Advance search

ชุมชนที่มีการย้ายถิ่นฐานถึง 3 ครั้งจากปัญหาโรคภัยร้ายแรงก่อนที่จะลงหลักปักฐานในพื้นที่ปัจจุบันภายหลังจากการพบพระพุทธรูปไม้ที่ลอยมาติดในพื้นที่ปัจจุบัน

บ้านลาดค่าง
ลาดค่าง
ภูเรือ
เลย
อบต.ลาดค่าง โทร. 0-4203-9935
มะลิวัลย์ คำมานิตย์
30 ก.ค. 2024
ปวินนา เพ็ชรล้วน
ปวินนา เพ็ชรล้วน
1 ส.ค. 2024
บ้านลาดค่าง

บ้านลาดค่างนั้นเดิมที่ชาวบ้านยังเรียกว่า "ลาดข่าง" ซึ่งมีความหมายว่าลานหินขนาดใหญ่ที่ใช้สําหรับตากครั่ง แต่อีกนัยหนึ่งได้มีผู้สันนิษฐานว่าเนื่องจากป่าบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากจึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมายหนึ่งในจํานวนนั้นได้แก่ ค่าง สัตว์ตระกูลเดียวกับลิงที่ชอบมาเล่นกันบริเวณลาดหินดังกล่าว เมื่อมีผู้ไปพบเห็นจึงได้นํามาเรียกขานจนกลายเป็นชื่อหมู่บ้านไปในที่สุด และในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งมีนายทองดํา บานชื่น ดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้มีนโยบายออกสํารวจชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเลยทั้งหมดและได้ทําการแก้ไขชื่อหมู่บ้านต่าง ๆ ให้สามารถออกเสียงและเขียนได้ง่ายขึ้น "บ้านลาดข่าง" จึงเปลี่ยนมาเป็น "บ้านลาดค่าง" จนถึงทุกวันนี้


ชุมชนชนบท

ชุมชนที่มีการย้ายถิ่นฐานถึง 3 ครั้งจากปัญหาโรคภัยร้ายแรงก่อนที่จะลงหลักปักฐานในพื้นที่ปัจจุบันภายหลังจากการพบพระพุทธรูปไม้ที่ลอยมาติดในพื้นที่ปัจจุบัน

บ้านลาดค่าง
ลาดค่าง
ภูเรือ
เลย
42160
17.497018873126198
101.26223145799533
องค์การบริหารส่วนตำบลลาดค่าง

บ้านลาดค่างเป็นชุมชนขนาดเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในหกชุมชนของตำบลลาดค่าง อําเภอเรือ จังหวัดเลย ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ในอดีตบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านแห่งนี้รวมทั้งเขตอําเภอภูเรือ อําเภอท่าลี่ อําเภอด่านซ้าย และอําเภอนาแห้ว ยังมีสภาพเป็นป่าทึบที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์เรื่อยไปจนจรดแม่ฝั่งน้ำเหือง ครั้งนั้นชุมชนบ้านเรือนในแถบนี้ยังไม่ปรากฏ แต่มีผู้คนได้เข้ามาบุกเบิกทําการเพาะปลูกบ้างแต่ไม่มากนัก คนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนในบริเวณนี้เล่ากันว่าเป็นชาวแขวงไชยบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเข้ามาจํานวน 3 คน คนแรกชื่อว่า ท้าวบุตรดี คนที่สองชื่อนางบับหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "เอ้ยบับ" (เอ้ย เป็นภาษาลาว แปลว่าพี่สาว) ซึ่งเป็นภรรยาของท้าวบุตรดี และคนที่สามชื่อว่า ท้าวหนุ่ม เป็นน้องชายของนางบับ ทั้งสามได้เข้ามาทําไร่ข้าวและเก็บของป่า โดยได้ปลูกกระท่อมไว้เป็นที่พักชั่วคราวพอจะกลับบ้านก็จะเก็บของป่าจำพวกเห็ด หน่อไม้ ผัก หวาย น้ำผึ้ง และครั่งไปขาย โดยเฉพาะครั่งที่ขายได้ราคาสูง (สําเนียงภาษาลาวออกเสียงว่า "ข่าง") ซึ่งมีมากในป่าบริเวณนี้ ครั่งที่เก็บได้จะต้องนำไปตากแดดให้แห้งสนิทเสียก่อน พื้นที่ที่เหมาะต่อการตากครั้งที่สุดคือบริเวณลาดหินแห่งหนึ่งริมลําน้ำสานซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านในปัจจุบันจึงได้เรียกว่าลาดตากครั่ง ต่อมาผู้คนที่ทราบข่าวได้เข้ามาจับจองที่ดินและบุกเบิกป่าเพื่อทําการเพาะปลูกกันมากขึ้น เนื่องจากระยะทางระหว่างบ้านกับไร่ห่างไกลกันมากจึงไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ทุกวันอีกเหตุผลหนึ่งคืออันตรายจากสัตว์ป่าจึงจําเป็นต้องนอนค้างแรมกันเป็นเวลาร่วมเดือนหรือจนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะพากันกลับบ้าน 

ในขณะที่บางคนถึงกับปลูกบ้านอยู่อย่างถาวรจนกลายเป็นชุมชนเล็ก ๆ เดิมที่ชุมชน แห่งแรกที่ตั้งขึ้นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากหมู่บ้านในปัจจุบันประมาณ 3 กิโลเมตรโดยตั้งชื่อว่าบ้านคอนตีนเหล่า แต่อยู่มาไม่นานก็มีเหตุร้ายที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้านเกิดขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายหลายคนติดต่อกันแต่ที่เป็นปริศนาก็คือผู้ตายจะจมน้ำในที่เดียวกันบริเวณวังน้ำลึกท้ายหมู่บ้านและพองมศพขึ้นมาได้จะมีปูหนีบชายผ้าขึ้นมาด้วยทุกราย หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เกิดโรคห่าระบาดอย่างหนักทําให้มีผู้เสียชีวิตจํานวนมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชาวบ้านต่างสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าที่วังน้ำแห่งนั้นเป็นที่อยู่ของเงือกหรือผีน้ำ และหมู่บ้านแห่งนั้นตั้งทับเส้นทางผีผ่านจึงตกลงที่จะย้ายชุมชนขึ้นมาอยู่ที่แห่งใหม่ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านในปัจจุบันโดยตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งที่สองนี้ว่า บ้านทุ่งหรือบ้านหนองหญ้าไซ และต่อมาได้มีชาวบ้านจากชุมชนอื่นได้เข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มเติม ชาวบ้านที่มาอยู่ใหม่นี้ มาจากเมืองด่านซ้ายและเมืองปากเรื่อง(ท่าลี่) จนเป็นชุมชนที่ ใหญ่กว่าบ้านคอนตีนเหล่า

ต่อมามีชีปะขาวรูปหนึ่งได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้กับหมู่บ้านมีนามว่าครูบาอาชญาธรรม เป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมากเนื่องจากชีปะขาวท่านนี้นอกจากจะมีคาถาอาคมแก่กล้าแล้วยังมีเป็นหมอยาสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อย่างได้ผล โดยเฉพาะการรักษาแผลสดนั้นเป็นที่เล่าลือกันว่าผู้ที่ได้รับการรักษาโดยน้ำมันปลุกเสกของท่านแล้วไม่ว่าแผลนั้นจะกว้างและลึกเพียงใด ก็จะแห้งและตกสะเก็ดภายในสามวัน จึงนับได้ว่าชีปะขาวท่านนี้เป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านทุ่งในเวลานั้น หมู่บ้านทุ่งตั้งเป็นชุมชนอยู่ ได้ประมาณ 15 ปี ชีปะขาวท่านนั้นก็เสียชีวิตลงชาวบ้านจึงได้ช่วยกันประกอบพิธีศพโดยการเผาและได้สร้างธาตุครอบกองเถ้ากระดูกของท่านไว้ที่ทุ่งแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ทุ่ง แห่งนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าทุ่งธาตุมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ท่านชีปะขาวเสียชีวิตชาวบ้านก็ต้องผจญกับภัยร้ายอีกครั้งเนื่องจากเกิดไข้มาลาเรียระบาดและชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากสมัยนั้นชาวบ้านยังไม่รู้จักลักษณะอาการของไข้มาลาเลียจึงเชื่อกันว่าเป็นอาการของคนที่ถูกผีเข้าความหวาดกลัวทําให้ชาวบ้านกระจัดกระจายแยกกันไปคนละทิศทาง กลุ่มหนึ่งได้ไปตั้งหมู่บ้านใหม่คือหมู่บ้านบง ในเขตตำบลน้ำทูน อําเภอท่าลี่ในปัจจุบัน อีกกลุ่มหนึ่งได้แยกไปทางอําเภอด่านซ้าย ส่วนกลุ่มที่เหลือยังไม่ยอมไปไหนเพราะความเป็นห่วงเรือกสวนไร่นาที่กําลังจะให้ผลผลิตจึงได้มองหาทําเลใหม่ที่จะตั้งหมู่บ้าน ซึ่งไม่ไกลจากไร่นาของพวกเขามากนัก ระหว่างนั้นมีชาวบ้านได้ไปตากครั่งที่ท่าลาดเห็นพระพุทธรูปไม้ลอยมาติดแก่งหินอยู่ จึงนําไปให้เพื่อนบ้านดูชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มาชี้จุดที่จะสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ การโยกย้ายครั้งที่สามจึงเกิดขึ้น โดยชาวบ้านทั้งหมดได้พร้อมใจกันปลูกบ้านเรือนขึ้นบริเวณเนินเขาใกล้กับท่าครั่งที่พบพระพุทธรูปไม้ และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านลาดข่าง ตามสําเนียงภาษาถิ่นและได้ยกเอาขุนศรีอักษรซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท้าวบุตรดี และนางบับ ขึ้นเป็นผู้น้ำหมู่บ้านคนแรก

ในเวลาต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นหนึ่งแห่งภายในหมู่บ้านและให้ชื่อว่า วัดโพนงาม จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปไม้องค์ดังกล่าวไปประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนั้น ภายหลังได้มีการย้ายวัดอีกครั้งเนื่องจากสถานที่เดิมคับแคบ จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2520 พระพุทธรูปนั้นได้หายไปชาวบ้านได้พยายามสืบหาติดตามเป็นเวลาถึงสองปีจึงทราบว่ามีพระสงฆ์รูปหนึ่งที่เคยมาจําพรรษาที่วัดเป็นผู้นำไปชาวบ้านจึงได้ไปขอร้องให้นำกลับไปไว้ที่เดิม แต่เนื่องจากความกลัวว่าจะเกิดการสูญหายไปอีกชาวบ้านจึงได้นำไปซ่อนไว้ยังสถานที่ที่เป็นความลับที่ทราบกันเฉพาะในกลุ่มชาวบ้านเท่านั้นและจะนำออกมาสรงน้ำในวันสงกรานต์ทุกปี นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ เกิดกับชุมชนแห่งนี้อีก ชาวบ้านสามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างปกติสุขสืบมา

บ้านลาดค่างเป็นชุมชนขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาในระดับความสูง 80 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ที่มีความลาดชันไปทางทิศตะวันตกจรดลําน้ำสาน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 64 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,000 ไร่เศษ มีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านห้วยติ้ว และตําบลน้ำทูล อําเภอท่าลี่ จังหวัดเลย
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านโคกหางวัง และอุทยานแห่งชาติภูเรือ
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านไฮตาก และอุทยานแห่งชาติภูเรือ
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตําบลปากหมัน อําเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

ส่วนมากชาวบ้านลาดค่างจะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ในปัจจุบันจำนวนประชากรชุมชนบ้านค่างมีทั้งหมด 116 ครัวเรือน จำนวนประชาผู้หญิง 202 คน 240 คน รวมทั้งสิ้น 442 คน ประชากรในชุมชนบ้านลาดค่างนับถือศาสนาพุทธ นิกายหินยาน

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

วัดโพนงาม

เป็นวัดประจำชุมชนได้ขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ. 2507 แต่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับหมู่บ้าน วัดโพนงามเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นในวันพระและวันสําคัญทางศาสนาชาวบ้านลาดค่างจะหยุดจากการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจําวันเพื่อเข้าวัดฟังธรรมและร่วมกันพัฒนาวัด ซึ่งเป็นโอกาสที่ชาวบ้านจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นและเรื่องราวต่าง ๆ อันจะนํามาซึ่งความสามัคคีและการแก้ปัญหาของชุมชนร่วมกัน กิจกรรมที่นิยมปฏิบัติในวันพระก็คือการทําบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ดายหญ้า และปัดกวาดลานวัด เป็นต้น

โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กน้ำสาน

ผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานน้ำจากฝายน้ำล้น

การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ล่องแก่งลำน้ำสาน

ลำน้ำสานมีเกาะแก่งหินน้อยใหญ่มากกว่า 40 แก่ง ระยะทางล่องแก่งกว่า 13 กิโลเมตร มีความตื่นเต้นท้าทาย ตลอดสายน้ำตั้งแต่ระดับ 2-5 โดยแบ่งกิจกรรมการล่องแก่ง ออกเป็น 3 ช่วง ซึ่งเส้นทางที่ผ่านบริเวณบ้านลาดค่างจะอยู่ในช่วงที่ 3 กิจกรรมล่องแก่งในแต่ละปีจะเริ่มต้นประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคมที่นักท่องเที่ยวจะมาสัมผัสได้

ช่วงที่ 1 เริ่มต้นจากแก่งเกลี้ยงด้านหลังองค์การบริหารส่วนตำบลลาดค่างถึงแก่งโสกบ้านแก่งเกลี้ยง ระยะทาง 1.6 กิโลเมตรใช้เวลาล่องแก่ง 25-30 นาที มีทิวทัศน์สองฝากฝั่งที่สวยงามความยากง่ายอยู่ที่ระดับ 2-3 มีแก่งน้อยใหญ่จำนวน 6 แก่ง ระยะทางจุดนี้จะอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอภูเรือ 9 กิโลเมตร

ช่วงที่ 2 เริ่มต้นความท้าทายจากแก่งลาดนกขี้ถี่บ้านโคกหางวังถึงหน้าฝายโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กบ้านห้วยผักเน่า ระยะทาง 4.4 กิโลเมตร ใช้เวลาในการล่องแก่ง 30-40 นาทีตลอดเส้นทางล่องแก่งจุดนี้มีธรรมชาติที่สวยงามเป็นโขดหินน้อยใหญ่กว่า 10 แก่ง บางแก่งมีความคดเคี้ยวน้ำไหลเชี่ยวแรงความยากง่ายอยู่ที่ระดับ 3-5 ระยะทางจุดนี้จะอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอภูเรือ 13 กิโลเมตร

ช่วงที่ 3 เริ่มจากแก่งคอนบ่าหน้าโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กน้ำสานบ้านลาดค่างถึงวังสามพันสุดเขตแดนไทยระยะทาง 7 กิโลเมตร ใช้เวลาล่องแก่ง 2 ชั่วโมง เส้นทางล่องแก่งในช่วงนี้ผู้ล่องแก่งจะเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ตามแนวเขาและเกาะแก่งน้อยใหญ่น้ำไหลเรื่อยบางแห่งเชี่ยวแรงตื่นเต้นท้าทายที่รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสมากมายกว่า 26 แก่ง จุดลงห่างจากอำเภอภูเรือ 19 กิโลเมตร

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ศักดิ์ชาย คูณเมือง. (2546). วิถีชุมชนพื้นที่สูง : กรณีศึกษาชุมชนบ้านลาดค่าง ตำบลลาดค่าง อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษาเพื่อการพัฒนา สํานักงานบัณฑิตศึกษาสถาบันราชภัฏเลย.

องค์การบริหารส่วนตำบลลาดค่าง. (ม.ป.ป.). ล่องแก่งลำน้ำสาน. https://ladkang.go.th/

อบต.ลาดค่าง โทร. 0-4203-9935