Advance search

วัดขนอน

มีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ที่สมเด็จพระเทพฯ รับสั่งให้มหาวิทยาลัยศิลปากรช่วยกันจัดสร้าง และชุมชนวัดขนอนที่เป็นกลุ่มคนไทยในย่านคนมอญต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยสืบสานศิลปะวัฒนธรรมไว้ให้ลูกหลาน และเป็นพื้นที่กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สำคัญของคนลุ่มน้ำแม่กลอง

เลขที่ 1 หมู่ที่ 4
สร้อยฟ้า
โพธาราม
ราชบุรี
วัดขนอนหนังใหญ่ โทร. 08 9555 4195
จิรวัฒน์ นิโครธา
25 มี.ค. 2025
สลิลทิพย์ เนื้อนุ่ม
3 เม.ย. 2025
สลิลทิพย์ เนื้อนุ่ม
3 เม.ย. 2025
วัดขนอนหนังใหญ่
วัดขนอน

เชื่อว่าในอดีตสถานที่นี้เป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีอากรในสมัยโบราณที่เรียกว่า ‘ขนอน’ ซึ่งเป็นด่านเรียกเก็บภาษีทั้งในรูปของเงินและสิ่งของต่างๆ ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้จึงใช้ชื่อที่ติดมาแต่เดิมและเรียกวัดนี้ว่า ‘วัดขนอนโพธาวาส’ เมื่อด่านขนอนได้ถูกยกเลิกไปจึงเชื่อกันว่า สิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดขนอน


ชุมชนชนบท

มีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ที่สมเด็จพระเทพฯ รับสั่งให้มหาวิทยาลัยศิลปากรช่วยกันจัดสร้าง และชุมชนวัดขนอนที่เป็นกลุ่มคนไทยในย่านคนมอญต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยสืบสานศิลปะวัฒนธรรมไว้ให้ลูกหลาน และเป็นพื้นที่กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สำคัญของคนลุ่มน้ำแม่กลอง

เลขที่ 1 หมู่ที่ 4
สร้อยฟ้า
โพธาราม
ราชบุรี
70120
13.726737235951456
99.84412369222527
องค์การบริหารส่วนตำบลสร้อยฟ้า

วัดขนอนแต่เดิมเป็นวัดร้าง จากคำบอกเล่า กล่าวว่าเป็นที่อาศัยของนกนานาชนิด โดยเฉพาะนก กา ลิง และชะนีตลอดจนสัตว์ป่าต่าง ๆ บริเวณโดยรอบวัดเป็นป่าไม้เต็ง ไม้แดงขึ้นรกครึ้ม พอค่ำลงบรรดานกกา ลิงค่าง ก็จะพากันมาเกาะกิ่งไม้เต็มไปหมด ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า “วัดกานอนกีนอนโปราวาส” ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้น ณ มณฑลราชบุรี ทรงบันทึกประวัติของวัดขนอนไว้ในพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ร.ศ. 128 ตอนหนึ่งความว่า พระราชหัตถเลขาตอนนี้แสดงให้เห็นถึงสภาพของวัดวาอารามต่าง ๆ ในมณฑลเมืองราชบุรี ยกเว้นในเมืองราชบุรีซึ่งไม่ถูกผลกระทบของสงคราม คงจะรกร้างหรือเกือบร้าง หรือพังทลายเสียหาย ทิ้งรกรุงรังเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านเองคงปลูกบ้านห่างวัดมาก และคงไม่ค่อยมีใครสนใจ หรืออยากเข้าไปใกล้วัดร้างด้วยเหตุผลของความกลัว และวัดร้างในลักษณะนี้ นก กา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือแม้แต่สัตว์ป่า จึงกล้ากรายเข้ามาใกล้หรืออาศัยหลับนอน นานไปผู้คนก็คงจะลืมเลือนแม้กระทั่งชื่อวัด โดยเฉพาะวัดขนอนที่รกร้างมากว่า 100 ปีสันนิษฐานว่าชาวบ้านคงเรียกตามสภาพที่เห็นว่า “วัดกานอนกีนอนโปราวาส” ซึ่งประโยคนี้อาจจะแยกเป็น 3 คำ คือ “กานอน” เข้าใจง่ายว่าเป็นที่กานอนส่วน “กีนอน” คงจะเพี้ยนเสียงจากชะนี และคำว่า “โปราวาส” แสดงให้เห็นชัดว่า เป็นคำเรียกกระทบกระแทกเปรียบเปรย เนื่องจากเป็นวัดรกร้างเก่าแก่ นกกาอาศัยนอนจึงนำคำว่า โปราวาส (หมายถึงสถานที่โบราณ) มาเติมเป็นสร้อยข้างท้าย นั่นคือ “วัดกานอนกีนอนโปราวาส” และคงไม่ใช่ชื่อจริงของวัดอย่างแน่นอน

จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า หลวงปู่กล่อม ผู้ทำการบูรณะวัดและชาวบ้านได้พบใบเสมาหินเก่ามีจารึกเป็นตัวเลข “2327” เมื่อครั้งรื้อพระอุโบสถหลังเก่าออกเพื่อก่อสร้างโบสถ์ใหม่ จากหลักฐานนี้ทำให้มีผู้สันนิษฐานว่า วัดนี้คงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2327 สำหรับชื่อของวัดขนอนนั้นสืบเนื่องจากหลังจากที่มีการบูรณะวัดขึ้นใหม่แล้ว ชาวบ้านก็เลยพากันเรียกชื่อ วัดเสียใหม่ตามชื่อของด่านเก็บภาษีทางน้ำที่เรียกว่า “ขนอน” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัด เป็นวัดขนอน แทนวัดกานอนกีนอนโปราวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สิ่งสำคัญภายในวัดขนอน มีดังนี้

  • อุโบสถ แต่เดิมอุโบสถมีรูปแบบลักษณะใดไม่มีหลักฐานปรากฏ ต่อมาหลวงปู่กล่อม (จันทโชโต) หรือพระครูศรัทธาสุนทร เข้ามาอยู่ ณ วัดขนอนเมื่อปี พ.ศ. 2456 ได้เริ่มทำการก่อสร้างใหม่โดยมีช่างชาวจีนเป็นแม่งาน ในการก่อสร้างหลวงปู่กล่อม เป็นผู้ออกแบบคิดประดิษฐ์ผูกลายประตู หน้าต่าง หน้าบัน ฯลฯ โบสถ์ใหม่ที่หลวงปู่กล่อมสร้างขึ้นนั้น มีลักษณะคล้ายกับพระอุโบสถของวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากในสมัยนั้นกำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากพระกระแสรับสั่งชมเป็นพิเศษในเรื่องความงามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • ลักษณะของอุโบสถเป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น 3 ชั้น ซ้อนกันชั้นละ 3 ตับ มีมุขลดทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 1 ห้อง โดยมีเสาสี่เหลี่ยม 4 ต้นรองรับโครงหลังคา ด้านข้างมีชายคาปีกนกคลุมมีเสาสี่เหลี่ยมรองรับด้านๆ ละ 9 ต้น ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษาตรงกลางเป็นรูปวงกลม ฐานอุโบสถยกพื้น 2 ชั้น ชั้นแรกอยู่ในแนวเดียวกับเสารองรับชายคาปีกนก ตั้งซุ้มใบเสมาปูนปั้นย่อมุมไม้สิบสอง ผนังด้านหน้าและด้านหลังก่ออิฐถือปูนเรียบ มีประตูทางเข้าด้านละ 2 ประตู ซุ้มประตูปูนปั้นทรงเจดีย์ บานประตูไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายดอกไม้กลมส่วนล่างเป็นภาพทวารบาลยืนถืออาวุธ ซุ้มประตูด้านหลังบริเวณมุมซุ้มด้านขวาตอนบน มีจารึกภาษาไทย คำว่า “เจกหัว” ซึ่งอาจจะหมาย ถึง ชื่อของนายช่างชาวจีน ผนังด้านข้างก่ออิฐถือปูนมีช่องหน้าต่างด้านละ 6 บาน บานหน้าต่างไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายตอนบนเป็นลายตาข่ายดอกไม้ ตอนล่างเป็นลายรูปสัตว์ลวดลายของบานหน้าต่างแต่ละบานจะไม่ซ้ำกัน ด้านหน้าอุโบสถมีบันไดเตี้ยๆขึ้นทางด้านข้าง เสาบันไดมีภาพจิตรกรรมจีนและอักษรจีน ด้านหนึ่งมีอักษรภาษาไทยว่า “โบษเจ๊กถ้ำงาม”
  • ภายในอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปสำริดประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้านข้างซ้าย-ขวามีพระอัครสาวกยืนพนมมือ ฐานชุกชีด้านหลังพระประธานประดิษฐาน พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย และปางสมาธิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5 หลายองค์ 
  • ภายนอกอุโบสถมีระเบียงคตก่ออิฐถือปูนล้อมรอบ มีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ทั้งสี่ทิศ ภายในระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัยจำนวน 120 องค์ ประดิษฐานรายรอบ
  • เจดีย์ราย  ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถเรียงกันเป็นแถวจำนวน 6 องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนย่อมุมไม้สิบสอง ฐานเจดีย์เป็นฐานสิงห์ซ้อนกันสองชั้น องค์ระฆังขนาดเล็กมีบัวรองรับปากระฆัง ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมรองรับชุดบัวคลุ่มเถาและปลียอด ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ ฐานเจดีย์เป็นฐานบัวทรงสี่เหลี่ยม รองรับฐานบัวกลมและชุดมาลัยเถาโดยที่ชั้นมาลัยเถานี้จะมีซุ้มพระ 8 ซุ้ม ซ้อนกันเป็นสองชั้นชั้นละ 4 ซุ้ม องค์ระฆังกลมมีสายสังวาลรัด ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมรองรับบัวและปลียอด ลักษณะของส่วนยอดคล้ายกับเจดีย์มอญ  อีกด้านหนึ่งของถนนด้านหน้าวัด มีเจดีย์อยู่ 1 องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังสีขาวนวล ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมมีกำแพงสี่เหลี่ยมทึบเตี้ยๆ ล้อมรอบ ฐานด้านล่างเป็นฐานบัวกลมซ้อนกัน 3 ชั้น องค์ระฆังมีการตกแต่งปูนปั้นรูปใบโพธิ์ทั้ง 4 ด้าน ส่วนยอดเป็นมาลัยเถาและปลียอด
  • ซุ้มประตูวัด ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด ติดกับแม่น้ำแม่กลองทางด้านทิศตะวันออก ลักษณะเป็นซุ้มประตูก่ออิฐถือปูน ทรงมณฑป สูงประมาณ 3 เมตร กว้าง 1.8 เมตร
  • สำเภาก่ออิฐถือปูน  ตั้งอยู่ทางด้านขวามือของซุ้มประตู ลักษณะเป็นสำเภาจีนด้านบนเดิมมีเจดีย์บรรจุอัฐิ ปัจจุบันชำรุดพังไปไม่เหลือสภาพ สำเภามีความยาวประมาณ 10 เมตร กว้าง 1.5 เมตร
  • หอระฆัง ก่ออิฐถือปูนทรงมณฑป ด้านล่างเป็นฐานสี่เหลี่ยม ตกแต่งเป็นช่องอาร์คโค้งด้านละ 3 ช่อง ตอนบนมีระเบียงสี่เหลี่ยมทึบมีบันไดทางขึ้นด้านข้าง ตัวหอระฆังตั้งอยู่บนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ด้านหนึ่งเป็นผนังสี่เหลี่ยมทึบมีอักษรระบุ “สร้างแล้วเมื่อ พ.ศ. 2461” เรือนธาตุโปร่งด้านบนเป็นส่วนโค้งส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆังย่อมุมไม้สิบสอง หอระฆังหลังนี้ได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาปะปนอย่างมาก
  • ซุ้มประตูหมู่กุฏิสงฆ์ ก่ออิฐถือปูนทรงมณฑป ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นเตี้ย ส่วนยอดมีลวดลายปูนปั้นตกแต่ง ตัวซุ้มสูงประมาณ 3 เมตร
  • หนังใหญ่ หลวงปู่กล่อมได้สร้างขึ้นโดยมี นายอั๋ง ซึ่งเคยแสดงโขนอยู่ในคณะของพระแสนทองฟ้า เจ้าเมืองราชบุรี เป็นผู้ร่วมสร้างตัวหนังใหญ่ขึ้น โดยมีช่างจาดและช่างจ๊ะนายช่างชาวมอญในราชบุรีและช่างพ่วง จากบ้านโป่งเป็นคณะผู้ร่วมสร้างตัวหนังใหญ่วัดขนอน หนังชุดแรกที่สร้าง คือ ชุดหนุมานถวายแหวน และได้สร้างต่อมาอีกหลายชุดรวมทั้งสิ้นประมาณ 320 ตัว ลักษณะของตัวหนังใหญ่นั้น จะแกะเป็นรูปโปร่งตามตัวที่ต้องการ เช่น พระ นาง ลิง ยักษ์ เพื่อให้แสงสว่างผ่าน เพื่อให้เห็นรูปทรงตัวหนังทำจากหนังโคทั้งตัว ตัวหนังใหญ่ของวัดขนอนปัจจุบันมีอายุราว 150 ปีมาแล้ว บางตัวชำรุดมาก สมเด็จพระเทพ-รัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชดำริให้หาช่าง มาสร้างหนังชุดใหม่แทนชุดเก่า แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2538 จำนวนทั้งสิ้น 313 ตัว เท่ากับจำนวนตัวหนังเก่าที่เหลือในปัจจุบัน
  • โบราณวัตถุที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัด ส่วนใหญ่เป็นของที่เรียกเก็บเป็นภาษีผ่านด่านขนอน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนำมาเก็บรักษาไว้พระอุโบสถของวัดขนอน ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องถ้วยลายครามของจีน ได้แก่ แจกัน โถ กระโถน ป้านน้ำชา และชามขนาดเล็ก นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องถ้วยเบญจรงค์ จำพวกโถ พาน สมัยรัตนโกสินทร์ และสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ผ้าพระบถ ภาพวาดพุทธประวัติบนกระจก สมุดข่อย เป็นต้น

สภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม มีระบบชลประทานค่อนข้างดีส่งน้ำไหลผ่าน เหมาะแก่การเพาะปลูกพืช และทำนา ทำสวน ทำไร่ และการเกษตรต่างๆ มีปริมาณน้ำจากคลองส่งน้ำตลอดทั้งปี มีคลองบางสองร้อยไหลผ่านหมู่บ้าน สภาพดินอุดมสมบูรณ์ การคมนาคมสะดวก

พื้นที่อาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศตะวันออก ติดกับ แม่น้ำแม่กลอง
  • ทิศตะวันตก ติดกับ วิสาหกิจชุมชนการเพาะเห็ดตำบลสร้อยฟ้า ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม
  • ทิศเหนือ ติดกับ ชุมชนวัดสร้อยฟ้า ตำบลสร้อยฟ้า  อำเภอโพธาราม
  • ทิศใต้ ติดกับ บ้านอก หมู่ที่ 3 ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม

สถานที่สำคัญในชุมชน

  • วัดขนอน
  • พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ หนังใหญ่วัดขนอน สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้ที่ริเริ่มในการแกะสลัก คือ ท่านพระครูศรัทธาสุนทร(หลวงปู่กล่อม) ท่านมีความคิดที่จะสร้างหนังใหญ่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จึงได้ชักชวนครูอั๋ง ช่างจาด ช่างจ๊ะ และช่างพวง มาร่วมกันสร้าง ชุดแรกที่สร้างคือ ชุดหนุมานถวายแหวน และต่อมาได้สร้างเพิ่มอีก 9 ตัว ปัจจุบันมีตัวหนังทั้งหมด 313 ตัว นับเป็นสมบัติของวัดที่ได้ร่วมรักษาสืบทอดกันมา เป็นเพียงวัดเดียวที่มีมหรสพเป็นของวัด มีตัวหนัง และคณะหนังใหญ่ที่สมบูรณ์ อยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
  • พิพิธภัณฑ์วัดขนอน (โบราณวัตถุ)
  • โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม
  • โรงเรียนประถมศึกษา
  • ห้องสมุดประจำวัด
  • ห้องสมุดประจำโรงเรียน
  • ตลาดด่านขนอน ตลาดเก่าแก่ ซึ่งเป็นตลาดที่ชาวบ้านโพธารามจะนำอาหารพื้นเมือง ขนม สินค้าพื้นบ้าน งาน Hand made มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา

มีประชากร จำนวน 766 คน หรือ  270 ครัวเรือน ประชากรประกอบไปด้วยหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวจีน โดยแยกเป็น

  • ชาย 361  คน     
  • หญิง 405 คน

 รวม 766 คน

  • ประชาชนส่วนใหญ่ในเขตตำบลสร้อยฟ้า ประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้แก่ ทำนา ทำเห็ด
  • พื้นที่ตำบลสร้อยฟ้าไม่มีการดำเนินการเกี่ยวกับการประมง แต่มีบางส่วนหาปลาเพื่อการดำรงชีพ

ชาวชุมชนวัดขนอนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และมีประเพณีและกิจกรรมการทำบุญร่วมกันที่วัดอย่างสม่ำเสมอ เช่น งานทำบุญเข้าพรรษา วิถีวัฒนธรรม

  • การแกะสลักหนังใหญ่
  • การแสดงหนังใหญ่

บุคคลสำคัญของชุมชน

  • พระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน 
  • นายจฬรรณ์ ถาวรนุกูลพงษ์ นายหนังในคณะหนังใหญ่วัดขนอน
  • นายทศพร แพรทอง นักพากย์หนังใหญ่วัดขนอน
  • นายสุทัต สงขจร นักแสดง คณะหนังใหญ่วัดขนอน

1. วัดขนอน ได้รับการขึ้นทะเบียนทางยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ACCU) เมื่อ มิถุนายน พ.ศ. 2550 อีกด้วย โดยมาจากการอนุรักษ์หนังใหญ่ ซึ่งเป็นมหรสพเก่าแก่ถ่ายทอดเรื่องราวของวรรณคดีและผลงานพระราชนิพนธ์ผ่านทางศิลปะของตัวหนัง

2. หนังใหญ่วัดขนอน หนังใหญ่วัดขนอนสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยอดีตเจ้าอาวาส คือ ท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) ท่านได้ชักชวนครูอั๋ง ช่างจาด ช่างจ๊ะ และช่างพ่วง มาร่วมกันสร้างตัวหนัง ชุดแรกที่สร้างคือชุดหนุมานถวายแหวน ต่อมาได้สร้างเพิ่มอีกรวม 9 ชุด ปัจจุบันมีตัวหนัง 313 ตัว จากอดีตจนถึงปัจจุบันวัดขนอนได้ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ในการนำหนังใหญ่ไปแสดงเผยแพร่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

3. พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ วัดขนอนได้ผาติกรรมหอสวดมนต์เก่า ซึ่งเป็นเรือนไม้ทรงไทยมาสร้างริมแม่น้ำแม่กลอง ตัวเรือนพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ผศ.สมใจ นิ่มเล็ก และตกแต่งภายในโดย รศ.พงศ์ศักดิ์ อารยางค์กูร จัดแสดงนิทรรศการหนังใหญ่อายุกว่า 100 ปี ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์, แสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของหนังใหญ่ และกรรมวิธีการแกะสลักตัวหนังใหญ่

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

การฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอนโดยผู้นำที่เป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นคนรุ่นหนุ่มของชุมชนและกลุ่มหนุ่มสาวลูกหลานคนวัดขนอนทำให้หนังใหญ่ยังคงอยู่คู่กับชุมชนวัดขนอนจนถึงปัจจุบัน

ลักษณะตัวหนังใหญ่ ส่วนมากทำจากหนังโค นำมาฉลุหรือสลักเป็นภาพตามตัวละครในเนื้อเรื่อง บางตัวสูง 2 เมตร กว้างเมตรเศษ แบ่งตามลักษณะท่าทาง บทบาท การกระทำ ธรรมชาติ ฯลฯ ได้ดังนี้

  1. หนังเจ้า หรือหนังครู เป็นตัวหนังที่ใช้ในการไหว้ครู มี 3 ตัว คือ พระฤาษี พระอิศวร หรือ พระนารายณ์ เรียกว่าพระแผลง เพราะเป็นภาพในท่า แผลงศร
  2. หนังเฝ้า หรือหนังไหว้ เป็นภาพหนังเดี่ยว หน้าเสี้ยว พนมมือใช้แสดงตอนเข้าเฝ้า
  3. หนังคเนจร หรือหนังเดิน เป็นภาพหนังเดี่ยว หน้าเสี้ยว อยู่ในท่าเดิน
  4. หนังง่า เป็นภาพหนังเดี่ยว หน้าเสี้ยว อยู่ในท่าต่อสู้เหาะแผลงศร
  5. หนังเมือง เป็นหนังภาพเดี่ยวหรือหลายภาพอยู่ในหนังผืนเดียวกัน  โดยมีปราสาท ราชวัง วิมาน พลับพลา ศาลา ตามเนื้อเรื่อง อยู่ในหนังผืนนั้นเรียกหนังพลับพลา หนังปราสาทพูด หนังปราสาทโลม
  6. หนังจับ หรือหนังรบ เป็นหนังที่มีภาพตัวละคร ตั้นแต่ 2 ตัวขึ้นไป ในหนังผืนเดียวกัน  ส่วนใหญ่เป็นภาพตัวละครในการต่อสู้
  7. หนังเบ็ดเตล็ด เป็นหนังลักษณะอื่น ที่ไม่จัดอยู่ในประเภทที่กล่าวมา แยกได้ดังนี้
  • หนังเดี่ยว  เป็นภาพหนัง 2 ตัว ตัวหนึ่งพ่ายแพ้การต่อสู้และถูกจับมัด
  • หนังเขน เป็นหนังที่เป็นไพร่พลของกองทัพ
  • หนังเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ที่มีรูปร่างแปลกออกไป

บุญชัย บูรณวัฒนาโชค. (6 มิถุนายน 2559). หนังใหญ่ ด่านขนอน และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่วัดขนอน. มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. เข้าถึงข้อมูลจาก https://lek-prapai.org/home/view.php?id=583

วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (11 กุมภาพันธ์ 2566). วัดขนอน (จังหวัดราชบุรี). เข้าถึงข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki

นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน. (2563). รอยอดีตแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ตอนที่ 3 วัดไทย(และเขมร) : วัดขนอน. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี. เข้าถึงข้อมูลจาก https://www.finearts.go.th/ratchaburimuseum/view/22649-

สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี กลุ่มโบราณคดี, รายงานการสำรวจโบราณสถาน จังหวัดราชบุรี ,เอกสารโรเนียว , 2539-ปัจจุบัน.

วัดขนอนหนังใหญ่ โทร. 08 9555 4195