
ชุมชนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตสุดเรียบง่ายของชาวผู้ไท กับการเชิดชูและผลักดันศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ทรัพยากรอันเป็นมรดกจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสู่การท่องเที่ยวที่โดดเด่น ทันสมัย และแฝงด้วยภาพสะท้อนตัวตนของผู้คนบ้านนาโสก
เนื่องจากบริเวณที่ตั้งชุมชนเป็นที่ลุ่มสลับกับที่ดอน ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำฝนไหลกัดเซาะพื้นดินเป็นร่อง ชาวบ้านเรียกร่องทางน้ำนั้นว่า "โสก" จึงเป็นที่มาของชื่อชุมชนว่า "บ้านนาโสก"
ชุมชนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตสุดเรียบง่ายของชาวผู้ไท กับการเชิดชูและผลักดันศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ทรัพยากรอันเป็นมรดกจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสู่การท่องเที่ยวที่โดดเด่น ทันสมัย และแฝงด้วยภาพสะท้อนตัวตนของผู้คนบ้านนาโสก
ความเป็นมาของบ้านนาโสกมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มชาวผู้ไทที่ย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศลาวในช่วงสงครามเจ้าอนุวงศ์ เมื่อสภาวะสงครามสงบลง คนส่วนหนึ่งไม่ทราบจำนวนได้แสวงหาพื้นที่ทำกิน โดยในระยะแรกได้มาตั้งถิ่นฐานที่บริเวณเมืองหนองสูง ต่อมาได้แยกย้ายค้นหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับประกอบอาชีพ โดยมีกลุ่มคนผู้ไทกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาอาศัยอยู่ระหว่างหุบเขาภูยูง ภูหินสิ่ว และภูถ้ำพระ โดยพื้นที่ที่ตั้งชุมชนนั้นมีภาพพื้นผิวเป็นที่ลุ่มสลับที่ดอนไม่ค่อยราบเรียบ เวลาฝนตกหนักน้ำจะบ่าเข้าท่วมพื้นที่และจะไหลลงสู่ลำธาร ทำให้พื้นที่ได้ถูกกัดเซาะทำให้เป็นโสก เหว ชาวบ้านจึงขนานนามว่า "บ้านนาโสก"
บรรพบุรุษของบ้านนาโสกที่มาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกนั้น จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่าว่า ได้มีกลุ่มคนผู้ไท รวมกันตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดานมะเอกเชิงเขาภูหินสิ่วซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนาโสกปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เรียกชื่อว่า "บ้านดาน" ด้วยเหตุผลเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะกับการทำข้าวไร่ เนื่องจากชาวผู้ไทในอดีตนิยมทำข้าวไร่เป็นหลัก ชาวผู้ไทกลุ่มนี้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านดานเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะอพยพย้ายหมู่บ้านอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกได้ย้ายจากบ้านดานมาตั้งบ้านใหม่ที่บริเวณทิศใต้ของหมู่ที่ 14 ในปัจจุบัน เรียกว่า บ้านฮ้าง หลายปีผ่านไปมีคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยเป็นไข้แล้วเสียชีวิต จึงอพยพย้ายบ้านไปอยู่ที่แห่งใหม่อีก ครั้งที่สองนี้ย้ายข้ามฟากทุ่งนาม่องเข้าทางทิศตะวันตก การย้ายครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งข้ามทุ่งนาม่องเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่เป็นหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 3 ตอนล่าง ติดกับวัดโพธิ์ศรีแก้ว อีกกลุ่มหนึ่งย้ายจากบ้านฮ้างไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศเหนือ เรียกว่า นาเฮ้อ ห่างจากบ้านนาโสกประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข กลุ่มที่อยู่บริเวณนาเฮ้อก็อพยพเข้ามารวมกับกลุ่มที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ วัดซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่กว่า ทำให้มีจำนวนหลังคาเรือนเพิ่มอีกหลายหลัง และมีจำนวนประชากรเพิ่มอีกจำนวนมาก ชาวผู้ไทกลุ่มนี้เรียกหมู่บ้านของตนเองว่า บ้านนาโสก อยู่มาอีกหลายปี เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ก็มีชาวนาโสกกลุ่มหนึ่งแยกไปตั้งหมู่บ้านใหม่อยู่ทางทิศใต้ของบ้านนาโสก โดยมีร่องน้ำและทุ่งนากั้น ห่างจากบ้านนาโสกประมาณ 10 เส้น ตั้งชื่อใหม่ว่า บ้านเหล่าป่าเป้ด ปัจจุบันบ้านนาโสกได้มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่ คือ บ้านนาโสกหมู่ที่ 1 และบ้านนาโสกหมู่ที่ 3
บ้านนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองมุกดาหาร ห่างจากศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร 30 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มและดอน เนื่องจากอยู่ระหว่างหุบเขา เหมาะในการปลูกพืชสวน อาทิ มันสำปะหลัง ไร่อ้อย และยางพารา และที่ราบเชิงเขาเป็นที่นากระจายอยู่โดยทั่วไป
บ้านนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร แบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่ คือ บ้านนาโสกหมู่ที่ 1 และบ้านนาโสกหมู่ที่ 3 โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรบ้านนาโสก หมู่ที่ 1 ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 553 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 289 คน ประชากรหญิง 264 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 179 หลังคาเรือน ส่วนบ้านนาโสกหมู่ที่ 3 มีประชากรทั้งสิ้น 410 คน เป็นประชากรชาย 205 คน และประชากรหญิง 274 คน มีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 120 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ผู้ไทบ้านนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม โดยมีการเพาะปลูกพืชหลากหลายชนิด ทั้งพืชไร่ พืชสวน และการทำนา เช่น ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ไร่ฝ้าย สวนกล้วย สวนยางพารา การทำนา การปลูกข้าวไร่ การทำปศุสัตว์ วัว ควาย เป็ด ไก่ ฯลฯ ซึ่งมีทั้งการผลิตไว้สำหรับจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ และการผลิตไว้สำหรับบริโภคภายในครัวเรือน นอกจากนี้ชาวบ้านนาโสกยังมีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ดังนี้
- กลุ่มสมุนไพร เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความรู้เรื่องสมุนไพร โดยได้เสาะแสวงหาสมุนไพรตามป่าโคก และบนภูเขา เพื่อมาใช้ประโยชน์การรักษาโรคตามวิถีพื้นบ้าน ซึ่งมีชาวบ้านบางส่วนที่ยังใช้บริการกลุ่มสมุนไพรอยู่ ทั้งยังมีการบอกกล่าวไปถึงต่างจังหวัด มีประชาชนเข้ามาใช้บริการอยู่บ้าง
- กลุ่มจักสาน เป็นกลุ่มชายสูงอายุที่ไม่ได้ทำการเกษตรแล้ว ผันตัวเองมาทำเครื่องจักสานกระบุง ตะกร้า กระติบข้าว กระด้ง หวดนึ่งข้าว เพื่อจำหน่ายภายในชุมชน โดยใช้ไม้ไร่ ไม้ไผ่บ้าน ที่บริเวณภูหินสิ่ว ภูโหเมย มาจักตอกสาน สร้างรายได้ให้กลุ่มผู้สูงอายุ
- กลุ่มทอผ้า ตามวัฒนธรรมชาวผู้ไทจะมีการปลูกฝ้ายไว้ใช้เอง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2540 ได้มีการพัฒนามาเป็นกลุ่มทอผ้าของชุมชนบ้านนาโสก จากฝ้ายที่ปลูกเองของสมาชิกในกลุ่ม และรับซื้อฝ้ายจากชาวบ้านมาแปรรูปเป็นผ้าพื้นเมือง ผ้าย้อมคราม ผ้าตะหลุง ผ้าฝ้าย ถักทอเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายเย็บมือ ผ้าฝ้ายพื้นเมือง ผ้าขาวม้า ผ้าพันคอ ผ้าถุง สไบ โดยมีประชาชนจากนอกชุมชนมาซื้อผลิตภัณฑ์ในหมู่บ้าน และยังมีการออกร้านขายสินค้าตามงานหรือนิทรรศกาลต่าง ๆ ของจังหวัดด้วย
- กลุ่มศูนย์ข้าวชุมชนตำบลนาโสก กลุ่มศูนย์ข้าวชุมชนตำบลนาโสกเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้าวของสมาชิก คัดพันธุ์ข้าว ขายให้สมาชิกและเกษตรกรในอำเภอ ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนภายในชุมชนและกลุ่มสมาชิก
ชาวผู้ไทบ้านนาโสก เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในพื้นที่ภาคอีสานที่มีวัฒนธรรมร่วมกับผู้คนกลุ่มอื่นในภูมิภาค มีธรรมเนียมประเพณีที่ชาวอีสานยึดถือปฏิบัติตามครรลอง ฮีตสอบสองคองสิบสี่ และวิถีแบบชาวพุทธท้องถิ่นโดยทั่วไป ซึ่งมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมตามปฏิทิน ดังนี้
- เดือนอ้าย : บุญเข้ากรรม
- เดือนยี่ : บุญคูณลาน
- เดือนสาม : บุญข้าวจี่
- เดือนสี่ : บุญผะเหวด
- เดือนห้า : บุญสงกรานต์
- เดือนหก : บุญบั้งไฟ
- เดือนเจ็ด : บุญซำฮะ
- เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา
- เดือนเก้า : บุญข้าวประดับดิน
- เดือนสิบ : บุญข้าวสาก
- เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
- เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ
1.ภูหินสิ่ว มีลักษณะเป็นภูเขาขนาดกลาง อยู่ทางทิศใต้บ้านนาโสก เป็นภูเขาที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร ในอดีตภูหินสิ่วมีลักษณะเป็นป่าดงดิบ ป่ารกดงทึบมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ชุกชุม เช่น ช้าง เสือ กวาง ฯลฯ และยังมีสมุนไพร พืชที่ใช้เป็นอาหารมากมาย ก่อนหน้านี้ภูหินสิ่วเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเขตป่าสงวนดงบังอี่ ปัจจุบันภูหินสิ่วได้ถูกประกาศเป็นป่าชุมชน และยังเป็นแหล่งหาอาหารป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด สมุนไพร ซึ่งภูหินสิ่วยังมีจุดที่จะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายที่ เช่น หินต่าง มีลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่บนหินก้อนเล็กสองก้อนคล้ายอานม้า ซึ่งในภาษาภูไทเรียก อานม้าว่า "ต่าง" จึงเรียกชื่อก้อนหินนี้ว่า "หินต่าง"
2.ผาคอย เป็นจุดชมวิวบนภูหินสิ่ว จากจุดนี้จะสามารถมองเห็นบ้านนาโสกและบ้านเหล่าป่าเป้ดได้อย่างทั่วถึง
3.อ่างวัว ในฤดูทำนาชาวบ้านจะปล่อยวัว ควายไปเลี้ยงบนภูเขา เพื่อป้องกันไม่ให้วัว ควายลงย่ำนาข้าว มีเรื่องเล่าว่าในอดีตประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว มีวัวคู่หนึ่งผสมพันธุ์กันพลัดตกลงอ่างหินจมน้ำตาย ชาวบ้านจึงได้ตั้งชื่อว่า "อ่างวัว" ปัจจุบันตื้นเขินเนื่องจากมีทรายไหลลงไปทับถม
4.ถ้ำฆ้องลั่น ในอดีตมีชาวบ้านไปตัดไม้ที่ภูหินสิ่วในคืนวันเพ็ญเดือน 11 แล้วได้ยินเสียงฆ้องดังลั่นออกมาจากถ้ำ ในอดีตถ้ำฆ้องลั่นสามารถเดินเข้าไปด้านในถ้ำได้ แต่ปัจจุบันมีเศษใบไม้ทับถมทางเข้าถ้ำ จึงไม่สามารถเดินเข้าไปได้
5.ฝายน้ำล้นห้วยกะหลอง เป็นฝายน้ำล้นกั้นห้วยกะหลอง อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร โดยในปี พ.ศ. 2510 โครงการชลประทานจังหวัดอุบลราชธานีได้มาขุดกั้นเป็นฝายน้ำล้นให้ชาวบ้านนาโสกได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและประมง มีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2541 เกิดฝนตกหนักจนทำให้คันฝายขาด กรมชลประทานได้มาขุดลอกให้ใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีพื้นที่ประมาณ 125 ไร่ ให้ชาวบ้านนาโสกได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและประมง
6.อ่างเก็บน้ำห้วยกะหลองตอนบน ในอดีตเรียกว่า ห้วยไม้ตาย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2522 กรมชลประทานมาขุดลอกเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยมีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ ปัจจุบันเทศบาลตำบลนาโสกได้นำน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยกะหลองตอนบนเป็นน้ำดิบในการทำน้ำประปา
ภาษาพูด : ภาษาไทยถิ่นอีสาน (สำเนียงผู้ไท) ภาษาไทยกลาง
ภาษาเขียน : อักษรไทย
ถาวร เผ่าภูไทย. (2562). โครงการแนวทางการฟื้นสู่การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยววิถีชาวนาของชนเผ่าผู้ไทบ้านนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร: รายงานฉบับสมบูรณ์. สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย
การท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลนาโสก มุกดาหาร. (2561). ภาพถ่าย. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://www.facebook.com/nasoktourism
Thai LocalistA. (2561). ภาพถ่าย. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://www.facebook.com/