
ชุมชนชาวไทแสกที่มีรากฐานทางภาษา และยังคงสามารถสืบสานวัฒนธรรมไทแสกได้อย่างสมบูรณ์
ผู้นำที่อพยพชาวแสกมาครั้งแรกบอกว่า การตั้งชื่อ "บะหว้า" เพราะมีป่าต้นหว้า 3 ชนิดอยู่หนาแน่น คือ หว้าข้าว หว้าน้ำ หว้าโก้นโก และไม้อื่นๆ แซมขึ้นตามสมควร แต่ชุมชนรอบข้างเรียกว่าบ้านแสกหรือ บะหว้าแสกเพราะพูดภาษาแสก (ชนเผ่าแสก)
ชุมชนชาวไทแสกที่มีรากฐานทางภาษา และยังคงสามารถสืบสานวัฒนธรรมไทแสกได้อย่างสมบูรณ์
บ้านบะหว้าเป็นชุมชนหนึ่งในตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ชุมชนนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกระจุก เดิมแบ่งการปกครองเป็นหมู่ 5 หมู่ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2538 จึงได้แบ่งการปกครองเป็น 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 7
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชุมชนนี้จะเป็น 2 หมู่บ้าน แต่ยังเป็นชุมชนทางวัฒนธรรมที่ชาวบ้านมีเชื้อสายมาจากไทยแสกที่ถิ่นเดิมทางฝั่งซ้ายใกล้เขาบรรพตต่อแดนญวน ดังนั้นถิ่นฐานดั้งเดิมชุมชนชาวไทยแสกบ้านบะหว้ามาจากบ้านนากระแค้ง บ้านโพธิ์คำ เมืองท่าแขก และแขวงคำม่วน ประเทศลาว หรือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน ได้ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยตั้งบ้านเรือนอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านอาจสามารถ ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเมืองอาจสามารถขยายใหญ่ขึ้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ย้ายถิ่นฐานจากบ้านอาจสามารถไปอยู่บ้านคอนสมอ ตำบลท่าบ่อสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บ้านดอนสมอไม่สะดวกในการหาเลี้ยงชีพ ประกอบกับมีโรคจึงอพยพต่อไป จนถึงบ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม โดยการนำของ นายโพธิสาร ก้อนกั้น เมื่อมาตั้งบ้านเรือนอยู่พื้นที่แห่งหนึ่งเป็นบริเวณที่มีต้นหว้ามาก จึงได้ตั้งชื่อว่า บ้านบะหว้า
บ้านบะหว้าห่างอยู่ห่างจากอำเภอนาหว้าประมาณ 8 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 99 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันตกสุดเขตของจังหวัดนครพนม ติดต่อกับเขตอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร และห่างจากกรุงเทพ 698 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านเสียว ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านตาล ตำบลนาหว้า อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านนาซ่อม ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม และบ้านเม่นใหญ่ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร
ลักษณะทางกายภาพ
ทิศเหนือติดกับทุ่งนาและสายน้ำลำห้วยคอกช้าง ทิศตะวันออกติดลำห้วยแกและหนองชำแฮด หน้าฝนน้ำท่วมทุกปีทำนาไม่ได้ และส่วนใหญ่ด้านนี้จะเป็นพื้นที่สาธารณะ บางส่วนน้ำท่วมไม่ถึง เช่น ดอนอิลับก็จะเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ ทิศใต้ จดที่ราบเป็นทุ่งนาระหว่างบ้านนาหว้ากับบ้านนาซ่อม ทิศตะวันตก จดทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ระหว่างบ้านบะหว้า บ้านท่าเรือ และบ้านเม่นใหญ่ แต่ในส่วนทุ่งนาระหว่างบ้านเม่นใหญ่กับบ้านบะหว้า จะมีโนนจุลนีกับโนนใหญ่เป็นเสมือนภูเขาลูกเล็ก ๆ (มีพื้นที่โนนละประมาณ 6-10 ไร่)
สภาพพื้นที่โดยทั่วไป
เป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำมากในฤดูฝน แต่ขาดน้ำในฤดูแล้ง (เฉพาะเดือนเมษายน) พื้นที่และทำเลของชุมชนบะหว้าจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ จากเหนือถึงใต้ ด้านทิศตะวันตกจะเป็นทุ่งนา ฤดูทำนาจะมีข้าวเต็มไปหมด จะนำวัวควายไปเลี้ยงไม่ได้ เพราะสัตว์เหล่านั้นจะกัดกินต้นข้าว แต่ถ้าหน้าแล้ง ทุ่งนาเหล่านี้ก็จะเต็มไปด้วยวัว ควาย เพราะหมู่บ้านนี้มีวัวควายมาก
ส่วนพื้นที่จากเหนือถึงใต้ ด้านทิศตะวันออกจะเป็นลำห้วย บ่าเล็กป่าน้อย หน้าฝนชาวบ้านจะปล่อยวัวควายข้ามลำห้วยไปเลี้ยง ซึ่งมีบ่า "คอนกลับ" และหนอง "งูเห่า" ที่เป็นป่าและหนองว่างเปล่าเป็นเขตทำเลสาธารณะใน วันเสาร์และอาทิตย์ชาวบ้าน คนเฒ่า คนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็กนักเรียนจะปล่อยวัวควายไปเลี้ยงเต็มทุ่งเต็มท่าไปหมดหากปีไหนน้ำท่วมมาก ๆ วัวควายไม่สามารถลอยน้ำข้ามฟากไปกินหญ้าฝั่งตรงข้ามลำห้วยแกด้านตะวันออกได้ ชาวบ้านก็จะผูกวัวควายไว้ใต้ถุนบ้าน แล้วช่วยกันเกี่ยวหญ้าหาฟางแห้งมาให้วัวควายกินจนกว่าน้ำลด สภาพตามที่กล่าวมาแล้วนี้จะเป็นเกือบทุกปีบางปีจะเป็นระยะสั้น ๆ 10-15 วัน บางปีก็นานเดือนเศษ ๆ หรือสองเดือน
ประชากร และเครือญาติของชาวไทแสกบ้านบะหว้ากับหมู่ญาติมาจากบ้านดอนสมอและบ้านอาจสามารถ เป็นเครือญาติและชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายอย่างเชื่อมโยงกัน
หมู่ที่ | ชื่อหมู่บ้าน | จำนวนประชากรชาย (คน) | จำนวนประชากรหญิง (คน) | รวมจำนวนประชากร (คน) | จำนวนครัวเรือน (คน) |
5 | บ้านบะหว้า | 333 | 303 | 633 | 162 |
7 | บ้านบะหว้า | 330 | 301 | 631 | 206 |
กลุ่มเป็นทางการ
- กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านบะหว้า เป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้านที่มีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่เลี้ยงวัว รับจ้าง ผู้ว่างงาน กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันประกอบอาชีพเพื่อเสริมรายได้ ในช่วงว่างเว้นจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ มีการจำหน่าย ผ้ามัดหมี่และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าคราม ผ้าขาวม้า ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ วัตถุดิบใช้สีธรรมชาติ
- กลุ่มสืบสานประเพณีทำนาแบบโบราณลงแขกเกี่ยวข้าว โครงการหมู่บ้านต้นแบบนำร่องสืบสานประเพณีทำนาแบบโบราณลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นการสืบสานประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว รวมถึงการสาธิตวิถีชีวิตการทำนาแบบโบราณ ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การมัดฟ่อนข้าว และการขนย้ายด้วยการหาบ ไม่ต้องใช้เครื่องจักกล ไปถึงการสาธิตการนวดข้าวจากแรงงานคน หรือการตีข้าว ภายในลานดิน พร้อมจัดสาธิตการใช้ขี้ควายนำมาทำเป็นลานตีข้าว โดยโครงการนี้ยึดถือเอาวิถีชีวิตชาวนาแบบโบราณ มาลดต้นทุนการผลิต ในการนวดข้าว การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านทำลานตีข้าว ตากข้าว จากมูลสัตว์ ขี้ควาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อวัสดุอุปกรณ์ หรือค่าจ้าง ที่จะเกิดผลดีต่อเกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้น และจะมีการต่อยอดขยายผลไปยังชุมชนอื่น ๆ ต่อเนื่อง
กลุ่มไม่เป็นทางการ
- กลุ่ม อสม.
- กลุ่มแม่บ้าน
- กลุ่มทำนาปัง (ปรัง)
- กลุ่มร้านค้าศูนย์สาธิตการตลาด
- กลุ่มกองเลงไทแสก
- กลุ่มทำขนม
- กลุ่มเลี้ยงวัว
- กลุ่มทอผ้า (ย้อมสมุนไพร)
- กลุ่มจับปลามือเปล่า (กลุ่มพิเศษ)
- กลุ่มออกโรงทาน (โรงทานข้าวจี่)
วิถีทางวัฒนธรรม
- ทำบุญพระทายข้าวเปลือก คารวะผู้สูงอายุในเช้าวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี และถือโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย
- ทำบุญเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ คือ งาน "สู่ขวัญบ้าน-ใส่ฝุ่นนา" หรือท้องถิ่นเรียกว่าทำบุญกองขี้ (มูลสัตว์ วัว ควาย) คืนปุ๋ยสู่แม่พระธรณี
- ทำบุญชักบังสกุลรวม กำหนดงานก่อนวันทำบุญใหญ่ประจำปี 1-2 วัน เพื่อระลึกถึง ปู่ย่า ตายาย บิดามารดา หรือผู้มีพระคุณส่วนการทำบุญอื่น ๆ ตามประเพณีของชาวพุทธก็มีเป็นปกติเหมือนกลุ่มอื่น ๆ
วิถีทางสังคม
ทางครอบครัว จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากนัก กล่าวคือ เดิมมีระบบครอบครัว แบบขยายตั้งแต่สองครอบครัวขึ้นไปมาอยู่กับปู่ย่า ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ตั้งบ้านเรือนใกล้ ๆ กับครอบครัวของปู่ย่าการสืบสายตระกูลทางฝ่ายชาย ลูกชายคนสุดท้ายจะได้รับมรดกจากพ่อแม่และได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ญาติพี่น้องจะมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก บทบาทของพ่อจะมีหน้าที่สั่งสอนอบรมลูกชาย ส่วนแม่จะอบรมสั่งสอนลูกหญิง และลูก ๆ จะเคารพ เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ ตลอดจนพ่อแม่ให้การเลี้ยงดูและเอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี
การรับประทานอาหารหรือการกินข้าว เมื่อยกถาดข้าวและอาหารไปวางไว้ที่สำรับกินแล้ว การลงมือกินข้าวครั้งแรกในการรับประทานอาหารครั้งนั้น ๆ ต้องรอให้ผู้สูงอายุหรือบุคคลที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้กินก่อนทุกครั้ง ยกเว้นหัวหน้าครอบครัวได้บอกให้ทุกคนกินข้าวได้เลย เพราะยังไม่หิว คนที่อาวุโสรองลงมาในครอบครัวนั้นก็จะลงมือก่อนตามลำดับ ร่วมรับประทานอาหารไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วก่อนที่จะลุกจากที่นั่งเพื่อไปดื่มน้ำและล้างมือ ทุกคนก็จะยกมือไหว้ขอบคุณข้าว และการไหว้หลังกินข้าวอิ่มนี้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันสืบมา อาจกล่าวได้ว่า เกือบทุกคนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างนี้ ยกเว้นเฉพาะคนที่มาจากถิ่นอื่นมาแต่งงานอยู่ในหมู่บ้าน ในระยะแรก ๆ ก็ไม่ค่อยทำ แต่เมื่อเห็นคนในครอบครัวทำ คนนั้นก็เริ่มทำบ้าง
บ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ มีบุคคลสำคัญ ดังต่อไปนี้
1.นายสีธาตุ ชัยปัญหา เกิด พ.ศ 2484 อาศัยอยู่ หมู่ที่ 7 ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ปัจจุบันเป็นผู้ชายที่อายุมากที่สุดในหมู่บ้าน เป็นหมอสูตร หมอพราหมณ์เป็นมัคนายกอันดับ 1 ของหมู่บ้าน อดีตเคยบวชหลายพรรษา เคยเป็นสมาชิก อบต. 3 สมัย และเคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนึ่งสมัย
2.นายบุญลำ เอกจักรแก้ว เป็นหมอสูตร หมอพราหมณ์ลำดับ 2 เคยบวชเป็นผู้นำทำพิธีทางพุทธ พราหมณ์ได้เป็นอย่างดี เกิด พ.ศ. 2491
3.นางปิ่น เอกจักรแก้ว เป็นมัคทายิกานำไหว้พระสวดมนต์พิธีกรรมทางศาสนา ไม่มีผู้ชายนำพิธีท่านเป็นหญิงก็ทำได้ ส่วนงานฝีมือ ทำขันหมากเบ็ง ดอกไม้ในงานบุญงานศพ รวมถึงการทำบุญอื่น ๆ เช่น โรงทานข้าวจี่ เป็นต้น
4.นางใบ อินทรประเสริฐ งานในหมู่บ้านชุมชนก็ร่วมกับนางปิ่น เคียงบ่าเคียงไหล่กันทำทุกเรื่อง และพิเศษขึ้นอีก คือ เป็นประธานกลุ่มแม่บ้านทอผ้าพื้นเมือง (ผ้ามุก, ผ้าไหม) และออกร้านช่วยการขายผ้าให้กับกลุ่มสมาชิกมีรายได้และเคยเป็นสมาชิก อบต. 1 สมัย (4 ปี)
5.นายปรีชา ชัยปัญหา เป็นข้าราชการครูบำนาญ เป็นปราชญ์ เป็นพิธีกร เป็นวิทยากร เป็นครู 38 ปี เป็นนักการเมืองท้องถิ่น 7 ปี และปัจจุบันส่วนเพิ่มเติม คือ หัวหน้าชนเผ่าไทแสกและประธานสภาวัฒนธรรมตำบลท่าเรือจนปัจจุบัน (ปี 2567) เกิด พ.ศ. 2495 อาศัยอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า
6.นายไทย เอกจักรแก้ว เป็นหมอสมุนไพรและเป็นช่างฝีมือหุ้มหนังกลอง กลองตุ้ม กลองหางกลองเพล และอดีตเป็นช่างตัดผม เย็บรองเท้าทั่วไปและรองเท้านักเรียน นักกีฬา (ท่านเกิด พ.ศ. 2489) อาศัยอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเรือ
7.นายเวียงชัย ปัญหา ปัจจุบันเป็นประธาน อสม. ตำบล และประธาน อสม. หมู่บ้าน เป็นมัคนายกนำทำพิธีทางศาสนาลำดับที่ 3 และความเดิมของท่านเป็นหัวหน้าชุดกลองเลงร่วมกำกับการเล่นการแสดงแสกเต้นสากประจำหมู่บ้าน (ท่านเกิด พ.ศ. 2496) อาศัยอยู่ หมู่ที่ 7 ตำบลท่าเรือ
8.นางเซือม นาขะมิน เป็นหมอพื้นบ้านหญิง เป็นหมอเสกเป่าคนแขนหัก ขาหัก มือเท้าแพลงผิดรูป รวมถึงการเป็นคณะกรรมการกลุ่มสตรีในหมู่บ้าน และมีความพิเศษเพิ่ม เก่งด้านจับปลายกยอด้วย (เกิด พ.ศ. 2504) อาศัยอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเรือ
9.นายสุชา ก้อนกั้น เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม (ท่านเกิด พ.ศ. 2512) อาศัยอยู่ หมู่ที่ 7 ตำบลท่าเรือ
10.นายโยธิน เอกจักรแก้ว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม (ท่านเกิด พ.ศ. 2511) อาศัยอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเรือ
ทุนวัฒนธรรม
- วัดโอภาสวิทยารา ชาวไทแสกนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้ใหญ่บ้านคนที่สอง ที่ให้เน้นความสำคัญของพุทธศาสนา มีความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า และเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ได้มีการฟังเทศนาทุกวันพระ การนำคำเทศนาไปเปิดในหอกระจายข่าวของชุมชนในวันพระ หรือเมื่อมีงานบุญใด ๆ ก็จะมีการฟังเทศน์ในงานน้ัน ๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้แนวคิดและแนวทางที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิต
- อาหาร ปล๋าเผาะเผ่ากราบโครุ่ง (ปลาเพาะห่อกาบกล้วย) สมัยก่อนหากชาวบ้านหาปลามาได้แล้วจะนำปลาไปเผาทานเปล่า ๆ ต่อมาต้องการเพิ่มรสชาติและให้ปลาไม่แห่งจนเกินไปจึงนำกาบของต้นกล้วยมาห่อก่อนแล้วจึงเผา ปลาเผาะ เป็นปลาที่หาทานง่ายในบริเวณที่ชนเผ่าไทยแสกอาศัยอยู่ จึงมีการเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ไว้จนเป็นปลาเศรษฐกิจของชาวบ้าน เมื่อมีแขกหรือผู้มาเยือน ชาวบ้านนิยมนำเมนูนี้ขึ้นมาวางไว้ในสำรับ จึงกลายเป็นอาหารเอกลักษณ์ของชนเผ่าไทยแสก
- ขนม ขนมเกฺาโค̄บ (ข้าวพอง) เป็นภาษาแสก เกฺาโค̄บ เป็นขนมโบราณของชาวไทแสก ใช้ในงานบุญและงานมงคล
- การแต่งกาย ผู้ชายเสื้อดำแขนสั้น ผ้ายอมหม้อสีคราม เสื้อคอกลมติดกระดุมด้านหน้ากางเกงขาก๊วย หรือขา ครึ่งท่อ ผ้าคาดเอว เป็นผ้าขาวม้า เป็นลายตะล่องสีแดง ส่วนผ้าพาดบ่าใช้ผ้าสีแดงล้วน ผู้หญิงเสื้อแขนยาวสีดำ ผ่าอก ติดกระดุมด้านหน้า ผ้าถุงสีดำเชิงที่ปลายผ้าถุง ผ้าถุงยาวคลุมเท้า ผ้าคาดเอวนิยมเป็นผ้าลายเดียวกันกับลายเชิงผ้าถุงผ้าเบี่ยงซ้าย นิยมใช้ผ้าสีแดง นิยมใส่ตุ้มหู กำไลขา สร้อยขา และสร้อยคอ นิยมไว้ผมยาวเกล้ารัดมวย
ชาวบ้านบะหว้ามีภาษาเฉพาะ คือ ภาษาแสก เป็นภาษาพูด ไม่ได้เป็นภาษาเขียน ภาษาแสกบางคำเหมือนกับภาษาเวียดนามแต่ก็ไม่มากนัก เนื่องจากถิ่นเดิมของชาวไทแสกในประเทศไทยเคยอยู่ติดพรมแดนเวียดนาม แต่คนในชนชาติพันธุ์พูดกันรู้เรื่อง คนชาติพันธุ์อื่นฟังไม่ออก และชาวไทยแสกยังมีการพูดแสกทั้งชุมชน ซึ่งพูดภาษาแสกได้อย่างชัดเจนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนภาษาไทยกลางนั้นก็พูดได้ เรียนรู้ได้ เพราะเมื่อถึงเกณฑ์อายุเข้าโรงเรียน ชาวไทแสกทุกคนจะไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือในภาคบังคับ เด็กนักเรียนที่เป็นไทแสกมักจะได้เปรียบกว่านักเรียนที่เป็นคนลาว คนย้อ หรือชาติพันธุ์อื่น ๆ เพราะคนแสกพูด ส, ร, ล ได้ชัดเจน หันลิ้นตัว ร. ตัว ล. ได้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนที่สมาชิกใช้ภาษาแสกพูดสนทนากันล้วน ๆ มีถึงร้อยละ 61.6 นอกเหนือจากที่ใช้พูดภาษาแสกปนกับภาษาอื่น ๆ เช่น ภูไท ลาว และญ้อ มีอยู่ร้อยละ 38.4. ก็แสดงให้เห็นว่าสมาชิกภายในครัวเรือนสามารถพูดภาษาแสกได้ทั้งหมด แสดงว่ายังเป็นการแสดงเอกลักษณ์ของภาษาที่พูดกันมาก และมีแนวโน้มว่าครัวเรือนที่พูดสองภาษานั้นเมื่อถึงรุ่นลูกอาจจะพูดภาษานั้น ปัจจุบันนี้อาจจะมีบางคำที่ถูกกลืนบ้าง แต่ยังเป็นส่วนน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ยังรักษาได้เป็นอย่างดี
ด้านการแต่งกาย/การละเล่น มีการแต่งกายชุดไทแสก (คล้ายๆ ภูไท) การละเล่นเต้นรำจังหวะ "แสกเต้นสาก" ชุดกองเลงไทแสก รวมถึงการแต่งเพลงสั้น ๆ กลอนลำสั้น ๆ เป็นภาษาแสกล้วน ๆ
ด้านภาษา ปัจจุบันแสกบ้านบะหว้าได้ร่วมกับสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกันทำให้มีระบบตัวเขียนเพื่อเผยแพร่สืบทอดภาษาแสกให้สืบทอดมั่นคงต่อไป
ทีมวิจัยภาษาแสก. (2554). "เรื่องเล่าประสบการณ์ของทีมวิจัยภาษาแสก". เอกสารประกอบรายงานวิจัย. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม. (2555). กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านบะหว้า. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2567. http://www.m-culture.in.th/album/
MGR Online. (21 พฤศจิกายน 2566). อำเภอนาหว้าสร้างหมู่บ้านต้นแบบทำนาโบราณ ลดต้นทุนหนุนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2567. https://mgronline.com/local/
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2567). รายงานโครงการสำรวจและจัดการข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ไทแสก ปีงบประมาณ 2567. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)