Advance search

ชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายหรือยุคโลหะตอนปลาย มีโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมร(กู่เมืองบัว) สิมหรืออุโบสถในวัฒนธรรมลาว มีความเชื่อเรื่องผีที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนและข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้

หมู่ที่ 1, 2, 5, 6, 10, 11
เมืองบัว
เมืองบัว
เกษตรวิสัย
ร้อยเอ็ด
วิสาหกิจชุมชน โทร. 09-3324-9049, อบต.เมืองบัว โทร. 08-9844-2714
วุฒิกร กะตะสีลา
10 เม.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
25 เม.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
25 เม.ย. 2023
บ้านเมืองบัว

ชุมชนบ้านเมืองบัวตั้งชื่อบ้านตามทรัพยากรธรรมในชุมชนที่มีในพื้นที่ ซึ่งมีสระน้ำหรือหนองน้ำจำนวนมากและมีบัวแดงอยู่ตามสระเป็นจำนวนมากจึงตั้งชื่อชุมชนว่าบ้านเมืองบัว


ชุมชนชนบท

ชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายหรือยุคโลหะตอนปลาย มีโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมร(กู่เมืองบัว) สิมหรืออุโบสถในวัฒนธรรมลาว มีความเชื่อเรื่องผีที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนและข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้

เมืองบัว
หมู่ที่ 1, 2, 5, 6, 10, 11
เมืองบัว
เกษตรวิสัย
ร้อยเอ็ด
45150
15.604144736457151
103.59540127327821
เทศบาลตำบลเมืองบัว

ชุมชนบ้านเมืองบัวเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่อยู่ในภาคอีสานระหว่างลุ่มแม่น้ำชีทางตอนเหนือและลุ่มแม่น้ำมูลทางตอนใต้ มีพื้นที่ประมาณ 2,107,690 ไร่ มีประชากรประมาณ798,070คน(สำนักงานสถิติจังหวัดมหาสารคาม, 2560:6;สำนักงานสถิติจังหวัดร้อยเอ็ด,2560:5; สำนักงานสถิติจังหวัดยโสธร,2559: 3; สำนักงานสถิติจังหวัดสุรินทร์,2559: 3; สำนักงานสถิติจังหวัดศรีสะเกษ,2559:3) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลครอบคลุมพื้นที่บางส่วนใน จังหวัดคือ จังหวัดมหาสารคาม (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย) จังหวัดร้อยเอ็ด (อำเภอปทุมรัตน์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอโพนทราย และอำเภอหนองฮี) จังหวัดสุรินทร์ (อำเภอชุมพลบุรี และอำเภอท่าตูม) จังหวัดศรีสะเกษ (อำเภอศิลาลาด อำเภอราษีไศล และอำเภอยางชุมน้อย) และจังหวัดยโสธร (อำเภอค้อวัง และอำเภอมหาชนะชัย) ในอดีตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำท่วมขังเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก และแห้งแล้งในเวลาหน้าแล้ง รวมทั้งดินเป็นดินเค็ม ดังนั้นพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในอดีตจึงไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ และมีลักษณะเป็นทุ่งโล่ง นอกจากนั้น พื้นที่ดังกล่าวยังมีความเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันท่ามกลางความหลากหลายในด้านต่าง ๆ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏในพื้นที่ชุมชนบ้านเมืองบัว มีการตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายซึ่งนักวิชาการเรียกว่า “วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้”เมื่อประมาณ 4,000-1,500 ปีมาแล้วและมีการอยู่อาศัยต่อมาจนกระทั่งได้รับอิทธิพลในวัฒนธรรมเขมรที่ขยายอำนาจเข้ามาในพื้นที่แถบภาคอีสานในปัจจุบัน จึงได้ปรากฏหลักฐานของโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรต่อเนื่องในพื้นที่ด้วย ไม่เพียงเท่าเมื่อวัฒนธรรมเขมรเริ่มเสื่อมลง กลุ่มคนในวัฒนธรรมลาวเริ่มมีอิทธิพลในพื้นที่แถบภาคอีสานมีการอพยพโยกย้ายผู้คนกระจัดกระจายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่อพยพมาจากนครจำปาสักของลาวในปัจจุบันได้ พื้นที่ของชุมชนบ้านเมืองได้รับอิทธิพลลาวมาจากกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

การขยายตัวของชุมชนบ้านเมืองบัวในช่วงการปกครองด้วยระบบเจ้าเมือง ตั้งแต่ พ.ศ. 2416 เป็นไปอย่างช้า ๆ เห็นได้จากเดิมทีชุมชนบ้านเมืองบัวเมื่อเริ่มมีกลุ่มเครือญาติของเจ้าเมืองซึ่งอพยพตามเจ้าเมืองมาอาศัยพื้นที่บ้านเมืองบัว โดยมีการตั้งหลักปักฐานตามบริเวณคุ้มสีกและโนนกลางบ้านในระยะนี้มีคนอพยพโยกย้ายเข้าออกหมู่บ้านมากขึ้น เมื่อมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นจึงขยายชุมชนออกไปอยู่ทางคุ้มส้มโฮงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านแต่ไม่หนาแน่นนัก การขยายตัวของชุมชนบ้านเมืองบัวเป็นไปแบบช้า ๆ ปัจจัยมาจากหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องการอพยพโยกย้ายเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่มีความแน่ชัดในการตั้งหลักปักฐานบางคนมาเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแค่การเริ่มขยับขยายชุมชนออกไปอย่างเบาบางผู้คนส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวตามคุ้มสีกและโนนกลางบ้านเท่านั้น

 

 

การขยายตัวของชุมชนบ้านเมืองบัวจากระบบราชการในช่วง พ.ศ. 2451-2509 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5 ส่งผลให้เมืองเกษตรวิสัยลดฐานะลงมาเป็นอำเภอเกษตรวิสัยและมีนายอำเภอเป็นผู้ปกครอง ชุมชนบ้านเมืองบัวมีผู้คนอาศัยหนาแน่นขึ้นโดยเฉพาะบริเวณคุ้มส้มโฮง มีการสร้างวัดแห่งที่2 ของหมู่บ้านคือวัดศรีอริยวงศ์ รวมทั้งยกฐานะขึ้นเป็นตำบลเมืองบัวมีการสร้างโรงเรียน ถนน ตลาด มีการติดต่อและทำการค้ากับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้หมู่บ้านเมืองบัวพัฒนาอย่างชัดเจนทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงการเป็นอยู่ของผู้คนที่เริ่มขยับขยายออกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ของชุมชน ทั้งด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือมากขึ้น รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเศรษฐกิจที่เริ่มมีพ่อค้าฃภายนอกเข้ามาในชุมชนอีกทั้งยังมีพ่อค้าในชุมชน เช่น ร้านนายกิมเหม่ง ณ อุบล พ่อค้าเร่อย่างนายปฐม เจริญราช ส่งผลให้เกิดการค้าที่เชื่อมโยงกับภายนอกชุมชนโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ เช่น เกษตรวิสัย สุรินทร์ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้หมู่บ้านเมืองบัวพัฒนาในลักษณะนี้เป็นมาจากระบบการปกครองในราชการ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจการค้าและการจัดการความเชื่อเรื่องผีทั้งสามอย่างนี้ร่วมด้วยกัน

 

 

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของบ้านเมืองบัวประมาณพ.ศ. 2510-2547ซึ่งเป็นผลมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่2 ส่งผลให้บ้านเมืองบัวมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม ไฟฟ้า น้ำประปา การสาธารณสุข การปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านดีขึ้นตามลำดับ ปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้บ้านเมืองบัวพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดคือเหตุการณ์ “ทุ่งกุลาแตก”ได้ทำให้คนในหมู่บ้านเข้าสู่สังคมการเกษตรแบบทุนนิยมมากขึ้นพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชเข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ข้าวหอมมะลิเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของคนในชุมชน มีการนำต้นยูคาลิปตัสและต้นกระถินณรงค์มาปลูกในพื้นที่คูคันนา การขุดลอกคูคลองทั้งลำน้ำเสียวน้ำเตา การพัฒนาของภาครัฐช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนบ้านเมืองบัวอย่างชัดเจนจนกระทั่งปัจจุบัน

การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนการสร้างตัวตัวตนและสำนึกร่วมของคนในชุมชนตั้งแต่ พ.ศ. 2548-2565 เริ่มต้นจากการชำระประวัติศาสตร์บ้านเมืองบัวในโครงการเมธีวิจัย พ.ศ. 2548 โครงการสืบค้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยชุมชนท้องถิ่นได้ดำเนินการในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ มีชุมชนหลายชุมชนได้เข้าร่วม และบ้านเมืองบัว ได้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย ผู้นำสำคัญคนหนึ่งของบ้านเมืองบัวในการสืบค้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือนายไพจิตร วสันตเสนานนท์ เกิดการตื่นตัวของผู้คนในเขตทุ่งกุลาร้องไห้และเกิดการวิจัยในพื้นที่ต่างมากมายรวมทั้งเกิดเครือข่ายการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ในด้านต่าง ๆ ทั้งการบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ ตำนาน เรื่องเล่า การรื้อฟื้นประเพณีต่าง ๆ ในแต่ละชุมชนและเกิดหลักสูตรท้องถิ่นทุ่งกุลาร้องไห้ ต่อมาเกิดกิจกรรมการรักษา ฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า หนองน้ำทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังมีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ด้วยพื้นที่บ้านเมืองบัวตั้งอยู่ระหว่างลำน้ำสองสายคือลำน้ำเสียว และลำน้ำเตา เนื่องจากเป็นเมืองโบราณจึงมีคันดินคูน้ำรอบพื้นที่ ปัจจุบันคูน้ำหลายแห่งตื้นเขินจนกลายเป็นพื้นดินแต่อีกหลายแห่งยังคงสภาพเป็นหนองน้ำ ซึ่งมีหนองน้ำในหมู่บ้าน 9 แห่งและหนองน้ำบริเวณทุ่งอีก 25 แห่ง พื้นที่ป่าที่เหลืออยู่สองแห่งคือป่าที่ดอนกู่ และที่ “โพนหนามแท่ง” มีเหตุการณ์การขโมยเทวรูปศักดิ์สิทธิ์จากดอนกู่ส่งผลให้เกิดการคัดค้านการขุดแต่งโบราณสถานกู่เมืองบัวของกรมศิลปากรเนื่องจากความเชื่อที่เข้มข้นเกี่ยวกับเรื่องผีของผู้คน อีกทั้งยังมีการฟื้นฟูประเพณีสรงกู่ให้มีเชื่อเสียงและปรับเข้ากับความเชื่อเรื่องผีของคนในชุมชน กล่าวคือมีการเริ่มนำผีเจ้าปู่ประจำคุ้มต่าง ๆ เข้ามาร่วมในพิธรสรงกู่ร่วมกันเกิดกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความสามัคคีในชุมชน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดศรีอริยวงศ์เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชนและเป็นพื้นที่เก็บเรื่องราว วัตถุ ประวัติศาสตร์ของชุมชน จากเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนจึงส่งผลให้คนในชุมชนเกิดสำนึกรักษ์ท้องถิ่นและมีความสามัคคีในชุมชนค่อนข้างสูง อีกทั้งในช่วง พ.ศ. 2556 มหาวิทยาลัยมหาสารคามเข้ามาช่วยกระตุ้นสำนึกในท้องถิ่นผ่านการดำเนินโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านเมืองบัว โดยเฉพาะสาขาวิชาประวัติศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ลงไปจัดกิจกรรมในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดนิทรรศการ ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ เก็บข้อมูลวิจัยต่าง ๆ 

จากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของชุมชนบ้านเมืองบัว ตำบลเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เห็นได้ว่าชุมชนนี้เป็นชุมชนที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี ประเพณีความเชื่อและพลังของคนในชุมชนชน ชุมชนบ้านเมืองบัวเป็นชุมชนที่มีความสามัคคีกันค่อนข้างสูงอันเนื่องมาจากการสร้างอัตลักษณ์ การสร้างประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยยึดโยงผู้คนให้รวมกลุ่มกัน รวมทั้งการสร้างสัญลักษณ์ของชุมชนผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคือผีปู่ตาและพิธีสรงกู่ การกลับมารื้อฟื้นประเพณีเก่าแก่ของชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชนรวมถึงการสร้างพิพิธภัณฑ์วัดศรีอริยวงศ์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชน ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามของคนในชุมชนเพื่อสร้างพลังของชุมชนจนประสบความสำเร็จและกลายเป็นชุมชนที่มีส่วนร่วมต่อกันในทุกๆด้านกล่าวได้ว่า “ความสามัคคีของคนในชุมชนบ้านเมืองบัวคือพลังที่ช่วยขับเคลื่อนชุมชนให้พัฒนาต่อไปในอนาคต”

 

 

 

 

 

 

อาณาเขตของบ้านเมืองบัว

 

  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดต่อกับ บ้านหัวดงกำแพง
  • ทิศเหนือ ติดเขต ตำบลเกษตรวิสัย มีลำน้ำเสียวเป็นเขตกั้นแดน
  • ทิศใต้ เป็นทุ่งกุลาร้องให้มีพื้นที่ติดกับบ้านโพนท่อนบ้านโพนฮาดและบ้านดงครั่งน้อย มีลำน้ำเตาไหลผ่านและมีครองน้ำ(ฮ่องเหมือง)
  • ทิศตะวันออก มีเลิงสีก(คลองสีก) เป็นแนวล้อมรอบและเป็นคูเมืองเก่าสมัยโบราณ ห่างออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรเป็นลำน้ำเสียวไหลบรรจบกับลำน้ำเตา ต่อมาในยุคปัจจุบันได้ตัดถนนเพื่อการสัญจรโดยตัดผ่านคลองน้ำโบราณจึงกลายเป็นหนองน้ำที่รายรอบชุมชนดังที่เห็นในปัจจุบัน
  • ทิศตะวันตก ติดกับ ชายทุ่งกุลาร้องไห้ โพนหนามแท่ง บ้านสำราญหมู่ 3 ตำบลเมืองบัว ด้านนี้พื้นที่จะเป็นที่ราบ มีหนองน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ คือหนองส้มโฮง

 

 

 

 

 

 

 

ตระกูลในชุมชนบ้านเมืองบัว

 

  • กลุ่มญาติพี่น้องพระศรีเกษตราธิไชย (สินลา) และแม่หนุ่มหม่อมตู้ต้นตระกูลสังขศิลา
  • กลุ่มน้องชายพระศรีเกษตราธิไชย และเจ้านายเมืองร้อยเอ็ด ท้าวจันทร์ ต้นตระกูลอุปชิต
  • กลุ่มท้าวสิงห์ ต้นตระกูลศิริสิงห์
  • กลุ่มพ่อขุนจำเริญ ต้นตระกูลเจริญสุข
  • กลุ่มพ่ออุดมทรัพย์ ต้นตระกูลอุดมทรัพย์
  • กลุ่มพ่ออ่อน พ่อเหลา ต้นตระกูลหาพันธุ์
  • กลุ่มพ่อจำปา แม่ทาทิพย์ ต้นตระกูลจำปาทิพย์
  • กลุ่มพ่อไชยจากบ้านราชธานี ร้อยเอ็ด ต้นตระกูลไชยราช
  • กลุ่มพ่อจำเริญ จากบ้านราชธานี ต้นตระกูลเจริญราช (น้องชายนายไชย)
  • กลุ่มพ่อสิมา พ่อเชียงลุน ต้นตระกูลกองพิธี
  • กลุ่มพ่อสุโพธิ์ ต้นตระกูลอาจสุโพธิ์
  • กลุ่มพ่อศรีสุรักษ์ ต้นตระกูลพิรุณ
  • กลุ่มพ่อลา ต้นตระกูลกลางราช
  • กลุ่มพ่อไชยปัญญา ต้นตระกูลออมอด
  • กลุ่มขุนหาญข้อง และยังมีผู้ตามมาอีกมาก เช่น กลุ่มนามสกุลยามโสภา มาตรศรี พิเนตร นาดี และดำงาม
  • ที่สำคัญอีกกลุ่ม คือ กลุ่ม พ่อลา อุดมคำ และกลุ่มพ่อพวง ไกรษร มาจากเมืองอุบลราชธานีและสุรินทร์

 

 

 

กลุ่มอาชีพที่สำคัญของชุมชนที่โดดเด่นคือกลุ่มเลี้ยงโคเนื้อหมู่ที่11 ที่ใช้ความเชื่อเรื่องผีเจ้าพ่อศรีนครเตาในการจัดการและดูแลโคเนื้อในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว รวมทั้งมีการตั้งกลุ่มจัดการขยะกลุ่มอาชีพสานกระเป๋าโคมไฟจากขยะพลาสติกหมู่ที่15

  • เดือนมกราคม : บุญคูณลาน,บุญคุ้ม,บุญกุ้มข้าว
  • เดือนกุมภาพันธ์ : บุญข้าวจี่
  • ดือนมีนาคม : บุญพะเหวด
  • เดือนเมษายน : บุญสรงน้ำ,สรงกรานต์
  • เดือนพฤษภาคม : บุญบั้งไฟ,ทำบุญหลักบ้าน(บือบ้าน),บุญสรงกู่ 
  • เดือนมิถุนายน : บุญเบิกบ้านเบิกเมือง,บุญซำฮะ บุญคุ้ม 
  • เดือนกรกฎาคม : บุญเข้าพรรษา 
  • เดือนสิงหาคม : บุญข้าวประดับดิน 
  • เดือนกันยายน : บุญข้าสาก 
  • เดือนตุลาคม : บุญออกพรรษา,แข่งเรือยาว
  • เดือนพฤศจิกายน : แข่งเรือยาว,บุญกฐิน,ลอยกระทง
  • เดือนธันวาคม : บุญเข้ากรรม “บุญเดือนอ้าย”

 

 

 

 

นายไพจิตร วสันตเสนานนท์ อายุ 71 ปี

อดีตครูโรงเรียนบ้านเมืองบัววิทยาคาร ปราชญ์ชาวบ้านผู้นำในการพัฒนาหมู่บ้านทั้งด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วิถีชีวิตชุมชน รื้อฟื้นและพัฒนาประเพณีสรงกู่ให้มีชื่อเสียงรวมทั้งการสร้างพลังของชุมชนผ่านงานวิจัยในชุมชน นายไพจิตร วสันตเสนานนท์ อดีตครูโรงเรียนเมืองบัววิทยาคาร อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รวบรวมผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชนร่วมกันให้ข้อมูล และเขียนประวัติศาสตร์บ้านเมืองบัว โดยจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม  ชื่อว่า “ตำราอีสานตำนานเมืองบัว” กิจกรรมการรักษา ฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า หนองน้ำทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังมีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ด้วยพื้นที่บ้านเมืองบัวตั้งอยู่ระหว่างลำน้ำสองสายคือลำน้ำเสียวและลำน้ำเตา  เนื่องจากเป็นเมืองโบราณจึงมีคันดินคูน้ำรอบพื้นที่ ปัจจุบันคูน้ำหลายแห่งตื้นเขินจนกลายเป็นพื้นดินแต่อีกหลายแห่งยังคงสภาพเป็นหนองน้ำ ซึ่งมีหนองน้ำในหมู่บ้าน 9 แห่งและหนองน้ำบริเวณทุ่งอีก 25 แห่ง  พื้นที่ป่าที่เหลืออยู่สองแห่งคือ ป่าที่ดอนกู่ และที่ “โพนหนามแท่ง”ซึ่งในอดีตเป็นป่าช้าของชุมชนมีพื้นที่ประมาณ 25 ไร่

บ้านเมืองบัวเป็นชุมชนโบราณที่มีการตั้งถิ่นฐานมานานประมาณ 4,000-1,500 ปีมาแล้ว ซึ่งยังหลงเหลือหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้และคูน้ำรอบเมืองโบราณ

  • โบราณสถานในวัฒนธรรมเขมร (กู่เมืองบัว) อายุประมาณพุทธศตวรรษที่18
  • โบราณสถานในวัฒนธรรมล้านช้าง (สิมวัดปทุมคงคา)
  • ประเพณีสรงกู่บ้านเมืองบัวที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน
  • ความเชื่อเรื่องผีที่โดดเด่นและทำให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  • ลำน้ำเสียว
  • ลำน้ำเตา
  • ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้

 

 

 

 

 

 

 

ภาษาไทยและใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสาร

 

 


การพัฒนาของชุมชนด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะด้านโบราณคดีถือเป็นชุมชนที่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าสนใจ ทั้งวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่2 ของชุมชนโบราณทั้งโบราณสถานที่ปรากฏ 2 แห่ง 

 

 

 

 

 

การก่อสร้างสิม เรื่องเล่าและตำนานการเกิดทุ่งกุลาร้องไห้

 

 

“โพนขี้นกอินทรี” คือ ซากฟอสซิลหอยน้ำจืดที่จับตัวกันแน่น พบมากในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้โดยเฉพาะอำเภอสุวรรณภูมิและอำเภอเกษตรวิสัยเพราะแต่เดิมพื้นที่บริเวณทุ่งกุลาร้องไห้เมื่อประมาณ 2-3 ล้านปีมาแล้วเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ สมัยก่อนชาวบ้านจะนำเอาโพนขี้นกอินทรีมาบดละเอียดและผสมกับ “ยางบง” ซึ่งเป็นยางไม้ชนิดหนึ่งในท้องถิ่นที่มีความเหนียวเมื่อผสมทั้งสองเข้าด้วยจะนำเอาไปฉาบตามผนังโบสถ์วิหารหรือสิมในวัฒนธรรมลาว(แทนปูนซีเมนต์) พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ที่พบสิมโบราณในสมัยวัฒนธรรมลาวส่วนใหญ่จะมีการใช้โพนขี้นกอินทรีในการฉาบ เพราะในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้พบโพนขี้นกอินทรีเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้นยังปรากฏนิทานตำนานทุ่งกุลาร้องไห้ที่เกี่ยวกับโพนขี้นกอินทรีของคนในแถบทุ่งกุลาร้องไห้ โดยนายไพจิตร วสันตเสนานนท์เล่าว่า มีเมืองเมืองหนึ่งชื่อเมืองจำปานาคบุรีมีพระธิดานามว่า นางแสนสี และมีเมืองบูรพานครมีพระโอรสนามว่า ท้าวฮาดคำโปง ได้ลักพาตัวนางแสนสีขณะล่องแพในทะเลสาบ เจ้านครจำปานาคบุรีจึงให้พญานาคสูบน้ำในทะเลสาบออกให้หมด หลังจากนั้น กุ้ง หอย ปู ปลา ตายส่งกลิ่นเหม็นไปถึงพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้นกอินทรีสองผัวเมียมากิน กุ้ง หอย ปู ปลา เหล่านั้นให้หมด เมื่อนกอินทรีกินจนหมดก็ถ่ายมูลออกมากองใหญ่ซึ่งทุกวันนี้เรียกว่า “โพนขี้นก”

 

 

 

 

ไพจิตร วสันตเสนานนท์. (2550). ตำราอีสานตำนานเมืองบัว. แสงงามการพิมพ์.

ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, ส. ม. (2559). นานาทัศนะท้องถิ่นอีสาน. มาตาการพิมพ์.

สุกัญญา เบาเนิด. (2553). โบราณคดีในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้. หจก.ศิริธรรมออฟเซ็ท.

สุจิตต์ วงเทศน์. (2546). ทุ่งกุลา “อาณาจักรเกลือ” 2500 ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลัง ถึงยุคมั่งคั่งข้าวหอม. มติชน.

วิสาหกิจชุมชน โทร. 09-3324-9049, อบต.เมืองบัว โทร. 08-9844-2714