงใหม่:บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

เนตรดาว ยั่งยุบล. (2544). คนชายขอบกับกระบวนการสร้างเวทีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เชียงใหม่: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ประเสริฐ ตระการศุภกร และคณะ. (2552). ระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน: องค์ความรู้และปฏิบัติการของกลุ่มปกาเกอะญอในภาคเหนือของประเทศไทย. เชียงใหม่ เครือข่ายภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองบนที่สูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ปรัชญา ปิ่นขันธยงค์. (2553). การแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งจากการใช้ที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์โดยการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ร่วมกับการกำหนดแนวเขตการใช้ที่ดินแบบมีส่วนร่วม กรณีศึกษาบ้านห้วยส้มป่อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. เชียงใหม่: บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พระญาณพล กิตติปญโญ.(ไพรอมรรัตน์). (2559). ศึกษาวิเคราะห์พิธีกรรมการผูกข้อมือ กะเหรี่ยงสะกอร์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา. 8(1), 26-38.ค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2563 สืบค้นจาก https://so02.tci-thaijo.org/

เพ็ญสุภา สุขคะ, (2560, 17 สิงหาคม). เพ็ญสุภา สุขคตะ: ปริศนาเรื่องชาติพันธุ์“ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นยางแดงจริงหรือ”?. มติชนออนไลน์. ค้นเมื่อ 2สิงหาคม 2563 สืบค้นจาก https://www.matichonweekly.com/

ภูวดล แซ่จ๋าว. (2554). การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ของชนเผ่ากะเหรี่ยงสกอร์ บ้านขุนตื่นน้อย หมู่ 6 ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กับชนเผ่าลีซูบ้านปางสาหมู่ 17 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย. ปทุมธานี: สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม. (2546). อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้. ค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2020 สืบค้นจาก http://ich.culture.go.th/images/stories/ich-pdf/

มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ. (2558). ไร่หมุนเวียน:ประเด็นท้าทายและความหมายของมรดกโลกทางวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : บลูมมิ่งครีเอชั่น.

วนิดา นาคีสังข์. (2559). จากภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนปวาเก่อญอบ้านแม่กองคาสู่การเป็นสินค้าชุมชน. ประกาศนียบัตรบัณฑิต. ปทุมธานี: วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ค้นเมื่อ 6 มิถุนายน 2563 สืบค้นจาก http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/

วินัย บุญลือ. (2545). ทุนทางวัฒนธรรมและการช่วงชิงอำนาจเชิงสัญลักษณ์ของชุมชนชาว ปกาเกอะญอ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. เชียงใหม่: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

วีรวัธน์ ธีรประสาธน์ และคณะ. (2548). การเมืองเรื่องป่าไม้ยุคหลังสัมปทาน. กรุงเทพฯ : มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ.

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2556). ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ). ค้นเมื่อ มิถุนายน 2563 สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2556). “การขับเคลื่อนนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงของกระทรวง วัฒนธรรมตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553” ค้นเมื่อ 4 มิถุนายน 2563 สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/