Advance search

ชุมชนปกาเกอะญอที่อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ มีวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียน เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์เฉพาะตน

หมู่ที่ 9
บ้านขุนแม่หยอด
แม่ศึก
แม่แจ่ม
เชียงใหม่
วิไลวรรณ เดชดอนบม
11 พ.ย. 2023
ธำรงค์ บริเวธานันท์
ธำรงค์ บริเวธานันท์
10 ก.พ. 2024
บ้านขุนแม่หยอด


ชุมชนปกาเกอะญอที่อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ มีวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียน เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์เฉพาะตน

บ้านขุนแม่หยอด
หมู่ที่ 9
แม่ศึก
แม่แจ่ม
เชียงใหม่
50270
18.84445389
98.15559849
องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ศึก

ประวัติและความเป็นมาของหมู่บ้านขุนแม่หยอด หมู่ที่ 9 ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เดิมชื่อบ้านผาบะโฮง ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านคนแรกคือ นายบอโหล่ การปกครองหมู่บ้านเป็นการปกครองแบบสืบตระกูลจากพ่อสู่ลูก ผู้ที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า (หยี่โจ่ หรือหมอผี ) ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน บางโอกาสที่สำคัญไม่มีผู้ใดจะทำแทนได้ และผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้จะต้องเป็นลูกชาย หรือเครือญาติที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิงจะทำหน้าที่นี้ไม่ได้ จากผู้นำหมู่บ้านคนแรกจนถึงปัจจุบันรวม 6 คน ดังนี้ 1.นายบอโหล่ 2.นายแซโมโล 3.นายแบละพอ 4.นายกะลอย 5.พะชอยบือ และ 6. คือนายส่าป่อโพ หมู่บ้านได้จัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ 2535 

กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอในชุมชนบ้านขุนแม่หยอดเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำแม่หยอดไม่น้อยกว่า 5 ชั่วอายุคน เป็นชุมชนที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตและภูมิปัญญาดั้งเดิมได้ดี ทั้งในเรื่องประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องทำการเกษตรพื้นที่สูงแบบ “ไร่หมุนเวียน” ซึ่งเป็นระบบการผลิตผลที่เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาในการทำเกษตรเลี้ยงชีพเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวปกาเกอะญอ การทำไร่หมุนเวียนมีการสืบทอดต่อ ๆ กันมา ภายในชุมชน ชาวบ้านในชุมชนดำรงชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียน ด้วยวิถีของไร่หมุนเวียนนี้เองที่พึ่งพา ธรรมชาติเป็นหลัก ทั้งการอาศัยน้ำฝน การที่ไม่พึ่งพาระบบชลประทาน รวมถึงปุ๋ยเคมีในการ เพาะปลูก

ชุมชนบ้านขุนแม่หยอดอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่แจ่มไปทางทิศใต้ ระยะทางประมาณ 94 กิโลเมตร ชุมชนบ้านแม่หยอดมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือติดกับบ้านหัวแม่สุรินทร์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทิศใต้ติดกับบ้านผาละปิ หมู่ 8 ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันออกติดกับบ้านห้วยผา หมู่ 8 ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันตกติดกับบ้านห้วยขี้เปอะ หมู่ 17 ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถนนคดเคี้ยวและสูงชันเพราะต้องผ่านพื้นที่ที่เป็นภูเขา นอกจากนี้บริเวณทางเข้าหมู่บ้านพื้นถนนยังคงเป็นถนนลูกรัง และไม่มีรถประจำทางผ่าน ดังนั้นจำเป็นต้องอาศัยรถยนต์ส่วนตัวในการเข้าพื้นที่ และจำเป็นต้องติดต่อคนในพื้นที่ก่อน เนื่องจากบริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านไม่มีที่พักใกล้เคียง เมื่อเข้าสู่ชุมชนบ้านขุนแม่หยอดตั้งแต่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านไปจนถึงภายในชุมชนพื้นถนนเป็นถนนลูกรัง ค่อนข้างลำบากในการเดินทางเล็กน้อย สถานที่ราชการสำคัญในหมู่บ้าน ได้แก่ โรงเรียนประถม ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2 แห่ง หอกระจายข่าว 2 แห่ง ศาลาหมู่บ้าน 2 แห่ง และอาศรมพระธรรมจาริก 3 แห่ง

ภูมิประเทศ และภูมิอากาศ 

ลักษณะภูมิประเทศโดยรวมของชุมชนบ้านขุนแม่หยอด ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลแม่ศึก อำเภอ แม่แจ่ม นั้นมีสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขาสูงชันสลับซับซ้อนกับพื้นที่ราบเชิงเขา บ้านขุนแม่หยอดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเกือบทั้งพื้นที่จึงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้าน เป็นภูเขาสูง และมีลำห้วยหลายสายไหลผ่าน ซึ่งลำห้วยเหล่านี้ไหลลงสู่ลำน้ำแม่หยอดแล้วไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแม่แจ่ม บริเวณแถวตำบลแม่ศึกมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลาง ตั้งแต่ 800-1,820 เมตร โดยประมาณ

สำหรับลักษณะภูมิอากาศของชุมชนบ้านแม่หยอดนั้น มีภูมิอากาศที่คล้ายกับพื้นที่ชุมชนอื่น ๆ ทั่วไปในอำเภอแม่แจ่ม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ

  • ช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงกลางเดือนพฤษภาคม
  • ช่วงฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม
  • ช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์

ในอำเภอแม่แจ่ม ฤดูฝนมีลักษณะอากาศร้อน ไม่มีลม และมืดครึ้ม ฤดูร้อนจะมีแดดเป็นส่วนมาก และร้อนตลอดปีฤดูกาลที่อากาศร้อนมีระยะเวลา 1.8 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยรายวันสูงกว่า 33 องศาเซลเซียส ฤดูกาลที่อากาศเย็นมีระยะเวลา 2.3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายนถึงวันที่ 23 มกราคม เดือนที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุดคือเดือนมกราคม และเดือนที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดคือ เดือน เมษายน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี อุณหภูมิรายวันเฉลี่ยต่ำสุดในรอบปีคือ 13 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิรายวันเฉลี่ยสูงสุดในรอบปีคือ 35 องศาเซลเซียส

สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ 

ลักษณะบริเวณโดยรอบของชุมชนบ้านขุนแม่หยอดพบว่า นอกเหนือจากบริเวณบ้านเรือนกับพื้นที่ทำไร่ของชุมชน รอบข้างของหมู่บ้านมีลักษณะเป็นป่าดิบเขา โดยเฉพาะบริเวณฝั่งป่าทั่วไปของชุมชนกับป่าอนุรักษ์ที่จะมีต้นไม้สูงใหญ่กว่าบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากไม่มีการตัดหรือเผาต้นไม้เพื่อทำการเกษตร 

สำหรับทรัพยากรธรรมชาติที่มีในบริเวณพื้นที่ชุมชนบ้านแม่หยอด ได้แก่ 

  • แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นน้ำผิวดินทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นลำห้วย ได้แก่ น้ำแม่หยอด น้ำแม่ หยอดหลวง น้ำห้วยหินขาว น้ำแม่ราจี น้ำแม่ราจีน้อย ห้วยซอตือ และลำห้วยเล็ก ๆ อีกประมาณ 20 แห่ง
  • ป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น ประกอบด้วย ป่าทั่วไป ป่าอนุรักษ์ ป่าใช้ สอย และพื้นที่ทำกินของชาวบ้านในชุมชน
  • พืชไร่ และพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวไร่ ฟักทอง มันฝรั่ง ผักกาด ข้าวโพด ถั่วอะซูกิ กาแฟและพืชผักต่าง ๆ
  • สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย หมู ไก่
  • สัตว์ป่า เช่น ชะนี หมี ไก่ป่า เป็นต้น

ชุมชนบ้านขุนแม่หยอด ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอ ปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 หย่อมบ้าน คือ บ้านแม่หยอด บ้านป่ากล้วย และบ้านขุนแม่ราจี จำนวนประชากรประมาณ 95 ครัวเรือน

ชุมชนปกาเกอะญอบ้านขุนแม่หยอดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา โอบล้อมไปด้วยผืนป่าสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ปกาเกอะญอคือหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแถบภาคเหนือและภาคกลางตะวันตก ชุมชนกะเหรี่ยงแต่ละแห่งเป็นชุมชนดั้งเดิม ที่สามารถสืบค้นการตั้งถิ่นฐานไปได้ไกลถึง 1,200 ปี และส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ป่ามาเป็นเวลานาน

ครอบครัวปกาเกอะญออยู่ด้วยกันแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งในบ้านและนอกบ้าน มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ของหญิงชาย ผู้หญิงทำงานบ้าน หุงข้าว ตำข้าว ตักน้ำ ทำอาหาร เลี้ยงหมู ไก่ และ เก็บผักหักฟืน ส่วนผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็นงานนอกบ้านซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้กำลัง เช่น ไปไร่ไปนา ไถนา ล้อมรั้ว ต้อนวัวควายกลับบ้าน ตัดไม้ สร้างบ้าน เป็นต้น ส่วนงานอื่นๆ ที่สามารถช่วยกันได้ก็จะช่วยกันไป เนื่องจาก ชาวปกาเกอะญอจะนับถือวิญญาณบรรพบุรุษทางฝ่ายหญิง ครอบครัวจึงถือวิญญาณบรรพบุรุษทางฝ่ายหญิงหรือฝ่ายแม่ด้วย แม้ว่าการสร้างบ้านเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่จะถือว่าบ้านจะเป็นของฝ่ายหญิง หากสามีตายไม่ต้องรื้อบ้านทิ้ง แต่ถ้าภรรยาตายจะต้องมีการรื้อบ้านทิ้ง

การแต่งงานชนเผ่าปกาเกอะญอถือ การแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นความถูกต้อง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หนุ่มสาวที่มาจากเครือญาติ เดียวกันไม่สามารถแต่งงานกันได้ พิธีแต่งงาน จะเป็นจุดเริ่มต้นของ พิธีบก๊ะ (พิธีเครือญาติ) ถ้ามีการทำผิดขนบธรรมเนียมถือเป็นการผิดกฎวิญญาณบรรพบุรุษ ทำให้กลายเป็นผีก๊ะหรือผีปอบเข้าสิงในวิญญาณของผู้กระทำผิดพิธีกรรมนั้นๆ แล้วไปสิงร่างคนอื่นอีก คนที่เป็นผีก๊ะจะเป็นที่น่ารังเกียจของสังคมปกาเกอะญออย่างยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวสูงสุดของคนปกาเกอะญอคือการผิด “บก๊ะ”แล้วกลายเป็นผีก๊ะ มองในเชิงวิทยาศาสตร์ ความเชื่อเรื่องการไม่แต่งงานในเครือญาติเดียวกัน เป็นการคัดเลือกพันธุ์ที่ทำให้ผู้ที่เกิดมาใหม่มีความแข็งแกร่งและอยู่รอดได้ มองในเชิงสังคม การแต่งงานระหว่างสายเครือญาติทำให้เกิดการสมัครสมานสามัคคีในหมู่ชนเผ่า เพราะจะกลายเป็นระบบดองที่ขยายตัวต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

ปกาเกอะญอ

ชุมชนบ้านขุนแม่หยอดนั้นดำรงชีพโดยพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก ใช้ระบบการเกษตรไร่ หมุนเวียน ที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมในการบริโภคภายในครัวเรือนเป็นหลัก และเพื่อสร้างรายได้บ้างใน บางส่วน โดยพื้นที่ที่ทำไร่หมุนเวียนของชุมชนจะทำแบบแปลงรวม แบ่งตามการถือสิทธิที่ดินของแต่ ละครอบครัว ครอบครัวละประมาณ 6-8 ไร่ต่อปีโดยแบ่งอาณาเขตไว้อย่างชัดเจน ชุมชนจะมีรอบ หมุนเวียนอยู่ที่ 10 ปี มีพื้นที่หมุน 12 แปลง ในการทำไร่หมุนเวียนมีการทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟ ไม่ให้ลุกลามไปสู่ป่าอนุรักษ์ และป่าต้นน้ำ การทำไร่หมุนเวียนของชุมชนในปัจจุบันมีความ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบไร่ถาวรมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ในครัวเรือน สำหรับพืชพันธุ์ที่พบในระบบไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านแม่หยอดนั้นมีมากกว่า 50 ชนิด ทั้งพืชที่ปลูก และพืชที่ขึ้นเอง ถือได้ว่าไร่หมุนเวียนเป็นระบบการเกษตรที่คงความหลากหลาย ทางชีวภาพของชนิดพืชพันธุ์ได้ดีการเพาะปลูกพืชในไร่หมุนเวียนจะเริ่มเพาะปลูกช่วงเดือน พฤษภาคมเป็นต้นไป หลังจากมีการเผาไร่ในช่วงเดือนเมษายน และเก็บผลผลิตในช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนมกราคมเป็นต้นไป

ชุมชนบ้านแม่หยอดได้ร่วมกันกำหนดขอบเขตพื้นที่การทำไร่หมุนเวียนไว้ชัดเจน ซึ่ง พื้นที่เหล่านี้ไม่มีโฉนดหรือรั้วกั้นใด ๆ แต่จะรับรู้กันเองภายในชุมชน พื้นที่ของแต่ละครอบครัวจะไม่ เท่ากันในแต่ละโซน/แปลง เช่น แปลงที่ 1 ครอบครัวนี้อาจจะมี 10 ไร่ แปลงที่ 2 อาจจะมีเพียงเท่านั้น 8 ไร่ โดยประมาณ 1 ครอบครัวจะมีพื้นที่ 50-100 ไร่ ซึ่งแล้วแต่ที่บรรพบุรุษจับจองหรือทำมาก่อน ไม่สามารถล้ำไปยังที่คนอื่นได้

ปฏิทินการเพาะปลูก การเพาะปลูกในไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านขุนแม่หยอดกำหนดปฏิทินการเพาะปลูกในไร่หมุนเวียนใน 1 ปีไว้ ดังตารางต่อไปนี้

เดือนกิจกรรมพิธีกรรม/ข้อปฏิบัติ
1. มกราคม (เตอะ เล)

ตีข้าว (พ่อบือ)

เก็บผลผลิตในไร่

2. กุมภาพันธ์ (ที แพะ)ฟันไร่ (ถางไร่)

กี่จึ๊(มัดมือ)

ปีใหม่ (หนี่ ซอ โข่)

3. มีนาคม (ที คุ)

ตากไร่ (โลเก๊าะ)

เอาฟืนไร่ซากปี 1-2

ดึตะพะทอ/ลาดี๊ (ห้ามทำงาน/ ห้ามเด็ดใบไม้)
4. เมษายน (ลา เซอ)

- จัดทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามออกนอกเขต

- เผาไร่โดยเผาจากหัวไร่ก่อนเพื่อให้ไฟค่อย ๆ ลามลงไปถึงระดับที่ห่างจากแนวกันไฟ

- ฝังลำไม้ไผ่แห้งที่เสากระท่อมในไร่

- เก็บเห็ดในไร่ใหม่ / เก็บซากไม้มาทำฟืน

- พะเมโข่ (พิธีไหว้เจ้าที่)

- มาหน่อคึ (พิธีหมายที่)

- สู่ แว เหม่ คี (พิธีปลูกตามไฟ)

- หากฝนตกหรือลูกเห็บตกห้ามเข้าไร่ 5-7 วัน

5. พฤษภาคม (เดะ ญา)

- ปักไร่ (หยอดข้าว) โดยห้ามหยอดข้าววันเดียวกับพ่อหมอโดยที่เหลือข้าวพันธุ์ไว้สำหรับต้มเหล้า

ดายหญ้ารอบแรก

- แชะลอคึ (พิธีดูฤกษ์ยาม)

- กร่ามาข่อ (พิธีอธิษฐานให้น้ำและข้าวดี)

- แฆ บือ คลี (พิธีเรียงเมล็ดข้าว)

6. มิถุนายน (ลา นวี)

- ดายหญ้า

- ตรวจตราไร่

- ทำพิธีรักษาไร่ (นึ่งไร่ และสะเดาะห์เคราะห์ไร่) หากข้าวเป็นโรคและแมลงกัดกิน

7. กรกฎาคม (ลา เฆาะ)

- ดายหญ้า

- ตรวจตราไร่

8. สิงหาคม (ลา คุ)- ดายหญ้า

- บอคึ (หลี่ต่า) พิธีมัดมือ ให้พ่อหมอทำพิธีก่อน

- พิธีสิงหาคม (ลา คุ ปู)

- กอ ฆึ (พิธีเลี้ยงไร่)

9. กันยายน (ชิ หมื่อ)- ดายหญ้า
10. ตุลาคม (ชิ ฉ่า)- ดายหญ้า- กินข้าวเม่า
11. พฤศจิกายน (ลา นอ)- เกี่ยวข้าว

- พิธีกินหัวข้าว

- พิธีรินเหล้าก้นลานตีข้าว

12. ธันวาคม (ลา ปลือ)

- ตีข้าว (พ่อบือ) โดยห้ามตีข้าววันเดียวกับพ่อหมอ

- เก็บผลผลิตในไร่ไว้กินและทำพันธุ์

- พ่อคีดะ (เอาข้าวมาต้มเหล้า)

- แซะพอโข่ (พิธีเอาข้าวเข้าหลอง)

- กีจึ๊พ่อบือ (มัดมือ)

ชุมชนบ้านขุนแม่หยอด ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอไม่กี่ชุมชนในประเทศไทยที่ยังคงรักษาวิถีชีวิต และภูมิปัญญาดั้งเดิมของ ตนเองไว้ ผ่านรูปแบบการทำเกษตรไร่หมุนเวียนที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ประชากรในบ้าน ขุนแม่หยอดส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผี อาชีพของคนในชุมชนทำการเกษตรปลูกพืชไร่ พืชเศรษฐกิจเป็นหลัก อาชีพรอง และอาชีพเสริม ได้แก่ เลี้ยงสัตว์ รับจ้างทั่วไป ทอผ้า

ระบบความเชื่อและระบบการปกครองชุมชนกะเหรี่ยง

ชาวกะเหรี่ยง มีทั้งที่นับถือทั้งดั้งเดิมคือนับถือผี (ศาสนาผี) ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ โดยความเชื่อตามประเพณีนั้นชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของและดูแลรักษาอยู่ ซึ่งจะเรียกรวม ๆ ว่า “ต่าที ต่าเตาะ” (เทพเจ้าแห่งสัจธรรม หรือสิ่งสูงสุด ซึ่งจะสถิตทุกหนทุกแห่ง) ชาวกะเหรี่ยงมีความเคารพธรรมชาติมาก เพราะเป็นแหล่งบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ สิ่งที่กะเหรี่ยงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาอารักษ์ ถือเป็นวิญญาณที่ดี ควรยำเกรงและไม่ไปรบกวน

ระบบการปกครองสังคมชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ประกอบด้วยผู้นำหมู่บ้านที่มีบารมี คนในหมู่บ้านให้การยอมรับนับถือที่เรียกว่า ฮีโข่ (ผู้นำหมู่บ้านตามประเพณี) ซึ่งโดยธรรมเนียมจะเป็นผู้ที่ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้าน จะทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน ดูแลทุกข์สุข ตัดสินคดีความข้อพิพาท เช่น การพิพาทระหว่างหญิงชายก่อนแต่งงาน ฮีโข่ ร่วมกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะพิพากษาตัดสิน นอกจากนี้แล้ว ฮีโข่ เป็นผู้นำทำพิธีกรรมต่าง ๆ ของชุมชนต่อมาภายหลังมีผู้นำที่เป็นทางการเกิดขึ้น ปัจจุบันผู้นำของชนเผ่ากะเหรี่ยงมีลักษณะ คือ

(1) ลักษณะผู้นำดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า ฮีโข่ ซึ่งสามารถสืบทอดตำแหน่งจากพ่อไปสู่ลูกโดยสายโลหิต ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้ชาย มีบทบาทหน้าที่ปกครองดูแลลูกบ้านการประกอบพิธีกรรมและอบรมด้านจริยธรรมปัจจุบันมีบทบาทน้อยลงในแต่ละหมู่บ้านจะมีผู้ช่วยของฮีโข่อยู่ด้วยเรียกว่า ฮีข่อ

(2) ผู้นำทางการ มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในหมู่บ้าน มีบทบาทหน้าที่ปกครองดูแลเกี่ยวกับงานพัฒนา และการติดต่อประสานกับภายนอก หรือทางราชการเป็นหลัก

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ชุมชนบ้านขุนแม่หยอดมีสมุนไพรท้องถิ่นอยู่หลายชนิด เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมของหหมู่บ้านที่รอบล้อมไปด้วยป่าและภูเขา ทำให้มีสมุนไพรตามธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้เป็นภูมิปัญญาการรักษาโรคได้ พืชสมุนไพรในบ้านขุนแม่หยอด มี 37 ชนิด รายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

พืชจำนวนปัจจุบันลักษณะวิธีการใช้ประโยชน์
1.เชโบเกว๊ต้นต้ม,บดใส่แผลสด
2.ยาแกมากเครือต้มยาบำรุง
3.ยาหลวงมากต้นต้ม (ต้น,ราก)ช้ำใน,บำรุงเลือด
4.ยาแก้ดูกเคลื่อนมากเครือต้มเป็นยาบำรุง,ช้ำ ใน
5.เส่ซูความีมากต้นต้ม,บดบำรุงเลือด,เจริญ อาหาร
6.เก่อชอหน่าปอมีมากกาฝากต้มแก้โรคดีซ่าน,ผิดเดือน
7.เต่อสี่ต่าบอมากต้นต้มแก้ดีซ่าน
8.เต่อสี่ก่าจึ๊ต้นต้ม,ทาเคล็ด,ขัดยอก
9.ขวี่โดจ๊อต้นทาแก้คัน,ถอนพิษ
10.นะป่อจ่อมากต้นต้มแก้ไข้ป่า
11.พอป่าหล่าต้นต้มถอนพิษ,แก้ดีซ่าน
12.เต่อสี่หลู่โขต้นต้มเจริญอาหาร,ยากำลัง
13.ชอพาแหม่แยกอต้มล้างไต
14.เชกอเรอ่าพะมากต้นต้ม,ทานวด,ต้ม
15.มอกสะล้อมากต้นต้มแก้ไอ
16.เธอปอพะปานกลางพวงต้มแก้ช้ำใน
17.โคล๊โบความากต้นต้มแก้ไอ,บำรุงเลือด
18.มิสยะวน้อยเครือต้มบำรุงเลือด,ดองเหล้า
19.เด่อสิซุ๊ยมากต้นบด,ทาใส่แผลสด
20.เชโรต้น
21.แกว่เส่โม่ะน้อยต้นยาแก้ท้องร่วง
22.เคาะมากต้นต้มถอนพิษ,ย้อมผ้า
23.เด่อสินูทิมากเครือต้มเพิ่มน้ำนม
24.เสยะส่ามากต้นต้มเปลือกกินสด
25.ทอเนอมากต้น
26.เคล่อเส่มากต้นยางทาแผล
27.เสบอเบมากต้น
28.เปอคาเบะมากต้น
29.เชอปีเยมากต้นต้ม
30.จอลอดิเดอมากเครือต้ม
31.ปาเจอน้อยเครือบด (ใบต้ม)
32.เส่โพมากต้นต้ม
33.มะเขส่ามากต้นต้ม
34.พ่อเกอะเดอมากต้น,กอต้ม
35.พ่อซอหัว,กอหัวสด
36.พ่อซต้ม
37.ซุโลโยเอาน้ำสด

ภาษาพูด : ปกาเกอะญอ

ภาษาเขียน : อักษรโรมัน อักษรขาว


เมื่อผลผลิตข้าวไร่ที่ได้ในบางปีได้น้อยลง ในช่วง 3-4 ปีผ่านมามีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือชุมชนผ่านการจัดอบรม ส่งเสริมให้ทำโครงการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายชาวปกาเกอะญอในประเทศไทยที่สร้างแบรนด์ จัดจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรจากชุมชนชาวปกาเกอะญอ เพื่อสร้างอีกหนึ่งช่องทางการสร้างรายได้ให้กับชุมชนชาวปกาเกอะญอในประเทศไทยหลาย ๆ ชุมชน

การปรับตัวด้านอาชีพ ชาวปกาเกอะญอ ในชุมชนบ้านขุนแม่หยอด แม้จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอาชีพเดิม คือ การทำ เกษตรกรรม ไปประกอบอาชีพอื่นแต่มีปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตร จากการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำไร่ถาวร โดยการปลูกพืชเศรษฐกิจแทนเพื่อสร้างรายได้ในครัวเรือน เนื่องจากการทำเกษตรเป็นหลัก ด้วยสภาพพื้นที่เอื้ออำนวย และเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนในชุมชน สำหรับแนวทางส่งเสริมการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชุมชน ในด้านสิ่งแวดล้อมควรมีการรณรงค์ให้ชาวบ้านที่ทำไร่ถาวรกลับมาทำไร่หมุนเวียนเพื่อความยั่งยืนของการทำเกษตร ภาครัฐควรส่งเสริมผลผลิตภัณฑ์จากไร่หมุนเวียนให้เป็นที่รู้จัก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ชุมชนควรจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเพื่อต่อยอดผลผลิตสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ผ่านการแปรรูป การทำ แบรนด์ เป็นต้น ด้านอาชีพควรมีการส่งเสริมให้ชาวบ้านประกอบอาชีพเสริม ทั้งเลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ปลูกกาแฟมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้เสริม นอกเหนือจากการทำไร่หมุนเวียน และไร่ถาวร


การปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มในช่วง 2-3 ปี ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลายพื้นที่ ทางราชการจึงกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกัน และเฝ้าระวังไฟป่า ทำให้การเผาไร่ของทางชุมชนบ้านขุนแม่หยอดจำเป็นต้องกำหนดวันเผาไร่ล่วงหน้า พร้อมทั้งขออนุญาติกับทางอำเภอในการที่จะเผาไร่ ซึ่งทำให้ไม่สามารถเลือกวันเผาไร่เองได้เหมือนสมัยก่อน ดังนั้นหากก่อนวันที่ขออนุญาติเกิดฝนตกก่อนการเผาไร่ก็อาจส่งผลต่อผลผลิต นอกจากนี้ยังต้องจัดทำแนวกันไฟ และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังไฟป่าในบริเวณโดยรอบอีกด้วย

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ทรูปลูกปัญญา. (2562). วิถีไร่หมุนเวียน บ้านขุนแม่หยอด. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566. จาก https://www.trueplookpanya.com/

ภูมิธรรม บุญสอง (2564). การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบและการปรับตัวต่อการทำไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอ บ้านขุนแม่หยอด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะศิลปศาสตร์.

องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ศึก. (2566). แผนที่แสดงแนวเขตตำบลและแนวเขตหมู่บ้าน ตำบลแม่ศึก. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566. จาก https://www.facebook.com/maesuksao/