
บ้านซอโอ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ทั้งยังเป็นเป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอซึ่งยังคงรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในชุมชน
บ้านซอโอตั้งอยู่ในบริเวณที่มีทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเสือ ซึ่งชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงเสือร้องอยู่รอบหมู่บ้านบ่อยครั้ง จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามเสียงของเสือว่า "บ๊ะ โซะ โอ๊ะ โอ" ซึ่งแปลว่า "หมู่บ้านเสือร้อง" อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ได้มีชาวไทยพื้นราบอพยพมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณใกล้เคียงและเรียกชื่อหมู่บ้านนี้เพี้ยนไปจนเหลือเพียง "ซอโอ" ซึ่งกลายเป็นชื่อหมู่บ้านที่ใช้เรียกขานจนถึงปัจจุบัน
บ้านซอโอ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ทั้งยังเป็นเป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอซึ่งยังคงรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในชุมชน
บ้านซอโอเป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยง ที่ปรากฏการตั้งถิ่นฐานมายาวนานกว่าร้อยปี ว่ากันว่าคนผู้แรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้คือ "พ่อหลวงพะซูริ" ซึ่งเป็นชาวปกาเกอะญอ ถือเป็นผู้บุกเบิกการตั้งหมู่บ้านและเริ่มสร้างรากฐานให้กับชุมชน ต่อมามีครอบครัวอื่น ๆ ได้ย้ายตามมา เกิดการสร้างบ้านเรือนถาวรในพื้นที่นี้จนกลายเป็นหมู่บ้านที่มีความมั่นคงจนถึงปัจจุบัน
ตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ ช่วงแรกของการตั้งหมู่บ้านบริเวณนี้มีทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงร้องอยู่บ่อยครั้งรอบหมู่บ้าน การได้ยินเสียงเสือร้องเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ และเพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ชาวบ้านจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามเสียงของเสือว่า "บ๊ะ โซะ โอ๊ะ โอ" ซึ่งแปลว่า "หมู่บ้านเสือร้อง"
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หมู่บ้านได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากการอพยพของชาวไทยพื้นราบที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อชาวไทยเข้ามาอาศัยในพื้นที่ ชื่อของหมู่บ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยชาวไทยได้เรียกชื่อหมู่บ้านเพี้ยนไปเหลือเพียงคำว่า "ซอโอ" ซึ่งเป็นชื่อที่ยังคงใช้เรียกขานหมู่บ้านในปัจจุบัน
หมู่บ้านซอโอ ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอพบพระประมาณ 15 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอแม่สอดประมาณ 33 กิโลเมตร โดยหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของตำบล และมีอาณาเขตติดต่อกับหมู่บ้านใกล้เคียง ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านห้วยนกแล หมู่ที่ 9
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ 7
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านช่องแคบ หมู่ที่ 1
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านทีกะเป๋อ หมู่ที่ 4
หมู่บ้านซอโอ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำเมยซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประมาณ 7 กิโลเมตร โดยในช่วงฤดูแล้งแม่น้ำเมยมีความกว้างประมาณ 10 เมตร และมีความลึกประมาณ 1 เมตร ทำให้สามารถเดินข้ามไปมาได้สะดวก ส่งผลให้มีประชากรจากฝั่งเมียนมาอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซอโอเพิ่มขึ้น
สภาพภูมิอากาศ
หมู่บ้านซอโอตั้งอยู่บนพื้นที่เนินเขา โดยมีลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย สภาพภูมิอากาศแบ่งออกเป็น 3 ฤดู ได้แก่
- ฤดูร้อน ช่วงเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม อากาศร้อนในช่วงกลางวัน และเย็นสบายในช่วงกลางคืน
- ฤดูฝน ช่วงเดือนพฤษภาคม - เดือนตุลาคมโดยเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีฝนตกมากที่สุด
- ฤดูหนาว ช่วงเดือนกันยายน - เดือนตุลาคม อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมพื้นที่ ส่วนเวลากลางคืนจะมีอากาศหนาวจัด
ทรัพยากรน้ำ
แม้ว่าหมู่บ้านซอโอจะตั้งอยู่บนเนินเขา แต่ก็มีแหล่งน้ำที่สำคัญหลายสายที่ไหลผ่านและมีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน ได้แก่
- ลำห้วยซอโอ (ชอโอโกล ในภาษากะเหรี่ยง) เป็นลำห้วยสายหลักที่ชาวบ้านนำน้ำมาใช้ในการอุปโภค เช่น ซักผ้า อาบน้ำ และการเกษตร มีต้นน้ำอยู่ที่บ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ 7 ไหลผ่านหมู่บ้านซอโอ และไปรวมกับลำห้วยที่บ้านทีกะเป๋อทางทิศตะวันตก
- ลำห้วยทีตุก่อ ภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "ห้วยไม่มีหัว" มีต้นกำเนิดจากบ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ 7 ในอดีตเคยเป็นลำห้วยที่ไม่มีทางให้น้ำไหลต่อไป เนื่องจากไหลมารวมกับน้ำผุดในหมู่บ้านแล้วเกิดเป็นน้ำวน ต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกันขุดร่องน้ำเพื่อให้น้ำไหลไปรวมกับลำห้วยซอโอ ทำให้สามารถไหลต่อไปยังบ้านทีกะเป๋อได้
- ลำห้วยกะลึทีโกล ภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "ห้วยน้ำเลี้ยง" มีต้นกำเนิดจากบ้านดอนเจดีย์ และไหลมารวมกับน้ำผุดอีกแห่งหนึ่งของหมู่บ้าน ไหลไปบรรจบกับลำห้วยซอโอ และกลายเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชน
บ้านซอโอเป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกับประเทศพม่า และมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเนินเขา สภาพภูมิอากาศคล้ายกับภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีอากาศร้อนในฤดูร้อน ฝนตกชุกในฤดูฝน และมีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว
นอกจากนี้ หมู่บ้านซอโอยังมีแหล่งน้ำที่สำคัญหลายสาย ซึ่งมีบทบาทในการดำรงชีวิตของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นลำห้วยซอโอ ลำห้วยทีตุก่อ และลำห้วยกะลึทีโกล ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญและมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านมาอย่างยาวนาน
สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 2 บ้านซอโอ ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประชากรเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ โดยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 2,153 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 1,143 คน ประชากรหญิง 1,010 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 457 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ปกาเกอะญอชาวบ้านซอโอมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย โดยมีอาชีพหลัก ได้แก่ การทำเกษตรกรรม ซึ่งประกอบด้วยการทำนาและทำไร่ข้าวโพด นอกจากนี้ ยังมีอาชีพรอง เช่น การค้าขาย การรับจ้าง และงานช่างไม้
การทำนา
ในอดีต ชาวบ้านซอโอมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ทุกครัวเรือนปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือน ต่อมาเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีการทำไร่ข้าวโพดควบคู่กับการทำนา ปัจจุบันเกือบทุกครัวเรือนยังคงประกอบอาชีพทั้งสองประเภทนี้เป็นอาชีพหลัก และมีอาชีพอื่นเป็นอาชีพรอง เดิมทีการทำนาของชาวปกาเกอะญอเป็นการทำนาแบบหมุนเวียน กล่าวคือ มีการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกทุกปี เพื่อให้ดินมีระยะเวลาฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ โดยจะกลับมาทำนาในที่เดิมทุก 5 ปี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันชาวบ้านซอโอประสบปัญหาขาดแคลนที่ดินทำกิน ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการทำนาแบบอยู่กับที่ ซึ่งทำให้ดินเสื่อมสภาพและขาดความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
สายพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูก คือ ข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองของชาวปกาเกอะญอ เป็นข้าวที่มีเมล็ดสั้น เมื่อนำไปหุงจะพองตัวขึ้น ใช้ข้าวในปริมาณน้อยก็สามารถบริโภคได้เพียงพอ การปลูกข้าวจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน และเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนธันวาคม
ในอดีตหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะใช้แรงงานคนในการฟัดข้าว โดยขอแรงจากเพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันได้มีการนำเครื่องโม่ข้าวของชาวไทยพื้นราบมาใช้แทน โดยชาวบ้านต้องเสียค่าจ้างในการโม่ข้าวเป็นถัง แต่เนื่องจากปัจจุบันการทำนายังคงต้องทำในที่ดินผืนเดิม และต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางครัวเรือนต้องประกอบอาชีพเสริมเพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
การทำไร่ข้าวโพด
การปลูกข้าวโพดเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ก่อนการปลูกข้าวประมาณ 1 เดือน ในอดีตก่อนปลูกข้าวโพดชาวบ้านต้องใช้เวลาในการถางหญ้าเป็นเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันมีการจ้างรถไถเดินตามและรถแทร็กเตอร์เข้ามาช่วย ในช่วงเริ่มต้นของฤดูฝนหากครัวเรือนใดมีพื้นที่เพาะปลูกขนาด 30 ไร่ขึ้นไป จำเป็นต้องจ้างแรงงานมาช่วยหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้เสร็จทันเวลา เพราะหากล่าช้า ข้าวโพดจะไม่ได้รับน้ำฝนเพียงพอและส่งผลต่อคุณภาพผลผลิต ระหว่างรอการเก็บเกี่ยวเจ้าของไร่จะต้องกำจัดวัชพืชเป็นระยะ เพื่อไม่ให้หญ้าแย่งสารอาหารจากต้นข้าวโพด เมื่อปลูกได้ประมาณ 20 วัน จะมีการใส่ปุ๋ยครั้งแรก และจะใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อครบ 2 เดือน
ในช่วงเดือนตุลาคม ชาวบ้านจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยใช้วิธีหักฝักข้าวโพดออกจากต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในยุ้งข้าวโพดในไร่ โดยช่วงนี้จะตรงกับช่วงปิดภาคเรียนพอดี เด็กในหมู่บ้านมักติดตามพ่อแม่ไปไร่เพื่อช่วยเก็บฝักข้าวโพดขนาดเล็กที่เจ้าของไร่ลืมหัก จากนั้นจะนำเมล็ดข้าวโพดไปขายให้ร้านขายของชำในหมู่บ้าน ซึ่งจะมีพ่อค้าคนกลางรับซื้อไปจำหน่ายต่ออีกทอดหนึ่ง หลังจากการเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น แต่ละครัวเรือนจะติดต่อพ่อค้าคนกลางให้เข้ามาสีข้าวโพดในไร่ของตนเอง ปัจจุบันแม้ระบบการขอแรงงานระหว่างหมู่บ้านจะลดลงไปมาก แต่ในช่วงเวลาสีข้าวโพด ระบบการช่วยเหลือกันยังคงมีอยู่ และเจ้าของไร่จะต้องจัดเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงแรงงานที่มาช่วยงาน
จากที่กล่าวมาข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า การทำนาและการทำไร่ข้าวโพดเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านซอโอ เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักและเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม การทำนาได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งในแง่ของวิธีการเพาะปลูก ระบบแรงงาน และการใช้เทคโนโลยี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในส่วนของการทำไร่ข้าวโพด ปัจจุบันมีการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรเข้ามาทดแทนแรงงานคนมากขึ้น รวมถึงระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองในหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิถีดั้งเดิมบางอย่าง เช่น การช่วยเหลือกันในช่วงการสีข้าวโพด ยังคงมีอยู่ในชุมชน สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวบ้านซอโอ
ชาวบ้านซอโอมีความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและการนับถือผีซึ่งเป็นคติดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ หรือกล่าวในแง่หนึ่ง คือ คิดแบบผีแต่ทำแบบพุทธ ส่งผลให้ภายในหมู่บ้านมีทั้งผู้นำทั้งทางศาสนาและผู้นำทางความเชื่อ
- ผู้นำทางศาสนา คือ พระสงฆ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ชาวบ้านเข้าร่วม ได้แก่ การทำบุญในวันพระ วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา เป็นต้น
- ผู้นำทางความเชื่อ เรียกว่า "จอเตอก้า" ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกจากความศรัทธาของชาวบ้าน ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นจอเตอก้าจะต้องมีคุณสมบัติ ได้แก่ เป็นเพศชาย มีจิตเมตตา และชอบช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้งต้องสามารถประกอบพิธีกรรมประจำเผ่าได้ ตำแหน่งจอเตอก้าไม่มีระยะเวลาสิ้นสุด และจะดำรงตำแหน่งจนกว่าจะถึงแก่กรรม จากนั้นจึงมีการคัดเลือกบุคคลใหม่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน
ทั้งนี้ การประกอบพิธีกรรมทั้งทางพุทธและพิธีกรรมตามความเชื่อจะประกอบขึ้นที่วัดดอนเจดีย์ วัดประจำชุมชนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านซอโอ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ชาวบ้านจะเดินทางมาประกอบพุทธศาสนกิจที่วัดนี้ นอกจากนี้ยังมีสำนักสงฆ์ธารน้ำผุด ซึ่งชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้น โดยวันสำคัญทางพระพุทธศาสนารวมถึงประเพณี พิธีกรรมสำคัญต่าง ๆ ในหมู่บ้านซอโอ มีดังนี้
- ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ไทย จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนเมษายน ชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านเรือน ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และหญิงสาวจะช่วยกันทอ "ต้าดอกก้า" เพื่อเปลี่ยนผืนเก่าบริเวณเจดีย์ในสำนักสงฆ์ และในวันนี้จะมีพิธีทำบุญ ตักบาตร และรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุเพื่อขอพร นอกจากนี้ยังมีการเล่นน้ำสงกรานต์ด้วย
- ประเพณีทำบุญต้นไทร เป็นพิธีสะเดาะเคราะห์และขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในต้นไทร โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาจกระทำผิดโดยไม่เจตนา เช่น การตัดต้นไม้หรือล่วงล้ำสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
- ประเพณีบูชาแม่โพสพและการเลี้ยงผีนา ในช่วงฤดูเพาะปลูก ชาวบ้านจะไม่มีพิธีกรรมสำคัญ ยกเว้นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ เช่น การบูชาแม่โพสพและการเลี้ยงผีนา เพื่อขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
- ประเพณีลอยกระทง จัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนพฤศจิกายน ตรงกับเทศกาลลอยกระทงของไทย ชาวบ้านจะทำกระทงจากใบตองหรือลูกมะพร้าวเพื่อนำไปลอยในแม่น้ำ เป็นการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสายน้ำ
- ประเพณีกินข้าวใหม่ (หลังฤดูเก็บเกี่ยว) เมื่อทุกครัวเรือนเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จสิ้น จะมีพิธีทำบุญถวายข้าวใหม่ และผูกข้อมือเพื่ออวยพรให้มีความอุดมสมบูรณ์ตลอดปี
- ประเพณีสะเดาะเคราะห์ จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชาวบ้านจะร่วมกันทำขนม "ยาฮุ" และแบ่งปันให้กันเพื่อความเป็นสิริมงคล เชื่อว่าผู้ที่ได้รับประทานขนมนี้จะสามารถปัดเป่าสิ่งไม่ดีและนำพาโชคดีเข้ามา
นอกจากนี้ ชาวปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซอโอยังคงยึดถึงคติความเชื่อดั้งเดิมที่สืบต่อกันมาประจำตระกูล เช่น หากเชื่อว่าตระกูลของตนบรรพบุรุษสืบเชื้อสายมาจากไก่ ก็จะไม่กินไก่ แต่จะใช้ไก่ในงานพิธีทำบุญเลี้ยงผีประจำตระกูล หากตระกูลของตนเชื่อว่าบรรพบุรุษประจำตระกูลสืบเชื้อสายมาจากหมู ก็จะไม่กินหมู แต่จะฆ่าหมูเพื่อเลี้ยงผีประจำตระกูล นอกจากนี้ยังเชื่อว่าถ้าไก่ขันในเวลาโพล้เพล้เช่นเดียวกับขันในตอนเช้ามืด ก็จะถือว่าไก่ตัวนั้นที่เลี้ยงไว้จะนำความโชคร้ายมาให้ตระกูลและคนในบ้าน จำเป็นต้องฆ่าทิ้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่น ๆ อีก เช่น ห้ามเคาะพื้นเรือน ชายและหญิงถ้ายังไม่ได้แต่งงานกันห้ามนอนชิดกัน ต้องแยกกันนอน ห้ามกินหอย ไข่ไก่ เป็ด ร่วมกับแขกที่มาบ้าน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดการพลัดพรากไม่เจอกัน จะต้องขึ้นและลงบันไดเดียวกัน เป็นต้นว่า หากขึ้นบันไดหน้าบ้าน ก็ต้องลงบันไดหน้าบ้าน ไม่ลงบันไดหลังบ้าน หรือออกทางอื่น เป็นต้น
ภาษาพูด : ภาษากะเหรี่ยง
ภาษาเขียน : อักษรโรมันและอักษรพม่า
ในช่วงหลายปีมานี้ บ้านซอโอได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ การเปิดหมู่บ้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ ชาวบ้านต้องเริ่มปรับตัวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของหมู่บ้าน ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการผลักดันทางเศรษฐกิจให้เกิดการสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวขึ้นในชุมชน ทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีการจัดกิจกรรมเดินป่า ซึ่งผู้ทำหน้าที่นำทางจะได้รับการตอบแทนเป็นค่าจ้าง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดอาชีพใหม่ขึ้น คือ ลูกหาบ รวมถึงการพานักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาคลุกคลี กินนอนในบ้านของชาวปกาเกอะญอแท้ ๆ ซึ่งการท่องเที่ยวได้ทำให้หมู่บ้านซอโอรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีอยู่ให้เกิดเป็นรายได้ ก่อให้เกิดความตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและหวงแหนในประเพณีวัฒธรรม เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวและสร้างรายได้แก่คนในหมู่บ้านได้อย่างยั่งยืน
วันดี สันติวุฒิเมธี. (2538). ชีวิตครอบครัวชาวกระเหรี่ยง (สะกอ): กรณีศึกษาชาวบ้านซอโอ ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
หมู่บ้านซอโอ. (2563). ข้อมูลชุมชน. สืบค้น 22 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (ม.ป.ป.). บ้านซอโอ จ.ตาก. สืบค้น 22 มีนาคม 2568, จาก https://communityarchive.sac.or.th/community/BanSoO/
IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง. (2562). เครื่องแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ). สืบค้น 22 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/imnvoices