Advance search

ถิ่นฐานเมืองปราสาทหินโบราณที่สร้างด้วยศิลปะขอมบาปวน แหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานอันเก่าแก่แกะสลักด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

หมู่ที่ 1
บ้านพลวง
บ้านพลวง
ปราสาท
สุรินทร์
วิไลวรรณ เดชดอนบม
11 มี.ค. 2025
วิไลวรรณ เดชดอนบม
12 มี.ค. 2025
บ้านพลวง

บริเวณชุมชนบ้านพลวงมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่หนองหนึ่ง บริเวณหนองน้ำขนาดใหญ่นี้จะมีพืชน้ำชนิดหนึ่ง คือ "ต้นพลวง" จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อพืชน้ำชนิดนี้


ถิ่นฐานเมืองปราสาทหินโบราณที่สร้างด้วยศิลปะขอมบาปวน แหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานอันเก่าแก่แกะสลักด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

บ้านพลวง
หมู่ที่ 1
บ้านพลวง
ปราสาท
สุรินทร์
32140
14.613187
103.421678
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านพลวง

ในอดีตการอพยพตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยใหม่ของราษฎรมีปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ แหล่งน้ำ ทั้งน้ำดื่ม น้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตร ด้วยเหตุนี้เองชาวบ้านพลวงในยุคเริ่มต้นก่อตั้งหมู่บ้านจึงได้เลือกลงหลักปักฐานบริเวณบ้านพลวงปัจจุบัน เนื่องจากบริเวณนี้มีหนองน้ำใหญ่อยู่หนองหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตรได้ โดยหนองน้ำขนาดใหญ่นี้จะมีพืชน้ำชนิดหนึ่งคล้ายต้นกก ชาวบ้านเรียกต้น (พลวง) มีจำนวนมาก และเป็นพืชน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ จึงเป็นที่มาของชื่อ "บ้านพลวง"

คนกลุ่มแรกที่อพยพมาอาศัยอยู่ในตำบลบ้านพลวง คือ

  • กลุ่มที่ 1 มาจากเขตอำเภอเมือง ซึ่งมีอาชีพในการตัดไม้ซุงของโรงเลื่อยจักรีศรีสุรินทร์
  • กลุ่มที่ 2 คนในพื้นที่เดิมที่เดินทางผ่านไปมาระหว่างเมืองสุรินทร์กับประเทศกัมพูชาผ่านทางช่องจอม เมื่อมาพบพื้นที่บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตร จึงได้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านกุมพะเนียง หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลหนองใหญ่ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านกังจาน หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลโคกสะอาด, ตำบลปรือ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์

เนื่องจากตำบลบ้านพลวงเป็นทางผ่านไปยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งถือเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์ ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังช่องจอมเป็นจำนวนมาก

ลักษณะภูมิประเทศ

ลักษณะภูมิประเทศของบ้านพลวงมีลักษณะเป็นที่สูง น้ำท่วมไม่ถึง ทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ป่าชุมชน (ป่าหนองยะทัด) ที่ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านอาหารที่มีตามธรรมชาติ เช่น เห็ด พืชผักต่าง ๆ ผลไม้ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากไม้ในป่านำมาทำเป็นฟืนในการหุงหาอาหารได้ อีกทั้งเป็นที่เลี้ยงสัตว์ประเภทโค กระบือ ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ของหมู่บ้านเป็นที่ราบลุ่มแหล่งน้ำ เหมาะแก่การเพาะปลูกทำการเกษตร ประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนใช้เป็นพื้นที่ในการทำนา ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์

ปัจจุบันชุมชนบ้านพลวงได้มีการขยายตัวของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการตั้งบ้านเรือนจะมีการรวมตัวเป็นกลุ่มภายใต้พื้นฐานระบบเครือญาติเป็นส่วนใหญ่ คือ ในกลุ่มเครือญาติเดียวกันก็จะตั้งบ้านเรือนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกัน หรือตั้งอยู่บนผืนดินที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษร่วมกัน

บ้านพลวง ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นชุมชนที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุไทย-เขมร โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 1 บ้านพลวง ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 740 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 341 คน ประชากรหญิง 399 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 296 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)

สภาพสังคมในบ้านพลวงยังคงให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ โดยมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน บุตรหลานเคารพผู้ใหญ่ แม้ว่าความสัมพันธ์ในระดับหมู่บ้านจะลดลงเนื่องจากความเจริญทางเทคโนโลยี แต่ระบบเครือญาติยังคงแน่นแฟ้นจากประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบทอด เช่น ประเพณีแซนโฎนตา ที่เป็นโอกาสให้ญาติพี่น้องมารวมตัวเพื่อเคารพบรรพบุรุษและผู้อาวุโส รวมถึงการสอนสั่งให้เยาวชนประพฤติดีและรักสามัคคีกันในกลุ่มญาติและหมู่บ้าน

ขแมร์ลือ

ชาวบ้านพลวงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในภาคการเกษตรเป็นอาชีพหลัก โดยคิดเป็นร้อยละ 90 ของประชากรทั้งหมดในหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีอาชีพอื่น ๆ เช่น การรับราชการ หรือการรับจ้าง แต่การทำเกษตรกรรมยังคงเป็นอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ดังนี้

1.การทำนาข้าว

การทำนาข้าวถือเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านพลวงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกือบทุกครัวเรือนในบ้านพลวงจะมีการประกอบอาชีพนี้ โดยพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 และ ข้าวกข 15 ซึ่งเป็นข้าวที่ตอบสนองความต้องการของตลาด

2.การทำไร่

การทำไร่ในบ้านพลวงส่วนใหญ่จะเป็นไร่มันสำปะหลังและไร่อ้อย ซึ่งมักจะปลูกในพื้นที่ดอนที่สูงในหมู่บ้าน การทำไร่เหล่านี้ให้ผลผลิตที่ดีและสามารถนำไปขายสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน

3.การทำสวน

ชาวบ้านพลวงมีการทำสวนในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำประจำหมู่บ้าน ส่วนมากจะปลูกผักประเภทต่าง ๆ ที่สามารถนำไปขายได้ในตลาดสดอำเภอปราสาท การทำสวนนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี

4.การเลี้ยงสัตว์

การเลี้ยงสัตว์เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน โดยมีการเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด เช่น โค กระบือ เป็ด ไก่ หมู และปลา การเลี้ยงสัตว์เหล่านี้เป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรในยามจำเป็นที่ต้องใช้เงิน

อาชีพต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้หลักของชาวบ้านพลวง แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบ้านพลวงมีประชากรส่วนหนึ่งซึ่งส่วนมากแล้วเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพในภาคการเกษตร เนื่องจากความก้าวหน้าของระบบการศึกษาและสังคม ส่งผลให้คนในหมู่บ้านกลุ่มนี้พัฒนารูปแบบอาชีพที่หลากหลายนอกเหนือจากการทำเกษตรกรรมมากขึ้น โดยอาชีพนอกภาคการเกษตรที่ชาวบ้านพลวงดำเนินการมี ดังนี้

1.การรับราชการ

เป็นหนึ่งในอาชีพนอกภาคการเกษตรที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในสังคมของชาวบ้านพลวง เช่น ครู ทหาร และตำรวจ โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาระดับสูง และกลุ่มบุตรเขยที่เข้ามาแต่งงานกับคนในหมู่บ้าน อาชีพรับราชการถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติในสังคม ทำให้ชาวบ้านส่งเสริมให้บุตรหลานเล่าเรียนหนังสือและพยายามสอบเข้ารับราชการ เนื่องจากอาชีพนี้มอบความมั่นคงในหลายด้าน พร้อมทั้งมีสวัสดิการต่าง ๆ เช่น การรักษาพยาบาลและประกันชีวิต ถึงแม้ว่าการรับราชการจะมีความมั่นคง แต่รายได้ที่ไม่สูงมากอาจทำให้ข้าราชการต้องกู้ยืมเงินเพื่อสร้างบ้านและซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครอบครัว โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณครอบครัวละ 500,000-1,000,000 บาท การย้ายสถานที่ทำงานบ่อยครั้งยังส่งผลให้เกิดปัญหาครอบครัวขาดความอบอุ่น อย่างไรก็ตาม หลายครอบครัวที่รับราชการยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเสริมอีกด้วย

2.อาชีพค้าขาย

บ้านพลวงตั้งอยู่ไม่ห่างจากอำเภอปราสาท ส่งผลให้ชาวบ้านมีโอกาสประกอบอาชีพค้าขายจำนวนมาก โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 5-10 ของประชากรทั้งหมด อาชีพค้าขายนี้รวมถึงร้านขายของชำ ร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายผัก เนื้อหมู และปลา สินค้าที่ใช้ในอาชีพนี้มีทั้งผลผลิตในหมู่บ้านและสินค้าที่นำเข้าจากภายนอก อาชีพค้าขายสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 20,000-30,000 บาทต่อเดือน ถือเป็นอาชีพเสริมในช่วงนอกฤดูทำนา

3.อาชีพรับจ้าง

อาชีพรับจ้างทั่วไปไม่ใช่อาชีพหลักของชาวบ้านพลวง แต่เป็นอาชีพเสริมในช่วงฤดูที่ว่างจากการทำนา คนในหมู่บ้านมักเดินทางไปทำงานรับจ้างในต่างจังหวัด ซึ่งอาชีพนี้ไม่มั่นคงและสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 7,000-10,000 บาทต่อเดือน

กลุ่มองค์กรชุมชน

1.กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการเกษตร เป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อออมเงินเป็นทุนใช้ในการทำการเกษตรในรูปแบบของการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับสมาชิก

2.ศูนย์สาธิตการตลาด เป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันเพื่อนำทุนไปลงสินค้าเพื่อนำมาขายให้กับสมาชิกและคนในชุมชน เมื่อมีผลกำไรในทุกสิ้นปีจะมีแบ่งปันผลกำไรนั้นคืนให้กับสมาชิก

3.กลุ่มพัฒนาสตรี (กลุ่มแม่บ้าน) เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้กลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านได้รวมตัวกันเพื่อสร้างอาชีพเสริม เช่น การทอผ้า การทำอาหารแปรรูป

4.กลุ่มอาสาสาธารณสุข (อสม.) เป็นการสนับสนุนให้หมู่บ้านมีกลุ่มอาสาสมัครเพื่อดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้กับคนในหมู่บ้านอย่างทั่วถึง

5.กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน (เงินล้าน) เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งเพื่อรองรับนโยบายการสนับสนุนกองทุนเพื่อคนในหมู่บ้านได้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพ รวมถึงการดูแลสวัสดิการของคนในหมู่บ้าน

6.กลุ่มทอผ้าไหม เป็นกลุ่มอาชีพของแม่บ้านที่รวมตัวกันทอผ้าไหมเพื่อขายในระบบตลาด เป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับแม่บ้านในช่วงว่างเว้นจากฤดูทำนา

7.กลุ่มเกษตรอินทรีย์ เป็นการส่งเสริมด้านอาชีพให้เกษตรกรได้ทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง ไม่ใช้สารเคมีประเภทต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และความปลอดภัยในการบริโภค

8.กลุ่มธนาคารข้าว เป็นการรวมกลุ่มให้ชาวบ้านนำข้าวเปลือกมาฝากรวมกัน เพื่อให้สมาชิกที่ไม่มีข้าวบริโภคในห้วงปีได้มากู้ข้าวของธนาคารข้าวในหมู่บ้านไปบริโภคก่อน

9.กลุ่มสภาวัฒนธรรมหมู่บ้าน เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อส่งเสริมสนับสนุนในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้าน 

ชาวบ้านพลวงส่วนใหญ่เชื่อในศาสนา "พุทธ" โดยมีวัดปราสาทวารีศรีกุญชร หรือวัดบ้านพลวง เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ และให้ชาวบ้านใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีต่าง ๆ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่นับถือศาสนา "คริสต์" ในหมู่บ้านที่ต้องการเผยแผ่ศาสนาให้กับชาวบ้านพลวง โดยมุ่งเน้นไปที่เด็กและเยาวชนผ่านการสอนภาษาอังกฤษในวันหยุด อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้บุตรหลานไปนับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากมองว่าเป็นความเชื่อของชาวต่างชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่าง จึงต้องการให้บุตรหลานสืบสานพระพุทธศาสนาตามที่บรรพบุรุษ

ในด้านความเชื่อ ชาวบ้านพลวงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทย-เขมร จึงมีความเชื่อเรื่องผีและพราหมณ์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีประกอบพิธีกรรมตามคติความเชื่อ เช่น การไหว้บรรพบุรุษ (แซนโฏนตา) ในเดือน 10 นอกจากนี้ ยังมีผีปู่ตาและผีตาปราสาทที่ชาวบ้านเชื่อว่าคอยปกปักรักษาผู้คนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุข อนึ่ง ยังมีการทำบุญตามประเพณี เช่น บุญไหว้ตาปราสาท (แซนตาปราสาท) ในเดือนสาม และบุญไหว้เจ้าปู่ตา (แซนตา) ในเดือนหก ข้อสำคัญ คือ ในแต่ละพิธีกรรมของบ้านพลวงยังมีพิธีพราหมณ์แทรกอยู่ แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านพลวงมีความเชื่อเรื่องพุทธ ผี ควบคู่ไปกับพราหมณ์อย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้

อย่างไรก็ดี การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและพิธีกรรมตามคติความเชื่อเรื่องผีและพราหมณ์จะมีการผสมผสานกันไปในแต่ละเดือน มีดังนี้

1.เดือนอ้าย (เดือนเจียง) เป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์เข้าพิธี "บุญปริวาสกรรม" หรือ "โจนกำ" เป็นการสารภาพความผิดต่อหน้าคณะสงฆ์ เพื่อฝึกจิตสำนึกและประพฤติตนตามพระวินัย พิธีนี้จัดขึ้นในช่วงข้างขึ้นหรือข้างแรม โดยมีระยะเวลา 9 ราตรี พระสงฆ์ที่เข้าพิธีจะต้องพักในสถานที่สงบ จะมีจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องแจ้งล่วงหน้า เมื่อเสร็จพิธีจะมีพระสงฆ์ 20 รูปมารับออกกรรม การเข้าปริวาสกรรมไม่ถือเป็นการล้างบาป แต่เป็นการปวารณาตนไม่ให้กระทำผิดอีก ส่วนชาวพุทธสามารถทำบุญโดยการถวายอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคให้พระสงฆ์ ซึ่งถือว่ามีบุญมากกว่าการทำบุญตักบาตรทั่วไป

2.เดือนยี่ เป็นช่วงเวลาที่มีการทำบุญไหว้พระแม่โพสพหรือที่เรียกว่า "แซนเสลา" โดยในช่วงเช้าจะมีการทำบุญตักบาตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่วัด ในช่วงบ่ายจะมีการไหว้ปู่ตา และพระแม่โพสพที่ยุ้งข้าวในช่วงเย็น โดยชาวนาจะให้ความสำคัญกับพิธีกรรมดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ในนาและความสุขให้กับเจ้าของนา ฝนจะตกตามฤดูกาล และผลผลิตจะดีในปีถัดไป

3.เดือนสาม ชาวบ้านพลวงจะจัดงานบุญไหว้ตาปราสาท หรือ "แซนตาปราสาท" จัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี เพื่อบวงสรวงและแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในปราสาทบ้านพลวง โดยมีการเซ่นไหว้ด้วยอาหารและของต่าง ๆ มีผู้อาวุโสเป็นผู้นำประกอบพิธี พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ให้ชาวบ้านทำบุญตักบาตร

4.เดือนสี่ มีการทำบุญพระเวส (บ้างเรียก ผะเหวด) หรือ "ติเจียส" เป็นการฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดกหรือเทศน์มหาชาติ เชื่อว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงเล่า หรือเป็นเรื่องที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ถึงอัตตประวัติหรือชีวประวัติที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีธรรมเพื่อความสำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีธรรมยิ่งด้วยทานบารมี

5.บุญสงกรานต์ หรือ "แคแจ็ด" เป็นการทำบุญวันขึ้นปีใหม่ไทย ซึ่งมีความหมายถึงการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์ในจักรราศี การทำบุญในช่วงนี้รวมถึงพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้ใหญ่ ถือเป็นการแสดงความเคารพและขอขมาลาโทษ นอกจากนี้ยังมีการทำบุญตักบาตร ก่อพระเจดีย์ทราย และการเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน โดยมีการแห่พระพุทธรูปให้ชาวบ้านได้สรงน้ำ อย่างไรก็ตามปัจจุบันการเฉลิมฉลองสงกรานต์ได้เปลี่ยนไป มีการเล่นน้ำอย่างรุนแรงและการดื่มสุราเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้สูงอายุที่รักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมไว้

6.พิธีไหว้เจ้าปู่ตา หรือ "แซนตา" เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในเดือนหก ก่อนเริ่มฤดูกาลทำนา เพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษและขอความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยจะมีการกำหนดวันจัดพิธีในวันพุธหรือวันพฤหัสบดีแรกของเดือนหก โดยผู้อาวุโสของหมู่บ้านหรือ "อาจา" จะเป็นผู้กำหนดวันและนำประกอบพิธี ชาวบ้านจะทำความสะอาดศาลปู่ตาและนำเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ขัน 5 หรือขัน 8 ที่มีเทียน ดอกไม้ อาหารคาว หวาน ผลไม้ และเครื่องดื่มไปที่ศาล หลังจากพิธีเสร็จสิ้น อาหารจะถูกนำกลับไปรับประทานที่บ้านหรือเลี้ยงรวมกันที่หอปู่ตา เพื่อเป็นสิริมงคล 

7.บุญเข้าพรรษา หรือ "โจนประสา" เป็นประเพณีที่พระภิกษุสามเณรต้องอยู่ประจำในวัดตลอด 3 เดือน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือนแปด ถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 โดยห้ามเดินทางไปที่แห่งอื่น เพื่อป้องกันการทำลายพืชผลของชาวบ้านในฤดูเกษตรกรรม ในช่วงนี้มีการทำบุญตักบาตร ฟังธรรมเทศนา และการถวายเทียนใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อว่าผู้ที่ถวายเทียนจะได้รับอานิสงส์ในชาติหน้า โดยอาจได้ไปสวรรค์ หรือมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในชีวิตปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการจัดงานแห่เทียนเข้าพรรษาในปัจจุบันด้วย

8.เดือนสิบ บุญเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หรือภาษาถิ่นเรียกว่า "แซนโฎนตา" เป็นประเพณีที่มีความสำคัญและมีการปฏิบัติต่อกันมายาวนานนับพันปีของชาวเขมร แสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และชุมชน โดยจะมีพิธีกรรมในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี

ในวันดังกล่าว ลูกหลานและญาติพี่น้องที่ประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่น จะเดินทางกลับมารวมญาติ เพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาและวัฒนธรรมของอินเดีย ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ประตูยมโลกจะเปิดให้ผีในยมโลกสามารถเดินทางมาเยี่ยมญาติได้ โดยผู้อาวุโสจะทำการแบ่งอาหารและเครื่องเซ่น โดยจัดใส่ห่อด้วยใบตองเป็นจำนวนเล็กน้อย พร้อมกรวย 5 ช่อ และเงินเหรียญต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะโปรยลงบนพื้นเสมือนการโปรยทาน เพื่อให้วิญญาณที่ไม่มีญาติได้รับประทานด้วย ในขณะเดียวกัน เด็ก ๆ และลูกหลานจะร่วมสนุกสนานในการรับและแย่งเงินเหรียญกัน เมื่อเสร็จสิ้นพิธี ลูกหลานและญาติพี่น้องจะรวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหาร เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ในหมู่ลูกหลานและญาติสนิท เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง ทำให้ลูกหลานที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอื่นหรือต่างจังหวัดได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกันมากขึ้น

9.บุญออกพรรษา หรือที่เรียกในภาษาพื้นบ้านว่า "แจงประสา" เป็นประเพณีที่จัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถือเป็นการทำบุญต่อเนื่องจากบุญเข้าพรรษา ในวันออกพรรษา พระภิกษุและสามเณรจะมารวมตัวกันเพื่อทำพิธีออกวัสสาปวารณา เป็นโอกาสให้มีการตักเตือนและแนะนำกันอย่างสร้างสรรค์ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญที่ชาวบ้านจะมาร่วมบุญกันอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเสร็จสิ้นจากการทำไร่ทำนา อากาศในช่วงนี้เย็นสบายทำให้เหมาะแก่การทำบุญตักบาตรที่เรียกว่า "ตักบาตรเทโว" เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาโปรดพระมารดาบนสรวงสวรรค์ ชาวบ้านจึงนำอาหารคาวหวานมาถวายแด่พระสงฆ์ นอกจากนี้ยังมีการรับศีล สวดมนต์ ฟังเทศน์ และถวายผ้าจำนำพรรษา ในช่วงค่ำจะมีการจุดประทีปโคมไฟทั้งในบริเวณวัดและหน้าบ้านเพื่อเป็นพุทธบูชา

10.บุญกฐิน หรือ "กะเทน" ในภาษาพื้นบ้าน เป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบแล้ว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 การทำบุญกฐินมีที่มาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระภิกษุที่เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในช่วงฤดูฝน ทำให้ผ้าจีวรเปียกน้ำและเปรอะเปื้อนโคลน พระพุทธเจ้าเห็นถึงความยากลำบากนี้ จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุสามารถแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงได้จัดเตรียมผ้าจีวรมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าว กลายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน 

ปัจจุบันประเพณีของชาวบ้านพลวงที่ได้กล่าวถึงยังคงมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แต่รูปแบบและผู้เข้าร่วมพิธีกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น ในยุคปัจจุบัน การปฏิบัติตามประเพณีในพิธีกรรมบางอย่างที่มีความยืดเยื้อจะถูกปรับให้สั้นลง นอกจากนี้ คำสวดในพิธีกรรมที่เคยใช้ภาษาเขมรทั้งหมดก็ได้เปลี่ยนมาเป็นภาษาไทยมากขึ้น เนื่องจากหมู่บ้านมีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กลุ่มไทยกลางและกลุ่มไทยลาว ที่เข้ามาเป็นเขยและสะใภ้ จึงจำเป็นต้องใช้ภาษาที่เป็นกลางเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจร่วมกันได้

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

โบราณสถานปราสาทบ้านพลวง

ปราสาทบ้านพลวง ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นศาสนสถานขนาดเล็ก หรือสรุก จำนวน 1 หลัง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สร้างตามแบบศิลปะแบบบาปวนด้วยหินทรายสีขาวบนฐานศิลาแลง ขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีความตั้งใจสร้างให้มีปราสาท 3 องค์บนฐานเดียวกัน แต่อาจมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น สงคราม โรคระบาด ความแห้งแล้ง จึงส่งผลให้การสร้างปราสาทชะงักไป

ปราสาทบ้านพลวง มีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดี่ยว ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว ส่วนอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก องค์ปรางค์ก่อสร้างด้วยหินทราย ด้านบนเรือนธาตุสร้างด้วยอิฐ ซึ่งพังทลายลงมาจนหมดแล้ว จึงเหลือตัวปราสาทเพียงครึ่งเดียว มีคูน้ำเป็นรูปตัวยูล้อมรอบ ใกล้เคียงกันมีบาราย หรือสระน้ำขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาก่อน แม้จะเป็นปราสาทหินขนาดเล็ก แต่ฝีมือการสลักหินรอบตัวปราสาทมีความประณีตและงดงามมาก หน้าบันทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นด้านหน้าของปราสาทแกะสลักเป็นรูปพระกฤษณะกำลังยกภูเขาโควรรธนะป้องกันผู้เลี้ยงวัว (โคปาลและโคปี) จากฝนกรดที่พระอินทร์โปรยลงมา ส่วนทับหลังทางทิศตะวันออกและทิศใต้สลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาลยึดท่อนพวงมาลัยที่คายออกมาจากปาก ทับหลังทางทิศเหนือสลักเป็นรูปพระกฤษณะกำลังรบกับนาคกาลียะ และทับหลังทางทิศตะวันตกไม่มีการแกะสลักเป็นรูปใด ๆ นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักเล่าเรื่องของสัตว์นานาชนิด นับเป็นครั้งแรกที่ภาพของสัตว์ชั้นต่ำได้มาแกะสลักร่วมกันอยู่บนปราสาทที่อุทิศถวายแก่เทพเจ้า คือพระอินทร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์

ปราสาทบ้านพลวงเป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์ สังเกตได้จากภาพแกะสลักยังไม่แล้วเสร็จดี โดยภาพส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของเทพปกรณัมในลัทธิไศวะนิกาย แต่มีการสลักภาพสัตว์ เช่น สลักภาพกระรอก กระแต และกวางป่าไว้เหนือใบระกาด้านต่อดอกพันธุ์พฤกษา ซึ่งไม่ปรากฏในปราสาทแห่งใด

ปราสาทบ้านพลวง ได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2514-2516 ด้วยวิธีอนัสติโลซีส คือ การรื้อมาและประกอบเป็นจิกซอว์ขึ้นใหม่ เสริมโครงสร้างและรากฐานใหม่ หินส่วนไหนขาดก็เติมหินเข้าไปใหม่ให้สมบูรณ์ โดยไม่ขัดกับลวดลายและศิลปะเดิมของปราสาท 

สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมปราสาทหินบ้านพลวงทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท

ชุมชนบ้านพลวงใช้ภาษาเขมรในการติดต่อสื่อสารภายในชุมชนของตนเอง นอกจากนี้ยังมีภาษากลางสำหรับใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างคนต่างกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ภาษาไทยกลาง ภาษาอีสาน


วัฒนธรรมและประเพณีของชาวบ้านพลวงกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและขาดการสืบทอด เนื่องจากผลกระทบจากสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ความทันสมัยของเทคโนโลยี และการศึกษาในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ความเชื่อและประเพณีที่เคยปฏิบัติกำลังสูญหายไป ตัวอย่างประเพณีสูญหายที่เห็นชัดเจนคือ พิธีโกนผมจุก (กันจำป่อย) ซึ่งปัจจุบันแทบไม่มีเด็กที่ไว้ผมจุกอีกต่อไป เนื่องจากวัฒนธรรมใหม่เข้ามาแทนที่ และพิธีกรรมโบราณที่เคยมีความสำคัญกำลังถูกลืมเลือน โดยเฉพาะในกรณีของเด็กผู้หญิงที่นิยมไว้ผมยาวแทนการโกนผมจุกตามประเพณีเดิม และพิธีดื่มน้ำสาบาน หรือดื่มน้ำพระ เป็นความเชื่อของชาวบ้านพลวงที่มีมานาน เป็นการดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อถือคำสัตย์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น การสาบานเลิกดื่มเหล้า หรือแสดงความจริงใจในกรณีข้อพิพาท แม้ในปัจจุบันชาวบ้านพลวงยังเชื่อในความศักดิ์สิทธิของพิธีนี้ แต่การสืบทอดพิธีกรรมได้ขาดหายไปนานหลายปี

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (ม.ป.ป.). ปราสาทหินบ้านพลวง. สืบค้น 11 มีนาคม 2568, จาก https://thai.tourismthailand.org/Attraction/ปราสาทหินบ้านพลวง

ไมตรี จันทร์เจริญ และคณะ. (2556). โครงการศึกษาแนวทางในการสร้างภูมิคุ้มกันชุมชนจากปัญหายาเสพติดในชุมชนบ้านพลวง ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์: รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.

วิกิพีเดีย. (2568). ปราสาทบ้านพลวง. สืบค้น 11 มีนาคม 2568, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/

องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านพลวง. (ม.ป.ป.). ข้อมูลทั่วไปและประวัติความเป็นมา. สืบค้น 11 มีนาคม 2568, จาก https://banpluang.go.th/

Siridharo_webmaster. (2565). เทศน์มหาชาติ ประจำปี 2565. สืบค้น 11 มีนาคม 2568, จาก https://watmatchan.net/mahachat65/