
หมู่บ้านปราสาทเยอมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เนื่องจากพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก และเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นที่ทางตอนใต้และตอนเหนือของจังหวัด ทำให้มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่อดีต
ชื่อของ "หมู่บ้านปราสาทเยอ" มีที่มาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์เยอและภูมิศาสตร์ท้องถิ่นของหมู่บ้านนี้ในจังหวัดศรีสะเกษ โดย "เยอ" เป็นชื่อของชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และคำว่า "ปราสาท" มาจากโบราณสถานและวัฒนธรรมขอมที่มีอิทธิพลในบริเวณนี้ ซึ่งมีปราสาทหรือศาสนสถานที่เป็นอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมขอม
หมู่บ้านปราสาทเยอมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เนื่องจากพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก และเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นที่ทางตอนใต้และตอนเหนือของจังหวัด ทำให้มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่อดีต
หมู่บ้านปราสาทเยอ ตั้งอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ได้แก่ เขมร ส่วย ลาว และเยอ กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มีวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม และประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน โดยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักในการยึดเหนี่ยวจิตใจ แม้จะมีการใช้ภาษาและการประกอบพิธีกรรมที่แตกต่างกันไป
ชาวเยอในหมู่บ้านปราสาทเยอถือเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองของศรีสะเกษ กลุ่มเยอนี้ถูกเรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า "กวย" ซึ่งแปลว่า "คน" โดยจัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ภาษามอญ-เขมร และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มชาวส่วย (กูย) ที่อาศัยอยู่ทางอีสานใต้ ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 3,000 ปี โดยสืบเชื้อสายจากชนเผ่ามุณฑ์ (Munda) ชนเผ่านี้เป็นที่รู้จักในเรื่องการจับช้างและฝึกช้าง ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมและทักษะเฉพาะตัวของชาวเยอและชาวกูยในปัจจุบัน ที่มีทักษะในการฝึกสัตว์และประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ
นอกจากนี้ ชาวเยอในหมู่บ้านปราสาทเยอยังรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเหนียวแน่น โดยกลุ่มชาติพันธุ์เยอนี้อาจจะพูดภาษาเดียวกันกับชาวกูย แต่มีความแตกต่างในบางคำ จึงถือเป็นกลุ่มย่อยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน หมู่บ้านปราสาทเยอนับเป็นชุมชนที่สะท้อนถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวอีสานใต้ และเป็นหนึ่งในชุมชนที่รักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และความเชื่อดั้งเดิมเอาไว้อย่างสมบูรณ์
การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านปราสาทเยอ : ประวัติและพัฒนาการ
หมู่บ้านปราสาทเยอ ในจังหวัดศรีสะเกษ มีประวัติการตั้งถิ่นฐานที่ยาวนานและซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์เยอจากฝั่งแม่น้ำโขงในประเทศลาว เช่น เมืองอัตตะปือ แสนปาง และจำปาศักดิ์ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเยอต้องอพยพมาสู่ประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2260 นั้น เกิดจากการปะทุของสงครามภายในประเทศและการระบาดของโรคร้ายแรง ซึ่งบังคับให้ชาวเยอจำนวนมากต้องละทิ้งถิ่นฐานเดิมและเดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาสู่ฝั่งไทย (ธันยพงศ์ สารรัตน์, 2563)
การอพยพของชาวเยอนั้นเป็นการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่โดยใช้เรือยาวล่องมาตามแม่น้ำโขง และเมื่อเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว พวกเขาได้ล่องเรือตามลำน้ำมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่เป็นจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน คุณวัฒน์ ดวงมณี และคณะ (2561) ได้กล่าวถึงผู้นำสำคัญของชาวเยอในครั้งนั้น คือ พญาตะศิลา ซึ่งเป็นหัวหน้าในการนำชาวเยออพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แถบแม่น้ำมูล พญาตะศิลาและกลุ่มของเขาเลือกพื้นที่ที่เรียกว่าเมืองโคกหรือเมืองคง (ซึ่งก็คือพื้นที่ในอำเภอราศีไศลปัจจุบัน) ในการตั้งรกราก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีลำน้ำมูลซึ่งเหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรมและการติดต่อค้าขาย
ตำนานเล่าขานของการตั้งถิ่นฐานเมืองคงนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเมืองที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากการปลูกต้นมะม่วงหรือต้นไม้พื้นเมืองอื่น ๆ ที่ชาวเยอนำมาปลูกในพื้นที่ โดยเฉพาะมะม่วงที่เรียกว่า "เยาะค็อง" หรือ "เยาะก็อง" ซึ่งเป็นคำที่ภายหลังเพี้ยนมาเป็นชื่อ "เมืองคง" ในที่สุด ปัจจุบันยังคงมีศาลและรูปปั้นของพญาตะศิลาในบริเวณบึงคงโคก เป็นที่เคารพสักการะและจัดพิธีบวงสรวงในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปี เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมและความเคารพต่อบรรพบุรุษของชาวเยอรุ่นหลัง (ธันยพงศ์ สารรัตน์, 2563)
อีกด้านหนึ่ง งานของสุพรรษา อติประเสริฐกุล (2552) ยังได้บันทึกการอพยพของชาวเยอในตำนานที่แตกต่างเล็กน้อย โดยกล่าวว่าผู้นำชาวเยออีกท่านหนึ่งคือพระยาไกร ได้ร่วมกับพญาตะศิลาในการนำกลุ่มเยอหนีภัยสงครามจากฝั่งลาว ด้วยการใช้เรือยาวจำนวน 5 ลำ โดยแต่ละลำมีผู้นำและบรรพชนหลายคนเข้าร่วม เช่น ท้าวพงศ์คำไฮ ท้าวคำแก้ว และนางคำไหม ทั้งกลุ่มได้ล่องเรือตามแม่น้ำโขงและแยกย้ายกันตั้งถิ่นฐานตามบริเวณต่าง ๆ ในศรีสะเกษ โดยกลุ่มของพระยาไกรได้ตั้งรกรากที่ตำบลโพนค้อและตำบลทุ่ม ส่วนพญาตะศิลาตั้งเมืองคงซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของชาวเยอในยุคต่อมา
หลังจากตั้งถิ่นฐานในเมืองคงและบริเวณใกล้เคียง ชาวเยอได้ขยายเครือข่ายทางเครือญาติและการค้าขายกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในพื้นที่ นอกจากการตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านปราสาทเยอแล้ว ชาวเยอได้กระจายตัวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เช่น บ้านขมิ้น บ้านโพนปลัด บ้านประสาทเยอ และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีทรัพยากรที่เหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐาน การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวเยอสามารถดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้ แต่ยังเป็นการส่งต่อวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของตนให้คงอยู่ในชุมชนอย่างยั่งยืน
หมู่บ้านปราสาทเยอในปัจจุบันจึงเป็นตัวแทนของการสืบทอดวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวเยอในประเทศไทย ที่สืบทอดมายาวนานนับตั้งแต่การอพยพจากฝั่งลาว จนกลายเป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวและรักษาอัตลักษณ์นี้เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
สภาพพื้นที่กายภาพ
หมู่บ้านปราสาทเยอ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีดินลักษณะร่วนปนทราย อุดมสมบูรณ์ปานกลาง เหมาะสมสำหรับการทำการเกษตร เช่น การปลูกข้าวหอมมะลิ พืชไร่ และพืชผักสวนครัว นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำธรรมชาติสำคัญ เช่น ห้วยแฮดและห้วยทา ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น ปลาและกุ้งฝอยในชุมชน ชุมชนตั้งอยู่ใกล้ชายแดนกัมพูชา ส่งผลให้พื้นที่บางส่วนได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมและการค้าขายจากเพื่อนบ้าน (สรญา แสงเย็นพันธ์, 2565)
ทรัพยากรทางธรรมชาติ
หมู่บ้านปราสาทเยอมีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย โดยเฉพาะป่าชุมชนที่ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 45 ไร่ 1 งาน ซึ่งถูกอนุรักษ์โดยชาวบ้านในพื้นที่ ป่าแห่งนี้เป็นแหล่งสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น ใบชะมวง ใบมะตูม และว่านต่างๆ ที่ใช้สำหรับการรักษาโรค นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งฟืนและอาหารป่าที่สำคัญ เช่น หน่อไม้ เห็ดป่า และผักหวานป่า ชาวบ้านร่วมกันดูแลป่าโดยการจัดกิจกรรมปลูกป่าชุมชนและการป้องกันการลักลอบตัดไม้ เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในพื้นที่ (กรมป่าไม้, 2562)
ภูมิปัญญาชุมชน
ชุมชนปราสาทเยอมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน เช่น การใช้สมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาโรค โดยสมุนไพรที่นิยมใช้ ได้แก่ รากปลาไหลเผือกสำหรับบำรุงร่างกาย ว่านหางจระเข้สำหรับรักษาแผลสด และขมิ้นชันสำหรับบรรเทาอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังมีภูมิปัญญาในด้านอาหารพื้นบ้าน เช่น “แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง” และ “ปลาย่างต้มใส่ใบชะมวง” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า ในด้านงานฝีมือ ชาวบ้านยังมีความชำนาญในการจักสานเครื่องใช้จากไม้ไผ่ เช่น กระบุงและกระติบข้าว ซึ่งนอกจากจะใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังจำหน่ายเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัว (สุชาดา ประดับชาติ, 2563)
ชุมชนปราสาทเยอดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่สำคัญคือการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ โดยเฉพาะและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ อย่างเช่นเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติ พึ่งพาสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะวิญญาณของบรรพบุรุษ เทวดาที่อยู่บนฟ้า เพื่อขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษมาปกปักรักษา หรือการแก้บนที่ทำไว้เมื่อยาม เจ็บไข้ได้ป่วย หรือเมื่อมีเหตุสำคัญ ที่ต้องอาศัยกำลังใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็ตรวจไม่พบว่าเป็นโรคอะไรทั้งนั้น คนๆ นั้น สบายดีตอนหาหมอ แต่พอตอนอยู่ที่บ้าน กลับป่วยทรุดหนัก ว่ากันว่าบรรพบุรุษเป็นผู้กระทำ จึงรำถวายเพื่อเป็นการบวงสรวง ผู้ป่วยคนนั้นก็หายวันหายคืน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, 2560) คนเยอเรียกพิธีกรรมรำแถนว่า “รำแม่สะเอง หรือ “รำชะเอง” ที่ปรากฏในรายการสื่อโทรศัพท์ และ “รำแกลสะเอง” (ชไมพร วรรณทวี และบุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล, 2566)
สถานที่สำคัญและพื้นที่ทางสังคม
- วัดปราสาทเยอเหนือ วัดนี้เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชุมชน ภายในวัดมีปราสาทโบราณศิลปะขอมที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16-17 แม้ว่าปัจจุบันปราสาทจะชำรุดไปบ้าง แต่ยังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ชาวบ้านใช้สำหรับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น งานบุญประเพณีและพิธีบวช
- ป่าชุมชนปราสาทเยอ เป็นพื้นที่ที่ชุมชนใช้จัดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การปลูกป่าประจำปี การเก็บหาของป่า และการจัดงานประเพณีที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ
- พื้นที่ลานวัฒนธรรมชุมชน ลานวัฒนธรรมที่ใช้จัดงานประเพณีประจำปี เช่น งานสงกรานต์ งานบุญข้าวประดับดิน และการแสดงพื้นบ้าน เช่น การฟ้อนรำและการละเล่นดนตรีพื้นบ้านที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชน (องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ, 2564)
ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ เป็นตำบลที่มีประชากรหนาแน่นขนาดใหญ่มีประชากรอาศัยอยู่ทั้งหมด 11 หมู่บ้าน ซึ่งประชากรชาวเยออาศัยอยู่ 3 หมู่บ้านเป็นหลัก ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านปราสาทเยอเหนือ หมู่ที่ 2 ปราสาทเยอใต้ หมู่ที่ 10 ปราสาทเยอตะวันตก ระยะทางห่างจากตัวอำเภอ ไพรบึง 8 กิโลเมตร ห่างจากโรงพยาบาลไพรบึง 8 กิโลเมตร ระยะทางห่างจากตัวจังหวัด 35 กิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับตำบลสุขสวัสดิ์ อำเภอไพรบึง ทิศใต้ติด ติดต่อกับ ตำบลไพรบึง อำเภอไพรบึง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลศรีโนนงาม อำเภอศรีรัตนะ (แบบบันทึกการดำเนินงานของเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนระดับตำบล, 2554)
ประชากรตำบลปราสาทเยอทั้งหมดที่มีการรายงานในเดือนมิถุนายน 2567 โดยกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยนั้นมีอยู่ที่ 4,354 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 11 หมู่บ้าน โดยที่ชาติพันธุ์เยอจะอยู่ใน 3 หมู่บ้านหลักได้แก่หมู่ 1 บ้านปราสาทเยอเหนือ มีประชากรทั้งหมด 512 คน หมู่ 2 บ้านปราสาทเยอใต้ มีประชากร 443 คน และหมู่ 10 บ้านปราสาทเยอตะวันตก มีประชากร 384 คน รวมเป็น 1,339 คน จากทั้งหมด 455 หลังคาเรือน
เยออาชีพหลัก
อาชีพหลักของชาวหมู่บ้านปราสาทเยอคือ การทำนา ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของครัวเรือนในชุมชน เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมกับการเกษตรกรรม ชาวบ้านจึงพึ่งพาการทำนาเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด และการทำสวนผัก ซึ่งเป็นอาชีพเสริมที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือน
อาชีพเสริม
นอกจากการทำนาแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านปราสาทเยอยังประกอบอาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น การปลูกผัก ทำสวน และทอผ้า การทอผ้าเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้หญิงในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตเพื่อใช้เองแล้ว ยังสามารถจำหน่ายเป็นสินค้าในตลาดได้ นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชผักในสวนเล็ก ๆ สำหรับใช้ในครัวเรือนและบางส่วนจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เพื่อเพิ่มรายได้เสริมให้กับครัวเรือน
การออกไปทำงานนอกชุมชน
ในปัจจุบัน แม้ว่าการเกษตรจะเป็นอาชีพหลัก แต่ชาวบ้านบางส่วน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มีการออกไปทำงานนอกชุมชนในช่วงที่ว่างจากการเก็บเกี่ยวหรือการทำนา เช่น การเข้าไปทำงานในตัวเมืองศรีสะเกษหรือในจังหวัดอื่น ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม นอกจากนี้บางครอบครัวยังมีสมาชิกที่ย้ายถิ่นฐานไปหางานในเมืองใหญ่ หรือทำงานรับจ้างทั่วไปที่สามารถนำรายได้กลับมาสนับสนุนครอบครัวในชุมชน
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชน
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในหมู่บ้านปราสาทเยอมีความแน่นแฟ้นสูง เนื่องจากชาวเยอในหมู่บ้านมีระบบเครือญาติที่เข้มแข็ง และยังมีความเชื่อและประเพณีร่วมกัน ทำให้ชาวบ้านมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชีวิตประจำวันและในกิจกรรมทางศาสนาและประเพณี ยกตัวอย่างเช่น กรณีของยายพิกุล ซึ่งเป็น "กวยรำ" หรือผู้นำในการประกอบพิธีกรรมสำคัญของชุมชน บทบาทของกวยรำในพิธีกรรมสร้างความเคารพและความผูกพันทางจิตวิญญาณระหว่างคนในหมู่บ้าน ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนอย่างเต็มใจ
การรวมกลุ่มและองค์กรชุมชน
หมู่บ้านปราสาทเยอมีการจัดการองค์กรชุมชนที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในหมู่บ้าน นำโดยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและจัดการเรื่องต่าง ๆ ในชุมชน มีการจัดกิจกรรมประเพณีสำคัญตามรอบปี เช่น พิธีกรรมรำแม่สะเองในระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ หรือเดือน 1 และ 2 (มกราคมถึงกุมภาพันธ์) บุญข้าวจี่และการไหว้ผีฟ้า-ผีแถน ในเดือน 3 บุญผะเหวดในเดือน 4 บุญสงกรานต์ในเดือน 5 และบุญบั้งไฟในเดือน 6 พิธีกรรมเหล่านี้มีบทบาทในการรวมกลุ่มชาวบ้านให้เกิดความสามัคคี โดยเฉพาะการไหว้ผีฟ้า-ผีแถน ซึ่งเป็นการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ เพื่อขอความอุดมสมบูรณ์และปกปักรักษาหมู่บ้าน
อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของพิธีกรรมรำแม่สะเองนั้นจะปฏิบัติกันในเดือน 3 (เดือนกุมภาพันธ์) ของทุกปี โดยจะทำกันเป็นกลุ่มมีร่างทรงผู้หญิงที่เรียกในภาษาเยอว่า "กวยรำ" ประมาณ 10-20 คน ต่อกลุ่ม คนที่จะเป็นร่างทรงได้นั้น ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บป่วยก่อน และให้โหนทำนายดูถ้ารู้ว่ามีแม่สะเองอยากจะเข้าสิงร่างเพื่อทำกายร่ายรำ ก็จะแต่งเครื่องสังเวยได้ทำพิธีให้แม่สะเองเข้าสิง ถ้ามีแม่สะเองเข้าสิงอาการป่วยก็จะหาย และถ้าถึงเดือน 3 ของทุกปี (เดือนกุมภาพันธ์ในปฏิทินสากล) ก็จะแต่งเครื่องสังเวยให้ผีแม่สะเองสิงร่างเพื่อร่ายรำต่อไป (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, 2560; ชไมพร วรรณทวี และบุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล, 2566)
ปฏิทินชุมชน
เดือนเมษายน : ประเพณีสงกรานต์
- ลักษณะกิจกรรม : ชาวบ้านร่วมกันจัดงานสงกรานต์ในลานชุมชนและวัดปราสาทเยอเหนือ โดยมีพิธีสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อขอพร และการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ
- ความสำคัญ : สงกรานต์เป็นโอกาสสำคัญที่ลูกหลานกลับบ้านเพื่อพบครอบครัว สะท้อนถึงค่านิยมการเคารพผู้สูงอายุและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น (องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ, 2564)
เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม: ประเพณีเข้าพรรษา
- ลักษณะกิจกรรม : การถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และการทำบุญตักบาตร โดยมีการจัดขบวนแห่เทียนที่แสดงถึงความร่วมมือในชุมชน
- ความสำคัญ : การเข้าพรรษาส่งเสริมการปฏิบัติธรรมและศีลธรรม ชาวบ้านยังส่งเสริมให้เยาวชนเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมพุทธศาสนา (สุชาดา ประดับชาติ, 2563)
เดือนพฤศจิกายน : ประเพณีลอยกระทง
- ลักษณะกิจกรรม : การทำกระทงจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตองและหยวกกล้วย และการลอยกระทงเพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่น้ำลำคลอง
- ความสำคัญ : ประเพณีนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องการบูชาน้ำและธรรมชาติ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2564)
เดือนธันวาคม : การทำบุญปีใหม่
- ลักษณะกิจกรรม : ชาวบ้านร่วมกันจัดงานทำบุญตักบาตรตอนเช้า โดยมีการจัดเตรียมอาหารพื้นบ้าน เช่น ข้าวต้มมัด และการแลกของขวัญในหมู่บ้าน
- ความสำคัญ : กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความเชื่อเรื่องการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสิริมงคลและการเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน (องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ, 2564)
ชีวิตประจำวัน
- การเกษตร : ชาวบ้านปลูกข้าวในฤดูฝนและปลูกพืชไร่ เช่น มันสำปะหลังและข้าวโพดในฤดูแล้ง มีการใช้ความรู้พื้นบ้าน เช่น การทำปุ๋ยหมักและการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อรักษาความสมดุลของดิน (สรญา แสงเย็นพันธ์, 2565)
- งานหัตถกรรม : ผู้หญิงในชุมชนมีความชำนาญในการทอผ้าไหมและจักสานผลิตภัณฑ์ เช่น กระบุงและกระติบข้าว นอกจากใช้ในครัวเรือนแล้ว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัว (สุชาดา ประดับชาติ, 2563)
- กิจกรรมทางศาสนา : การไปวัดในวันพระเป็นสิ่งสำคัญ โดยชาวบ้านจะนำอาหารไปถวายพระและร่วมฟังธรรม กิจกรรมนี้ช่วยส่งเสริมคุณค่าทางศาสนาและจิตวิญญาณในชุมชน (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2564)
- การพบปะสังสรรค์ : ในช่วงเย็น ชาวบ้านมักพบปะพูดคุยบริเวณลานหมู่บ้านหรือศาลากลางเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร การพบปะนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและรักษาวัฒนธรรมชุมชน (องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ, 2564)
1.นางพิกุล โยธี อายุ 70 ปี หนึ่งในกวยรำหรือนางรำที่เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมรำแม่สะเอง ถือเป็นผู้ที่มีความรู้และถูกเลือกให้เป็นกวยรำของชุมชนยายพิกุลเล่าว่าเธอมีสมาชิกอาศัยอยู่ในครอบครัวทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วย ลูก 3 คน หลาย 2 คน และเหลนอีก 1 คน ยายพิกุลในปัจจุบันมีอาชีพทำนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในหมู่บ้านปราสาทเยอ รวมถึงทำการเกษตรอื่น ๆ เช่น ปลูกผัก ทำสวน ทำไร่ข้าวโพด ทอผ้า
การมาเป็นกวยรำของเธอเริ่มเป็นป่วยตอนอายุ 67 จากมีอาการเจ็บป่วย ป่วยนิด ๆ หน่อย หาสาเหตุไม่ได้ไม่รู้ว่าป่วยอะไร ไม่สบาย ไปรักษาหลายที่แล้วก็ไม่หาย จึงได้ไปดูมอ (หมอดู) ว่าเป็นอะไร หมอดูก็บอกว่าผีสะเองมาอยู่ด้วย เลยทำให้ต้องรับเอามาอยู่ด้วยพอมาอยู่ด้วยก็อาการดีขึ้น โดยได้ทำการบนบานศาลกล่าวไว้ว่าถ้าหายดีแล้ว และต้องจัดพิธีกรรมรำแม่สะเองขึ้น เพื่อเป็นการรำถวาย
ยายป่วยไม่สบาย เจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ อยู่ไม่ได้เลย ก็เลยต้องเอาเอาแล้วก็ดีขึ้นเลย ไม่เป็นอะไร ทุกวันนี้อยู่ได้มันเป็นเหมือนอะไรไม่รู้อยู่ที่เนื้อที่ตัว ไม่ใช่อยากได้เอง แนวนี้มาอยู่แลวก็อยู่ ไปบ้านไม่ได้ไปแล้วก็มาถึงบ้าน นอนก็ไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับ เหมือนมีเสียงตีกลองอยู่ที่หู ก็เลยไปทำให้เขาเลยดีขึ้น ถ้าทำถูกก็ดี ถ้าทำไม่ถูกก็ตาย แต่แนวนี้ทำให้ไม่ตายทำให้เจ็บ (พิกุล โยธี, สัมภาษณ์, 11 เมษายน 2565)
หลังจากที่ป้าพิกุลเข้าสู่การทำพิธีกรรมครบ 3 ปี เธอก็จะสามารถเป็นกวยรำที่มีหิ้งอยู่ที่บ้าน เนื่องจากเป็นความเชื่อ พิธีกรรมรำแม่สะเองเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ที่อยู่คู่กับชาวเยอมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และปฏิบัติสืบต่อกัน เนื่องจากชาวเยอเชื่อว่าผีแม่สะเองเป็นคนทำให้เจ็บป่วย ยายพิกุลจึงได้จัดพิธีกรรมรำแม่สะเองนี้ขึ้นมา การจัดพิธีกรรมจะจัดขึ้นทั้งหมด 3 ปี หรือบางคนจะรำมากกว่านี้ก็ได้แต่ต้องทำให้ครบ 3 ปี เพื่อให้มีการยกหิ้ง หิ้งเป็นเหมือนบ้านของผีแม่สะเองมาอยู่หลังจากจัดพิธีให้ครบ 3 ปี ก็จะได้เป็นบ้าน
1.พิธีกรรมในฐานะทุนทางวัฒนธรรม
ทุนทางวัฒนธรรมเป็นมูลค่าที่สะท้อนผ่านความรู้และภูมิปัญญาที่เกิดจากการค้นพบของผู้รู้ในท้องถิ่น เป็นทั้งค่านิยมและความเชื่อที่ผูกพันสังคมให้เกิดการจัดระเบียบและการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข ตัวอย่างทุนทางวัฒนธรรมได้แก่ ภาษา ศิลปกรรม วรรณกรรม ดนตรี ประเพณี และความเชื่อ ซึ่งเป็นมรดกสืบทอดที่สร้างความภูมิใจแก่ชุมชน
เมื่อพิจารณาพิธีกรรมของชาวเยอ พบว่าพิธีรำแม่สะเองถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาและความเชื่อของชาวเยอ โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ พิธีกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อปัดเป่าความเจ็บป่วยที่การแพทย์ไม่สามารถรักษาได้ เป็นการเสริมความเชื่อมั่นและสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วยและคนในชุมชน
พิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เยอ
พิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เยอเป็นการเฉลิมฉลองและระลึกถึง "พระยากตะศิลา" ผู้ซึ่งนำพาชาวเยอมาตั้งถิ่นฐานในอำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับการบันทึกโดยภัคพล บุญเหลืองและบุญชู ภูศรี (2559) โดยพิธีกรรมบูชาผีบรรพบุรุษจัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงพระยากตะศิลา รวมทั้งบรรพชนชาวเยอ โดยพิธีกรรมนี้จัดขึ้นด้วยความร่วมมือของชุมชน องค์กร
ท้องถิ่น และกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงมีการแห่ การฟ้อนรำ และการเซิ้งสะไน เพื่อให้ชาวบ้านได้แสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน
พิธีกรรมรำแม่สะเองในหมู่บ้านปราสาทเยอ: มรดกทางวัฒนธรรมและการสืบทอดภูมิปัญญาทางสังคม
พิธีกรรมรำแม่สะเองในตำบลปราสาทเยอ เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรักษาผู้ป่วยที่หาทางรักษาหายด้วยวิธีทางการแพทย์ไม่ได้ ถือเป็นพิธีกรรมสำคัญในชุมชนซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อดั้งเดิมในการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายผู้ป่วย แต่ละบ้านที่จัดพิธีจะบอกกล่าวล่วงหน้าให้ชุมชนทราบ โดยในพิธีจะมีการฟ้อนรำอย่างเป็นเอกลักษณ์ของชาวเยอ ผู้ที่รำในพิธีมักเป็นผู้หญิงสูงอายุ ซึ่งสื่อถึงภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น
การเตรียมงานดังกล่าวจะทำในช่วงเช้าจนถึงเที่ยงเวลาเลี้ยงอาหารกลางวันของเจ้าภาพ เพื่อให้ช่วงบ่ายเป็นการพักผ่อนหลังจากที่เตรียมของเสร็จ นางสุภาพ ภาษี อายุ 58 ปี ชาวบ้านปราสาทเยอและในฐานะกวยรำ (สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2565) ขยายความว่าการเตรียมงานยังรวมถึงการตัดกล้วยเอาใบตองมาห่อข้าวต้ม ทำอาหารการกิน มีเหล้า มีเบียร์ น้ำขวด เวลาเข้ามาช่วยงานก็จะเอาเหล้ากรอกขาวใส่ถุงพลาสติกขนาดเล็กให้คนที่มาช่วยกันถือกลับไปบ้านในช่วงเที่ยง จากนั้นคนที่เตรียมงานจะกลับไปบ้านของตนเอง เพื่อแล้วมาใหม่ในช่วงตอนเย็น สำหรับคนที่เป็นกวยรำก็จะกลับไปแต่งตัวและนำส่วยที่ได้จากเจ้าของบ้านที่มีการเตรียมในช่วงเช้าเอากลับไปขึ้นหิ้ง ทั้งนี้ คนที่ประกอบอาหารนั้นก็ต้องช่วยจนจบพิธีที่ต้องมีการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ซึ่งรวมถึงการเตรียมอาหารสำหรับใส่ถุงให้คนมาร่วมงานจนถึงพิธีเสร็จสิ้นได้ถือกลับบ้านด้วย ส่วนคนที่เป็นกวยรำจะมีการแจกกล้วย ข้าวต้ม มีดอกไม้ 4 อัน ให้เอามาไว้ที่หิ้งสะเองที่ต้องทำทุกคน
ส่วนพิธีกรรมในตอนเย็นเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. ที่คนในหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าภาพเช่นเป็นเครือญาติเดียวกัน หรืออาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน รวมถึงคนที่เจ้าภาพได้เชื้อเชิญโดยตรง จะเตรียมตัวมาเข้าร่วมพิธีและมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเจ้าภาพ บางคนอาจจะกินข้าวมาตั้งแต่บ้านก็ได้ รวมถึงชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาเอาเงินมาช่วยเจ้าภาพ ส่วนนางรำกลับมาอีกครั้งหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเช่นกัน ในปีที่ผู้วิจัยไปสังเกตการณ์นั้น กวยรำที่มารำทั้งหมดจำนวน 34 คน ในงานจะมีอาจารย์ (ครูบา) เป็นผู้ดำเนินพิธีกรรมที่เริ่มพิธีกรรมอย่างเป็นทางการในเวลา 20.00 น. จากที่กวยรำแต่ละคนต้องทำการไหว้ครูบาก่อน และไหว้เครื่องดนตรีในงาน โดยเครื่องดนตรีที่ใช้มีแคน กลอง และพิณ รวมถึงการไหว้คนที่มาร่วมงานเพื่อเป็นการขอให้รำอย่างสนุกสนานทั้งคืน ยายพิกุลหนึ่งในกวยรำเริ่มการกราบเครื่องคายหรือเครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ก่อนและขออนุญาตคนในครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่อนุญาตให้รำก็จะไม่เข้า และจะยกขันสัมมาขึ้นเพื่อขออนุญาตให้ได้รำอย่างต่อเนื่องและราบรื่น
การรำมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการรำละเล่นยิงกวาง เป็นการละเล่นของชาวเยอที่ไม่เหมือนที่อื่นมีการเล่นเรื่องราวและมีขั้นตอน โดยขั้นตอนแรก เริ่มรำประมาณช่วงเวลา 22.05 น. ก่อนรำจะไหว้คนดูก่อนแล้วค่อยรำ ในรอบนี้จะมีการแต่งตัวใหม่ และเปลี่ยนชุดที่ใส่โดยจะเปลี่ยนเป็นชุดของผู้ชาย เริ่มรำเป็นวงกลมรอบแท่นไม้ 4-5 รอบ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที กวยรำทั้งหมดไม่ได้รำทุกคนจะรำเฉพาะคนที่เปลี่ยนชุด เมื่อเสร็จการรำก็จะไหว้อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 แห่ขันบักเบ็ง เริ่มรำประมาณช่วงเวลา 03.09 น. ครูบาหรือผู้ดำเนินพิธีกรรม จะจุดเทียนก่อน และกวยรำก็จะเริ่มจุดเทียนของตัวเอง โดยจะถือเทียนและขันบักเบ็งเดินรอบแท่นไม้เป็นวงกลม 4-5 รอบ รอบละประมาณ 20 นาที เสร็จการรำก็จะไหว้คนดูก่อน ระหว่างรอการรำในขั้นตอนต่อไปครูบาได้ปลอกไข่ต้มดูและทำนายอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร โดยดูจะดูจากไข่ต้มที่ปอกและเริ่มผูกแขนให้กับกวยรำ
ขั้นตอนที่ 3 ลักวัวลักควาย เริ่มประมาณช่วงเวลา 04.22 น. ก่อนรำจะไหว้คนมาดูก่อน และเริ่มรำเป็นวงกลมรอบแท่นไม้ประมาณ 4-5 รอบ ประมาณ 20 นาที เสร็จการรำก็ไหว้คนดูอีกครั้ง ระหว่างรอการรำในขั้นตอนต่อไปจะมีการถามนางรำโดยครูบาจะเป็นคนถาม ถามกวยรำว่าควายอยู่ที่ไหนใครเป็นคนเอาไป เป็นการโต้ตอบกันคุยกันระหว่างกวยรำและนักดนตรี
ขั้นตอนสุดท้าย การจุดบั้งไฟและเดินขึ้นบ้าน เริ่มรำประมาณช่วงเวลา 05.28 น. ก่อนเริ่มรำจะแจกบั้งไฟที่ทำมาจาก้านกล้วยจะแจกให้กวยรำทุกคน และถือก้านกล้วยที่ได้ เดินเป็นวงกลมรอบแท่นไม้ประมาณ 3-4 รอบ ประมาณ 15 นาทีก่อนที่จะรำขึ้นบ้านของยายพิกุล ในการรำขึ้นบ้านจะไหว้ตรงบันไดก่อนที่จะเดินขึ้นไปทำพิธีข้างบนบ้าน ข้างบนบ้านจะมี ครูบา หมอแคน และกวยรำขึ้นไป ครูบาจุดเทียนและทำพิธีจากนั้นยายพิกุลก็กราบเพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าทำเสร็จแล้ว จากนั้นหมอแคนก็จะเป่าแคนเป็นทำนอง นางรำก็จะยกมือขึ้นโดยทำเป็นท่าพนมมือสั่นไปสั่นมา หลังจะทำเสร็จก็จะก้มกราบและทยอยเดินลงไปข้างล่างของบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นการเสร็จพิธี
ระหว่างที่รำจะมีเครื่องดนตรีบรรเลงตลอดทั้งการรำ การรำแต่ละรอบ จะรำเป็นวงกลมล้อมรอบแทนแท่น ที่อยู่ตรงกลางที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งมีของที่ใช้ทำพิธีกรรมวางอยู่บนแท่นเป็นมี 2 ชั้น ชั้นแรกวาง ขันที่ใส่เสื้อผ้าของผีแม่สะเอง มีเหล้าขาว ข้าวต้ม และกล้วยเป็นหวีอยู่ด้วย ชั้นที่สองวาง ขั้นบักเบ็งทั้งหมด 3 ขั้น และบนเสาทั้ง 4 ด้านประดับด้วยพวงมาลัยที่ร้อยไว้ประมาณ 10 พวงที่เตรียมไว้ในช่วงกลางวัน การรำแต่ละรอบกวยรำจะเดินรอบแท่นไม้อยู่ประมาณ 5-6 รอบ ก่อนการรำและหลังจากจบการรำทุกครั้งจะมีการไหว้ขอบคุณระหว่างกวยรำด้วยกันเอง
พิธีกรรมนี้แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชน ในการเตรียมงานแต่ละครั้ง สมาชิกทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกันเตรียมสิ่งของ เครื่องสักการะ และอื่น ๆ เพื่อประกอบพิธีตามความเชื่อโบราณ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยปกป้องคุ้มครองชุมชนและช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัย การแต่งกายของผู้เข้าร่วมพิธีสะท้อนถึงอัตลักษณ์เฉพาะที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความผูกพันในชุมชน พระอธิการสมภาร นิภาธโร และคณะ (2563, อ้างในเบญจรัตน์ เมืองไทย, 2543) อธิบายว่าพิธีกรรมแกลสะเอง (หรือรำแม่สะเอง) เป็นเครื่องมือสื่อถึงความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล การจัดพิธีรำแม่สะเองเป็นการเชิญพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยรักษาและปกป้องคนในชุมชน เป็นการรวมตัวเพื่อประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงถึงมรดกความเชื่อดั้งเดิมที่ส่งผลต่อการจัดระเบียบทางสังคมของชาวอีสาน
ผีอีสาน : สัญลักษณ์ของพลังเหนือธรรมชาติ
ผีเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีอำนาจในการปกป้องและช่วยเหลือชุมชนร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี "ผี" ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญ ต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ อาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน เป็นการแสดงถึงความผูกพันและการจัดระเบียบทางสังคมผ่านการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ
2.การทอผ้าและความเชื่อที่แฝงในวิถีชีวิต
หมู่บ้านปราสาทเยอมีทุนทางวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยหนึ่งในนั้นคือการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน กลุ่มสตรีทอผ้ากี่กระตุกในหมู่บ้านปราสาทเยอ หมู่ที่ 1 เป็นกลุ่มทอผ้าที่สำคัญ นอกเหนือจากการทำเกษตรกรรมที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำกัน การทอผ้าจึงเป็นอาชีพเสริมที่เสริมรายได้และส่งเสริมการสืบทอดภูมิปัญญาของชาวเยอ
ณัฐ โยธี อายุ 77 ปี หนึ่งในกลุ่มผู้อาวุโสบ้านปราสาทเยอ เล่าว่าเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวเยอมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ เสื้อผ้าที่ใช้มักทำจากไหมลายดอกแก้ว ซึ่งมีลวดลายเฉพาะตัว หากเป็นเครื่องนุ่งห่มของผู้ชายที่ใช้ในพิธีกรรม จะเป็นผ้าสะโสร่ง ส่วนเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงจะทำจากผ้าไหมที่ตกแต่งด้วยกระดุมเงินขนาดเล็กเรียงลงมาอย่างประณีต ซึ่งเป็นการสื่อถึงสถานะและความเคารพต่อบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือ (ชไมพร วรรณทวี และบุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล, 2566)
จากการวิจัยของบุญโรช ศรีละพันธ์ (2559) ได้อธิบายว่าผ้าทอของกลุ่มชาติพันธุ์เยอในหมู่บ้านปราสาทเยอนั้นมีลายเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "ลายลูกแก้ว" หรือที่ชาวเยอเรียกว่า "หญิดต๊อด" หรือ "ฮับต๊อด" ซึ่งการทอผ้านี้มักใช้เส้นไหมที่มีลวดลายละเอียด การทอผ้า (ตานหญิด) นิยมทอด้วยไหมบ้านที่มีลักษณะเส้นใหญ่และสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นผลจากความเพียรพยายามในการสาวไหมของชาวบ้านในชุมชน
นอกจากนี้ เสื้อผ้าของชาวเยอไม่นิยมการปักลวดลายซับซ้อน แต่จะย้อมผ้าให้เป็นสีดำล้วน หรือมีการปักเย็บขอบผ้าด้านหน้าด้วยลวดลายเรียบง่าย เช่น ลายขามดแดง เพื่อให้สอดคล้องกับกระดุมเงินที่ติดบนเสื้อผ้าของผู้หญิง ซึ่งไม่เพียงเป็นความสวยงาม แต่ยังแฝงไปด้วยความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษา
การทอผ้าและเครื่องแต่งกาย : อัตลักษณ์และความผูกพันในพิธีกรรมของชุมชน
ผ้าทอที่ใช้ในพิธีกรรมแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนปราสาทเยอ ที่สะท้อนถึงความเชื่อ ศรัทธา และความเคารพต่อบรรพบุรุษ การแต่งกายที่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ทำให้ชุมชนสามารถรักษาวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่สืบทอดมายาวนาน เครื่องแต่งกายและการทอผ้าไม่เพียงเป็นสิ่งจับต้องได้ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชุมชน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่คงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจและความผูกพันของชาวเยอ
อาหาร
อาหารถือได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการจัดพิธีกรรมมาอย่างยาวนาน อาหารในการประกอบพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งในการบ่งบอกและแสดงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์เยอ และยังแสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งสอดคล้องกับงานของ กฤตวิทย์ กฤตมโนรถ และศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์ (2562) ที่ได้สรุปความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับอัตลักษณ์ว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีของอาหารที่ผูกมัดกับอัตลักษณ์ ตั้งแต่เชื้อชาติ สัญชาติ ความจริงแท้ อัตลักษณ์ ภูมิภาค เพศ ระดับชนชั้น การเมือง และเศรษฐกิจหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิถีอาหาร วิถีอาหารคือรูปแบบสังคมแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมด้านอาหารที่มีลักษณะร่วมกันของกลุ่มชุมชนวัฒนธรรมเดียวกัน วัฒนธรรมอาหารเป็นแหล่งกำเนิดหลักของอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ ท้องถิ่นเช่นชื่อสถานที่ที่อาจนำมาตั้งเป็นชื่ออาหาร หรือลักษณะของอาหารเองเช่นหน้าตา รสชาติ หรือรูปแบบการประกอบอาหารและชาติพันธุ์
อาหารที่แสดงถึงอัตลักษณ์ในพิธีกรรมรำแม่สะเองในบางมือบางคราวนั้นได้รับการยืนยันว่าแสดงถึงความเป็นชาติพันธุ์เยอ อย่างไรก็ตามพบว่าการจัดพิธีกรรมรำแม่สะเองจะมีการเตรียมอาหารให้สำหรับคนที่มาช่วยกันเตรียมงานตลอดทั้งวันจนจบพิธีกรรมที่ไม่ได้มีเฉพาะอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์เยอเท่านั้น หากเจ้าภาพและชาวบ้านได้เตรียมอาหารไทยประเภทอื่น ๆ ประกอบเข้าไปด้วย โดยในช่วงตอนเช้าอาหารที่จะทำให้ชาวบ้านที่มาช่วยงานเป็นข้าวผัดไข่ และอาหารในตอนเที่ยงเป็นส้มตำปลาร้า ทอดปลาสลิด กินคู่กับข้าวสวย และในช่วงของตอนเย็นเป็นน้ำพริกที่ชาวเยอเป็นคนตำกินกับผักลวก และมีแกงเห็ด แกงขี้เหล็ก
ชาวบ้านปราสาทเยอยังบอกอีกว่า แกงขี้เหล็กของชาวของชาวเยอจะไม่เหมือนที่อื่น มีความแตกต่างตรงวิธีการทำ แกงขี้เหล็กที่อื่นนั้นเนื้อจะไม่ละเอียดแต่ของชาวเยอจะมีเนื้อสัมผัสที่มีความละเอียดมาก ซึ่งจะหากินจากที่ไหนไม่ได้นอกจากบ้านปราสาทเยอ และในช่วงระหว่างพักเบรกในการรำ อาหารที่นำมาเสิร์ฟเป็นแกงปลากับข้าวสวย ข้าวต้ม และเครื่องดื่มจะเป็น กาแฟ และ โอวัลติน
ศักดิ์ สุนัน อายุ 51 ปี (ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า อาหารที่อยู่คู่กันมากับการประกอบพิธีกรรมเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วตั้งแต่อดีต ถ้ามีพิธีกรรมรำแม่สะเองจะต้องมี แกงหยวกกล้วย แกงขี้เหล็ก แกงบอน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้จากธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงวิถีการใช้ชีวิตของชาวเยอที่เรียบง่าย
"...แกงหยวกกล้วย แกงบอน มีมาตามธรรมชาติ วิถีการกินที่เรียบง่ายหาเอาเองในบ้านมีรำสะเอง มีแกงหยวกกล้วย แกงบอน คู่กันไป และมีแกงขี้เหล็กด้วย..."
ชาวเยอมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เรียกว่า "ภาษาเยอ" ซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกับมอญ-เขมร ภาษาเยอไม่ได้ใช้แค่สื่อสารทั่วไปเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของชาวเยออีกด้วย แม้ในชีวิตประจำวัน พวกเขาจะไม่ใช้ภาษาไทยกลางหรือภาษาอีสาน แต่จะพูดคุยกันด้วยภาษาเยอ ซึ่งเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ภาษาเยอถูกใช้อย่างเหนียวแน่นในทุกช่วงของพิธีกรรมและกิจกรรมในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาระหว่างผู้สูงอายุ วัยรุ่น หรือแม้แต่เด็กเล็ก ทุกคนในชุมชนจะใช้ภาษาเยอในการสื่อสารกันเสมอ ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์และความผูกพันที่มีต่อภาษาของตน
นอกจากนี้ ภาษาเยอยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของชาวเยอ ว่าเป็นใครและอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมใด แม้ว่าภาษาเยอจะไม่มีภาษาเขียน แต่ชาวเยอยังคงรักษาภาษานี้ไว้อย่างเข้มแข็ง เพราะภาษาเยอไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคนในชุมชนให้รู้สึกถึงความเป็นเยออย่างแท้จริง
นอกจากภาษาเยอแล้ว คนในชุมชนส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอีสานได้ เนื่องจากเป็นภาษาหลักในการสื่อสารของคนในภาคอีสาน ยกเว้นผู้สูงอายุบางคนที่อาจไม่เข้าใจภาษาอีสาน และคนรุ่นใหม่ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาไทยต่างพูดภาษาไทยได้ทั้งสิ้น และเข้าสู่การทำงานในระบบราชการไทย ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์หรือข้าราชการในหน่วยงานต่าง ๆ
การเปลี่ยนแปลงในชุมชน
หมู่บ้านปราสาทเยอ ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหนึ่งในชุมชนที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนาของรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในหลากหลายด้าน
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการท่องเที่ยว
การเปลี่ยนแปลง ในปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลได้ส่งเสริมหมู่บ้านปราสาทเยอให้เป็นหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ เช่น การสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านกับอำเภอไพรบึง (องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ, 2564)
ผลกระทบ การพัฒนานี้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ชุมชนต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม (กรมการพัฒนาชุมชน, 2565)
การเปลี่ยนแปลง ชาวบ้านหลายคนเริ่มประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น การเปิดร้านขายของที่ระลึก การจำหน่ายผลิตภัณฑ์หัตถกรรม และการให้บริการนำเที่ยวในพื้นที่โบราณสถาน
ผลกระทบ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับครอบครัว แต่บางส่วนของชุมชนกังวลว่าการพึ่งพาการท่องเที่ยวอาจทำให้ขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว หากมีปัจจัยที่ทำให้การท่องเที่ยวลดลง (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2564)
การเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น การทำเกษตรแบบพอเพียงและการสืบทอดงานฝีมือ กำลังลดความสำคัญลงในบางครัวเรือน เนื่องจากคนรุ่นใหม่เริ่มหันไปทำงานในเมืองใหญ่
ผลกระทบ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บางส่วนของวัฒนธรรมชุมชนลดความสำคัญลง อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังคงพยายามรักษาประเพณีสำคัญ เช่น ประเพณีเข้าพรรษาและลอยกระทง (Facebook: วัดปราสาทเยอเหนือ, 2565)
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- การจัดการพื้นที่ป่าชุมชนและแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
- ชาวบ้านบางส่วนเริ่มมีการทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อเพิ่มผลผลิต ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลดลง (กรมป่าไม้, 2562)
ความเสี่ยงทางวัฒนธรรม
- การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเปิดรับนักท่องเที่ยวส่งผลให้วิถีชีวิตดั้งเดิมและภูมิปัญญาท้องถิ่นบางส่วนสูญหาย
- ชุมชนต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเอกลักษณ์ท้องถิ่น ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2564)
1.หลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ
ประวัติและผลงาน
หลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ หรือพระครูประสาธน์ขันธคุณ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการเคารพนับถืออย่างกว้างขวางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 ที่บ้านปราสาทเยอ และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ 20 ปี หลังจากอุปสมบท ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิทยาคม รวมถึงธุดงค์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานและเรียนรู้วิชาจากพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ (108 พระเกจิ, 2564)
ผลงานเด่น
- การพัฒนาวัดปราสาทเยอเหนือ หลวงพ่อมุมได้ดำเนินการก่อสร้างและบูรณะถาวรวัตถุต่าง ๆ ภายในวัด เช่น พระอุโบสถและเจดีย์ทรงขอม ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชุมชน (Pukmudmuangthai, 2563)
- การสร้างวัตถุมงคล วัตถุมงคลที่หลวงพ่อมุมสร้าง เช่น เหรียญหลวงพ่อมุม รุ่นนักกล้าม ปี พ.ศ. 2517 ได้รับความนิยมอย่างมาก และเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยปกป้องผู้ครอบครองจากภัยอันตรายและเสริมสิริมงคล (Amulet Focus, 2564) หลวงพ่อมุมมรณภาพเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2522 สิริอายุ 93 ปี 73 พรรษา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระนักพัฒนาที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรมในชุมชนปราสาทเยอเหนือ (108 พระเกจิ, 2564)
กรมป่าไม้. (2562). ข้อมูลป่าชุมชนตำบลปราสาทเยอ. https://forestinfo.forest.go.th/
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2564). ประเพณีและวิถีชีวิตพื้นบ้านในจังหวัดศรีสะเกษ. กรุงเทพฯ : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.
กรมการพัฒนาชุมชน. (2565). โครงการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี. http://www.cdd.go.th
คุณวัฒน์ ดวงมณี และคณะ. (2561). การศึกษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนสี่เผ่าในจังหวัดศรีสะเกษ. (ทุนอุดหนุนการวิจัย). มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ศรีสะเกษ.
ชไมพร วรรณทวี และบุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล. (2566). อัตลักษณ์ชาติพันธุ์เยอ การเปลี่ยนผ่านและเพศภาวะของกวยรำ (นางรำ) ในพิธีกรรมรำแม่สะเอง: กรณีศึกษาชุมชนปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ. วารสารจุดยืน, 10(2), 1-36.
ธันยพงศ์ สารรัตน. (2563). ฐานะและความสำคัญของชุมชนหมู่บ้านปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ (พ.ศ.2265 - 2561). วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, 14(1), 164-178.
บุญโรช ศรีละพันธ์. (2559). ภูมิปัญญาผ้าไหมลายลูกแก้วของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 12(1), 285-304.
กองสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ. (2554). แบบบันทึกการดำเนินงานของเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนระดับตำบล ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ. http://phc.moph.go.th/
เปรมวิทย์ วิวัฒนเศรษ์. (2561). อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในพิธีกรรมแห่งชีวิตชาวไทลือ จังหวัดพะเยา. วารสารมหาวิทยาลัยพายัพ, 28(2), 174-188.
พระอธิการสมภาร นิภาธโร และคณะ. (2563). คติธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในการประกอบพิธีกรรม “แกลสะเอง” อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ. วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์, 5(1), 69-79.
ภัคพล บุญเหลือง และบุญชู ภูศรี. (2559). ตำนานปรัมปรา: ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์เยอ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ (Proceedings) การสัมมนาเครือข่ายนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, 16, 372-3.
สุชาดา ประดับชาติ. (2563). ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรและอาหารพื้นบ้านในจังหวัดศรีสะเกษ. วารสารวิถีชีวิตพื้นถิ่นไทย, 12(3), 45-59.
สุพรรษา อติประเสริฐกุล. (2552). ความเป็นเยอในบริบทพหุวัฒนธรรม: ศึกษากรณีหมู่บ้านใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ. วิทยานิพนธ์ปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะรัฐศาสตร์.
สรญา แสงเย็นพันธ์. (2565). สภาพภูมิประเทศและทรัพยากรในตำบลปราสาทเยอ. วารสารวิชาการศรีสะเกษ, 20(2), 112-124.
องค์การบริหารส่วนตำบลปราสาทเยอ. (2564). รายงานสถานที่สำคัญในชุมชนปราสาทเยอ. http://www.prasatyoe.go.th/
108 พระเกจิ. (2564). หลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ. https://www.108prageji.com/
Pukmudmuangthai. (2563). ข้อมูลวัดปราสาทเยอเหนือ. https://pukmudmuangthai.com/
Amulet Focus. (2564). เหรียญหลวงพ่อมุม รุ่นนักกล้าม. https://www.amuletfocus.com/