Advance search

ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทกวน บ้านนาถ่อน ร่วมไหว้ขอพรปู่ตาแสง ภูมิปัญญาทอผ้าลายขิด เครื่องจักสานจากกก อัศจรรย์เกษตรอินทรีย์ ชีวีวิถีหัตถกรรมตีเหล็ก 

บ้านนาถ่อน
นาถ่อน
ธาตุพนม
นครพนม
วิไลวรรณ เดชดอนบม
3 ธ.ค. 2023
ธำรงค์ บริเวธานันท์
5 ม.ค. 2024
ธำรงค์ บริเวธานันท์
29 ม.ค. 2024
บ้านนาถ่อน


ชุมชนชาติพันธุ์

ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทกวน บ้านนาถ่อน ร่วมไหว้ขอพรปู่ตาแสง ภูมิปัญญาทอผ้าลายขิด เครื่องจักสานจากกก อัศจรรย์เกษตรอินทรีย์ ชีวีวิถีหัตถกรรมตีเหล็ก 

บ้านนาถ่อน
นาถ่อน
ธาตุพนม
นครพนม
48110
17.13178994
104.7502466
องค์การบริหารส่วนตำบลนาถ่อน

ชาวบ้านนาถ่อนเดิมทีสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าไทกวน หรือข่าเลิง ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองหลวงปุงลิง (เมืองป่ง) บริเวณแม่น้ำเซน้อย ทางตอนบนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ใน พ.ศ. 2343 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดสงครามระหว่างรัฐสยามกับญวน (เวียดนาม) บ่อยครั้ง ทางราชการจึงมีนโยบายให้กวาดต้อนอพยพผู้คนจากทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่มีอาณาเขตใกล้แดนญวนให้มาตั้งถิ่นฐานตามหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขง คือ ภาคอีสานในปัจจุบันให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เป็นกําลังแก่ญวนต่อไป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯให้พระมหาสงครามและเจ้าอุปราชเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ เกณฑ์กองทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ คือ เมืองนครพนม เมืองมุกดาหาร เมืองสกลนคร เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองหนองคาย เมืองเขมราช และเมืองอุบล ยกข้ามแม่น้ำโขงเข้าตีเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองวัง เมืองตะโปน (เซโปน) เมืองพิณ เมืองนอง เมืองเชียงฮ่ม เมืองวัง เมืองเหล่านี้มีทั้งชาวผู้ไท กะโซ่ แสก ญ้อ โย้ย และเมืองปุงลิงซึ่งเป็นชาวข่า และได้กวาดต้อนผู้คนจากเมืองเหล่านั้นให้ข้ามมาอยู่ฝั่งไทย ตั้งเป็นเมืองต่าง ๆ ในท้องที่เมืองนครพนม เมืองสกลนคร เมืองมุกดาหาร และเมืองกาฬสินธุ์ ต่อมาราว พ.ศ. 2374 ชาวไทกวนถูกจีนฮ่อและญวนยกทัพเข้ามารุกราน จึงอพยพหลบหนีลงมาตามลำน้ำเซบั้ง ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ส่วนอีกพวกหนึ่งได้พากันอพยพข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งประเทศไทย โดยการนำของท้าวไชยทรงยศ มาตั้งถิ่นฐานบริเวณปากน้ำห้วยบังฮวก ในดินแดนที่เป็นเมืองมรุกขนครเดิม หรือบ้านดอนนางหงส์ในปัจจุบัน รวมถึงบริเวณที่เรียกว่าบ้านช้างตัวกกตาล และบ้านช้างโพนจิก ริมห้วยบังฮวก

ต่อมาเกิดอหิวาต์ระบาด ประกอบกับเกิดภัยแล้ง จึงได้พากันอพยพขึ้นไปทางทิศเหนือตามลําห้วยบังฮวกเพื่อหาทําเลที่อุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน ในที่สุดก็พบพื้นที่ราบลุ่มผืนใหญ่ มีป่าไม้ถ่อนปกคลุมร่มเย็นน่าอยู่อาศัย และมีความอุดมสมบูรณ์ โดยรอบเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้ย้ายบ้านมาตั้งบ้านเรือนแห่งใหม่อยู่บริเวณที่เป็นป่าดงไม้ถ่อน บริเวณหัวดงทางใต้ (ตรงกับวัดศรีมงคลในปัจจุบัน) แล้วเรียกชื่อหมู่บ้านว่า บ้านนาถ่อน ขึ้นตรงต่อหัวเมืองเรณู ต่อมามีการยุบเมืองเรณูนครเป็นตําบล และได้ตั้งบ้านธาตุพนมเป็นอําเภอ บ้านนาถ่อนจึงได้ย้ายมาขึ้นกับอําเภอธาตุพนมจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนชาวไทกวนบ้านนาถ่อนค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับเหตุการณ์และลำดับเวลา แต่สรุปได้ว่าชาวไทกวนบ้านนาถ่อนอพยพมาอยู่ที่บริเวณมรุกขนครก่อน แล้วจึงค่อยย้ายมาอยู่บริเวณบ้านนาถ่อนปัจจุบัน ซึ่งเหตุการณ์อพยพนี้น่าจะเกิดขึ้นราวช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24

บ้านนาถ่อน ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกครององค์การบริหารส่วนตำบลนาถ่อน ภูมิประเทศโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมไม่ถึง มีลำห้วยบังฮวกไหลผ่าน และมีลำน้ำโขงเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ สภาพภูมิอากาศมีลักษณะแบบร้อนแห้งแล้ง แบ่งเป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้

  • ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม
  • ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนมิถุนายน-เดือนตุลาคม
  • ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์

ชาวบ้านนาถ่อน คือ กลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าข่าเลิง หรือที่รู้จักกันในนามชาวไทกวน ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองหลวงปุงลิง (เมืองป่ง) บริเวณแม่น้ำเซน้อย ทางตอนบนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อนอพยพย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานให่ในดินแดนสยามตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แล้วรวมกันก่อตั้งบ้านนาถ่อนขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ 24 บ้านนาถ่อนเดิมทีมี 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 2 หรือเดิมทีเรียกว่าคุ้มบ้านเหนือและคุ้มบ้านใต้ ต่อมาใน พ.ศ. 2529 ได้แยกหมู่ที่ 1 ออกเป็นหมู่ที่ 12 และเมื่อมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นอีกจึงได้แยกหมู่บ้านอีกครั้งเป็นหมู่ที่ 14 ทำให้ในปัจจุบัน บ้านนาถ่อนมีทั้งสิ้น 4 หมู่ ด้วยกัน ได้แก่ หมู่ที่ 1, 2, 12, 14 โดยสถิติจำนวนประชากรจากสำนักทะเบียนราษฎร์รายเดือนได้รายงานจำนวนประชากรบ้านนาถ่อนแยกรายหมู่ ดังนี้

  • บ้านนาถ่อนทุ่ง หมู่ที่ 1 มีประชากรทั้งสิ้น 287 หลังคาเรือน 952 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 449 คน ประชากรหญิง 503 คน
  • บ้านนาถ่อนทุ่ง หมู่ที่ 2 มีประชากรทั้งสิ้น 303 หลังคาเรือน 852 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 405 คน ประชากรหญิง 447 คน
  • บ้านนาถ่อนเหนือ หมู่ที่ 12 มีประชากรทั้งสิ้น 206 หลังคาเรือน 578 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 282 คน ประชากรหญิง 296 คน
  • บ้านนาถ่อน หมู่ที่ 14 มีประชากรทั้งสิ้น 196 หลังคาเรือน 604 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 315 คน ประชากรหญิง 289 คน

ในกรณีประเด็นที่มาและการเรียกตัวเองว่าไทกวนของชาวบ้านนาถ่อนยังมีข้อสังเกตหลายประการ เช่น ชาวไทกวนบ้านนาถ่อนไม่มีสำเนียงภาษาที่เป็นลักษณะเฉพาะเหมือนกับชนเผ่าอื่น ๆ แต่ชาวไทกวนบ้านนาถ่อนใช้ภาษาไทญ้อในการสนทนาสื่อสารระหว่างกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่าชาวไทกวนเองน่าจะเป็นกลุ่มคนเดียวกันกับชาวไทญ้อ หากแต่มีถิ่นฐานบ้านเดิมตั้งอยู่ในบริเวณกวน เมื่อเกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่บ้านนาถ่อนจึงเรียกตัวเองว่า “ไทกวน” ก็เป็นได้

ญ้อ

ชาวบ้านนาถ่อนส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบเกษตรอินทรีย์ทั้งการทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และตีเหล็ก และยังมีกลุ่มทอผ้า กลุ่มจักสาน กลุ่มทำแหนม และกลุ่มทำขนมจีนไม่ใช้แป้งแต่ใช้ข้าวหมักแทน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีรายได้จากบูรณาการต้นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว แล้วพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทกวน โดยการนำเอาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตมาเป็นประยุกต์ในการคิดค้นสร้างสรรค์กิจกรรมสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้ามาร่วมสัมผัสวิถีชีวิตแบบชุมชนอย่างแท้จริง ทั้งสปาเกลือ การเรียนรู้การทำจักสาน เครื่องมือประมง ไร่นาสวนผสม เรียนรู้การถนอมอาหารท้องถิ่น เช่น หนังเค็ม ชมสาธิตการตีเหล็ก การทอผ้า และการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ชาวบ้านนาถ่อนมักพูดติดปากกันว่า เสร็จนา หญิงทอผ้า ชายตีเหล็ก รวมถึงร่วมอนุรักษ์ประเพณีและความเชื่อโบราณของชาวไทยกวนผ่านประเพณีบุญฮีตสิบสอง รำผีหมอ ประเพณีเลี้ยงแสง ประเพณีกินดอง และงานบุญเดือนสาม ออกใหม่สามค่ำ ที่มีประวัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งผลจากการพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวนี้ ได้ส่งผลให้ชาวบ้านมีรายได้หลากหลายช่องทาง เกิดอาชีพใหม่ที่หลากหลาย อาทิ การทำโฮมสเตย์ บริการนำเที่ยว เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้ และดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความพออยู่ พอกิน อย่างพอเพียง อันเป็นผลมาจากภูมิปัญญาประยุกต์ที่ชาวนาถ่อนร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น แตกต่างจากเดิมที่ชาวบ้านมีรายได้หลักมาจากการทำเกษตรกรรม ทอผ้า ตีเหล็ก และการจักสานเท่านั้น ซึ่งบางครั้งก็ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายจุนเจือครอบงครัว

ผลิตภัณฑ์ชุมชน

  • มีด พร้า และเครื่องผลิตภัณฑ์จากการตีเหล็ก (OTOP)
  • เกลือสปาสูตรบ่อเกลือไทกวนนาถ่อน (OTOP)
  • เครื่องจักสาน (กระติบข้าว กระเป๋ากก ไซ ข้อง ฯลฯ)
  • พวงกุญแจตุ๊กตาไทกวนน้อย

ศาสนาและความเชื่อ

พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาที่ชาวบ้านนาถ่อนเลื่อมใสศรัทธากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ นอกจากชาวบ้านนาถ่อนจะมีความศรัทธาในพระพระพุทธศาสนาแล้ว ชาวบ้านยังคงมีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ดวงวิญญาณ ภูตผี หรือจิตวิญญาณ ซึ่งโดยปกติจะเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยชาวบ้านเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้มีอิทธิพลส่งผลให้เกิดทั้งความเจริญก้าวหน้าและภัยพิบัติแก่หมู่บ้าน โดยมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ดังนี้

1) ศาลปู่ตาแสง หรือศาลหลักเมือง ตั้งอยู่บริเวณปากห้วยบังฮวก เป็นศาลปู่ตาที่เชื่อว่าอยู่คู่ชุมชนบ้านนาถ่อนมาตั้งแต่อพยพมาอยู่บริเวณนี้เมื่อราว พ.ศ.2360 ศาลปู่ตาแสงนี้ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทกวนบ้านนาถ่อนก็ว่าได้ แต่ก่อนชาวบ้านเรียกว่า “ดอนหอ” ซึ่งมีต้นกระบกขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ 2 ต้น เป็นต้นกระบกใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครพนม แต่ยืนต้นตายเมื่อราว 10 ปีมาแล้ว โดยในวันที่ 25 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันที่ชาวบ้านจะประกอบพิธีกรรมบวงสรวงปู่ตาแสง ซึ่งจะมีพิธีรำบวงสรวงศาลปู่ตาแสงด้วย นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าพ่อซังกกยางอี หนึ่งในสถานที่ที่ชาวบ้านนาถ่อนในความเคารพเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับศาลปู่ตาแสง

2) ความเชื่อเกี่ยวกับอาชีพตีเหล็ก โดยในวันพระหรือวันศีลจะมีการนำดอกไม้ ธูปเทียนมาไหว้บูชา วางไว้กับเครื่องมือที่ใช้ในการประกอบอาชีพตีเหล็ก และหากวันใดมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต ในวในนั้นจะต้องหยุดตีเหล็กทันที รอจนกว่าพิธีศพจะเสร็จสิ้นจึงจะกลับมาตีต่อได้

ประเพณีและงานบุญสำคัญ

เนื่องจากบ้านนาถ่อนเป็นชุมชนที่ปรากฏการนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่กับการานับถือผีบรรพบุรุษ ประเพณีที่ถือปฏิบัติจึงเต็มไปด้วยรูปแบบการผสมผสานระหว่างคติแบบพุทธ วิธีแบบพราหมณ์ และพิธีกรรมแบบผี เช่น การรำบวงสรวงศาลปู่ตาแสง การฟ้อนรำไทกวน ที่เลียนแบบท่าทางของสัตว์ป่า ได้แก่ ช้างขึ้นภู งูเล่นหาง กวางโชว์เขา เสือออกเหล่า เต่าออกลาย ควายตั้งท่า ม้าออกศึก ระทึกกระทิงเปลี่ยว ขับเคี่ยวขบวนลิง สิงห์คำราม

1) บุญแห่เทียนเข้าพรรษา จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นประจำทุกปี

2) บุญพระเวส (บุญผะเหวด, บุญเทศน์มหาชาติ) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน เป็นประจำทุกปี

3) บุญใจบ้าน เป็นประเพณีการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีหรือสิ่งอัปมงลให้ออกไปจากหมู่บ้าน โดยชาวบ้านจะทำการก่อกองทรายและนำธงแดงมาปักไว้ที่กองทราย พระทำพิธีสวดมนต์และรดน้ำมนต์ให้แก่ชาวบ้านเพื่อสร้างเสริมสิริมงคล โดยบุญใจบ้านนี้จะจัดขึ้นทุกวันเพ็ญเดือน 7 ของทุกปี

4) ประเพณีการแต่งงานของชาวนาถ่อน (กินดอง) ชาวบ้านนาถ่อน มีประเพณีการแต่งงานที่เป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่างจากประเพณีการแต่งงานที่พบเห็นทั่วไป คือ ในการการทาบทามสู่ขอจะมีญาติผู้ใหญ่ของเจ้าบ่าวมาสู่ขอเรียกว่า พ่อล่าม แม่ล่าม พร้อมเงินค่าสินสอด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เงินค่าไชปาก และเตรียมขันธ์ 5 ไปสู่ขอ เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องมีการรําเพื่อเป็นการเปิดประตูบ้านเจ้าสาว โดยที่ทางเจ้าบ่าวต้องเตรียมเครื่องสําหรับเช่นไหว้ผีบรรพบุรุษของเจ้าสาว คือ เหล้า 4 ไห ไก่ 5 ตัว ผ้าผืน แพรผืน ฮับไข่ (ซองไข่) ถุงงา ซี้นหาม (เนื้อวัวห้อย) ปลาหาบ พร้อมเงินสินสอด หลังเสร็จสิ้นพิธีจะเป็นการขอพรจากญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโดยมีสิ่งของ เช่น หมอน เสื่อ เป็นของไหว้ หลังจากนั้นจึงส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาวเข้าห้องหอ โดยตามธรรมเนียมแล้วมักนิยมให้ฝ่ายชายย้ายมาอยู่กับฝ่ายหญิง

5) พิธีไหว้ครูบูชาเตา เป็นพิธีกรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชาวบ้านนาถ่อน เนื่องจากเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกับอาชีพตีเหล็กมีดพร้า ซึ่งเป็นอาชีพของชาวนาถ่อน อันมีนัยถึงการบูชา ขอบคุณ และขอขมาเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ โดยในแต่ละปี ผู้เฒ่าผู้แก่จะร่วมปรึกษาหาฤกษ์เลือกวันมงคล เมื่อกำหนดวันแน่นอนแล้ว ในวันที่มีการประกอบพิธีกรรมจะมีการนำอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการตีเหล็ก มีดพร้า มาวางเรียงรายเป็นระเบียบ เตรียมเครื่องสังเวย ได้แก่ หมู ไก่ สุรา ขันธ์ 5 ดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องบูชาพระภูมิ เครื่องบูชาพระแม่ธรณี และเครื่องบูชาพระวิษณุกรรม เมื่อจุดธูปไหว้เครื่องสังเวยจนหมด จะทำการเสสัง หรือการลาเลิกพิธี นำสายสิญจน์ผูกโยงกับเครื่องมือทุกชิ้น เจิมด้วยแป้งกระแจหอมและติดด้วยทองคำเปลว ชาวบ้านเชื่อว่าผลของการประกอบพิธีกรรมไหว้ครูบูชาเตาเป็นประจำทุกปี จะส่งผลให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขาย มั่งมีจากการประกอบอาชีพ

6) ประเพณีเลี้ยงแสง (ปู่ตาแสง)

7) ประเพณีรำผีหมอ

8) ประเพณีลงแขกดำนา, เกี่ยวข้าว

9) ประเพณีทำบุญฮีตสิบสอง (เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม เดือนยี่บุญคูณลาน เดือนบุญข้าวจี่ เดือนสี่บุญพระเหวดฟังเทศน์มหาชาติ เดือนห้าบุญสงกรานต์ เดือนหกบุญบั้งไฟ เดือนเจ็ดบุญซำฮะ เดือนแปด บุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบบุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ดบุญออกพรรษา เดือนสิบสองบุญกฐิน)

10) ประเพณีบุญเดือน 3 ออกใหม่ 3 ค่ำ

อาหารท้องถิ่น

  • ต้มไก่ลาดบ้านใส่ใบมะขามอ่อน
  • แจ่วหนังเค็ม
  • อ่อมขี้เหล็กใส่หนังเค็ม
  • แกงซ่อน ลาบเทา

ปราชญ์ด้านภูมิปัญญาชุมชน

1.นายประสิทธิ์ พิมพา : ปราชญ์ภูมิปัญญาด้านการตีเหล็ก

2.นางสนิท คำเป้า : ปราชญ์ภูมิปัญญาด้านการจักสานเครื่องมือประมง

3.นางอำพร นันชนะ : ปราชญ์ภูมิปัญญาด้านการทำสปาเกลือ

4.นางเพล่งศรี ปราณีนิตย์ : ปราชญ์ภูมิปัญญาด้านการทำหนังเค็มและแจ่วหนังเค็ม

ปราชญ์ด้านวัฒนธรรม

1.นายเฉลิม วีระวงศ์ : ปราชญ์วัฒนธรรมการเลี้ยงแสง (ผู้นำการประกอบพิธีกรรม)

2.นายวีระศักดิ์ ศรีสมุทร : ปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทางวัฒนธรรมชนเผ่าไทกวน

3.นางวัน คำไพ : ปราชญ์วัฒนธรรมการรำผีหมอ

4.นายวันที ยศประสงค์ : ปราชญ์วัฒนธรรมหมอสูตรขวัญ หรือหมอสู่ขวัญ (ผู้นำการประกอบพิธีกรรมทางพราหมณ์)

แหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมเผ่าไทกวน บ้านนาถ่อน

บ้านนาถ่อน นับว่าเป็นอีกหนึ่งชุมชนแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมของชาไทกวน เนื่องจากภายในชุมชนมีทั้งพิพิธภัณฑ์เผ่าไทยกวน สมัยเชียงรุ้ง เป็นสถานที่เก็บรักษาพระพุทธรูป เงินโบราณ กำไล ภาชนะดินเผาและโบราณวัตถุอื่น ๆ และศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมไทกวนบ้านนาถ่อน ซึ่งมีการจัดบรรยายเพื่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม รวมถึงซุ้มสาธิตการตีเหล็ก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับหมู่บ้าน โดยการก่อตั้งแหล่งเรียนรู้ดังกล่าวนี้เกิดจากแนวความคิดของพระครูสิริปัญญาวุฒิ อดีตเจ้าคณะอำเภอธาตุพนม อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีสุมังคล์ บ้านนาถ่อนท่า ซึ่งเป็นชาวไทกวน ได้มีความชื่นชอบ สนใจ และสะสมโบราณวัตถุที่พบในบริเวณชุมชน รวมทั้งรับซื้อและรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา แล้วรวบรวมโบราณวัตถุที่สะสมทั้งหมดจัดแสดงภายในตู้ตั้งไว้บนศาลาการเปรียญ พร้อมทั้งตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์เผ่าไทยกวน สมัยเชียงรุ้ง วัดศรีสุมังคล์” เมื่อราว พ.ศ. 2535 ทว่า ภายหลังพระครูสิริปัญญาวุฒิมรณภาพ โบราณวัตถุและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เคยจัดแสดงก็ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในห้องที่ทำด้วยลูกกรงเหล็ก เพื่อป้องกันการโจรกรรม แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจในเรื่องการดูแลทำความสะอาด แต่อย่างไรก็ดี การจัดทำพิพิธภัณฑ์เผ่าไทยกวน สมัยเชียงรุ้ง วัดศรีสุมังคล์ ก็เป็นสาเหตุให้ชาวบ้านนาถ่อนมีความตื่นตัวและสร้างสำนึกร่วมความเป็นชาวไทกวนขึ้นมา พยายามสร้างอัตลักษณ์ของตนเองผ่านวัฒนธรรมและการแต่งกาย โดยพยายามเน้นการแต่งกายสีดำ-เหลือง เพื่อสร้างความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในจังหวัดนครพนม และทำให้เกิดความพยายามในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายในบ้านนาถ่อนขึ้น

พิพิธภัณฑ์เผ่าไทยกวน สมัยเชียงรุ้ง วัดศรีสุมังคล์ ภายในมีการเก็บรักษาพระพุทธรูป เงินโบราณ กำไล ภาชนะดินเผา และโบราณวัตถุอื่นๆ เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเพียงที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ และไม่มีความพร้อมสำหรับการต้อนรับนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้ ภายในวัดศรีสุมังคล์ยังมีหอแจกหรือศาลการเปรียญไม้ยกพื้นที่มีความน่าสนใจทางด้านศิลปกรรมอีกด้วย

ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมไทกวนบ้านนาถ่อน ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนนาถ่อนวิทยานุกูล โดยมีการปรับปรุงอาคารเรียนของโรงเรียนนาถ่อนวิทยานุกูล ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมเป็นศูนย์การเรียนรู้เมื่อราว พ.ศ. 2560 และใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรม ฟังบรรยาย และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของสภาวัฒนธรรมตำบลนาถ่อน ขณะนี้อาคารศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมไทกวนบ้านนาถ่อนกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง มีการใช้งานเฉพาะลานวัฒนธรรมใต้ถุนอาคารเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงซุ้มสาธิตการตีเหล็ก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมด้านการประกอบอาชีพที่สำคัญของชาวไทกวนบ้านนาถ่อนในปัจจุบันอีกด้วย

ภูมิปัญญาการตีเหล็ก

อาชีพตีเหล็ก เป็นอาชีพที่อยู่คู่กับชาวไทกวนบ้านนาถ่อนมาอย่างยาวนาน โดยอาชีพตีเหล็กนี้เกิดจากแนวคิดของขุนพินิจอักษร แสนเสร็จ กำนันตำบลนาถ่อนในขณะนั้นมีความคิดเห็นว่าเมื่อยามว่างเว้นจากการทำนา ชาวบ้านควรมีอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ ทั้งเพื่อไม่ให้ใช้เวลาว่างไปมั่วสุมกับอบายมุข จึงได้ปรึกษากับบาทหลวงซาเวียร์ มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสจากเมืองเชียงหว่าง แขวงคำม่วน ประเทศลาว ผู้นำช่างตีเหล็กชาวญวณพร้อมอุปกรณ์มาสอนวิธีการตีเหล็กให้แก่ชาวบ้านนาถ่อน แล้วสืบทอดให้ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน โดยเครื่องมือและอุปกรณ์ตีเหล็กของช่างตีเหล็กชาวนาถ่อนมีรายละเอียด ดังนี้

1) เตาเผาเหล็ก (Forge) เป็นแหล่งให้ความร้อนแก่ชิ้นงานที่จะนำไปขึ้นรูป โดยเตาเผาเหล็กจะมีทั้งเตาถ่าน เตาไฟฟ้า และเตาแก๊ส สำหรับเตาเผาเหล็กแบบดั้งเดิมของชาวบ้านนาถ่อนจะมีลักษณะเป็นเตาถ่านที่มีรูปแบบง่าย ๆ มีต้นทุนต่ำ ก่อด้วยอิฐทนไฟแล้วเคลือบด้วยดินเหนียว มีท่อสูบลม 2 ท่อ มีด้ามดันขึ้น-ลงเหมือนสูบจักรยาน แต่ปัจจุบันนิยมใช้พัดลมเป่าแทน

2) ทั่งตีเหล็ก (Anvil) คือ เครื่องมือที่ใช้ในการรองแรงตีด้วยค้อนในการขึ้นรูป ทั่งจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมฝังลงไปในฐานที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง

3) ค้อน (Hammer) เป็นเครื่องมือสำหรับตอก ตี ทุบ โดปกติจะประกอบด้วยเหล็กกับด้ามไม้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ค้อนตีพะเนิน เป็นค้อนขนาดใหญ่ หรือเรียกว่า ค้อนปอนด์ ค้อนขึ้นรูป เป็นค้อนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ใช้สำหรับตีขึ้นรูปและตีตกแต่งชิ้นงาน

4) คีมจับชิ้นงาน (Tongs) หรือเรียกว่า คีมจับเหล็กร้อน โดยลักษณะการใช้งานจะเลือกรูปร่างของคีมที่เหมาะกับรูปแบบงาน เช่น คีมปากแบน คีมปากกลาง คีมปากเหลี่ยม

5) อ่างชุบแข็ง มีลักษณะเป็นอ่างทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 80 เซนติเมตร ทำจากปูนซีเมนต์

6) เหล็ก เป็นวัสดุที่สำคัญที่สุดในการตีเหล็ก ทั่วไปแล้วเหล็กมีอยู่หลายประเภท แต่สำหรับเหล็กที่ช่างตีเหล็กบ้านนาถ่อนนำมาใช้ตีมีดพร้ามีอยู่ 2 ประเภท คือ เหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าผสม เช่น เหล็กที่เป็นชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ผานไถ ใบตัดหินอ่อน

อย่างไรก็ตาม การจะตีมีดพร้าให้ได้คุณภาพดีนั้นส่วนหนึ่งก็ย่อมมาจากการคัดเลือกเหล็กที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ ช่างตีเหล็กบ้านนาถ่อนจึงมีภูมิปัญญาสำหรับตรวจสอบคุณสมบัติและคัดเลือกเหล็กโดยเฉพาะ อาทิ การทดสอบเหล็กเก่า มีวิธีการ ดังนี้

  • เคาะฟังเสียง โดยการนำเหล็กมาแขวนหรือจับไว้แล้วเคาะฟังเสียง หากเสียงกังวาลใสอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นเหล็กกล้าคาร์บอนหรือเหล็กปกล้าผสม แต่ถ้ามีเสียงดังตุบตุบ อาจสันนิษฐานว่าเป็นประเภทเหล็กอ่อน
  • ตีเหล็กเป็นชิ้นเล็กและบาง โดยการนำเหล็กมาทดลองเผาไฟแล้วนำไปตีให้บางที่สุด นำไปเผาไฟอีกครั้งแล้วนำไปจุ่มน้ำเย็น เมื่อเย็นนำมาหักดู ถ้าเหล็กเปราะหรือสามารถหักได้ให้สันนิษฐานว่าเป็นเหล็กกล้าคาร์บอน แต่หากหักแล้วเหล็กไม่ขาดจากกันสันนิษฐานได้ว่าเป็นเหล็กเหนียวอ่อน 

ชาวบ้านนาถ่อนมีภาษาถิ่นไทญ้อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะทั้งด้านสำเนียงและความหมาย อาทิ มีการออกเสียงสระ โอะ เป็นสระโอ๊ะ เช่น คำว่า ไปโบ๊ะ หมายถึง ไปหรือเปล่า, เอาโบ๊ะ หมายถึง จะเอาของสิ่งนั้นไหม ออกเสียงสระเอะ เป็นเอ๊ะ เช่น คำเรียกขานพ่อและแม่ คือ อีโพ๊ะ หมายถึง พ่อ อีเม๊ะ หมายถึง แม่


ด้วยกระแสความเจริญทางด้านวัตถุและโลกาภิวัฒน์รวมถึงกระแสความเจริญก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายต่อบริบททางสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านนาถ่อน โดยเฉพาะการตีมีดที่แต่เดิมนั้นมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ ดำรงชีวิตให้อยู่รอด ทว่าเมื่อสังคมเกิดพลวัต การตีมีดถูกปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเพื่อยังชีพมาเป็นการค้าขายโลหกรรมเชิงพาณิชย์ มีการนําเอาเครื่องจักรและเครื่องทุ่นแรงมาใช้ทดแทนคน อาทิ การใช้เครื่องจักรมาใช้ในกระบวนการตีมีดแทนแรงงานคน เนื่องจากสามารถผลิตได้ครั้งละจํานวนมาก ๆ ผลจากกระแสความเจริญส่งผลให้เกิดการเสื่อมถอยทางด้านวัฒนธรรมและประเพณี ความเชื่อในพิธีกรรมเก่าแก่ลดน้อยลง ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นการงดพิธีไหว้ครูบูชาเตาในวันพระ คงเหลืออยู่เพียงการทำบุญประจำปี อย่างไรก็ตาม ประเพณีพิธีกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบูชา บวงสรวง เครื่องมือเครื่องใช้และการตีมีดของชาวไทกวนบ้านนาถ่อนก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ไม่ได้เคร่งครัดมากเท่าในอดีต โดยจะกระทำในรูปแบบของการรวมตัวกันของชาวบ้านในการทำบุญนั้น ๆ ประจำปี 

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ชุมชนคนนครพนม Nakhon Phanom Community. (2563). สถานีรถไฟอยู่ตรงไหน!? เปิดพิกัดสถานี "นครพนม" และ "มุกดาหาร" 12 สถานี รวมสะพานมิตรภาพ 2-3 ธาตุพนม เรณู นาถ่อน บ้านกลาง หว้านใหญ่ นิคมคำสร้อย ป่งแดง บ้านดานคำ(ภูผาเจีย). จาก  https://web.facebook.com/NakhonPhanomCommunity/

ณัฐชนันท์ ปลายเนตร. (2556). การพัฒนาและอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยการใช้การมีส่วนร่วมของชุมชนกับการจัดการความรู้เป็นฐาน กรณีศึกษาวัฒนธรรมการตีเหล็กชุมชนบ้านนาถ่อน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม. กลุ่มงานวิจัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.

ธีระพงษ์ พลรักษ์. (2561). บ้านของคนไทยกวนตั้งอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานนับร้อยปี หลายสิ่งถูกสืบทอดและเติบโตขึ้นตามวันเวลา. จาก https://web.facebook.com/osotho/posts/

ศาลากลางจังหวัดนครพนม. (ม.ป.ป.). ชนเผ่าไทกวน. จาก http://www2.nakhonphanom.go.th/

Pasiree Paraichani. (2562). (Full Blog) ชีวิตดีๆที่บ้านนาถ่อน จ.นครพนม. จาก https://th.readme.me/p/26274

Thailandvillageacademy. (ม.ป.ป.). ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ชนเผ่าไทกวนบ้านนาถ่อน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม. จาก https://www.thailandvillageacademy.com/

ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย. (2563). แหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมเผ่าไทกวน บ้านนาถ่อน. จาก https://db.sac.or.th/museum/