
บ้านกามาผาโด้ เป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เรียกว่า ปกาเกอะญอ อันมีวิถีแตกต่างไปจากคนพื้นที่ราบ โดยชาวปกาเกอะญอมีวัฒนธรรม ขนบประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีวิถีชีวิตกลมกลืนและผูกพันอยู่คู่กับทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ และป่า
หมู่บ้านกามาผาโด้เดิมมีชื่อว่า "เก่อหม่าผะโด้" เก่อหม่า แปลว่า "ไม้ซ้อ" ผะโด้ แปลว่า "ใหญ่" รวมแล้ว เก่อหม่าผะโด้ แปลว่า "ไม้ซ้อที่มีขนาดใหญ่" หมู่บ้านกามาผาโด้เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงสะกอ หรือ ชาวปกาเกอะญอ ซึ่งมีนายโบโต เล่าว่า ครั้งนายซูโค๊ ยังมีชีวิตได้เล่าว่าไม้ซ้อต้นนี้มีโพรงที่มีขนาดใหญ่ คนสามารถหลบเข้าไปอยู่ในโพรงได้ถึง 20 คน หลังจากมีการจัดตั้งหมู่บ้านได้มีการจัดตั้งโรงเรียนโดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนบ้านกามาผาโด้ เนื่องจากทางการเป็นคนเขียนชื่อโรงเรียนจาก "เก่อหม่าผะโด้" เพี้ยนมาเป็น "กามาผาโด้" ปัจจุบันเลยใช้ชื่อว่า "กามาผาโด้" จนถึงปัจจุบัน
บ้านกามาผาโด้ เป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เรียกว่า ปกาเกอะญอ อันมีวิถีแตกต่างไปจากคนพื้นที่ราบ โดยชาวปกาเกอะญอมีวัฒนธรรม ขนบประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีวิถีชีวิตกลมกลืนและผูกพันอยู่คู่กับทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ และป่า
หมู่บ้านกามาผาโด้ เดิมมีชื่อว่า เก่อหม่าผะโด้ ซึ่งแปลว่า ไม้ซ้อที่มีขนาดใหญ่ หมู่บ้านกามาผาโด้เป็นหมู่บ้านเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ โดยเรียกตนเองว่า ปกาเกอะญอ ซึ่งผู้ที่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานคนแรกชื่อนายเฉ่ยเอ และครอบครัว ย้ายมาจากอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2338 ในการมาก่อตั้งหมู่บ้านกามาผาโด้ครั้งนี้เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มีป่าไม้และมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และมีแหล่งน้ำที่สำคัญคือ "เก่อหม่าโกร" เป็นแหล่งน้ำที่ชาวบ้านใช้ในการอุปโภคบริโภค ส่วนด้านความเชื่อชาวบ้านนับถือ เจ้าป่า เจ้าเขา และยังเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีเจ้าของ (นายโบโต ไพรอุดมภูมิ, ผู้อาวุโสบ้านกามาผาโด้ ผู้ให้ข้อมูล ปี 2558)
ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2438 ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นชาวบ้านมีการล้มป่วยจากโรคไม่รู้สาเหตุรวมทั้งชาวบ้านได้ยินเสียงร้องปริศนาจากป่า จึงทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าสร้างเจดีย์ประจำหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จะทำให้โรคและเสียงร้องปริศนาหายไป ชาวบ้านจึงได้ปรึกษากันว่าจะสร้างเจดีย์ จากนั้นนายปะเด้ (พือปะเด้) จึงได้ก่อตั้งเจดีย์ สร้างจากก้องหินโดยเรียงก้อนหินซ้อนกันคล้ายรูปเจดีย์ และได้กราบไหว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านเป็นต้นมา จากนั้นพือปะเด้ได้คุยกับชาวบ้านว่าน่าจะนิมนต์พระให้มาอยู่ประจำที่บ้านเก่อหม่าผาโด้และชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับพือปะเด้ ชาวบ้านจึงได้ช่วยการสร้างกุฏิไว้ จากนั้น พือปะเด้ ได้นิมนต์พระจากพม่ามาอยู่ที่บ้านเก่อหม่าผะโด้ สาเหตุที่นิมนต์พระจากพม่าเนื่องจาก พือปะเด้ มีคนรู้จักจากทางฝั่งพม่าประกอบกับสมัยนั้นหมู่บ้านเก่อหม่าผะโด้ห่างไกลจากความเจริญ ไม่มีถนนสำหรับรถสัญจร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปาหมู่บ้าน จึงทำให้พระในประเทศไทยยากที่จะเข้าถึง จึงเชิญพระจากพม่ามาอยู่และได้เผยแผ่ศาสนาพุทธ ชาวบ้านส่วนหนึ่งเริ่มหันไปนับถือศาสนาพุทธแต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิม หลังจากนั้นมาศาสนาพุทธมีความเจริญก้าวหน้าและมีคนที่นับถือศาสนาพุทธเพิ่มมากขึ้น
ต่อมาในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2510 มีมิชชันนารีจากต่างชาติและคณะ ชื่อ ตะระมึชะวาโม แต่จากการสอบถามไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากประเทศอะไร ชะวาโมและคณะเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้านกามาผาโด้ จึงทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งหันไปนับถือศาสนาคริสต์ ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมและมีการสร้างโบสถ์คริสต์ประมาณปี พ.ศ. 2523 มีนางตะระมึชะวาโม เป็นหัวหน้าศาสนาคริสต์ พาโต้โน้ กล่าวว่า เนื่องจากเกิดการเจ็บป่วยแล้วรักษาไม่หาย แต่เมื่อได้ทดลองทำพิธีตามศาสนาคริสต์ปรากฏว่า หายจากการป่วยบวกกับพิธีกรรมในศาสนาดั้งเดิมบางอย่าง มีขั้นตอนที่สลับซับซ้อน เช่น พิธีกรรมอ้อแข่ ในการประกอบพิธีกรรมอ้อแข่นั้นต้องรวมคนในครอบครัวให้ครบทุกคนจึงจะประกอบพิธีได้ ทำให้ไม่สะดวกต่อการที่จะต้องเรียกคนทั้งครอบครัวมารวมกัน จึงตัดสินใจหันไปนับถือศาสนาคริสต์
หลังจากนั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2524 มีผู้ใหญ่บ้านที่เป็นทางการคนแรกชื่อ นายบิวา ไม่มีนามสกุล การเลือกผู้ใหญ่บ้านในสมัยก่อนเลือกจากบุคคลในชุมชนเห็นว่าบุคคลนั้น พูดไทยได้และมีความเป็นผู้นำจากนั้นทางการจึงแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นนายบิวาและราษฎรได้ร้องเรียนต่อผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 6 ขอให้ช่วยจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อสอนหนังสือให้กับราษฎรในหมู่บ้าน ต่อมาได้มีการจัดตั้งโรงเรียนใช้ชื่อว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านกามาผาโด้ เนื่องจากทางการเป็นคนเขียนชื่อโรงเรียนจาก เก่อหม่าผะโด้ เพี้ยนมาเป็น กามาผาโด้ ปัจจุบันเลยใช้ชื่อว่า กามาผาโด้ จนถึงปัจจุบัน
ชุมชนบ้านกามาผาโด้เป็นชุมชนชาติพันธุ์ ปกาเกอะญอ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นที่ราบสูงมีภูเขาสลับซับซ้อน ผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ มีแม่น้ำแม่หละไหลผ่านชุมชน ชุมชนบ้านกามาผาโด้ห่างจากที่ว่าการอำเภอท่าสองยางประมาณ 35 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองจังหวัดตากประมาณ 155 กิโลเมตร โดยมีระยะทางลาดยางจากอำเภอเมืองมาถึงปากทางหมู่บ้านประมาณ 140 กิโลเมตร และทางลูกรังจากปากทางเข้าหมู่บ้านประมาณ 12 กิโลเมตร การคมนาคมในพื้นที่สามารถเดินทางได้สะดวกในช่วงฤดูร้อน และลำบากมากในฤดูฝนเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ดินลูกรังเป็น โคลนจึงทำให้รถเข้าออกไม่ได้มีเพียงรถจักรยานยนต์ที่สามารถเข้าออกได้
ที่ตั้งและอาณาเขตหมู่บ้านกามาผาโด้ หมู่บ้านกามาผาโด้ตั้งอยู่ในตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก อยู่ห่างตำบลแม่หละประมาณ 28 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 720 ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตำบลแม่หละและเป็นเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าท่าสองยาง แต่มีพื้นที่บางส่วนมีเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นส. 3 ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่นา โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านตะโต๊ะโกร
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านทีหนึเด
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านตีนดอย
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านป่าสัก
สภาพภูมิอากาศ ของหมู่บ้านกามาผาโด้ แบ่งออกเป็น 3 ฤดู ประกอบด้วย ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว โดยฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนพฤษภาคม อากาศจะร้อนที่สุดช่วงเมษายน เดือนเมษายน ปี 2557 ตอนกลางวันมีอุณหภูมิประมาณ 30-40 องศา ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ ปลายเดือนพฤษภาคม ถึงต้นเดือน พฤศจิกายน ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมาก มีอุณหภูมิประมาณ 7-15 องศา (กรมอุตุนิยมวิทยา จังหวัดตาก, 2558: ออนไลน์)
ลักษณะการตั้งบ้านเรือน หมู่บ้านกามาผาโด้ มีรูปแบบการตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในบริเวณที่อยู่อาศัยเดียวกัน ส่วนใหญ่ทุกครัวเรือนมีการปลูกพืชผักสวนครัว แบบผสมผสานในพื้นที่หลังบ้านขนาดเล็ก เช่น ส้มโอ มะม่วง มะพร้าว อย่างผสมผสานกัน ลักษณะตัวอาคารบ้านเรือนของชุมชนมี 3 ลักษณะ ได้แก่ โครงสร้างบ้านแบบดั้งเดิม โครงสร้างลักษณะบ้านแบบประยุกต์โครงสร้างบ้านแบบปัจจุบัน โดยโครงสร้างบ้านแบบดั้งเดิม โครงสร้างเรือนแบบดั้งเดิมเป็นลักษณะโครงบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลังยกพื้นสูงจากพื้นดินข้างในบ้านเป็นบ้านห้องเดียว ไม้กั้นห้อง คือ ห้องนอน ห้องรับแขก รับประทานอาหารที่เดียวกัน หลังคาบ้านนิยมทำด้วยใบตองตึง โครงสร้างลักษณะบ้านแบบประยุกต์ โครงสร้างบ้านเรือนแบบนี้เน้นความคงทนขึ้นมา ลักษณะโครงบ้านเสาบ้านเป็นไม้ยกพื้นสูง จากดินแต่จะปูนพื้นบ้านด้วยไม้สัก รอบบ้านจะเป็นไม้ไผ่หรือไม้แต่ละหลังคาบ้านจะพัฒนาขึ้นมาจากใบตองตึงโดยกระเบื้องหรือสังกะสี โครงสร้างบ้านแบบปัจจุบัน เป็นโครงที่ทำจากไม้ก่อด้วยอิฐบล็อก 1 ชั้น และชั้นที่ 2 ทำด้วยไม้ หลังคาทำด้วยกระเบื้องและสังกะสี
บ้านกามาผาโด้ โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากร หมู่ที่ 5 บ้านกามาผาโด้ ตำบลแม่หละ อำเภอเวียงท่าสองยาง จังหวัดตาก มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,611 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 833 คน ประชากรหญิง 778 คน จำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 655 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ปกาเกอะญอกลุ่มทอผ้า หมู่บ้านกามาผาโด้จะมีกลุ่มทอผ้าประจำหมู่บ้าน แต่ไม่ได้เปิดเป็นหลักสูตร ผู้ที่สนใจจะเรียนรู้เรื่องทอผ้าจะเป็นคนที่ไปเรียนรู้กับกลุ่มทอผ้าแบบง่ายไปยาก เมื่อผู้เรียนรู้มีความชำนาญจึงเริ่มการสอนทำลวดลายตามที่ต้องการเรียน การทำลวดลายถือเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดของการทอผ้า ซึ่งผู้เรียนที่มีความชำนาญมากขึ้นจะสามารถออกแบบลายผ้าใหม่ ๆ ที่เป็นของตนเองได้
กลุ่มจักสาน หมู่บ้านกามาผาโด้ปัจจุบันมีผู้อาวุโสที่มีความรู้เรื่องการจักสานอยู่ ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องการจักสานสามารถไปเรียนรู้กับผู้รู้ได้ โดยเริ่มเรียนตั้งแต่ การหาไม้ไผ่ วิธีการเลือกไม้ไผ่และหวาย ที่เหมาะสมกับการทำเครื่องจักสาน การทำตอก การขึ้นฐาน ซึ่งการขึ้นฐานเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด การสอนต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้เรียนที่มีความตั้งใจจะสามารถเรียนรู้ได้เร็ว
ปฏิทินฤดูกาลการทำพิธีกรรม ระดับชุมชนและระดับครอบครัว
- มีนาคม : พิธีการเซ่นไหว้ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้าน
- พฤศจิกายน : พิธีการเซ่นไหว้เจ้าที่ในนา
1.นางน่อดา กรรณิกา หมอตำแยและหมอภูมิปัญญาสมุนไพร
2.นางแป๊ะลี ไพรบุญธรรม หมอนวด
3.นายพาปริ นลินสกุล หัวหน้าพิธีกรรม (ฮี้โค๊ะ)
4.แนเถอะเลอะ ผู้นำด้านศาสนาพุทธ
5.นายสุดิ๊ ตรีวาตผลกุล ผู้นำด้านศาสนาพุทธ
6.นายพะยะเดอ เกษียรธารา ผู้นำด้านศาสนาคริสต์
7.นายสะอาด พิริยะปรีชากุล ผู้นำด้านศาสนาคริสต์
ทุนกายภาพ
แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ หมู่บ้านกามาผาโด้มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ประกอบด้วย ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรป่าไม้
ทรัพยากรน้ำ หมู่บ้านกามาผาโด้มีห้วยแม่หละเป็นแหล่งน้ำสำคัญในการอุปโภคและบริโภคโดยไหลมาจากยอดเขาแม่หละเลซึ่ง เป็นหน้าผาสูงลงมาผ่านท้ายหมู่บ้านทำให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำจำนวนมากสูงขึ้นจากระดับน้ำปกติ ส่วนในช่วงฤดูร้อนจะมีน้ำน้อยจะมีระดับน้ำลดลงจากระดับน้ำปกติ แต่เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในการทำนาข้าวเป็นส่วนใหญ่นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารสำหรับชุมชน เช่น ปู ปลา หอย ผัก เพื่อมาประกอบอาหารในชีวิตประจำวัน
ทรัพยากรดิน หมู่บ้านกามาผาโด้มีลักษณะดินเป็นดินร่วมและมีดินเหนียวเป็นบางพื้นที่ เหมาะสำหรับการเพาะปลูกและการทำการเกษตร ชุมชนส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากดินในด้านการเกษตรมีการเพาะปลูก เช่น ปลูกข้าวไร่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด และพริก เป็นต้น
ทรัพยากรป่าไม้ หมู่บ้านกามาผาโด้สมัยก่อนนั้นมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ มีพืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าหลากหลาย ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่า ในด้านที่อยู่อาศัยการสร้างบ้านเรือน เก็บใบตองตึงมาทำเป็นหลังคาบ้าน ใช้ประโยชน์ในด้านอาหาร เช่น การหาของกินจากป่า การขุดหน่อไม้ การล่าสัตว์ป่า เพื่อมาประกอบอาหาร และยังมีการเก็บสมุนไพร เพื่อเป็นยารักษาโรค
ทุนมนุษย์
- นางน่อดา กรรณิกา หมอตำแยและหมอภูมิปัญญา (สมุนไพร)
- นางแป๊ะลี ไพรบุญธรรม หมอนวด
- นายพาปริ นลินสกุล หัวหน้าพิธีกรรม (ฮี้โค๊ะ)
- แนเถอะเลอะ ผู้นำด้านศาสนาพุทธ
- นายสุดิ๊ ตรีวาตผลกุล ผู้นำด้านศาสนาพุทธ
- นายพะยะเดอ เกษียรธารา ผู้นำด้านศาสนาคริสต์
- นายสะอาด พิริยะปรีชากุล ผู้นำด้านศาสนาคริสต์
ทุนวัฒนธรรม
หมอนวด "เมื่อมีคนในชุมชนมีอาการปวดเมื่อยหรือเจ็บป่วย แขนพลิก ขาพลิก ต่าง ๆ คนในชุมชนจะมาให้ตนนวดคลายเส้นให้ โดยมีการรักษาที่หลากหลายวิธี เช่น วิธีรักษาด้วย การนวด กดจุด จัดกระดูกสันหลัง อบประคบสมุนไพร"
หมอภูมิปัญญาสมุนไพร เมื่อคนในชุมชนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่สามารถรักษาอาการเจ็บไข้ของตัวเองได้ จึงต้องไปพึ่งพาหมอภูมิปัญญาเพื่อทำการรักษา เพราะหมอสมุนไพรคือบุคคลที่รู้เรื่องของสมุนไพรและวิธีการรักษามากกว่าชาวบ้าน หรืออาจเปรียบได้ว่าทุกชีวิตของชาวบ้านฝากไว้ที่หมอภูมิปัญญา ซึ่งอาจจะเป็นหนทางสุดท้ายของชาวบ้านในการรักษาอาการป่วยก็ว่าได้ "เมื่อชาวบ้านไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมีการรักษาเบื้องต้น โดยมีวิธีการนำเอายาสมุนไพรในบริเวณรั่วบ้านของตนที่ปลูกไว้ และสมุนไพรที่เกิดขึ้นตามป่ามาใช้ในการรักษา"
หมอตำแย หมู่บ้านกามาผาโด้ มีหมอตำแยประจำหมู่บ้านที่ช่วยในการทำคลอดหญิงท้องในชุมชน "เมื่อคนท้องเจ็บท้องจะคลอดลูก ชาวบ้านจะมาตามหมอตำแยให้ไปช่วยทำคลอดและหมอตำแยจะรู้ว่าเด็กในท้องคือผู้หญิงหรือผู้ชาย การจะรู้ว่าใครคือผู้หญิงใครคือผู้ชายดูจากลักษณะท้อง หากเป็นผู้ชายท้องจะแข็งและรูปร่างท้องจะยาว หากเป็นผู้หญิงลักษณะท้องจะกลมและอ่อนกว่าก่อนจะคลอดลูกในท้องถิ่นก็จะดิ้นหมอตำแยก็ต้องคอยหันหัวเด็กให้ตรงอยู่ตลอดเวลา เพราะหากไม่คอยหันหัวเด็กจะทำให้คลอดยากและส่งผลกับแม่"
พิธีกรรมและความเชื่อของชุมชน พิธีกรรมและความเชื่อที่มีในอดีต แบ่งเป็น 3 ระดับ ความเชื่อและพิธีกรรมในวัฏจักรชีวิต ความเชื่อและพิธีกรรมระดับชุมชน ความเชื่อและพิธีกรรมระดับครัวเรือน
ความเชื่อและพิธีกรรมในวัฏจักรชีวิต
- การเกิด ก่อนเกิด เมื่อหญิงปกาเกอะญอตั้งครรภ์ ก็จะต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวังตัว เพื่อมิให้คลอดบุตรยากและเป็นอันตรายต่อแม่และเด็ก อาหารเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ยังห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายจะเอาขวัญเด็กไป แต่หากเผอิญไปเห็นศพหรือคนตายเข้า ก็จะต้องทำพิธีเรียกขวัญกันอย่างด่วน เป็นต้น
- ระหว่างเกิด หญิงปกาเกอะญอจะให้กำเนิดทารก ในบ้านของตนเองโดยมี หมอตำแย สามี มารดา และญาติอื่น ๆ คอยช่วยเหลือ เวลาคลอดจะนั่งชันเข่าบนพื้นโดยโหนผ้าซึ่งผูกห้อยลงมาจาก ขื่อ เมื่อทารกพ้นออกจากครรภ์ จะตัดสายรกด้วยผิวไม้ไผ่ ไปแขวนไว้บนต้นไม้ในป่า ต้นไม้ต้นนี้เรียกว่า "ป่าเดปอ" เป็นต้นไม้ที่ใช้เก็บขวัญเด็ก เพราะคนปกาเกอะญอเชื่อว่าคุณค่ามนุษย์จะเกี่ยวพันกับการเจริญเติบโตของต้นไม้และการออกดอกออกผลของต้นไม้นั้น ๆ พ่อเด็กจึงต้องแสวงหาต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ก่อนจะเอารกเด็กเก็บไว้ ทุกคนในหมู่บ้านจะเคารพต้นไม้เหล่านั้นโดยไม่มีใครตัดเพราะจะทำให้เด็กล้มป่วย ดังนั้นในความเชื่อเรื่องการนำรกเด็กไปแขวนไว้กับต้นไม้นั้นมีนัยที่แฝงในแง่ของการอนุรักษ์ธรรมชาติตามวิถีของชาวปกาเกอะญอ
- หลังเกิด เมื่อสายสะดือหลุดก็จะทำพิธีผูกข้อมือเด็ก และนำหัวสะดือผูกสร้อยคล้องคอให้เด็ก เป็นการอวยพรให้แข็งแรงโตเร็ว เมื่อเด็กครบเดือนจะมีการโกนผมไฟให้กับเด็กเพื่อให้ผมแท้ขึ้นมา และจะไว้ยาวไปจนโตไม่มีการตัดอีก พ่อแม่จะผูกข้อมือเด็กและเจาะหู (เด็กผู้หญิง) การตั้งชื่อเด็กจะตั้งตามลักษณะของเด็กและถูกโฉลกของเด็กกับชื่อ หากตั้งชื่อไม่ถูกโฉลกเด็กจะล้มป่วยไม่สบายและจะได้ชื่อใหม่จากผู้เฒ่าที่ถูกโฉลกกับเด็กคนนั้น เมื่อครบรอบหนึ่งปี จะมีการทอเสื้อ "เชอล้อ" หรือเสื้อครบรอบ ให้กับเด็กเพื่อเป็นการพันเคราะห์ในวัยทารกที่อาจมีเคราะห์หรือสิ่งไม่ดีเข้ามาที่ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเด็กทารกนี้จะสามารถอยู่เติบโตขึ้นได้เป็นเด็กจนกระทั่งอายุครบ 1 ปี ที่จะเป็นคนอย่างเต็มตัวจึงทอเสื้อที่เป็นสิ่งที่แสดงถึงการพ้นจากวัยทารก แสดงถึงอัตลักษณ์การแต่งกายของชาวปกาเกอะญอ
ข้อห้ามมารดาช่วงตั้งครรภ์
1.ส่งผลทำให้คลอดยาก
- ห้ามข้ามเขียง เพราะเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก
- ห้ามผู้หญิงกินข้าวในหม้อ เพราะเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก
- ห้ามกินอาหารที่มียาง เช่น เผือก ขนุน จะทำให้รกเหนียว เพราะจะทำให้คลอดยาก
2.ส่งผลต่อเด็ก
- ห้ามทานเนื้อหมูป่าและสัตว์ที่ถูกเสือกัดตาย เพราะอาจจะติดเชื้อโรคได้
- ห้ามนอนหลับมากเกินไปและทำงานหนักเกินไป เพราะทำให้อาจเกิดอันตราย
- ห้ามทานผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น ชะอม เพราะทำให้เกิดอาการเป็นพิษ ผิดสำแดง
การตาย (ต้าชีโจ้)
- ม่าทา (การขับลำนำ) เมื่อมีคนตายตกเย็นจะเป็นเวลาแห่งการขับลำนำส่งวิญญาณศพ โดยชายหนุ่มและสาวจะขึ้นมาขับลำนำ ลำนำที่ขับนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนตาย ลำนำสำหรับศพนี้ผู้ขับร้องเป็นคู่ ๆ เสมือนการสานสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวในสมัยนั้น การขับลำนำถ้าคู่ไหนมีกำลังในการขับร้องพอ สามารถขับร้องถึงเช้าได้แต่ถ้าเกิดไม่ไหวสามารถกลับได้ และหนุ่มสาวที่ขับลำนำสามารถเปลี่ยนคู่ได้ ในช่วงที่หยุดพักการขับลำนำ
- ท่อเส่สะ (หมาดขึ้นต้นไม้) เพื่อเป็นการบอกถึงวาระแห่งการมีชีวิตบนโลกมาถึงแล้ว เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ เมื่อถึงยอดไม้แล้ว ถึงเวลาต้องลงและกลับสู่ถิ่นเดิม เพื่อบอกกับคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยว่า ชีวิตเปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องถึงยอดไม้
ความเชื่อและพิธีกรรมระดับชุมชน
- การเซ่นไหว้ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้าน (สิ่งศักดิ์สิทธ์ประจำหมู่บ้าน) ความเชื่อและพิธีกรรม การเซ่นไหว้ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้านที่ยังคงดำรงอยู่ได้นั้น เกิดจากความเชื่อและศาสนาของคนในชุมชน เมื่อประกอบพิธีกรรม การเซ่นไหว้ต้นไม้ใหญ่แล้วทำให้ครอบครัวที่เข้าร่วมพิธีกรรม รู้สึกมีความปลอดภัยในชีวิต และยังทำให้ชาวบ้านที่ทำข้าวไร่ นั้นได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อการบริโภค
- การขอขมาต้นไม้ประจำหมู่บ้าน หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน (กรณีทำผิดพิธีกรรมหรือจารีตประเพณีของหมู่บ้าน) พิธีกรรมการขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ในปัจจุบันยังมีการประกอบพิธีอยู่ ถ้าเกิดมีการทำผิดพิธีกรรมหรือจารีตประเพณีของหมู่บ้าน แต่ถ้าเกิดไม่มีบุคคลในชุมชนทำผิดจารีตประเพณี เช่น ท้องเกิดแต่ง การผิดลูกผิดเมีย พิธีกรรมนี้จะไม่เกิดขึ้น มีกรณีที่หญิงท้องก่อนแต่งในหมู่บ้าน ผู้นำทางด้านพิธีกรรมจะประกาศให้คนในชุมชนรู้และให้บุคคลที่ทำผิดพิธีกรรมจะต้องมาขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ความเชื่อและพิธีกรรมระดับครัวเรือน
1.พิธีผูกขวัญ (กี่ จือ) พิธีผูกขวัญหรือเรียกขวัญของปกาเกอะญอ มีความเชื่อว่าหากบุคคลในครอบครัวคนใดคนหนึ่งไม่สบายแต่ได้กินยาแล้วไม่หายและไม่รู้สาเหตุ ที่ไม่หายอาจจะเกิดจากขวัญทั้ง 37 ของคนนั้นหายไปหรือมีเจ้าที่เจ้าทางลักพาไปจึงต้องทำพิธีผูกขวัญ พิธีผูกข้อมือนี้ในพิธีจะใช้หมูหรือไก่ก็ได้ ผู้ผูกขวัญจะอวยพรให้อยู่ดีมีสุข พ้นจากโรคภัย
2.การเซ่นไหว้เจ้าที่ในนา เป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่ในนา เป็นการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำแม่น้ำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำป่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำดิน แบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกก่อนไถนา เรียกว่า "ลือทีเก่อะ" ช่วงที่ 2 ช่วงที่ข้าวกำลังท้อง เรียกว่า "เสะจิ" ช่วงที่ 3 หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตในนาเรียกว่า "เกอะอ้อโท่"
- ลือทีเกอะ พิธีกรรมลือทีเกอะ คนปกาเกอะญอมีพิธีกรรมการเซ่นไหว้เจ้าที่ในนาก่อนการทำนาเป็นการทำนาเป็นการขอให้พระแม่คงคานั้นช่วยดูแลในเรื่องน้ำในการทำนา มีน้ำใช้เพียงพอต่อการทำนาตลอดฤดูกาล และไม่ให้น้ำทำลายร่องน้ำที่รับน้ำจากแม่น้ำเพื่อหล่อเลี้ยงต้นข้าวในนาของตนและเชื่อว่าเมื่อประกอบพิธีกรรมแล้ว จะมีน้ำใช้เพียงพอต่อการทำนาตลอดฤดูการทำนา
- แสะจิ เป็นพิธีกรรมความเชื่อของคนปกาเกอะญอ เป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่ในนาและขอให้เจ้าที่ในนาข้าวดูแลข้าวและให้ข้าวได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อรับประทานทั้งปี และเชื่อว่าถ้าทำพิธีกรรมแล้ว ข้าวจะได้ผลผลิตที่ดี พิธีแสะจินั้นทำใหนช่วงข้าวเริ่มตั้งท้อง และเป็นการขอให้เจ้าที่ช่วยดูแลรักษาข้าวให้ และให้ข้าวได้ผลผลิตที่ดี
- (เกาะอ้อโท้) พิธีกรรมเกอะอ้อโท้ คนปกาเกอะญอ จะมีการประกอบพิธีกรรมเกาะอ้อโท้ เป็นการขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ช่วยดูแลข้าวให้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะได้ผลผลิตมากหรือน้อย ก็จะมีพิธีกรรมนี้เกิดขึ้น และเชื่อว่าเมื่อขอบคุณเจ้าที่แล้ว ปีต่อ ๆ ไปก็จะได้ผลผลิตที่ดี
ภาษาที่ใช้พูดเป็นภาษาปกาเกอะญอ เป็นภาษาประจำถิ่น ชาวบ้านสามารถฟังภาษาไทยเข้าใจ ปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่สามารถใช้ภาษาไทยได้เป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น
หมู่บ้านกามาผาโด้ มีการปกครองระดับท้องถิ่นแบบเป็นทางการและมีการปกครองท้องที่แบบไม่เป็นทางการ ภายในหมู่บ้านเพื่อก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และปฏิบัติตามกฎระเบียบ กฎหมายข้อบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย การปกครองแบบทางการประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ส่วนการปกครองแบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย หัวหน้าพิธีกรรม (ฮี้โค๊ะ) ผู้นำทางด้านศาสนาพุทธ ผู้นำทางด้านศาสนาคริสต์ หมอชาวบ้าน
หน่วยงานภาครัฐมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชไร่ โดยผู้ที่ไปขึ้นชื่อเป็นเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยจากการทำไร่ ทำให้ชาวบ้านพยายามถางป่าให้เตียนโล่งเพื่อแสดงถึงสิทธิในการทำไร่ตามที่ได้ไปขอการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านอยู่แบบพอเพียง ต่อมาชาวบ้านเริ่มทำไร่โดยหวังที่จะขายผลผลิตให้ได้ในราคาสูง และปริมาณมากขึ้น เพื่อจะได้นำเงินไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้สอย จึงส่งผลให้ต้องใช้พื้นที่ในการทำไร่ที่มากขึ้น
บ้านกามาผาโด้ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ควบคู่ไปกับการเลี้ยงเจ้าที่และบูชาวิญญาณเจ้าที่ประจำตระกูลของ บรรพบุรุษในหมู่บ้าน และมีบางส่วนนับถือศาสนาคริสต์
การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนบ้านกามาผาโด้ จะมีการประชุมชาวบ้านอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยผู้ใหญ่บ้าน จะเป็นคนเรียกประชุมชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวมาเข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมคิดร่วมตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะการสร้างกฎเกณฑ์ หรือกฎระเบียบในหมู่บ้าน ซึ่งการประชุมเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ส่วนใหญ่ก็จะได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี
ด้านการคมนาคมระยะทางจาก หมู่บ้านกามาผาโด้ จนถึงอำเภอท่าสองยาง ประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง 18 กิโลเมตร เป็นทางลูกรัง 12 กิโลเมตร มีสะพาน 3 แห่ง ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวก เว้นในช่วงหน้าฝนยังเดินทางได้ลำบาก และชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างทางขั้นไปวัดกามาผาโด้ ประมาณ 1 กิโลเมตร ส่วนหนึ่งนั้นได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลแม่หละและมีสาธารณูปโภค
หมู่บ้านกามาผาโด้ มีสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ มีสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง เมื่อผู้ช่วยชาวบ้านก็จะไปรักษาที่อนามัยหมู่บ้าน แต่หากมีกรณีที่อนามัยรักษาไม่ได้ เช่น ต้องผ่าตัด ทางอนามัยหมู่บ้านจะส่งผู้ป่วยไปยังอนามัยประจำตำบลหรือโรงพยาบาลประจำอำเภอเป็นลำดับต่อไป
หมู่บ้านกามาผาโด้ เป็นหมู่บ้านที่ห่างออกไปจากตำบลและอำเภอ การคมนาคมไม่สะดวกทำให้ระบบการศึกษาไม่ต่อเนื่อง คนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือคือกลุ่มที่มีอายุมาก ส่วนเด็กรุ่นปัจจุบันได้เรียนหนังสือ ในหมู่บ้านมีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านกามาผาโด้ มีตั้งแต่ชั้นระดับอนุบาล จนถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อจบจากโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนแล้ว ส่วนใหญ่ศึกษาต่อที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ตาก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ต้องอยู่ประจำ กินฟรี อยู่ฟรี
ชุมชนบ้านกามาผาโด้ เป็นชุมชนที่ก่อตั้งมาเป็นเวลานานและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของประชากรในชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน แต่ชุมชนบ้านกามาผาโด้ยังคงดำรงวัฒนธรรมความเชื่อและพิธีกรรม ทั้งยังเป็นเครื่องมือในการแสดงตัวตนของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอผ่านการทำพิธีกรรมความเชื่อแต่ละขั้นตอน ความเชื่อในการประกอบพิธีกรรมในบางพิธีกรรรม สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชุมชนให้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ด้วยความเชื่อว่าอำนาจเหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับรู้ถึงความตั้งใจในการจัดหา การเซ่นไหว้บูชา ด้วยความเชื่อที่ว่าคนที่กระทำตามความเชื่อย่อมได้รับพรที่ศักดิ์สิทธิ์ อาจกล่าวได้ว่าการพิธีกรรมความเชื่อของชาวปกาเกอะญอได้สร้างความเชื่อมั่นและเห็นคุณค่าและความหมายของพิธีกรรมความเชื่อที่เป็นประโยชน์ทางด้านจิตใจที่ช่วยให้ผ่อนคลายจากความกังวลในการดำรงชีวิต ช่วยในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ควบคู่กับชุมชนปกาเกอะญอ
พิธีบวชต้นไม้ มีวิธีคิดและวิธีการปฏิบัติคล้ายคลึงกับ พิธีสืบชะตา แม่น้ำ หรือ คน ด้วยการต่ออายุให้เจริญยั่งยืนสืบไปตามคติความเชื่อ ส่วนที่มาของการบวชป่า มาจากวิธีการห่มจีวรให้กับต้นไม้เช่นเดียวกับการบวชพระ ส่งผลให้สถานภาพของคนและต้นไม้เปลี่ยนไป นับเป็นการนำความเชื่อทางศาสนามาประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาป่าต้นน้ำ เพื่อเป็นสิริมงคลต่อชาวบ้านและต้นไม้ที่จะทำพิธี
การบวชให้ต้นไม้ใดบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและเจตนาของชุมชนเอง บวชได้ตั้งแต่ต้นไม้ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ แต่ส่วนมากจะเน้นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งต้นไม้ในป่าที่ผ่านการรุกทำลาย เพราะจะไม่สามารถฟื้นคืนสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ถ้าไม่ถูกรบกวนอีก ชาวบ้านเชื่อว่า ผืนป่าที่ผ่านพิธีบวชเป็นเสมือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสคืนความชุ่มชื้นแก่แผ่นดินได้เต็มที่ การบวชป่า ทำให้ชุมชนที่ร่วมมือกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ของป่าธรรมชาติไว้ให้กับลูกหลาน เป็นการเรียกร้องสิทธิของชุมชน ในการดูแลรักษาป่าและแหล่งต้นน้ำ พิธีบวชป่า จึงเป็นความปรารถนาที่ดีส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลัง ท่ามกลางตอไม้นับพัน นับหมื่นในอดีตผืนป่าของเมืองไทย เพื่อเป็นป่าที่สมบูรณ์ในอนาคตต่อไป
ป่าท่าสองยาง
กรมการปกครอง. (2567). ระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง. สืบค้นเมื่อ 14กุมภาพันธ์ 2568. https://stat.bora.dopa.go.th
ลักคณา พบร่มเย็น. (2554). สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ บ้านแม่หละเหนือและบ้านกามาผาโด้ หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 5 ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก. วิจัยภายใต้โครงการสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางและมาตรการรับรองสิทธิชุมชนที่เป็นการปกป้องคุ้มครองสุขภาวะของประชาชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ. (หน้าที่ 1-17) สืบค้นเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2568. https://k-rc.net/imageupload
สุวิทย์ คงไพรพฤกษ์. (2557). ปัจจัยเเละเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพิธีกรรมความเชื่อทางวัฒนธรรมของชุมชนปกาเกอะญอ กรณีศึกษาบ้านกามาผาโด้ หมู่ที่5 ตำบลเเม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก. วิจัยฉบับสมบูรณ์. วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2568.
องค์การบริหารส่วนตำบลแม่หละ. (ม.ป.ป.). น้ำตกแม่หละเล กามาผาโด้ จังหวัดตาก. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2568. https://www.maehla.go.th