Advance search

ชุมชนชาวอูรักลาโวยจบ้านแหลมตุ๊กแก ธำรงวัฒนธรรมประเพณีแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างเข้มแข็ง เช่น ประเพณีลอยเรือ การรำรองเง็ง 

หมู่ที่ 4
บ้านแหลมตุ๊กแก
รัษฎา
เมืองภูเก็ต
ภูเก็ต
ทต.รัษฎา โทร. 0-7652-5779-85
ขวัญจิต ศรีจำรัส
10 ก.ค. 2023
อัจจิมา หนูคง, สรวิชญ์ ชูมณี
30 ส.ค. 2023
จิรัชยา สีนวล
13 ก.พ. 2024
บ้านแหลมตุ๊กแก


ชุมชนชาวอูรักลาโวยจบ้านแหลมตุ๊กแก ธำรงวัฒนธรรมประเพณีแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างเข้มแข็ง เช่น ประเพณีลอยเรือ การรำรองเง็ง 

บ้านแหลมตุ๊กแก
หมู่ที่ 4
รัษฎา
เมืองภูเก็ต
ภูเก็ต
83000
7.869313786789269
98.43546753267579
เทศบาลตำบลรัษฎา

กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแกหมู่ที่ 4 ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประวัติศาสตร์ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ 1 ใน 35 กลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งทางด้านวิถีชีวิต ความเป็นมาเชิงประวัติศาสตร์ ศิลปะการแสดง ตลอดจนภาษาถิ่น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เคยเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก เกาะสิเหร่ เมื่อปี พ.ศ. 2510 ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทรงเยี่ยมชาวเลบ้านแหลมตุ๊กแก เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2531 (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต 2558, หน้า 66 - 68)

เฒ่าสะอี้ ชาวเลอูรักลาโว้ยบ้านแหลมตุ๊กแก เล่าว่าบรรพบุรุษลงเรือแจวมาจากอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อหลายร้อยปีก่อน มาพบ เกาะ โหน ที่มีปู ปลา ชุกชุม ก็จะอาศัยตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่นหากมีคนเสียชีวิตก็จะฝังแล้วย้ายไปอยู่เกาะอื่น ย้าย จนกระทั่งมาถึงแหลมตุ๊กแกจึงชวนกันลงหลักปักฐานลงทะเลหาปู หาปลา ตามวิถีของชนเผ่า ช่วงแรกมาอยู่ประมาณ 20 หลังคาเรือน ต่อมามีโรคระบาดมีคนล้มตาย จึงย้ายไปอยู่ที่อื่น เช่น ราไวย์และบ้านแหลมกลางทำให้แหลมตุ๊กแกผู้คนไม่มีคนหลงเหลืออยู่เลย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเลอูรักลาโว้ยที่อยู่บ้านแหลมกลางก็ย้ายกลับมาที่บ้านแหลมตุ๊กแกอีกครั้ง (คม ชัด ลึก, 9 สิงหาคม 2558)

พิมพิไล ตั้งเมธากุล (การผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรม ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนชาวเล เกาะสิเหร่ ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 2529, หน้า 22-23) กล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวเลอูรักลาโว้ยแหลมตุ๊กแก สรุปได้ว่า เดิมทีบริเวณเกาะสิเหร่ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ มีแต่ชาวเลที่มาพักอาศัยเป็นครั้งคราวเพื่อหลบลมมรสุม ชาวเลกลุ่มนี้เชื่อว่า บรรพบุรุษอพยพมาจากประเทศมาเลเซียต่อมาชาวเลกลุ่มนี้ได้มาตั้งหลักปักฐานที่ เกาะสิเหร่ เรียกเกาะสิเหร่ว่า ปูเลาสิเร แปลว่า เกาะพลู การอพยพมาอยู่เกาะสิเหร่ของชาวเลอูรักลาโว้ยครั้งแรกนั้น ได้สร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณแหลมกลาง (ไม่ไกลจากแหลมตุ๊กแก) ซึ่งเป็นแหลมร้างไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ต่อมาบริษัทเอเชียสเเตนนั่ม จำกัด เข้ามาซื้อที่ดินเพื่อทำสำนักงานการทำเหมืองแร่ จนเกิดเรื่องฟ้องร้อง ชาวเลจึงย้ายครอบครัวออกจากบริเวณแหลมกลาง ในวันสงกรานต์ ปี พ.ศ. 2502 ไปตั้งรกรากอยู่บริเวณแหลมตุ๊กแก ซึ่งสอดคล้องวิศิษฐ์ มะยะเฉียว (2532, หน้า 222) กล่าวถึงชาวเลแหลมตุ๊กแกสรุปได้ว่า ชาวเลกลุ่มนี้เชื่อว่าบรรพบุรุษอพยพมาจากหมู่เกาะบริเวณประเทศมาเลเซีย มาอาศัยบริเวณแหลมร้างเกาะสิเหร่ ชาวเลเรียก เกาะสิเหร่ว่า ปูเลาสิเหร่ ปูเลา แปลว่า เกาะสิเหร่ แปลว่า พลู เนื่องจากบนเกาะสิเหร่มีต้นพลูมาก ต่อมาบริเวณแหลมร้างมีปัญหาที่ดิน จึงย้ายมาอยู่บริเวณแหลมตุ๊กแก

หมู่บ้านแหลมตุ๊กแก หมู่ที่ 4 ตั้งอยู่ในตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ห่างจากอำเภอ เมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันออก ระยะทาง 8 กิโลเมตร 

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ ป่าชายเลน
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ ทะเลอันดามัน
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ภูเขา
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ทะเลอันดามัน

ลักษณะทางกายภาพ

ที่ตั้งบ้านแหลมตุ๊กแกตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต มีคลองท่าจีนกั้นกลาง โดยมีถนนเทพประทานเป็นถนนสายหลักเข้าหมู่บ้าน ชุมชนตั้งอยู่บริเวณริมทะเล ปลายแหลมสุดของเกาะสิเหร่อยู่ในอ่าวที่เหมาะกับการจอดเรือ ด้านหน้าหมู่บ้านเป็นชายหาด มีการสร้างเขื่อนคอนกรีตก่อนเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิไม่นาน ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำเพราะน้ำทะเลมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย เป็นหาดทรายปนโคลนมีหินปะการังเล็ก ๆ อยู่เต็มชายหาดด้านหน้าเป็นที่จอดเรือสปีดโบ๊ท ถัดมาเป็นป่าชายหาดมีต้นมะพร้าวและต้นไม้หลากชนิด

ด้านหลังหมู่บ้านเป็นป่าชายเลนป่าจากคลองปลายแหลมสุดของบ้านแหลมตุ๊กแกมีทรัพยากรธรรมชาติคือหินชนวน (Slate) เป็นหินแปรที่มีเม็ดละเอียด มีริ้วขนาน และเป็นเนื้อเดียวกันมีต้นกำเนิดจากหินตะกอนชนิดดินดานผ่านการแปรสภาพ (หินชนวน, wikipedia.org) ส่วนใหญ่จะเป็นสีเทาในอดีตจะใช้เป็น "ดานนวน" หรือกระดานชนวนในระบบโรงเรียนก่อนมีการใช้สมุดฝรั่ง (อรุณรัตน์ สรรเพ็ชร ข้อมูลศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเกาะมะพร้าว จังหวัดภูเก็ต 2565, หน้า 13) ทำให้ชุมชนชาวเลอูรักลาโว้ยบ้านแหลมตุ๊กแกมีระบบนิเวศที่หลากหลาย ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชุมชน เป็นที่ราบติดชายฝั่งทะเลอันดามัน มีพื้นที่บางส่วนเป็นเนินเขา

ปัจจุบันนักลงทุนประกอบกิจการโรงแรม ท่าเรือท่องเที่ยว ท่าเรือมารีน่า การคมนาคมขนส่งในพื้นที่ เป็นถนนหินคลุกใช้คมนาคมภายในหมู่บ้าน สัญจรโดยรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสามล้อพ่วง เพื่อบรรทุกสินค้าในหมู่บ้าน และรถยนต์ส่วนบุคคล ลักษณะครอบครัวเดี่ยวคนในชุมชนมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและวางจำหน่ายสินค้าอาหารทะเลสดจากทะเลในบริเวณศาลากลางบ้าน หรือหน้าบ้านที่อาศัยของตนเอง  สภาพบ้านเรือนเป็นบ้านยกสูง หลังคาจั่วมุงสังกะสี ต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2547 บ้านในชุมชนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ หน่วยงานราชการ องค์กรภาครัฐ เอกชน ประชาชน ให้ความช่วยเหลือโดยการสร้างบ้านเรือนให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสภาพบ้านเรือนทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ ผสมผสานอยู่ในพื้นที่ในปัจจุบัน

จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2566 ระบุจำนวนประชากร หมู่ที่ 4 บ้านแหลมตุ๊กแก มีจำนวนประชากร 4,760 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 2,302 คน ประชากรหญิง 2,404 คน

ประชากรในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยแบบพึ่งพาตนเอง ชุมชนแหลมตุ๊กแกเป็นชุมชนชาติพันธุ์ของชาวอูรักลาโว้ย ซึ่งเป็นชุมชนกลุ่มน้อยในจังหวัดภูเก็ต ที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ห่างจากชายทะเลเข้ามาบนบก แต่มีคลองเชื่อมต่อออกทะเลได้ สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ ชุมชนตั้งอยู่บริเวณแหลมตุ๊กแก ลักษณะบ้านเรือนเป็นบ้านเดี่ยว ยกสูงไม่มาก ใช้วัสดุทั่วไปที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เช่น ไม้ สังกะสี ปัจจุบันมีการผสมผสานบ้านแบบดั้งเดิมและบ้านแบบสมัยใหม่

ปัจจุบันชาวเลยังคงรักษาวัฒนธรรม และประเพณีแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างเข้มแข็ง พื้นที่ตั้งของชุมชนชาวเลหรืออูรักลาโว้ยเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีท่าเรือท่องเที่ยวคือท่าเรือมารีนา ประชากรในชุมชนก็มีการสัมพันธ์กับประชากรภายนอกมากขึ้น ทำให้ชุมชนอูรักลาโว้ยขยายตัวโดยขาดการวางแผน ความเสี่ยงภัยของชุมชนแห่งนี้ จึงเป็นประเด็นด้านกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งยังไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ หรือรับรองการอยู่อาศัยของชุมชนจากทางราชการ 

การตั้งถิ่นฐานของชุมชนมีการเร่ร่อนและย้ายที่อยู่อาศัย ระบบเครือญาติและชาติพันธุ์ ค่อนข้างมีอายุสั้นประกอบกับชาวเลมีอายุขัยสั้นอาจเกิดจากสาเหตุการดำน้ำลึก ไม่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้ง่าย 

อูรักลาโวยจ

ประชากรอูรักลาโว้ยเป็นประชากรดั้งเดิมที่มีการตั้งถิ่นฐานชุมชนมากว่าร้อยปีก่อน ชาวอูรักลาโว้ยใช้กายัก หรือแฝกมุงหลังคาอาศัยบนเรือ หรือตามชายหาด ในฤดูมรสุม ชาวอูรักลาโว้ยจะขึ้นฝั่งเพื่อหาอาหาร มักจะใช้วิถีชีวิตโดยการหาของทะเลมาประกอบอาหาร ต่อมาย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ แถบทะเลอันดามัน ยังคงใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อน กลุ่มอูรักลาโว้ยแหลมตุ๊กแก ตั้งถิ่นฐานจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และมีการยึดอาชีพ คือ ประมงชายฝั่งมาจนถึงปัจจุบัน จากแผนที่สภาพชุมชนจะเห็นได้ว่าความเจริญทางสังคมเข้าไปพัฒนาในพื้นที่บ้านแหลมตุ๊กแก ดังนี้

โครงสร้างองค์กรชุมชน

ปัจจุบันหมู่ที่ 4 บ้านแหลมตุ๊กแก ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งผู้นำชุมชน ใช้สิทธิในการเลือกตั้งตามปรากฏคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านดังนี้

  • นายเชิด ประโมงกิจ
  • นายอาคิน ประโมงกิจ
  • นายประเสริฐ ประโมงกิจ
  • นายสมชาย ประโมงกิจ
  • นายวิชาญ ประโมงกิจ
  • นายใจดี ประโมงกิจ 
  • นายสมหมาย ประโมงกิจ
  • นายขวัญชัย ประโมงกิจ
  • นางสาวอังคณา ประโมงกิจ

กลุ่มอาชีพ

ประมงพื้นบ้าน 

  • กลุ่มผลิตเครื่องมือจับสัตว์น้ำ ผลิตเครื่องมือจับสัตว์น้ำ เช่น ผลิตไซปู ไซปลา, ลอบ, อวน เป็นเครื่องมือในการจับสัตว์น้ำเพื่อเป็นเครื่องมือในการดักจับสัตว์น้ำ สร้างรายได้ให้กับครอบครัว
  • ผลิตของที่ระลึก นำวัสดุเหลือใช้จากทะเล มาแปรเปลี่ยนเป็นของที่ระลึกเพื่อจำหน่าย เช่น โมบายเปลือกหอย 
  • เครือข่ายกลุ่มแม่บ้านผลิตสินค้าชุมชน อาหารในชุมชน กลุ่มแม่บ้าน ผลิตอาหารชุมชนส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและบริการแก่นักท่องเที่ยวในชุมชน สามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน

ความเชื่อ/กลุ่มศรัทธา

  • โต๊ะหมอ (ดาโต๊ะ) เป็นผู้นำทางจิตเป็นผู้ที่มีบทบาทในชุมชน ที่ชาวอูรักลาโว้ยให้ความเชื่อถือเคารพและศรัทธาไว้วางใจให้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณของผีต่าง ๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเลนับถือได้ รวมทั้งเป็นหมอรักษาเมื่อมีคนเจ็บป่วย

การรักษาโรค 

โต๊ะหมอจะรักษาคนป่วยที่หาสาเหตุของโรคไม่ได้ ด้วยการ ปัดเป่าคาถา เสกหมากพลู ให้ผู้ป่วยกิน เป็นการรักษาโรคด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ เพราะชาวเลเชื่อว่าบางโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เกิดจาก "ผีกิน" จึงต้องให้โต๊ะหมอเป็นผู้บำบัดรักษา วิธีการรักษามีดังนี้ การดูเทียน การปัดรังควาน ประกอบคาถา, การปัดรังควานประกอบคาถาควบคู่กับการบีบนวดและทาน้ำมัน, การเสกคาถากำกับ สมุนไพร, การทำน้ำมนต์ และการเข้าทรง หมอพื้นบ้านที่รักษาโรคด้วยวิธีจิตบำบัดและเวชบำบัด (สมุนไพร) เช่น การดูเทียน การทำหมากพลูให้กิน 

วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม

ชุมชนแหลมตุ๊กแก มีความเชื่อเรื่องบรรพบุรุษ ตลอดจนการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อทางจิตวิญญาณ ปัจจุบันแม้ว่าจะมีการเข้าไปของสังคมเมืองแต่ชุมชนหมู่ที่ 4 บ้านแหลมตุ๊กแก ยังคงรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของชาวอูรักลาโว้ยไว้จนถึงปัจจุบัน

ประเพณีเดือนสิบ 

  • ประเพณีกินบุญเดือนสิบ หรือรับทาน (ทาโบ้ดบูลัด ซาปุโละ) วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวอูรักลาโว้ยจะออกจากบ้านไปนอนที่วัด เพื่อร่วมงานเดือนสิบของชาวบ้านในแต่ละวัด ชาวอูรักลาโว้ยบ้านแหลมตุ๊กแก นิยมไปรับทานที่วัดพระทอง วัดเทพกษัตรี วัดบ้านดอน บางส่วนไปจังหวัดพังงา ในอดีต จะนำของทะเลไปแลกเปลี่ยน ปัจจุบันชาวเลบางครอบครัว ก็นำมุก เปลือกหอยมุก ไปจำหน่ายที่วัด การรับทานจากชาวไทยพุทธพื้นถิ่น เป็นประเพณี ที่ชาวอูรักลาโว้ยบ้านแหลมตุ๊กแก ปฏิบัติกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อได้อาหารที่รับมา นำมาเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษต่อไป 

ประเพณีลอยเรือ

  • ประเพณีลอยเรือ เป็นประเพณีที่สำคัญที่สุด จัดขึ้นในช่วงวันเพ็ญ ขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 6 และเดือน 11 ทางจันทรคติของทุกปี ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล พิธีลอยเรือจะเป็นการสะเดาะเคราะห์ ของคนในชุมชนและครอบครัว เพื่อให้พ้นจากทุกข์โศกโรคภัยต่าง ๆ เป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือ ร่วมใจ สามัคคีของหมู่คณะ และเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ ภูมิปัญญาการช่างฝีมือการต่อเรือปาจั๊ก 
  • ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และเดือน 11 ตอนเย็นเวลาประมาณ 17.00 น. ชาวเลทั้งหญิงชายป่าวร้อง ไปช่วยกันขนวัสดุที่จะประกอบเป็นเรือพิธีซึ่งกองอยู่นอกหมู่บ้านแห่เข้ามาในบริเวณพิธีกลางหมู่บ้าน หน้าขบวนแห่มีดนตรีพื้นเมืองนำหน้า เครื่องดนตรี เช่น ฉิ่งรำมะนา ฆ้อง บรรเลงเป็นจังหวะ ให้ชาวเลรำเดินแห่แหนไปตามชายหาด จนใกล้หลาโต๊ะตามี่ในหมู่บ้าน หน้าขบวนแห่มีดนตรีพื้นเมือง โครงแกนท้องเรือ ใช้ไส้ไม้ระกำ ทั้งทางต่อประกอบเป็นลำเรือ ทุกคนตั้งใจต่อเรือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เรือพิธีเสร็จก่อนฟ้าสาง
  • ก่อนพิธีลอยเรือหลายชั่วโมง ชาวเลจะใช้เวลาประกอบเป็นเรือพิธีประมาณ 8 ชั่วโมง โดยมีโต๊ะหมอจะรออยู่ที่ฝั่งเพื่อดูแลหมู่บ้าน และรอรับชาวบ้านที่ไปลอยเรือพิธี เวลาประมาณ 16.00 น. เรียกว่า "วันปราดั๊ก" จะมีพิธีแห่ไม้กางเขนจำนวน 7 อัน ที่ปลายไม้ทั้ง 3 ปลาย จะติดใบกระพ้อ ไม้ที่ติดขวางเปรียบเสมือนแขน ใบกระพ้อเปรียบเสมือนนิ้ว ที่คอยพัดโบกสิ่ง ไม่ดีให้ออกจากหมู่บ้าน โดยจะปักไม้นี้ไว้หน้าหมู่บ้าน เวลาประมาณ 20.00 น. มีพิธีไล่สิ่งไม่ดีออกจากบ้านของแต่ละครอบครัว มีการเล่นรำมะนา ร้องรำรอบไม้กางเขน 3 รอบ และเต้นรำกันจนถึงรุ่งสางชาวบ้านจะปักไม้นี้ไว้จนถึงเช้าจึงถอนออกไป เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน

พิธีไหว้เรือ 

  • ประเพณีไหว้เรือ (เยิมมะห์ปราสู) พิธีกรรมนี้ทำขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล ให้กับเครื่องมือในการทำมาหากิน เพื่อแสดงความขอบคุณที่ทำให้การงานราบรื่น มีปัจจัยเข้ามาหล่อเลี้ยงครอบครัว มีการผูกผ้าหัวเรือในช่วงเดือนสาม เจ้าของเรือจะเป็นผู้ทำพิธีเองด้วยการอธิษฐาน แล้วนำสิ่งของมาเซ่นไหว้ ได้แก่ ผลไม้ หมี่ผัด ไก่ย่างหรือไก่อบ ใส่ไว้ในถาดนำไปวางไว้บนหัวเรือ (บอยาปรากูล็อด) จุดธูป 3 หรือ 7 ดอก พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน เสร็จแล้วจุดประทัด จากนั้นลาของเซ่นไหว้นำมารับประทาน ส่วนหนึ่งยกถวายให้แม่ย่านางเรือ โดยตั้งไว้ที่หัวเรือ เป็นอันเสร็จพิธี

พิธีไหว้เปลว

  • ประเพณีไหว้เปลว (ไหว้บรรพบุรุษ, แต่งเปลว, ปือตัด ฌือไร้) เป็นการทำความสะอาดสุสานหลุมฝังศพบรรพบุรุษ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ลูกหลานจะทำอาหารที่บรรพบุรุษชอบไปเซ่นไหว้ และร่วมรับประทานอาหาร พร้อมทั้งเปิดเพลง ร้องเล่น และรำรองเง็ง สนุกสนานกัน พิธีจะจัดในช่วงวันขึ้น 1-15 ค่ำ เดือน 5 ณ สุสานศิลาพันธ์

วัฒนธรรมการแสดง

"รองเง็ง" หรือชาวเลเรียกว่า "รูเงก" สยามรัฐ (สยามรัฐ, 29 เมษายน 2562) กล่าวถึงรองเง็งไว้ว่า เป็นการแสดงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและลักษณะเฉพาะพื้นที่ชาวเลในจังหวัดสตูล ภูเก็ต และกระบี่ ใช้ภาษามลายูขับร้องเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของผู้คนบนเกาะ 

สาวิตร์ พงศ์วัชร์ (2533, บทคัดย่อ) กล่าวถึงการรำรองเง็งไว้ว่า ท่ารำของชาวเลคงได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ทะเลและได้รูปแบบจากการรำรองเง็งที่นิยมในภาคใต้ เพลงรองเง็งที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ ลาบูดูวอ ลามูสะปาอีลามูเมาะอินัง ลามูเจ๊ะ ชูโร่งลามูอายัมดีเต๊ะ ลามูทะลักทักทักลามูแลงงกังกง และลามูตะเบ๊ะอีเจ๊ 

จารูวัฒน์ นวลใย (ข้อมูลภูมิปัญญาชุมชนชาติพันธุ์ชาวเลจังหวัดภูเก็ด, 2564, หน้า 18-22) กล่าวถึงพัดการของรองเง็งกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในจังหวัดภูเก็ต สรุปได้ว่า ปัจจุบันยังคงรักษารูปแบบและลักษณะดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา แสดงในงานประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ส่วนการแสดงเพื่อความบันเทิงก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อความบันเทิง ในคณะรองเง็งประกอบด้วย นักร้อง นางรำ ประมาณ 10-15 คน นักดนตรีประมาณ 8 คน ซึ่งนักร้องรองเง็งจะทำหน้าที่นักรำไปด้วย

บรานา (รำมะนา) หรือดนตรีบรานา เป็นการแสดงที่มีอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย ใช้ละเล่นในการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ งานลอยเรือ และอาบน้ำมนต์ เครื่องดนตรี ได้แก่ บรานา โหม่ง ฉิ่ง มรือนักแม่ ฆรือนักลูก กรับ และฉาบ 

กีฬาและศิลปะการต่อป้องกันตัว

ฆาโญกหรือรำมวยกาหยงเป็นศิลปะการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าและเท้า ไม่มีการใช้เข่าหรือคล้ายปัญจักสีลัตในภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งสืบทอดมาจากวัฒนธรรมมลายู แสดงในโอกาสต่าง ๆ ได้แก่ ไหว้ครูบูชาครู พิธีแก้บน มีเครื่องดนตรีประกอบคือ ปี่ 1 เลา กลองทน โหม่ง 1 ใบ กรับ 1 คู่ นักอีโนก (แม่) 1 ลูก ฆรือนักอานะ (ลูก) 1 ลูก องค์ประกอบในการแสดง ประกอบด้วยนักแสดง โญก 2 คน นักแสดงตัวตลก 1 คน และนักดนตรี 5 คน (จารุวัฒน์ นวลใย, 2564, หน้า 25) ปัจจุบันเป็นการแสดงโชว์ท่ารำไม่ได้ใช้เพื่อการต่อสู้เหมือนในอดีต

1.นายสมโชค ประโมงกิจ มีบิดาชื่อ นายธานี ประโมงกิจ มารดาชื่อ นางสาวจันทร์ ประโมงกิจ

บทบาทและความสำคัญในชุมชนบ้านไทยใหม่ 

นายสมโชค ประโมงกิจเป็นผู้ร้องนําฝ่ายชาย โดยร่ายรําไปพร้อมกับคณะรําฝ่ายหญิง ในบทเพลงต่าง ๆ เช่น "ทาลัก ทักทัก" "ตันหยง" "ตาเบะ" โดยในงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ปีที่ 7 ณ ชุมชนชาวเลหาดราไวย์ อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีการร้องคู่รับส่งระหว่างแม่จิ้วและคุณสมโชค ซึ่งในระหว่างการร้องรํารองเง็งนี้ ได้รับความสนใจ จากชาวต่างชาติที่เข้ามาชมการแสดง โดยนายสมโชค ประโมงกิจได้กล่าวว่า แม่จิ้ว มีบุตรทั้งหมด 12 คน และ หลาน ๆ รวมทั้งหมด 22 คน ไม่มีใครสนใจรํารองเง็ง นายสมโชคจึงเป็นผู้เดียวที่สืบทอดการรํารองเง็งจาก แม่จิ้ว ปัจจุบันคณะรองเง็งพรสวรรค์ได้รับเชิญไปแสดงในงานต่าง ๆ มากมาย และยังคงฝึกสอนเด็ก และเยาวชนในหมู่บ้าน แหลมตุ๊กแก รวมถึงการไปถ่ายทอดศิลปะรองเง็งให้กับนักเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ตด้วย

2.นายตั้งจา ประมงกิจ เกิด พ.ศ. 2500  

บทบาทและความสำคัญในชุมชนบ้านไทยใหม่  

โต๊ะหมอ (ดาโต๊ะ) เป็นผู้นำทางจิตใจเป็นผู้ที่มีบทบาทในชุมชน ที่ชาวเลอูรักลาโว้ยให้ความเชื่อถือ เคารพและ ศรัทธา ไว้วางใจให้เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณของ ผีต่าง ๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเลนับถือได้ รวมทั้งเป็นหมอรักษาเมื่อมีคนเจ็บป่วย 

หน้าที่หลักของโต๊ะหมอ

ประกอบพิธีกรรม ได้แก่

  • ลอยเรือ (ปลาจั๊ก)
  • อาบน้ำมนต์
  • แต่งเปลว
  • แก้บน (อูฆัยนียัง)
  • ไหว้ครู
  • แต่งงานเปิดขันหมาก
  • งานศพ
  • ทำบุญบ้าน
  • ไหว้ครู 

การรักษาโรค

โต๊ะหมอจะรักษาคนป่วยที่หาสาเหตุของโรคไม่ได้ ด้วยการ ปัดเป่าคาถา เสกหมากพลู ให้ผู้ป่วยกิน เป็นการรักษาโรคด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ เพราะชาวเลเชื่อว่าบางโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เกิดจาก "ผีกิน" จึงต้องให้โต๊ะหมอเป็นผู้บำบัดรักษา

วิธีการรักษา มีดังนี้ ประกอบคาถา, การปัดรังควานประกอบคาถาควบคู่กับการบีบนวดและทาน้ำมัน, การเสกคาถากำกับ การดูเทียน การปัดรังควาน สมุนไพร, การทำน้ำมนต์ และการเข้าทรง หมอพื้นบ้านที่รักษาโรคด้วยวิธีจิตบำบัดและเวชบำบัด (สมุนไพร) เช่น การดูเทียน การทำหมากพลูให้กิน

ทุนทางวัฒนธรรม 

  • การแสดงรองเง็ง เป็นการรักษาและสืบสานอัตลักษณ์ทางการแสดงของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลไม่ให้สูญหาย และนำมาต่อยอดเป็นรายได้ของนักแสดงรองเง็ง ประเพณีทำบุญบ้าน เป็นการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้อยู่อาศัย ได้อยู่เย็นเป็นสุข โดยมีอาหารที่ทำในประเพณีนี้ ได้แก่ แกงไก่ ข้าวเหนียวเหลือง กล้วยบวชชี ต้มบวช หมี่เหลือง น้ำพริกผัก 
  • ประเพณีแต่งเปลว เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และเป็นการรวมญาติที่อยู่ห่างไกลได้มาพบกัน ได้รับรู้ทุกข์สุขของญาติพี่น้อง เป็นการรักษาสายสัมพันธ์ของคนในตระกูลให้แน่นแฟ้น ไม่ล่มสลาย 
  • ประเพณีแก้บน เป็นการรักษาสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ร้องขอ เมื่อประสบผลสำเร็จก็ต้องทำตามที่ได้สัญญาไว้ แสดงให้เห็นถึงการเป็นคนรักษาคำพูด 
  • ประเพณีลอยเรือ เป็นการสะเดาะเคราะห์ของคนและชุมชน เป็นการทำสำมะโนประชากรของชุมชนในรอบหกเดือน เป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านการช่างฝีมือ คือ การต่อเรือ เป็นการร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และสามัคคีของคนในชุมชนที่มาช่วยกันเป็นการทำให้ญาติที่อยู่ ห่างไกลได้มาพบกัน เป็นการเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวได้คบหากัน เป็นการสืบทอดการทำอาหารใน พิธีกรรม ประเพณีนี้ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลเป็นที่รู้จักของคนภายนอก สามารถต่อยอดเป็นการ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ 

ทุนเศรษฐกิจ

  • งานช่างฝีมือ ชาวเลมีอาชีพเป็นชาวประมง การได้ทรัพยากรจากการทะเลมายังชีพด้วยวิธีดั้งเดิมชาวเลทำได้ด้วยเครื่องมือพะโต๊ะ ญาโต๊ะ หยองดักปู อวนกุ้ง อวนปลา การได้หมึกและปลาจำนวนมาก ชาวเลมีความสามารถสูงในการสร้างเครื่องมือดักหมึกและดักปลาในน้ำลึกด้วยเครื่องมือประมงที่เรียกว่า “บูบู” อันเป็นภูมิปัญญาของชาวเลที่สืบต่อมานานไม่มีหลักฐานลายลักษณ์ใดระบุได้ว่าบูบูมีมาเมื่อใด ผู้สูงอายุได้ยินบรรพบุรุษเล่าว่า บูบูมีมาตั้งแต่สมัยทวด เมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ชาวเลอูรักลาโว้ยเคยสร้างตาข่ายบูบูด้วยไม้ไผ่จักสานลวดลายเป็น "ตานกเปล้า" เหมือนชนเผ่าในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย (บูบู เป็นเครื่องมือประมง มี 2 ขนาด ขนาดเล็กเป็น "บูบูหนุย" ไว้ดักหมึก กับบูบูเกอตับ ไว้ดักปู และขนาดใหญ่เป็น "บูบูอีกัด" ไว้ดักปลาขนาดกลางในน้ำลึก)
  • บูบูหนุย (ไซหมึก) มีโครงไม้เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 ชม. ประกอบเป็นทรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร มีตาข่ายผสมระหว่างตาข่ายเส้นด้ายกับตาข่ายเส้นลวดสานหลังเป็นทรงโค้งแบบหลังเต่า มีด้าน แคบ 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นประตู นางา ใช้เส้นลวดถักเป็นตาข่ายลึกเข้าไปกลางบูบูสอดเข้าใกล้เกือบใกล้กัน ห่างประมาณ 4-6 ซม. มีปลายเส้นลวดเรียงเป็นแนว กันไม่ให้หมึกเคลื่อนออกย้อนประตูทางเข้าก่อนลำเลียงลงเรือไปวางในแหล่งบามัด ชาวเลจะใช้ใบเต่าร้างคลุมตลอดหลังเต่าบูบูเพื่อให้พื้นที่ในบูบูเสมือนโพรงหลบภัยที่มีเหยื่อกลิ่นคาวปลาผูกติดไว้ในภายใน
  • บูบูเกอดับ (ไซปู) มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ กว้างประมาณครึ่งเมตร ยาวประมาณ 1 เมตร ทรงสูง 0.5 เมตร โครงสร้างบูบูเกอดับเป็นไม้จริงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว หุ้มด้วยเส้นลวดถักเป็นตาข่ายหรือหุ้มด้วยตาข่ายใยสังเคราะห์ มีเหยื่อสดกลิ่นคาวไว้ล่อปูเข้าไปในบูบู (ไซปู)

การทำไซดักปลา (บูบูอีกัต) ในการประกอบอาชีพการประมงโดยทำไซดักจับสัตว์ทะเล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือไซปลา ไซปู และไซดักหมึก

  • บูบูอีกัด (ไซปลา) มีโครงไม้ขนาด 4-6 ซม. วางบนฐานบูบูซึ่งเป็นไม้ขนาด 5-7 ชม. ประกอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนสอบเข้าเป็นทรงหลังเต่า หน้าแคบ 2 ด้าน ด้านประตูและส่วนท้าย กว้างประมาณ 2 เมตร สูงประมาณ 1.5 เมตร ด้านประตูเรียกว่านางา ถักด้วยเส้นลวดเป็นตาข่าย ลวดลายตาสอดเข้าหาเกือบติดกัน ห่างประมาณ 2-3 นิ้ว แต่มีปลายลวดยาวออกไปดั่งหนามแหลมกันไม่ให้ปลาย้อนออกไปทางประตูทางเข้า ทรงด้านยาว ยาวประมาณ 3-4 เมตร ไม้โครงสร้างเป็น "บูบูอีกัต โก๊ะ" ไม้โค้ง จึงทำให้ด้านบนนูนูเป็นทรงโค้งหลังเต่า ตรงด้านหน้าแคบตรงข้ามกับนางา มีโก๊ะไม้ไค้งเป็น โครงสร้าง จึงทำให้ด้านท้ายบูบูเป็นทรงโค้งมน หุ้มด้วยเส้นลวดถักเป็น "ตานกเปล้า" ตลอดทั้งหลัง แต่ช่างเห็นธรรมชาติของปลาปากคม เช่น ปลาปักเป้า จะไม่กัดกินตะไคร่ในส่วนด้านบนเสมือนหนึ่งหลังคาบูบู ช่างจึงใช้ตาข่ายสำเร็จรูปมาปิดแทนเส้นลวดตาข่าย

อาหาร 

  • อาหารของกลุ่มชาติพันธ์ุชาวเล อาหารคาว เช่น ยำหอยน้ำพริก ยำหอยลิ่น ยำปลิงขาวแกงเลียงหอยติบมะละกอ ต้มเห็ดหลุบ ต้มเพรียงทราย หอยติบ หอยทราย อาหารหวาน เช่นขนมหัวล้านส่วนประกอบที่นำมาปรุงอาหารจะเป็นของสดที่ได้จากทะเล เป็นจุดขายที่สามารถรองรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

การถนอมอาหาร

  • มีการรวมกลุ่มของสตรีในหมู่บ้านในการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารทะเล คือการแปรรูปหอยติบ นำมาตากแห้งบรรจุถุงจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับชุมชน 

มุกแหลมตุ๊กแก 

  • เป็นเครื่องประดับ การร้อยสร้อยมุกเป็นการนำเอาทรัพยากรที่มีในธรรมชาติ มาต่อยอดเป็นสินค้าที่ระลึก โดยใช้อัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ชาวเลเป็นจุดขาย 

การใช้ภาษาอูรักลาโวยจ กล่าวถึง ภาษาอูรักลาโวจ สรุปได้ว่า เป็นภาษาหนึ่งในสาขามาเลอิก (Malayic) อยู่ในตระกูลออสโตรนี เซียน (Austronesian Language Family)ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง (มยุรี ถาวรพัฒน์ และคณะ, 2563, หน้า 13)

ตัวอย่างภาษา ได้แก่ 

หมวดอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

  • ชาโวะฮ หมายถึง สมอเรือ 
  • ญาเวาะ หมายถึง สวิงตักปลา 
  • ตาลี หมายถึง เชือก
  • นากะ หมายถึง หน้ากากดำน้ำ 
  • ปูกัยจ หมายถึง อวน 

หมวดชื่อสถานที่

  • ลูวะ หมายถึง แหลมหลา
  • มือชอน หมายถึง ในทอน
  • ยูบัน หมายถึง แหลมตุ๊กแก 
  • บรือตะ หมายถึง กะตะ 

หมวดเครื่องใช้ 

  • ชัน หมายถึง ปิ่นโต 
  • ซือโนะ หมายถึง ทัพพี  
  • ซูดู หมายถึง ช้อน
  • ตาแวะ หมายถึง มีดอีโต้  
  • ตาลับ หมายถึง ถาด  

หมวดคำกริยา 

  • บารี หมายถึง วิ่ง 
  • เปอกุ้ก หมายถึง จับ 
  • มานี หมายถึง อาบน้ำ 
  • มากัด หมายถึง กิน 
  • เมอเลา หมายถึง พูด 

หมวดร่างกาย

  • ยาตก หมายถึง หัวใจ 
  • ปีปี หมายถึง แก้ม 
  • โปรยจ หมายถึง ท้อง 
  • มูโลยจ หมายถึง ปาก
  • ปูชัยจ หมายถึง สะดือ 

การเมืองการปกครองของกลุ่มอูรักลาโวจ ประชากรให้ความสำคัญเกือบทุกหลังคาเรือนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน โดยออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามสิทธิ


ในอดีตชุมชนแหลมตุ๊กแก มีสภาพชุมชนเป็นชุมชนชาติพันธุ์ อาศัยอยู่อย่างแออัด เป็นครอบครัวเดี่ยวคนในชุมชนมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและวางจำหน่ายสินค้าประมงในบริเวณศาลากลางบ้าน หรือหน้าบ้านที่อาศัยของตนเอง  

สภาพบ้านเรือนเป็นบ้านยกสูง หลังคาจั่วมุงสังกะสี ต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2547 บ้านในชุมชนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ หน่วยงานราชการ องค์กรภาครัฐ เอกชน ประชาชน ให้ความช่วยเหลือโดยการสร้างบ้านเรือนให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสภาพบ้านเรือนทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ยังคงผสมผสานอยู่ในพื้นที่

เครือข่ายชุมชน (Blue fish) ชุมชนแหลมตุ๊กแกมีการรวมกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน โดยการผลิตอาหารทะเลแปรรูป เพื่อส่งจำหน่ายแก่ชุมชนภายนอก โดยใช้วัตถุดิบที่ได้จากทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอยกระพง หอยติบ ปลาหมึกแปรรูป เพิ่มรายได้ให้แก่กลุ่มชุมชนแหลมตุ๊กแกได้นำสินค้าอาหารทะเลของชาวบ้าน นำมาจำหน่ายสู่ตลาดภายนอกในรูปแบบเดลิเวอรี สินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง เช่น ปลาแช่แข็ง กุ้งแช่แข็ง ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน โดยกลุ่มเครือข่ายของชุมชน (Blue fish)  

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2566). รายงานภายใต้โครงการ การขับเคลื่อนแนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ประจำปีงบประมาณ 2566. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). 

จารุวัฒน์ นวลใย. (2564). ข้อมูลภูมิปัญญาชุมชนชาติพันธุ์ชาวไทยใหม่จังหวัดภูเก็ต. https://rasada.go.th/

จารูวัฒน์ นวลใย. (2564). ข้อมูลภูมิปัญญาชุมชนชาติพันธุ์ชาวเลจังหวัดภูเก็ต. https://www2.m-culture.go.th/krabi/

นฤมล อรุโณทัย และคณะ. (2557). ทักษะวัฒนธรรมชาวเล : ร้อยเรื่องราวชาวเล - มอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย ผู้กล้าแห่งอันดามัน. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 13, 2567. https://shop.sac.or.th/th/

ประพนธ์ เรืองณรงค์. (2517). ชาวนาที่เกาะอาดัง. https://www2.m-culture.go.th/krabi/

เทศบาลตำบลรัษฎา. (2563). แผนพัฒนาหมู่บ้านประจำปี พ.ศ. 2563 หมู่ที่ 4 บ้านแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต. https://rasada.go.th/

พิมพิไล ตั้งเมธากุล. (2529). การผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรม ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนชาวเล เกาะสิเหร่ ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต. https://sure.su.ac.th/

สาวิตร์ พงศ์วัชร์. (2533). รองเง็ง : ระบำพื้นเมืองภาคใต้. ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, ภาควิชานาฏศิลป์ไทย, บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สารานุกรมเสรี. (2564). หินชนวน. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฏาคม 2566. https://th.wikipedia.org/wiki/

สุวัฒน์ คงแป้น. (2558). ชาวเลแหลมตุ๊กแกวันนี้ยังหวาดผวา. สืบค้น 10 กรกฏาคม 2566. https://www.komchadluek.net/

สยามรัฐออนไลน์. (2562). อนุรักษ์รากเหง้าชาวอูรักลาโว้ย!! "รองแง็งชาวเล" สืบค้นจาก  https://siamrath.co.th/ 

อรุณรัตน์ สรรเพ็ชร. (2565). ข้อมูลศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเกาะมะพร้าว จังหวัดภูเก็ต. หน้า 13

ทต.รัษฎา โทร. 0-7652-5779-85