Advance search

นาสะอุ้ง, สะนาจุ้ง

ชุมชนชาติพันธุ์ มีวัฒนธรรมถิ่นให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟ อะโวคาโด แมคคาเดเมีย ลูกพลับ และเกาลัดเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยานภูหินร่องกล้าที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมได้

หมู่ที่ 17
บ้านนาสะอุ้ง
วังบาล
หล่มเก่า
เพชรบูรณ์
อบต.วังบาล โทร. 0-5674-7532
รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์
10 พ.ย. 2024
รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์
15 พ.ย. 2024
บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
16 ธ.ค. 2024
บ้านนาสะอุ้ง
นาสะอุ้ง, สะนาจุ้ง


ชุมชนชาติพันธุ์ มีวัฒนธรรมถิ่นให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟ อะโวคาโด แมคคาเดเมีย ลูกพลับ และเกาลัดเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยานภูหินร่องกล้าที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมได้

บ้านนาสะอุ้ง
หมู่ที่ 17
วังบาล
หล่มเก่า
เพชรบูรณ์
67120
16.998905345816706
101.12963991779108
องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล

ที่มาของคนนาสะอุ้ง เดิมเป็นคนอำเภอปัว จังหวัดน่าน บรรพบุรุษมีอาชีพทำไร่ ระหว่างรอยต่อชายแดน ไทยและลาว ประมาณ 6 ปี ก็มีระบบคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2518 จึงกลับเข้ามาที่ไทย จึงทำให้ตกสำรวจ เพราะว่าปู่ ย่า ตา ยายกลัวความผิด จึงเผาเอกสารหลักฐานที่แสดงตัวตน บางคนก็เอาไปซุกไว้ไม้ไผ่ อีกมิหนำซ้ำเกิดเหตุไฟไหม้อำเภอปัว เอกสารทั้งหมดก็ไหม้หมด ก็ถูกพาเข้าไปอยู่ที่ศูนย์อพยพน้ำยาว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ประมาณ 15 ปี อยู่ในความดูแลของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ทั้งหมด เช่น เรื่องของการเรียน เรื่องการอุปโภคบริโภค ผู้อพยพอยู่ในศูนย์อพยพมีอาชีพหลัก คือ ผู้ชายจักสาน ผู้หญิงปักผ้าขาย โดยองค์กร/องค์การต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือ หลังจากนั้นตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทางกระทรวงมหาดไทยอพยพเคลื่อนย้ายชาวบ้านที่พิสูจน์ทราบว่าเป็นคนไทยโดยกำเนิดประมาณหมื่นกว่าคน ขนย้ายโดยรถทัวร์เป็นร้อย ๆ คัน ไปที่ศูนย์จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นศูนย์อพยพขนาดใหญ่ที่มีผู้อพยพจากที่อื่น ๆ ที่อยู่อาศัยเป็นห้องแถวยาวเป็นร้อย ๆ ห้อง สามารถจับจองได้ 3 ปี พร้อมมีการแปลงสัญชาติ "เหมือนพาสปอร์ตใช้ชั่วคราว/บัตรประจำตัวผู้อพยพ" โดยทางกองตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ออกให้ ฉบับจริง ตม. จะเก็บไว้ สีน้ำตาล มีภาพถ่ายติด หนึ่งคนจะมี 2 เล่ม ข้างในจะมีประวัติความเป็นมา อยู่ไหน เข้ามาเมื่อใด ส่วนที่ให้ผู้อพยพไว้ติดตัวจะเป็นแบบคัดสำเนา มีขนาดเท่ากระดาษ A4 ต่อมาปี พ.ศ. 2536 ทางรัฐบาลก็ให้ย้ายไปที่ค่ายศูนย์อพยพภูซาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ประมาณ 2 ปี ศูนย์อพยพภูซางเป็นศูนย์อพยพของม้งลาว ที่หนีภัยจากเหตุการณ์คอมมิวนิสต์ข้ามมาฝั่งไทย เพื่อต้องการอิสรภาพก่อนส่งไปอยู่ประเทศที่ 3 คือประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการคัดเลือกจากองค์การสหประชาชาติ (UN)

การคัดเลือกคนไปยังประเทศที่ 3 จากการสัมภาษณ์ ผู้ใหญ่บ้าน นายมี ใจแอ้น และภรรยา ใจความว่า บุคคลที่สามารถไปประเทศที่ 3 ได้ ต้องมีเอกสารหลักฐานว่าเป็นคนอพยพ และไม่มีเอกสารที่บ่งบอกว่าเป็นคนไทย ในการสัมภาษณ์จะมีล่ามแปลภาษาให้ ในกรณีของผู้ใหญ่มี ใจแอ้น สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยโดยมีล่ามของ UN แปลให้ การสัมภาษณ์เสร็จสิ้น ถูกตัดสินว่าผ่านการสัมภาษณ์ แต่ไม่สามารถไปได้ เพราะถูกพิสูจน์หลักฐานและมีเอกสารแสดงว่าเป็นคนไทย จึงอยู่ที่ศูนย์อพยพ จะไปไหนมาไหนต้องขออนุญาต เข้าออกเป็นเวลา เวลา 15.00 น. ทุกคนต้องไปเข้าแถวที่หน้าประตูทางออก เมื่อถึงเวลา 17.00 น. ตามเวลากำหนดเจ้าหน้าที่จะเป่านกหวีด เป็นเสียงเตือนเพื่อให้กลับเข้าศูนย์อพยพ ถ้าหากใครเข้ามาเกินเวลาที่กำหนด ต้องเข้าคุก ทุก ๆ อย่างมีกฎมีระเบียบ 

หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2538 กรมประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์ต้องการให้มาอยู่ในพื้นที่นาสะอุ้งประมาณ 50 ครอบครัวหลัก และจังหวัดเลยรับชาวบ้านที่ศูนย์อพยพเข้าไปอยู่ที่จังหวัดเลย 117 ครอบครัว การคัดเลือกตามความสมัครใจ ให้ยกมือว่าใครจะไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ 50 ครอบครัว ชาวบ้านก็ยกมือแล้วก็มีการบันทึกชื่อ การลงทะเบียน ช่วงแรกจะมีแค่หัวหน้าครอบครัวแค่ 50 คน เท่านั้น มาทำกระต๊อบเล็ก ๆ ให้พออยู่ได้ ทำประมาณ 3 เดือนก็กลับไปรับครอบครัวที่อยู่พะเยามานอนที่ทับเบิก 1 คืน ก็เข้าไปที่นาสะอุ้ง

ในช่วงแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านนาสะอุ้ง กรมประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์จะจัดสรรที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 6 ไร่ ที่อยู่อาศัย 2 งาน แต่ไม่ได้เพราะเป็นของม้ง ได้แต่ที่อยู่อาศัยงานกว่า ๆ จึงให้เงินหัวละ 1,800 บาท 3 เดือนต่อครั้ง (เป็นเวลา 1 ปี) ให้เป็นเงินยังชีพและซื้อสิทธิ์ของพี่น้องม้ง ดังการให้คำสัมภาษณ์ของ นายมี ใจแอ้น ผู้ใหญ่บ้านนาสะอุ้ง หมู่ที่ 17 (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2562 อ้างใน ฤทัยรัตน์ สุทธิ และศิณัฐวรรณ ขันโท, 2563) กล่าวว่า

"หลังจากนั้นคนม้งกลับมายึด คนม้งก็บอกว่าต้องแก้สิทธิ์กับพวกเรา เพราะว่าเราเป็นเจ้าของมาจับจองพื้นที่ก่อน ในตอนนั้นเพราะว่าไม่แพง ไร่หนึ่งประมาณ 200-300 ร้อยบาทเอง คนที่มีเงินเยอะก็ได้เยอะ คนที่ไม่มีเงินก็เอาเพียงกำลังที่มีครับ แก้สิทธิ์หมายถึงเอาเงินจ่ายให้เจ้าของที่ม้งเดิม แต่ไม่ใช่คนกรมประชาสงเคราะห์ช่วยแก้สิทธิ์ แก้กันเองภายใน ก็ตกลงกัน ถ้าไม่มีเงินเช่าที่น้องอันนี้ก็ไปเช่าพี่น้องทำ บางครั้งพี่น้องมาตอนแรกนี้มีเงินเยอะ 5,000-6,000 บาท ไร่ละ 200 บาท พี่น้องก็จะทุ่มเลย ถึง 20-30 ไร่ คนที่ไม่มี คนที่มีเยอะก็แบ่งให้กันทำช่วยเหลือกันไป แต่ละปี"

ก่อนที่จะมาเป็นหมู่ที่ 17 บ้านนาสะอุ้ง ยังเป็นหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านทับเบิก หมู่ที่ 14 ซึ่งห่างไกลกันกว่า 9.4 กิโลเมตร การดูแลจึงไม่ทั่วถึง เมื่อมีงบประมาณเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน พื้นที่นาสะอุ้งก็ไม่ได้งบประมาณ เช่น โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML), โครงการกองทุนหมู่บ้าน (เงินล้าน) เป็นต้น "เปรียบเสมือนกับลูกเมียน้อย" จะได้เพียงงบประมาณที่แบ่งมาพัฒนาหมู่บ้าน ปีละ 100,000 บาท เท่านั้น

ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2538, 2539 รถสามารถขับมาได้ เพราะถ้าเป็นทางเดิมจะมาอีกทาง ทางเป็นภูเขาสูงชัน ค่อนข้างอันตรายมาก มองลงไปเป็นเหว เป็นทางเส้นเล็ก ๆ

ประมาณปี พ.ศ. 2539 ช่วงตั้งหมู่บ้านแรก ๆ ได้ทำการต่อท่อจากต้นน้ำบนภูเขาเพื่อลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ อุปโภค บริโภค ภายในหมู่บ้าน หรือเรียกว่าน้ำประปาภูเขา

บ้านนาสะอุ้งมีแหล่งน้ำสาธารณะ คือ 1) ลำห้วยกกต้าว เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน เช่น ปู ปลา ผัก 2) สระเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าสระกลางบ้าน ประมงจังหวัดได้ส่งเสริมให้เลี้ยงปลา โดยให้ปลามาปล่อยที่สระเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน ประมาณ 5,000-6,000 ตัว ถึง 10,000 ตัว อาหารให้หากินตามธรรมชาติมีปลานิล (ปลาเลี้ยง) ปลายี่สก ปลาตะเพียน ช่วงเดือนตุลาคมจะเปิดให้ชาวบ้านจับปลา โดยเก็บค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อคน เพี่อเก็บไว้ใช้ในการพัฒนาภู่บ้าน

ปี พ.ศ. 2540-2541 จัดตั้งโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ขึ้นเนื่องจากชาวบ้านนาสะอุ้งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ เพื่อเป็นศาสนสถานที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ ทุกอาทิตย์จะมีบาทหลวงจากเพชรบูรณ์ขึ้นมาคอยดูแล ส่วนชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธ คือประชากรพื้นล่างที่ขึ้นมาแต่งงานกับคนนาสะอุ้ง ไม่มีศาสนสถานของศาสนาพุทธ หรือ วัด

ปี พ.ศ. 2549 ชาวบ้านในหมู่บ้านนาสะอุ้งได้รับบัตรประชาชน หลังจากที่ใช้เอกสารที่ทางกองตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ออกให้ช่วงที่อยู่ในศูนย์อพยพจังหวัดนครพนม

ปี พ.ศ. 2551 มีไฟฟ้าใช้ โดย CENTRAL Group มูลนิธิ เตียง จิราธิวัฒน์ ได้จัดทำโครงการ Corporate Social Responsibility (CSR) ติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานทดแทนด้วยแสงอาทิตย์ เพื่อให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามโครงสร้างพื้นฐานที่ควรจะได้รับ

ปี พ.ศ. 2557 มีนักท่องเที่ยวเข้าไปที่บ้านนาสะอุ้ง โดยได้รับการสนับสนุน การประชาสัมพันธ์ กรมประชาสงเคราะห์ เป็นการท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศ ทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักบ้านนาสะอุ้งมากขึ้น แต่ยังไม่มากนัก เพราะการเดินทางที่ยังไม่สะดวก และค่อนข้างลำบาก

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 บ้านนาสะอุ้งแยกมาเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการจากหมู่ที่ 14 และมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ของบ้านนาสะอุ้ง คนแรกคือ นายมี ใจแอ้น (คนปัจจุบ้น)

หมู่บ้านนาสะอุ้งจัดตั้งสถานบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านนาสะอุ้ง ประมาณปี 2559 ชาวบ้านนาสะอุ้งมีสิทธิรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า ซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้าน เดินทางไปรักษาลำบาก เมื่อมีสถานบริการสาธารณสุขชุมชนการดูแลสุขภาพ รักษาอาการเจ็บ ป่วย เบื้องต้นได้

ปี พ.ศ. 2559 มีการเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว แบบโฮมสเตย์เพื่อให้นักท่องเที่ยว ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชนชาวไทยถิ่น มีโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวประมาณ 10 หลัง แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่อง ไฟฟ้า น้ำประปา ไม่เพียงพอ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ต้องขึ้นไปบริเวณที่สูงจึงจะสามารถรับสัญญาณได้ และมีการสร้างสถานบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านนาสะอุ้งขึ้นพร้อมกับมีการแยกหมู่บ้านออกมาอย่างเป็นทางการจากที่อยู่กับบ้านทับเบิกหมู่ 14 เป็นหมู่บ้านนาสะอุ้งหมู่ 17 และมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ในการดำเนินเรื่องขอแยกหมู่บ้านเป็นเพราะการพัฒนาเข้ามาไม่ถึงหมู่บ้านนาสะอุ้ง เช่น เงินล้าน ศูนย์ SML เป็นต้น เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านทับเบิกเส้นทางการเดินทางมาค่อนข้างที่จะลำบากทำให้ผู้ใหญ่ไม่สามารถที่จะดูแลได้อย่างใกล้ชิดและทั่วถึง งบประมาณต่าง ๆ ในการพัฒนาหมู่บ้านไม่เพียงพอ แต่มีเงินสนับสนุนปีละแสนแต่เมื่อแยกเสร็จก็ไม่ได้รับต้องทำเรื่องขอเอง หลังจากนั้นกรมประชาสงเคราะห์เริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวในหมู่บ้านนาสะอุ้ง จึงเริ่มเปิดโฮมสเตย์เริ่มแรกจำนวน 10 หลังให้นักท่องเที่ยวอาศัยอยู่กับชาวบ้าน (ชรินรัตน์ ถาโถม และศิริพร บุญจูบุตร, 2563)

ปี พ.ศ. 2561 เกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ได้มาส่งเสริมให้ชาวบ้าน ปลูกกาแฟ อะโวคาโด แมคคาเดเมีย ลูกพลับ เกาลัด กาแฟ ส่วนมากต้องปลูกตามริมบ้าน ไม่สามารถที่จะปลูกเป็นแปลงใหญ่ได้ เพราะไม่มีน้ำ ส่วนไม้ยืนต้นอาศัยน้ำฝน

ปี พ.ศ. 2562 มีการเลี้ยง ไก่ เป็ด ห่าน ปลา (เช่น ปลานิล ปลาดุก) และกบ เพื่อบริโภคและจำหน่ายภายในหมู่บ้าน ส่วนไก่พันธุ์ไข่ และวัว ได้นำเข้ามาเลี้ยงเป็นปีแรก ภายในหมู่บ้านมีเพียงร้านขายของชำ 3 ร้าน ร้านขายก๋วยเตี๋ยว 1 ร้าน ไม่มีตลาดสดแต่มีรถพุ่มพวงจากหมากแข้งเข้ามาในหมู่บ้านทุกวัน ถ้าช่วงฤดูฝนรถพุ่มพวงไม่สามารถเข้ามาขายในหมู่บ้านได้ เนื่องจากถนนเป็นดิน

ประชากรในหมู่บ้านนาสะอุ้งเป็น "กลุ่มชาติพันธ์ถิ่น" ที่อพยพมาจาก ศูนย์อพยพภูซางเป็นศูนย์อพยพของม้งลาว หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2538 กรมประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์ต้องการให้มาอยู่ในพื้นที่นาสะอุ้งประมาณ 50 ครอบครัวหลัก ทั้งนี้บ้านนาสะอุ้งมีประชากรรวมจำนวน 247 คน ชาย จำนวน 122 คน หญิง จำนวน 125 คน จำนวน 86 ครัวเรือน

ลัวะ (มัล, ปรัย)
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

วิถีชีวิตของคนนาสะอุ้ง ช่วงแรกจะปลูกข้าว ล่าสัตว์ หาของป่า เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่เพื่อบริโภค เริ่มแรกมีคนนำร่องปลูกข้าวโพด 2 คน โดยนำแบบอย่างมาจากบ้านหมากแข้ง หลังจากนั้นการปลูกข้าวโพดก็เป็นอาชีพหลักของชาวบ้านนาสะอุ้ง นอกจากนี้ยังมีเสาวรส ที่เริ่มปลูกราวปี พ.ศ. 2558 ประมาณ 500-600 ร้อยต้น และขิงเริ่มปลูกประมาณปี พ.ศ. 2560

1.นายมี ใจแอ้น ผู้ใหญ่บ้านคนแรก ของบ้านนาสะอุ้ง หมู่ที่ 17 และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ถิ่นรุ่นแรกที่เข้ามาบุกเบิกพื้นที่ทำมาหากินโดยอพยพมาจาก ศูนย์อพยพภูซางเป็นศูนย์อพยพของม้งลาว ใน ปี พ.ศ. 2538 โดยกรมประชาสงเคราะห์จังหวัดเพชรบูรณ์

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

สื่อสารภาษาไทยกับคนไทยพื้นราบและหน่วยราชการที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่


การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีรูปแบบการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตการปกครองอำเภอหล่มสัก และองค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล


ชาวบ้านนาสะอุ้งมีอาชีพ เกษตรกรรม และรับจ้างทั่วไป ที่เป็นพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าวโพด และในปี 2561 ได้รับการส่งเสริมจากเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ให้ชาวบ้าน ปลูกกาแฟ อะโวคาโด แมคคาเดเมีย ลูกพลับ เกาลัด ส่วนมากต้องปลูกตามริมบ้าน ไม่สามารถที่จะปลูกเป็นแปลงใหญ่ได้ เพราะไม่มีน้ำ ส่วนไม้ยืนต้นอาศัยน้ำฝน จึงทำให้ชาวบ้านนาสะอุ้งมีรายได้ไม่สูง เนื่องจากข้อจำกัดของแหล่งน้ำและพื้นที่ทำกินที่มีจำกัด ประกอบกับการเดินทางขนส่งผลผลิตก็ไม่สะดวก สภาพเศรษฐกิจชุมชนจึงเน้นการปลูกพืชผักเพื่อการบริโภค และทำไร่เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว เป็นหมู่บ้านชายขอบที่ไม่สามารถทำการค้าแบบพาณิชย์ในการแข่งขันได้


สถานะเป็นคนไทยมีบัตรประชาชน ได้รับสิทธิและสวัสดิการจากรัฐเหมือนคนไทยพื้นราบ


  1. ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไฟฟ้าใช้แผงโซล่าเซลล์ ไฟฟ้าจะมีเป็นช่วงเวลาไม่ได้มีตลอด
  2. การคมนาคม ทางเข้าชุมชนมี 2 ทาง ทางแรกคือเข้าจากภูทับเบิก ถึงแยกทางเข้าวัดป่าภูทับเบิก ตรงยาวไปราว 10 กม. จะพบชุมชนแห่งนี้ และทางที่ 2 เข้าจากถนนสายหล่มเก่า-ด่านซ้าย มาทางชุมชนหมากแข้ง-ชุมชนนาสะอุ้ง ระยะทางเพียง 6 กม. (ทางหลัก) (องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล, ม.ป.ป.) 
  3. มีประปาหมู่บ้านใช้ภายในชุมชน

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านทับเบิก (สาขานาสะอุ้ง) จัดตั้งขึ้นประมาณ 2 ปี นับจากตั้งหมู่บ้าน ประมาณปี 2540 โดยองค์การบริหารสวนตำบลวังบาล เด็กในชุมชนส่วนใหญ่เมื่ออายุถึงวัยเข้าเรียนระดับประถมศึกษาจะเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนเย็นศิระบ้านหมากแข้ง หมู่ 4 ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ได้รับการช่วยเหลืออุปกรณ์การเรียน สนับสนุนงบประมาณจ้างครู ค่าอาหารต่อหัว ถ้าเป็นอุปกรณ์การเรียน คอมพิวเตอร์ สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์กีฬา ส่วนมากจะเป็นองค์กรเอกชน เช่น เซ็นทรัล (Central) กลุ่มรากแก้ว และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ช่วยจัดทำเว็บไซต์ (Website) แนะนำบ้านนาสะอุ้ง (ฤทัยรัตน์ สุทธิ และศิณัฐวรรณ ขันโท, 2563)


ชาวบ้านที่นี่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ถิ่น ชุมชนลาวที่อพยพมาจากจังหวัดน่านสู่ชุมชนในหุบเขา และวัฒนธรรมท้องถิ่นเดิม "บ้านนาสะอุ้ง" มีวัฒนธรรมเผ่าถิ่น มีอาหารพื้นบ้าน ขนมไทย เครื่องดนตรีโบราณ ประชาชนนับถือทั้งศาสนาพุทธ คริสต์และผีบรรพบุรุษ ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน คือ ประเพณีปีใหม่ ประเพณีกินข้าวใหม่ วันคริสต์มาส (องค์การบริหารส่วตำบลวังบาล, ม.ป.ป.)


หมู่บ้านนาสะอุ้ง อยู่ในพื้นที่ภูทับเบิก เป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และอุทยานแห่งชาติเขาค้อ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2560). แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก พ.ศ. 2560 – 2565. ม.ป.ท.

ชรินรัตน์ ถาโถม และศิริพร บุญจูบุตร. (2563). บทบาทของชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาการท่องเที่ยวภูทับเบิก ก่อน - หลัง คำสั่งคสช.ที่ 35/2559. วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี สาขาพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะสังคมศาสตร์, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

ฤทัยรัตน์  สุทธิ และศิณัฐวรรณ ขันโท. (2563). ประวัติศาสตร์ชุมชนกับการพัฒนาการท่องเที่ยวภูทับเบิก อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์. วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี สาขาพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะสังคมศาสตร์, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล. (ม.ป.ป.). ข้อมูลหน่วยงาน. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567. https://www.wangban.go.th/

อบต.วังบาล โทร. 0-5674-7532