Advance search

บ้านดอย

วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ป่าไม้สมบูรณ์ น้ำตกสวยงาม ลาบสมุนไพรเลื่องชื่อ ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ รักสงบ แบ่งปันเกื้อกูล

หมู่ที่ 7 ถนนเด่นห้าดงมะดะ
ดอยชมภู
โป่งแพร่
แม่ลาว
เชียงราย
อบต.โป่งแพร่ โทร. 0-5377-8249
ธันย์ติศักดิ์ กิจก้าวไกล
16 ก.ย. 2023
สมชาย วงค์ภักดิ์ดี
30 ก.ย. 2023
ปริญญ์ รุจิรัชกุล
10 ก.ค. 2024
บ้านดอยชมภู
บ้านดอย

หมู่บ้านห้วยชมภู ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ 2470 หรือ 2472 ตั้งแต่นั้นมามีผู้นำหมู่บ้าน 2 คน มีผู้ใหญ่บ้าน 7 ท่าน ต่อมาปัจจุบันเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านห้วยชมภู เป็นหมู่บ้านดอยชมภู โดยพระณรงค์ฤทธิ์ อินต๊ะมา เป็นผู้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน


วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ป่าไม้สมบูรณ์ น้ำตกสวยงาม ลาบสมุนไพรเลื่องชื่อ ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ รักสงบ แบ่งปันเกื้อกูล

ดอยชมภู
หมู่ที่ 7 ถนนเด่นห้าดงมะดะ
โป่งแพร่
แม่ลาว
เชียงราย
57000
19.7931647157646
99.6386790275574
องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งแพร่

ชาติพันธุ์บีซู เดิมทีมีหมู่บ้านที่เรียกว่าห้วยชมภู ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ 2470 หรือ 2472 ซึ่งก่อนมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยได้มีการอพยพย้ายถิ่นมาจากประเทศจีน และกระจายกันไปตั้งถิ่นฐานที่ประเทศจีน (สิบสองปันนา) พม่า ลาว ไทย

โดยสิ่งที่ได้นำมาด้วยพร้อมกับการโยกย้าย คือ ภาษา วิถีชีวิต อาหาร และขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม และได้ทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ในปัจจุบัน หลายสิ่งได้เริ่มสูญหายไปและใกล้จะสูญหายไป เช่น ภาษาและวัฒนธรรมซึ่งเกิดจากการที่ถูกสังคมที่แวดล้อมและสถานการณ์ในปัจจุบันกลืนกินชุนชนบีซูได้มาตั้งรกรากถิ่นฐานที่ทางภาคเหนือของประเทศไทยประมาณหนึ่งร้อยกว่าปี

ในอดีต มีเหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นในชุมชนโดยเกิดเหตุติดเชื้อจากการบริโภคหมูที่มีเชื้อโรคระบาดล้มป่วยเกือบทั้งหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านบางส่วนถูกจับกุมจำคุกฐานลอบตัดต้นไม้ในเขตป่าไม้ มีการขัดแย้งกับชาวต่างชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณใกล้กันเพราะเหตุลักขโมยสัตว์เลี้ยง และเหตุแผ่นดินไหวจนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเสียหาย

ลักษณะที่ตั้งหมู่บ้านเป็นพื้นที่ราบสูงแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านมีภูเขาที่เป็นต้นน้ำลำธารที่ไหลผ่านพื้นที่ทำกินของชาวบ้านบีซูมีลำห้วยอยู่ 2 สาย คือ สายน้ำด้านฝั่งซ้าย และด้านฝั่งขวา ซึ่งลำห้วยด้านฝั่งขวาจะมีน้ำตกที่มีชื่อเรียกว่าน้ำตกตาดเหมย และมีพื้นที่ติดกับหมู่บ้านอื่นดังนี้

  • ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่บ้านสันอุดมและบ้านห้วยส้านพลับพลา (คนเมือง)
  • ทิศตะวันตก ติดกับ ภูเขาแหล่งต้นน้ำ (ลีซู)
  • ทิศเหนือ ติดกับ เขตแดนของชนเผ่าอาข่า
  • ทิศใต้ ติดกับ เขตพื้นที่ทำกินและป่าไม้ของบ้านเหมืองลึกที่เป็นคนเมืองสภาพทางภูมิอากาศเป็นป่าดิบชื้นซึ่งพื้นที่ทั้งหมดของหมู่บ้านบีซูมีประมาณ 2,938.917 ไร่

ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2566) ชาติพันธุ์บีซูนั้นมีการตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นกลุ่มบ้านเรือนจะนิยมสร้างติดกันโดยมีเพียงรั้วกั้นอาณาเขตของแต่ละครัวเรือนซึ่งมีจุดประสงค์ในการช่วยการสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้กับเพื่อนบ้างด้วยกันจากเหตุร้ายต่าง ๆ

จากการสำรวจข้อมูลครัวเรือนนั้นปัจจุบันมีอยู่ 3 หมู่บ้าน 154 ครัวเรือน 435 คน รายละเอียดตามตารางการสำรวจดังนี้

Screenshot%202567-07-10%20at%208_29_15%E2%80%AFAM_668de4b25888a.png

ระบบตระกูลเครือญาติ

คนบีซูจะมีการจัดระบบเครือญาติการสืบทอดมรดกและสายตระกูลที่เกี่ยวข้องกันตามการสืบทอดสายโลหิตผ่านสายตระกูลฝ่ายบิดา

ส่วนการแต่งงานมักจะแต่งข้ามตระกูลจะไม่นิยมแต่งงานในตระกูลเดียวกันที่ใกล้ชิดทางสายเลือดและพี่น้องร่วมสายเลือดเพื่อไม่ให้ผิดประเพณีและเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กที่เกิดมามีรูปร่างหน้าตาที่ผิดปกติจาการสืบเชื้อสายเดียวกัน

แต่ถ้าข้ามรุ่นถัดไปและเกิดจากพ่อที่แต่งกับแม่ต่างตระกูลก็จะสามารถแต่งกันได้แม้ว่าจะสืบตระกูลเดียวกันโดยจะให้ฝ่ายหญิงทำพิธีบอกกล่าวคืนชื่อตระกูลแล้วไปขอชื่อตระกูลอื่นก่อนแต่งงาน

ซึ่งคนบีซูนั้นมีชื่อตระกูลตามสายบิดาดังนี้ ตระกูล ช่าล่า (เสือ) ตระกูล ล้างซ้าม (นาก) ตระกูล ต้องจีลีด (ชื่อผู้นำตระกูล) ตระกูล แซนก่านทา (ชื่อผู้นำตระกูล) จากการสำรวจจึงได้ข้อมูลตระกูลตามตารางดังนี้

Screenshot%202567-07-10%20at%208_31_47%E2%80%AFAM_668de4b258a21.png

บีซู

ชาวบีซูมีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มจิตอาสา กลุ่ม ชรบ. กลุ่ม อปพร. กลุ่มงานประปาหมู่บ้าน กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน กลุ่มปลูกพืชไร่และพืชสวน กลุ่มสมาชิกสภาชนเผ่าพื้นเมือง กลุ่มเลี้ยงไก่ไข่

ชาวบีซูส่วนใหญ่มีอาชีพทางด้านการเกษตรมากกว่าอาชีพอื่น เช่น การปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ลำไย ข้าว ที่เป็นพืชเชิงเดี่ยวตามการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบันโดยมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าทางการเกษตรกับภายนอก

ส่วนอาชีพเสริมนั้นคือการหาของป่า ล่าสัตว์ หาปลา และปลูกผักสวนครัวเพื่อการบริโภค และจำหน่ายเมื่อมีผลิตผลจำนวนมากทั้งภายในและภายนอก

ส่วนการออกไปทำงานนอกชุมชนนั้นส่วนมากจะเป็นวัยทำงานที่ต้องการหาอาชีพที่ดีกว่า และเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของตนเองและครอบครัวแต่ไม่ค่อยมีการเข้ามาทำงานในชุมชนของคนต่างถิ่น

มีองค์กรภายนอกและหน่วยงานของรัฐที่เขามาทำงานในชุมชนในรูปแบบโครงการและงานวิจัยต่าง ๆ เช่นการส่งเสริมป้องกันไฟป่า ส่งเสริมทำฝายชะลอน้ำ ส่งเสริมหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมด้านสุขภาพอนามัย ส่งเสริมเรื่องการจัดการขยะอีกทั้งมีการถ่ายทำวิถีชีวิตประเพณีจากองค์กรและช่องรายการต่าง ๆ

กิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ชาวบีซูในรอบปีนั้นมีการทำการเกษตรเพาะปลูกแบบเชิงเดี่ยวหมุนเวียนเพื่อการเลี้ยงชีพตนและครอบครัว โดยพืชหลักที่เพาะปลูกเพื่อการค้าขายและบริโภคนั้น คือ การปลูกข้าวโพด การปลูกถั่วเหลือง การปลูกข้าว การปลูกมันสำปะหลัง และการปลูกยางพารา ส่วนรองลงมาคือการเลี้ยงสัตว์จำพวก วัว หมู ไก่บ้าน ไก่ไข่ ส่วนไม้ผลคือ ลำไย แต่ไม้ผลชนิดอื่นนั้นปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน

Screenshot%202567-07-10%20at%208_39_12%E2%80%AFAM_668def9c486e7.png

กิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม และศาสนา

กิจกรรมทางสังคมประเพณีวัฒนธรรมและศาสนาของชาวบีซูนั้นจะมีกิจกรรมในรอบปีหลายกิจกรรมเกิดขึ้นซึ่งเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตามบรรพชน และการนับถือปฏิบัติตามประเพณีวัฒนธรรมบางส่วนจากสังคมและภูมิภาคใกล้เคียง เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันเพ็ญเดือนสิบสอง วันสงกรานต์และอื่น ๆ

ซึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพชนในรอบปีนั้นจะมีตามรายละเอียด ดังนี้

ประเพณีเซ่นไหว้บรรพชน

ในครอบครัวของชาวบีซูจะมีการนับถือผีบรรพชนและไม่นับถือผีบรรพชนส่วนครอบครัวที่นับถือผีบรรพชนก็จะมีการทำหิ้งไหว้ที่ในบ้านเพื่อเป็นการกราบไหว้ผีสายตระกูลของตนเองที่สืบมาโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามรายละเอียดข้างต้นนี้

หิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ มักจะทำไว้ตรงห้องนอนพ่อแม่ของครอบครัวนั้น ๆ ซึ่งจะทำไม้แบ่งกั้นอนาเขตศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้คนนอกเข้าไปในห้องนั้นถ้าใครเข้าไปจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์และผิดประเพณีหรือผิดผีนั้นเอง

หิ้งบูชาผีเตาไฟ (ยู้มแปง) มักจะทำไว้ตรงห้องครัวที่มีเตาไฟดินสี่เหลี่ยมซึ่งเชื่อกันว่ามีผีเตาไฟที่ปกป้องรักษาคนในครัวเรือนนั้นจึงมีการกราบไหว้เคารพผีเตาไฟด้วย

ดังนั้นเมื่อมีการกระทำผิดหรือสิ่งไม่ดีของคนในครอบครัวนั้นผีบรรพบุรุษและผีเตาไฟก็จะไม่พอใจ และมักจะลงโทษคนในครอบครัวนั้นให้เจ็บป่วยแบบเรื้อรังแม้จะทำการรักษาโดยวิธีแพทย์แบบปัจจุบันก็ไม่หาย

เมื่อเป็นเช่นนี้คนในครอบครัวก็จะไปหาผู้ทำนายประจำหมู่บ้านเพื่อหาสาเหตุและเมื่อพบว่าผีบรรพบุรุษไม่พอใจทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ก็จะทำการรักษาโดยการนำหมูหนึ่งตัวมาเพื่อฆ่าเซ่นไหว้ซึ่งจะมีชาวบ้านมาร่วมช่วยงานด้วยพอหลังจากพิธีเซ่นไหว้เสร็จสิ้นลงอีกไม่กี่วันผู้ที่ป่วยก็จะมีอาการดีขึ้นและหายจากการเจ็บป่วยทันที

ประเพณีการเกิด

เมื่อผู้หญิงปวดท้องจะคลอดก็จะเอาผ้าขาวม้าหรือผ้ามาทำเป็นเชือกมัดไว้ที่คานหลังคาบ้านโดยมีคนทำคลอดที่เป็นคนแก่ที่ชำนาญการทำคลอดจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้

เมื่อทำคลอดเสร็จแล้วคนทำคลอดก็จะเอาผิวไม้ไผ่ที่มีความคมมาตัดสายสะดือของทารกจากนั้นก็เอารกเด็กห่อในใบไม้เปาแล้วเอาไปผสมกับขี้เถ้านำไปฝังที่ใต้บันไดบ้านแล้วเอาน้ำอุ่นที่ต้มเตรียมไว้แล้วนั้นมาอาบให้กับเด็ก

จากนั้นก็เอาเด็กใส่กระด้งยกไปที่หน้าบันไดบ้านแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้ถ้าเป็นของพ่อเกิดแม่เกิดให้มารับไปแต่ถ้าเลย 3 วัน 7 วันแล้วเด็กคนนี้ก็จะเป็นของเราอย่าเอาไป” แล้วให้แม่เด็กอาบน้ำอุ่นอยู่ไฟแล้วเอาข้าวเหนียวมาผสมกับน้ำอุ่นให้แม่เด็กกินเพื่อแก้ความอ่อนเพลียจากการคลอดบุตรและจะกินแบบนั้นไปทุกมื้ออาหาร

ตอนอยู่ไฟแม่เด็กจะไม่ออกจากบ้านและจะก่อไฟในเตาไว้ให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาเมื่อคลอดได้ 3 วันแล้วเริ่มให้แม่กินอาหารที่ไม่เป็นของแสลงเพื่อผลิตน้ำนมให้แก่เด็กอาหารที่ให้กิน คือ ปลากั้ง หรือ ปลาช่อน 1 ตัว หวายป่า 1 ต้น หัวปลี 1 ลูก และใบมะเดื่อมาแกงรวมกันใส่พริก 1 เม็ดใส่เกลือลงไปด้วยกินทั้งพ่อ แม่ และเด็ก

พิธีการกินอาหารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของแสลงในตอนแรกพืชผักที่กินได้ คือ ใบที่ไม่มีขน ดอกจะต้องเป็นดอกที่เป็นสีขาวเท่านั้น ของที่มีกลิ่นฉุนนั้นจะไม่ให้กิน กินถั่วมันได้ ส่วนเนื้อก็จะเป็นปลาช่อน ปลากั้งแห้งเท่านั้น

ในตอนอยู่ไฟพ่อของเด็กก็จะเป็นคนซักผ้าทั้งหมดให้และจะเอาไพลมาหั่นเป็นวงกลมแล้วร้อยเป็นสร้อยคอมาสวมให้กับแม่เด็กเพื่อลดกลิ่นคาวและป้องกันผีเมื่อครบ 15 วันแล้วก็จะออกไปอาบน้ำที่ลำธารโดยจะเอาไม้ไผ่ที่สานแล้วเรียกว่า ตะแหลว ไปพร้อมกับผ้าเก้าที่เผาไฟที่มีแต่ควันและมีดถือไปด้วยจะอาบแบบนี้จนครบ 1 เดือน

เมื่อครบ 1 เดือนแล้วก็จะออกจากการอยู่ไฟจะทำพิธีผูกขวัญโดยต้มไก่ 1 ตัวทำการให้พรมัดมือให้กับเด็กและแม่จากนั้นแม่เด็กก็จะสามารถไปไหนได้ตามปกติ

ประเพณีบูชาบุตรคนแรก

เมื่อคนท้องลูกคนแรกจะต้องทำการบอกกล่าวและทำการเซ่นไหว้ถวายให้กับผีเสื้อบ้าน โดยก่อนวันถวาย 1 วัน คนในบ้านจะต้องไปตัดไม้อ้อ แล้วเอามาตัดเป็นท่อน ๆ ตามปล้องตามจำนวนครัวเรือนที่มีอยู่ในหมู่บ้าน จำนวนครัวเรือนละ 2 ปล้อง

ปล้องแรกบรรจุทรายจนเต็ม และปล้องที่ 2 ใส่น้ำให้เต็ม พอถึงตอนกลางคืนเวลาประมาณ 20.00-21.00น. ก็จะเอาปล้องที่ใส่ทรายออกมาโปรยที่หน้าบ้านและเอาปล้องที่ใส่น้ำไปเทที่หน้าบ้านทุกครัวเรือน เมื่อโปรยทรายและเทน้ำเสร็จก็จะบีบปล้องไม้อ้อจนแตกทิ้งไว้หน้าบ้านของทุกครัวเรือน

เมื่อวันรุ่งขึ้นชาวบ้านและคนในครอบครัวของคนที่ตั้งท้องก็จะไปกันที่หอศาลผีเสื้อบ้านแต่คนท้องจะไม่ไปร่วมด้วย ในการประกอบพิธีกรรมนี้ครอบครัวคนที่ตั้งครรภ์ก็จะเตรียมหมู 1 ตัว พร้อมเครื่องปรุง และผลไม้ ขนม ของหวาน ข้าวต้มมัดไป

เมื่อไปถึงผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะนำผลไม้ ข้าวต้มมัด ของหวาน ถวายก่อนและบอกกล่าวกับผีเสื้อบ้านว่า ‘วันนี้เป็นวันดีมีหมูมาถวายจึงขอพรให้คนที่ท้องนั้นมีความสุขมีลูกก็ขอให้ลูกคลอดออกมาครบ 32 ประการขอให้ได้เด็กที่เลี้ยงง่ายมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และตอนคลอดก็ขอให้คลอดลูกออกมาด้วยความปลอดภัย’

หลังจากนั้นก็ทำการฆ่าหมูช่วยกันชำแหละ แล้วนำเนื้อหมูไปลาบและแกง เมื่อแกงหมูสุกและลาบหมูเสร็จแล้วก็จะนำไปถวายที่หิ้งบูชาผีเสื้อบ้าน แล้วยกผลไม้ ข้าวต้มมัด และของหวานที่ได้ถวายก่อนหน้านี้ออกเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านร่วมกันรับประทานเป็นของว่าง

เมื่อถวายอาหารได้สักพักผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะขออนุญาตผีเสื้อบ้านเอาอาหารที่ถวายนั้นมาให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีร่วมกันกินด้วยกันเป็นมื้อเที่ยงและเมื่อกินเสร็จแล้วก็จะช่วยกันทำความสะอาดเก็บข้าวของ

ผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะทำการบอกกล่าวขอพรให้กับตนเองและผู้เข้าร่วมพิธีเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรมเซ่นไหว้บุตรคนแรก

ประเพณีเซ่นไหว้บูชาผีเสื้อบ้าน (แด่ย่า แต่ง หรือ อางจาว ไว้)

ผีเสื้อบ้านของชาวบีซู คือ วิญญาณระดับสูงที่มีอำนาจในการกระทำให้เกิดสิ่งดีหรือสิ่งร้ายขึ้นมาได้ซึ่งผีเสื้อบ้านนี้จะทำหน้าที่ปกปักรักษาคุ้มครองผู้คนในหมู่บ้านบีซูให้อยู่อย่างเป็นสุขพืชผลสัตว์เลี้ยงอุดมสมบูรณ์ 

ผีเสื้อบ้านนี้จะมีบริวารและม้าขาวที่จะคอยรับใช้อยู่ดังนั้นในการประกอบพิธีเซ่นไหว้บูชาผีเสื้อบ้านของชาวบีซูจะทำการประกอบพิธีเซ่นไหว้บูชาอยู่ 3 ครั้งคือเดือน 4 8 และ 12

ในรอบปี เมื่อใกล้ถึงวันประกอบพิธีเซ่นไหว้ผู้นำทางจิตวิญญาณ (ปู้ต้าง) ที่ผีเสื้อบ้านก็จะเป็นคนดำเนินการเลือกตามลำดับว่าครอบครัวใดจะได้เอาไก่เป็นมาถวาย

อีกหนึ่งครอบครัวที่จะได้เอาเหล้ามาถวายจากนั้นผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะเป็นคนกำหนดวันเวลาและประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านรับรู้ทั่วถึงกันและในวันประกอบพิธีชาวบ้านจะหยุดทํางานกันทุกครัวเรือน

ดังนั้นเมื่อถึงวันประกอบพิธีในช่วงเช้าชาวบ้านก็จะนำของถวายเช่น ไก่ สุราขาว ข้าวต้มมัด ผลไม้ ของหวาน กรวยดอกไม้ (ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้สีขาว) ธูป เทียน พริกหนุ่ม พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ขิงข่า ตะไคร้ เกลือ และอื่น ๆ ที่จำเป็นในการประกอบอาหาร

เครื่องเซ่นไหว้และพิธีการไปรวมกันไว้ที่ที่บ้านของผู้นำทางจิตวิญญาณหรือที่เรียกว่า ปู้ต้างจากนั้นตอนสาย ๆ หลังจากทานมื้อเช้าแล้ว ผู้นำทางจิตวิญญาณและตัวแทนของครอบครัวที่ถูกเลือกก็จะนำเอาสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมที่ชาวบ้านนำมาถวายรวมกันไปที่ศาลผีเสื้อบ้าน

พิธีเซ่นไหว้บูชาผีเสื้อบ้านครั้งที่ 1 (เดือน 4 ของบีซูจะช้ากว่าเดือนทางการไป 1 เดือน)

พิธีเซ่นไหว้บูชาในเดือน 4 จะมีตัวแทนจาก 5 ครอบครัวที่ถูกเลือกนำไก่ไปถวาย 5 คน คนละ 1 ตัว และตัวแทนจากครอบครัวที่ 6 อีกคนหนึ่งจะนำสุราขาว 1 ขวดไปถวาย

เมื่อไปถึงบริเวณศาลผีเสื้อบ้านผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะบอกกล่าวผีเสื้อบ้านให้รับรู้ก่อนหลังจากนั้นก็จะนำดอกไม้ ธูป เทียน ผลไม้ ข้าวต้มมัด ของหวาน ถวายเป็นสิ่งแรกก่อน

หลังจากนั้นก็จะทำการฆ่าไก่เพื่อนำไปต้ม และเมื่อไก่สุกแล้วไก่ที่จะถวายผีเสื้อบ้านที่ทำเครื่องหมายโดยการเอาตอกมัดตอนต้มก็จะแยกออกจากไก่เซ่นไหว้ที่เป็นของบริวารของผีเสื้อบ้าน

ไก่ที่ต้มถวายนั้นต้องมีครบสมบูรณ์ทั้งตัวแม้แต่หนังไก่ก็ไม่ให้หลุดออกมาในช่วงที่ทำการต้มนั้นเครื่องปรุงทุกอย่างจำพวก พริก ตะไคร้ข่า ขิง กระเทียม หอมแดง จะไม่ตำในครก ต้องหั่นหรือทุบใส่เท่านั้น ห้ามไม่ให้ชิมรสชาติแต่อย่างใดเพราะจะถือว่าการชิมนั้นเป็นการกินก่อนถวายไก่ต้มให้กับผีเสื้อบ้าน

เมื่อไก่ต้มใกล้สุก ผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะบอกกล่าวผีเสื้อบ้าน แล้วขออนุญาตยกผลไม้ ข้าวต้ม ของหวานที่ได้ถวายไว้ก่อนหน้านี้มาให้กับชาวบ้านที่ถูกเลือกให้มาร่วมงานพิธีได้กินกัน

เมื่อไก่ต้มสุก ก็จะยกไก่ต้มไปถวายแล้วรอสักพักใหญ่ แล้วผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะบอกกล่าวและเสี่ยงทายเก็บเมล็ดข้าวเพื่อดูว่าผีเสื้อบ้านรับของถวายและกินเสร็จแล้วเมื่อเก็บเมล็ดข้าวออกมาแล้วนับดูแล้วเป็นจำนวนคี่ ถือว่ายังกินไม่เสร็จแต่เมื่อรออีกสักพักแล้วจับเมล็ดข้าวดูถ้าเก็บได้จำนวนคู่ก็หมายความว่าผีเสื้อบ้านได้รับและกินเสร็จสิ้นแล้ว

จากนั้นผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะบอกกล่าวขออนุญาตยกลงมาให้ชาวบ้านได้รับประทานเป็นมื้อเที่ยงด้วยกัน ส่วนที่เหลือก็จะยกให้ผู้นำทางจิตวิญญาณนำเอากลับไปที่บ้าน

จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมต่างๆและกินเสร็จแล้วก็จะช่วยกันทำความสะอาดเก็บข้าวของและผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะทำการบอกกล่าวขอพรให้กับตนเองและผู้เข้าร่วมพิธีเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีเสื้อบ้าน

พิธีเซ่นไหว้บูชาผีเสื้อบ้านและซามาล้าแกนครั้งที่ 2 (เดือน 8 ของบีซูจะช้ากว่าเดือนทางการไป 1 เดือน)

พิธีเซ่นไหว้บูชาในเดือน 8 (ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน) มีขั้นตอนเหมือนกับการไหว้ผีเสื้อบ้านในเดือน 4 แต่ต่างกันตรงที่ในเดือน 8 จะมีการเซ่นไหว้บูชาอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกคือที่หอศาลผีเสื้อบ้าน จะมีผู้ไปร่วมพิธี 10 คน โดยให้ 9 คนจากครอบครัวที่ถูกเลือกนำไก่มาถวายคนละ 1 ตัว ส่วนอีกคนจะเป็นผู้นำสุราขาวไปถวาย 1 ขวด

แห่งที่ 2 คือ หอศาล ซามาล้าแกน จะเป็นผู้ที่ปกปักดูแลคุ้มครองประตูสี่ทิศของหมู่บ้านซึ่งหอศาลแห่งนี้จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านและรายละเอียดของพิธีกรรมนี้จะเป็นในส่วนของหอผีซามาล้าแกน

ดังนั้นเมื่อถึงวันประกอบพิธีเซ่นไหว้ในส่วนของผู้นำทางจิตวิญญาณอีกคนที่เรียกว่า อุ่ม ก็จะขอแบ่งไก่จากผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ปู้ต้าง จำนวน 4 ตัว และให้ชาวบ้านประมาณ 3-4 คน มาช่วยกันประกอบอาหารต้มไก่ 4 ตัว

เมื่อทำอาหารหรือต้มไก่สุกแล้วผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะยกไก่ต้มถวายพร้อมกับจุดธูปเทียนบอกกล่าวผีซามาล้าแกนให้มารับของเซ่นไหว้หลังจากนั้นเมื่อรอจนธูปเทียนไหม้หมดแล้วผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะบอกกล่าวขออนุญาตนำของเซ่นไหว้ลงและแบ่งให้กับผู้ที่ถูกเลือกให้มาร่วมงานพร้อมกับขอพรก่อนกลับเป็นอันเสร็จพิธีกรรม

การสร้างประตูไม้ไว้ทั้ง 4 ทิศของหมู่บ้านนั้นเพื่อป้องกันภูตผีปีศาจมารบกวนโดยผีที่ปกปักรักษาคุ้มครองที่มีชื่อเรียกว่า “ซามาล้าแกน” ในสมัยก่อนชุมชุนของคนที่ยังไม่หนาแน่น คนที่ปลูกบ้านก็มักจะปลูกในประตูไม้ทั้ง 4 ทิศของหมู่บ้านแต่ในปัจจุบันเมื่อผู้คนเพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่พื้นที่มีจำกัดบ้านหลายหลังจึงต้องมาปลูกนอกเขตประตู แต่ยังคงรักษาพื้นที่บริเวณประตูทั้งสี่ทิศเอาไว้และมีพิธีทำความสะอาด ซ่อมแซม ปรับปรุงประตูทุกเดือน 4 ของปี

พิธีเซ่นไหว้บูชาผีเสื้อบ้านและซามาล้าแกนครั้งที่ 3 (เดือน 12 ของบีซูจะช้ากว่าเดือนทางการไป 1 เดือน)

พิธีเซ่นไหว้ผีเสื้อบ้านในครั้งนี้จะตรงกับเดือน 12 ของบีซู (พฤศจิกายน) ซึ่งขั้นตอนก็เหมือน การไหว้ในเดือน 4 มีจะมีตัวแทนจาก 5 ครอบครัวที่ถูกเลือกนำไก่ไปถวาย 5 คน คนละ 1 ตัว และตัวแทนจากครอบครัวที่ 6 อีกคนหนึ่งจะนำสุราขาว 1 ขวดไปถวายครั้งนี้จะเป็นพิธีสำคัญที่ทุกครอบครัวจะต้องมีส่วนร่วมและเข้าร่วมพิธีกรรมซึ่งการถูกเลือกให้เอาไก่ และเหล้าไปถวายนั้นจะทำหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ จนครบทุกครอบครัวในหมู่บ้าน

รายละเอียดของพิธีกรรมนี้ ทั้งการเตรียมอาหาร และขั้นตอนในการไหว้บอกกล่าว ขอพรผีเสื้อบ้านจะเหมือนกันกับการไหว้ผีเสื้อบ้านครั้งที่ 1

Screenshot%202567-07-10%20at%208_48_34%E2%80%AFAM_668def9c488ac.png

การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและภัยพิบัติในรอบปี

ในรอบปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและภัยธรรมชาติ ดังนี้

ปัญหาไฟป่า

มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง ช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม โดยสาเหตุเกิดมาจากภาวะโลกร้อนเกิดการเสียดสีของไม้แห้งก่อให้เกิดไฟไหม้ป่า

รวมถึงจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การหาของป่าและด้วยความคึกคะนองจนก่อให้เกิดผลและความเสียหายของป่าไม้ธรรมชาติเป็นบริเวณกว้างเสียหายต่อป่าไม้แหล่งต้นน้ำใช้สอยของชุมชนทั้งระบบประปาและระบบการเกษตร

ปัญหาภัยแล้ง

เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนชุมชนบีซูก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเกิดภาวะแหล่งน้ำลำธารตื้นเขินและแหล่งน้ำระบบประปามีน้ำที่แห้งลงแต่ก็ยังมีพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตรส่วนในอนาคตอาจจะเกิดวิกฤตภัยแล้งที่รุนแรงก็ได้ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คนในชุมชนจะต้องช่วยกันป้องกันและแก้ไขกันต่อไป

ปัญหาน้ำหลาก

เมื่อเข้าสู้ฤดูฝนในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนก็มักจะเกิดน้ำป่าใหลหลากพื้นที่นาและการเกษตรที่อยู่ติดกับลำธารถูกน้ำหลากกัดเซาะตลิ่งและท่วมพื้นที่ทางการเกษตรอีกทั้งยังก่อให้เกิดเส้นทางแม่น้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งทางชุมชนก็ได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐมาช่วยในการขุดลอกลำธารเพื่อป้องกันภัยน้ำหลากและเปลี่ยนทิศทางน้ำ

ปัญหาแมลงศัตรูพืช

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมชุมชนเผ่าพื้นเมืองบีซูก็ได้รับผลกระทบจากภัยแมลงศัตรูพืชที่ก่อปัญหาทำลายพืชผลทางการเกษตรจนเสียหายสิ่งที่ชาวบ้านทำได้ก็คือการนำผลิตภัณฑ์เคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชมาใช้เพื่อกำจัดพวกแมลงแต่สิ่งที่ตามมาคือสารเคมีตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรและตกค้างในร่างกายส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนในชุมชนในระยะยาวซึ่งนี่จะเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกันต่อไป

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีปราชญ์ที่มีความชำนาญหลายแขนง ทั้งด้านการทำคลอด ด้านสมันไพร ด้านงานฝีมือและจักสาน ด้านพิธีกรรม แต่ในปัจจุบันปราชญ์ที่ชำนาญได้เสียชีวิตไปโดยไม่มีการสืบทอดจากคนรุ่นหลังจะเหลือแต่ปราชญ์ทางด้านงานฝีมือจักสานและสมุนไพรที่ยังหลงเหลืออยู่ดังนั้นทางชุมชนบีซูจึงนำเอาประวัติชีวิตของปราชญ์ชาวบ้านที่ยังคงหลงเหลืออยู่บางส่วนมาเขียนบันทึกไว้

นายอุ่นเรือน วงค์ภักดิ์ดี

เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2498 อาศัยอยู่หมู่ 7 ต.โป่งแพร่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย

ท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่มีใจในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่าของตนเอง อีกทั้งยังมีความรอบรู้ชำนาญในเรื่องราวประวัติชนเผ่าบีซู มีความรอบรู้เรื่องการจักสานงานฝีมือจากไผ่ การทำไม้กวาดดอกหญ้า สมุนไพรต่าง ๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่และการงานต่าง ๆ ในครอบครัวและหมู่บ้านมาด้วยดี ซึ่งประวัติที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโตนั้น นายอุ่นเรือน วงค์ภักดิ์ดี ได้บรรพชาเป็นสามเณรประจำอยู่ที่วัดดอยชมภูในช่วงวัยรุ่น

จากนั้นก็ได้ลาบวชมาใช้ชีวิตตามปกติของชาวบ้านทั่วไป ต่อมาก็ได้แต่งงานสร้างครอบครัวและมีการสร้างบ้านใหม่เป็นของตนเอง จากนั้นก็ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการทรงคุณวุฒิสภาตำบล และต่อมาก็ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการด้านการปกครอง

หลังจากนั้นจึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมื่อทำงานจนครบวาระ ก็ได้ออกไปทำงานที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็มีโอกาสได้ไปทำงานต่อที่ประเทศมาเลเซียระยะหนึ่ง หลังจากที่กลับมาจากทำงานต่างประเทศมาอยู่ที่บ้านได้สักระยะหนึ่ง ก็ได้รับการคัดเลือกให้มาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโป่งแพร่

นายอุ่นเรือนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ติดต่อกันถึงสองสมัย จนในที่สุดเมื่อครบวาระ ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกครั้งจนครบวาระ

Screenshot%202567-07-10%20at%209_29_23%E2%80%AFAM_668df227ea5f0.png

ทุนกายภาพ

หมู่บ้านบีซูนั้นมีภูเขาป่าไม้ที่ยังอุดมสมบูรณ์แบบป่าดิบชื้น มีน้ำตกในเขตพื้นที่ป่าของหมู่บ้านมีแม่ลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกเป็นที่พักผ่อนและหล่อเลี้ยงชาวบ้านบีซูและละแวกใกล้เคียงที่ลำธารไหลผ่าน

มีการปลูกพืชผักสวนครัว พันธุ์ไม้ผลต่าง ๆ และยังมีการเลี้ยงไก่บ้านเพื่อการบริโภคในครัวเรือน

ทุนมนุษย์

หมู่บ้านบีซูยังมีปราชญ์ชาวบ้านที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เช่น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจักสานและงานฝีมือ ด้านพิธีกรรมทางศาสนา ด้านผู้นำทางจิตวิญญาณ ด้านยาสมุนไพร ด้านผู้อาวุโสที่มีความรู้ความจำในเรื่องราวประวัติชาวบีซู นิทาน ตระกูลต่าง ๆ ของบีซู ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้เชี่ยวชาญวิจัยด้านโครงสร้างภาษาบีซูและการเขียนการอ่านภาษาบีซูที่ถูกต้องตามมาตรฐานของราชบัณฑิตยสภา

อีกทั้งการเก็บรวบรวมคำศัพท์ภาษาบีซูไว้ กลุ่ม ชรบ. กลุ่มแม่บ้าน คณะกรรมการสมาชิกสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กรรมการประปาหมู่บ้าน ปราชญ์ด้านการแสดงร่ายรำและการประดิษประดอยแขนงต่าง ๆ กลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนกลุ่มเยาวชนนั้นยังไม่มีการจัดตั้งแต่จะมีการจัดตั้งต่อไปเพื่อชุมชนที่เข้มแข็งในอนาคต

ทุนวัฒนธรรม

มีการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไว้ เช่น กิจกรรมทางศาสนา การเลี้ยงผีเสื้อบ้านที่ศาลผีเสื้อบ้านประจำหมู่บ้าน การบูชาขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสาหลักหมู่บ้านบริเวณกลางหมู่บ้าน พิธีกรรมบุตรคนแรก พิธีกรรมสู่ขวัญ พิธีกรรมเลี้ยงผีป่าปีเร่ร่อนเมื่อเจ็บป่วย การรดน้ำขอพรผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ยังเป็นทุนที่มีอยู่และทำสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยการดำเนินพิธีกรรมของปราชญ์ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ มัคนายก ผู้อาวุโส พระสงฆ์

ทุนเศรษฐกิจ

ชาวบ้านบีซูจะมีทุนทางการเงินที่เข้าถึงได้เช่น กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา กองทุนหมู่บ้านเพื่ออาชีพการงาน ธนาคารต่าง ๆ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ซึ่งรายได้ของชาวบ้านทางการเงินนั้นส่วนมากได้มาจากทางการเกษตรและอื่น ๆ รองลงมาและมีทุนทางด้านอุปกรณ์ในการเกษตรและการทำงานตามอาชีพของตนและมีเครื่องทุ่นแรงในการทำการเกษตรเป็นต้น

ทุนสังคม/การเมือง

ชาติพันธุ์บีซูมีการติดต่อกับสังคมภายนอกและมีส่วนกับทางราชการและองค์กรอิสระ ที่สำคัญชาวบีซูมีโครงสร้างทุนทางสังคม เช่น ระบบการปกครองแบบท้องถิ่นที่มีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลที่เลือกมาจากชาวบ้านให้เป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในหมู่บ้าน

มีผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยที่ขับเคลื่อนหมู่บ้านเพื่อการพัฒนาที่ดีต่อไป มีสมาชิกสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย มีกรรมการที่ทำงานร่วมกับวัฒนธรรมจังหวัดขับเคลื่อนเผยแพร่ประเพณีและวัฒนธรรมชนเผ่าในงานต่าง ๆ ของจังหวัดที่เกี่ยวข้อง

ชาวบีซูมีภาษาพูดเป็นของตนเองที่ใช้พูดคุยสื่อสารกันในกลุ่มมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาภาษาด้านการสะกดการเขียนอ่านที่ผ่านมาตรฐานจากราชบัณฑิตยสภา โดยมีการใช้อักษรไทยในการเขียน

ส่วนบีซูในประเทศพม่านั้นใช้อักษรโรมันในการเขียนอ่านแต่ที่ลาวยังไม่มีการจัดทำระบบการเขียนเป็นของตนเอง

ในปัจจุบัน สถานการณ์การใช้ภาษาของผู้คนในชุมชนนั้นเริ่มถูกกลืนจากภาษาอื่นที่ใกล้เคียง เช่น ภาษาเหนือไทยวน ภาษาไทยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการสูญหายของภาษาต่อไปในอนาคตจึงจำเป็นที่ต้องจัดทำเก็บรวบรวมคำศัพท์ นิทาน หนังสือ สื่อการสอนต่าง ๆ ทั้งรูปแบบอักษรและเสียงไว้เพื่อผู้ที่สนใจศึกษาในอนาคต

ในส่วนของวัตถุทางวัฒนธรรมนั้นยังมีเก็บหลงเหลืออยู่ เช่น ใบลานคัมภีร์และพระพุทธรูปเก่าแก่ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทางหมู่บ้านจะต้องช่วยกันรวบรวมเก็บไว้อย่างเป็นระบบถูกต้องให้คงอยู่ต่อไป


ประชากรของชาวบีซูนั้นค่อนข้างจะขยายเติบโตช้า ด้วยเหตุที่ว่าไม่ค่อยมีการแต่งงานกันในกลุ่มชนเผ่าเดียวกันมักจะแต่งงานกับคนภายนอก และไปอยู่ที่อื่นซึ่งอาจมีผลต่อจำนวนประชากรที่เหมาะสมในอนาคต

ความสัมพันธ์ของชาวบีซูในชุมชนนั้นได้ลดลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาเพราะขาดการปลูกฝังจากพ่อแม่ที่จะสร้างความสัมพันธ์ต่อกันในชุมชนเนื่องจากไม่มีเวลาจากการทำงานอีกทั้งความสามัคคีในชุมชนที่ลดน้อยลงแบ่งฝ่ายพรรคพวกกัน สาเหตุมาจากความขัดแย้งกันของตระกูลต่าง ๆ ที่ต้องแข่งขันกันทีจะเลือกคนของตระกูลตัวเองมาเป็นตัวแทนของหมู่บ้าน


ด้านสิทธิพลเมืองและสถานะบุคคลนั้นมีการได้รับสิทธิอย่างทั่วถึงตามปกติ ระบบสาธารณูปโภคอยู่ในระดับที่พอใช้ มีระบบประปาที่ผ่านการกรองโดยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและมีการเข้าถึงทางด้านการศึกษาอย่างทั่วถึง

พื้นที่ทำกินพื้นที่ทำประโยชน์นั้นชาวบีซูยังมีปัญหาทางด้านกรรมสิทธิ์ที่ไม่ได้ครอบครองเป็นของตนเองมีส่วนน้อยที่มีโฉนดที่ดินที่ถูกต้อง


ชาวบีซูในปัจจุบันนี้มีการวิ่งตามระบบเศรษฐกิจภายนอกและแข่งขันกันในด้านเศรษฐกิจอย่างมากเพราะต้อนดิ้นรนทำมาหากินหาเงินเพื่อปากท้องและครอบครัวจนก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ครอบครัวไม่มีเวลาให้ต่อกันต่างคนต่างทำหน้าที่จนระบบครอบครัวอ่อนแอสุขภาพร่างกายย่ำแย่จากการทำงานหนักไม่มีการพักผ่อนที่เหมาะสมและร่างกายได้รับสารพิษจากสารเคมีทางการเกษตรต่าง ๆ แม้ว่าการเข้าถึงระบบสาธารณสุขตามสถานีอนามัยและโรงพยาบาลของชาวบีซูนั้นจะสะดวกก็ตาม อีกทั้งในสังคมบีซูบางส่วนนั้นมีปัญหาทางด้านสุขภาพหลายอย่าง เช่น ผู้ป่วยเรื้อรังเบาหวานความดัน ผู้ติดสุราและอื่น ๆ


ปัญหาการติดโทรศัพท์มือถือ และการติดเกมของวัยรุ่น


คนรุ่นใหม่จะไม่ค่อยสนใจวัฒนธรรมประเพณี


การจัดการระบบสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้านได้ไม่ดีพอ เช่น การจัดการขยะในครัวเรือนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ


ลุ่มน้ำกก
ป่าแม่ลาว (ฝั่งขวา)
หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ส้าน
พื้นที่ ส.ป.ก.
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2566). รายงานโครงการสำรวจและจัดการข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์บีซู ปีงบประมาณ 2566. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.

อบต.โป่งแพร่ โทร. 0-5377-8249