ชุมชนเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีประชากร 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
ชุมชนวัดช่องลม ถูกเรียกตามชื่อของวัดช่องลม ซึ่งเป็นวัดร้างที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ตําบลภูเขาทองมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คนในท้องถิ่นจึงเรียกว่าชุมชนบริเวณนี้ว่า วัดช่องลม
ชุมชนเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีประชากร 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
ชุมชนวัดช่องลมเป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทางทิศใต้ของเกาะเมืองกรุงเก่าใกล้กับคลองคูเมืองเดิมบริเวณหัวแหลม ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลภูเขาทอง อําเภอพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนที่ขยายตัวขึ้นในช่วงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายในชุมชนพบร่องรอยของโบราณสถานวัดร้างสมัยอยุธยาหลายแห่งแทรกตัวกระจายอยู่ตามกลุ่มบ้านในชุมชน ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวไทยพุทธในชุมชนละแวกนั้น ชุมชนวัดช่องลม ยังประกอบด้วยประชากรชาวไทยมุสลิมเป็นจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่อาศัยหนาแน่นในบริเวณริมแม่น้ำใกล้กับมัสยิดดารุซซุนนะห์ที่ชาวไทยมุสลิมบ้านวัดช่องลมใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ในชุมชนวัดช่องลมจึงประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางศาสนามีทั้งพุทธและอิสลามในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง โดยพวกเขาต่างอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนมาเป็นเวลานานนับศตวรรษ และเมื่อเกิดการขยายตัวของเมืองพระนครศรีอยุธยาสู่ชานเมืองได้นำเอาความทันสมัยของการคมนาคมทางบกและสาธารณูปโภคพื้นฐานเข้าสู่ชุมชน
ในอดีตสมัยอยุธยาพื้นที่บริเวณทุ่งภูเขาทองเคยเป็นสมรภูมิรบที่อยุธยารับศึกษาจากพม่า ร่องรอยจากโบราณสถานวัดร้างในชุมชนหลายแห่งทำให้คาดว่าในบริเวณนี้น่าจะมีชุมชนมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ซึ่งเป็นปกติที่ชาวบ้านทั่วไปมักผูกโยงตัวเองกับประวัติศาสตร์กระแสหลักในท้องถิ่นซึ่งมักทำให้คิดว่าบรรพบุรุษของตนตั้งรกรากถิ่นฐานในบริเวณนี้สืบทอดมานานตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในความเป็นจริงอาจสรุปได้ไม่ชัดเจนนัก อาจสันนิษฐานได้เพียงว่าหลังจากสงครามเสียกรุงครั้งที่สอง กระทั่งสมัยหลังจึงค่อยเกิดเป็นชุมชนขึ้นใหม่ในช่วงราวสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ซึ่งในอดีตก่อนที่ผู้คนในบริเวณรอบเกาะเมืองจะหันมาตั้งถิ่นฐานอาศัยบนผืนดินชาวอยุธยาสมัยนั้นนิยมสร้างบ้านเรือนแพริมน้ำเก่าที่เคยมีก่อนหน้านั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้คนและพื้นที่เมื่อเริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยอีกครั้ง หรือในเรือเพื่อใช้อาศัยและค้าขายเช่นเดียวกับชาวไทยมุสลิมที่อาศัยหนาแน่นในบริเวณหัวแหลมแล้วขยายกระจายออกมาตามริมคลองมหานาคในบริเวณที่กลายเป็นชุมชนวัดช่องลมด้วย
ชุมชนวัดช่องลมดูจะคล้ายชุมชนชนบททั่วไปแม้การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ได้เข้าสู่ชุมชนมาหลายทศวรรษแล้ว แต่สภาพทั่วไปก็ยังคงเต็มไปด้วยธรรมชาติ เช่น ทุ่งนา ป่าหญ้า แม่น้ำ ลำคลอง และชาวบ้านบางส่วนก็ยังคงดำรงชีวิตโดยอาศัยอาหารตามธรรมชาติรอบตัว เช่น ผัก ปลา สัตว์น้ำต่าง ๆ เพื่อบริโภคในครัวเรือน แต่หากพิจารณาจากวิถีการผลิตจะเห็นได้ว่าคนในชุมชนส่วนใหญ่ได้เลิกประกอบอาชีพเกษตรกรรมไปสู่การเป็นแรงงานหรือผู้ประกอบการขนาดเล็กกันหมดแล้ว ที่ดินทํานาของชุมชนได้ถูกขายเปลี่ยนมือและให้คนจากที่อื่นเข้ามาเช่าทํานา แม้แต่การดํารงชีพด้วยการจับปลาหรือจับสัตว์น้ำขายก็ลดน้อยลงไปมากจนไม่สามารถใช้เป็นอาชีพหลักได้เหมือนในอดีตที่ยังอุดมไปด้วยปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ปัจจุบันจึงเหลือเพียงบางครอบครัวที่ยังจับปลาเพื่อนํามาบริโภคในครัวเรือนและเป็นรายได้เสริมบางโอกาสเท่านั้น
ชุมชนวัดช่องลมประกอบขึ้นจากประชากรกลุ่มหลัก 2 กลุ่ม คือชาวไทยพุทธและมุสลิมในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง โดยชาวไทยมุสลิมในชุมชนเชื่อว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจาก บรรพบุรุษชาวไทยมุสลิมเปอร์เซียสมัยอยุธยาที่เรียกว่า "แขกเทศ" อาศัยอยู่ตามแพริมน้ำและเรือค้าขาย ในแม่น้ำ แต่ชุมชนวัดช่องลมได้ก่อตัวเป็นชุมชนขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน และตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2530 ซึ่งได้มีโครงการพัฒนาสร้างอ่างเก็บนํ้าภูเขาทองในช่วง พ.ศ. 2534 ทุ่งนาเดิมของชาวบ้านส่วนหนึ่งถูกเวนคืนที่ดินเพื่อใช้หาอ่างเก็บน้ำประกอบกับที่ดินทํานาของแต่ละครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลงเพราะการแบ่งที่ดินภายในครอบครัวนาขนาดเล็กไม่คุ้มค่าที่จะลงทุ ซึ่งการทําคนในชุมชนที่เคยทํานาจึงเริ่มหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน เช่น รับจ้าง ทั่วไป ค้าขาย หรือทํางานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเติบโตขึ้นแทน สาเหตุที่ทําให้ผู้ที่เคยมีอาชีพทํานาต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตหันไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ราคาข้าวต่ำทําให้ขาดทุนเพราะการผลิตที่มีต้นทุนสูง และต้องเช่านาทํา เด็กรุ่นใหม่จึงหันไปทํางานอื่นแทน และที่สําคัญไม่สามารถคาดเดาสภาพดินฟ้าอากาศได้ บางปีก็ไม่มีนํ้าที่จะทำนาบางปีก็เกิดอุทกภัย เพราะชุมชนแห่งนี้เป็นพื้นที่ราบลุ่มอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา จึงหนีไม่พ้นน้ำท่วมได้ที่ส่งผลต่อการทํานาอย่างมาก
ปัจจุบันชุมชนวัดช่องลมอยู่ในเขตการบริหารปกครองขององค์การบริหารส่วนตําบลภูเขาทอง ประชากรในชุมชนเป็นชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกันใน สัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง เฉพาะบ้านช่องลม หมู่ 1 มีครัวเรือนทั้งหมดประมาณเกือบ 200 หลังคาเรือน ประชากรรวม 752 คน เป็นชาย 364 คน และหญิง 388 คน
วัดช่องลม เป็นวัดร้างที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ ตําบลภูเขาทองมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณสถานวัดช่องลมนี้ตั้งอยู่ใน พื้นที่ตําบลภูเขาทอง คนในท้องถิ่นจึงเรียกว่าชุมชนบริเวณนี้ว่าวัดช่องลม ในอดีตสมัยอยุธยาพื้นที่บริเวณทุ่งภูเขาทองเคยเป็นสมรภูมิรบที่อยุธยารับศึกษจากพม่า ร่องรอยจากโบราณสถานวัดร้างในชุมชนหลายแห่ง เช่น วัดช่องลม วัดมณฑป วัดลานโพธิ์ และวัดกงจักร ทําให้คาดว่าในบริเวณนี้น่าจะมีชุมชนมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว
มัสยิดดารุซซุนะห์ ถือเป็นสถานที่สําคัญของผู้นับถือศาสนาอิสลามทางศาสนาที่นี่ด้วย ในอดีตก่อนจะมีการสร้างมัสยิดขึ้นมาอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2490 ชาวมุสลิมในละแวกนี้อาศัยศาลาเรือนไม้เล็ก ๆ ยกพื้นชั้นเดียวตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ผู้คนทั่วไปเรียกว่า "ศาลา" ใช้สําหรับอ่านหนังสือ สอนคัมภีร์อัลกุรอาน และใช้เป็นศาสนสถาน ประกอบพิธีละหมาดประจําวัน และละหมาดรวมไปถึงในช่วงถือศีลอด เฉพาะแค่วันศุกร์ชาวไทยมุสลิมในชุมชนจึงจะเดินทางไปละหมาดที่มัสยิดอื่นที่อยู่นอกชุมชน ดังเช่น ชุมชนชาวไทยมุสลิมในตําบลลุมพลี ซึ่งเป็นที่ตั้งของมัสยิดเก่าแก่ในบริเวณนี้ จากประวัติของมัสยิดดารุซซุนนะห์ได้ระบุไว้ว่าปี พ.ศ. 2490 รวมถึงชาวไทยมุสลิมในชุมชนหัวแหลมที่อยู่ในเขตติดต่อกันก็มาร่วมพิธีกรรม หน่วยงานราชการได้แจ้งให้สถานที่ที่ต้องการจัดตั้งเป็นมัสยิดให้ทําการจดทะเบียนตามที่ราชการกําหนด โดยมีตวนอุสมาน หมดมลทิน เป็นผู้นำในการไปจดทะเบียนและได้รับการแต่งตั้งชื่อว่า "มัสยิดซาฟีอี หัวแหลม"
กระทั่งในปี พ.ศ. 2517 มัสยิดซาฟีอีที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งจนทําให้ อาคารที่สร้างจมกไม้ทรุดตัวลงไปในแม่น้ำ จึงได้สร้างมัสยิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2518 ในพื้นที่ตั้งปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี จึงแล้วเสร็จ โดยทําพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2528 มีการทําพิธีเปิดและเปลี่ยนชื่อจากมัสยิดซาฟีอีหัวแหลมเป็น "มัสยิดดารุซซุนนะห์" ปัจจุบันนอกจากมัสยิดดารุชนะห์จะใช้เป็นศาสนาสถานแล้ว พื้นที่ของมัสยิดยังถูกใช้ในกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ ของชาวบ้านในชุมชนด้วยผู้ที่อาศัยในพื้นที่ชุมชนวัดช่องลม ประกอบด้วยคนไทยพุทธและมุสลิมในสัดส่วนประมาณครึ่งต่อครึ่ง มีทั้งกลุ่มคนที่อาศัยอยู่สืบต่อมาจากรุ่นปู่ย่าตายายและผู้ที่ย้าย เข้ามาอาศัยในภายหลัง ด้วยสภาพชุมชนที่แบ่งแยกเป็นซอย ชุมชนจึงมีลักษณะกระจายเป็นตามกลุ่มบ้าน
คมลักษณ์ ไชยยะ. (2565). การศึกษาชุมชนชานเมือง: กรณีชุมชนวัดช่องลม ตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา, 14 (2). 68-88