
สวนกง ชุมชนชาวประมงที่รักและหวงแหนทรัพยากรท้องถิ่น มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทะเลอ่าวไทย สภาพแวดล้อมทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์และคืนความสมดุลของระบบนิเวศ ดูหลำ ฟังเสียงปลา วิถีชีวิตภูมิปัญญาการทำประมง มรดกอันล้ำค่าที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้ในการหาอยู่หากิน
มาจากภาษาจีนที่เรียกว่าปู่ว่า “ก๋ง” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่มาก่อน จึงเรียกว่า “สวนก๋ง” และต่อมาเพี้ยนเป็น “สวนกง” จนถึงปัจจุบัน
สวนกง ชุมชนชาวประมงที่รักและหวงแหนทรัพยากรท้องถิ่น มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทะเลอ่าวไทย สภาพแวดล้อมทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์และคืนความสมดุลของระบบนิเวศ ดูหลำ ฟังเสียงปลา วิถีชีวิตภูมิปัญญาการทำประมง มรดกอันล้ำค่าที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้ในการหาอยู่หากิน
ชุมชนสวนกง เป็นส่วนหนึ่งของบ้านคลองทิง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ริมพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีการอยู่อาศัยมาอย่างช้านานหลายชั่วอายุคน ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มมีการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาของผู้คนเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อใด ทราบแต่เพียงว่ากลุ่มคนที่เข้ามาลงหลักปักฐานในระยะแรกนั้นเป็นกลุ่มชาวจีน เนื่องจากพื้นที่ตั้งของชุมชนอยู่ในแนวบริเวณชายฝั่งเนื่องจากสะดวกต่อการเดินทางโดยเรือ ในระยะแรกกลุ่มคนในชุมชนนี้ตั้งถิ่นฐานโดยการทำนา เกษตรกรรม และการทำประมงชายฝั่งเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งอยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ชั่วอายุคนมาแล้ว ด้วยเป็นพื้นที่น่านน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ และทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเล ทำให้สามารถอยู่อาศัยและทำมาหากินได้โดยตลอด
ที่มาของชื่อชุมชนสวนกง มาจากภาษาของกลุ่มคนจีนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในระยะแรก โดยเดิมทีเรียกตามภาษาที่ใช้เรียกผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่ว่า ก๋ง ที่มีพื้นที่ทางการเกษตรในบริเวณชุมชน จึงเรียกกันว่า สวนก๋ง ในภายหลังจึงมีการเรียกชื่อผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่เรียก สวนก๋ง เป็น สวนกง และใช้เรียกชื่อชุมชนในบริเวณนี้เป็นต้นมา
ชุมชนสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา อยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลนาทับ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยมีระยะห่างจากที่ว่าการอำเภอโดยประมาณ 17 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดสงขลาประมาณ 26 กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย สลับเนินเขามีลำคลองไหลผ่านสามารถออกสู่ทะเลอ่าวไทยได้ เทศบาลตำบลนาทับตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน แต่อากาศไม่ร้อนจัดเนื่องจากอิทธิพลของทะเล มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน โดยมีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียง ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลทุ่งหวัง ตำบลเกาะแต้ว อ.เมืองสงขลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลตลิ่งชัน
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ พื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลจะโหนง
ชุมชนสวนกง ยังไม่มีฐานะเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบ้านคลองทิง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 11 บ้านคลองทิง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,320 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 639 คน ประชากรหญิง 681 คน จำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 359 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ชุมชนสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เดิมทีเมื่อแรกตั้งชุมชนชาวบ้านสวนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา และการทำประมงชายฝั่งร่วมกันไป ต่อมาในระยะหลังชาวบ้านเห็นว่าอาชีพการทำประมงมีความคุ้มค่ามากกว่า ประกอบกับพื้นที่ชาวฝั่งทะเลอ่าวไทยในบริเวณแถบชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเป็นอย่างมาก ทำให้ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงมากกว่าการทำนา ชาวบ้านสวนใหญ่จึงหันมาทำอาชีพประมงแทน ปัจจุบันชาวบ้านทั้งหมดจึงหันมาทำการประมงเป็นอาชีพหลัก
อาชีพการทำประมงเป็นวิถีชีวิตที่อยู่คู่กับชุมชนมาอย่างยาวนาน มีการส่งต่อภูมิปัญญาวิธีการหาปลาให้กับลูกหลานอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว สัตว์ทะเลที่ชาวบ้านหามาได้จะมีความแตกต่างและหลากหลายตามฤดูกาลของสัตว์แต่ะชนิด ในการออกหาปลาของชาวบ้านนอกจากจะหาเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว ชาวบ้านยังมีการอนุรักษ์ทรัพยากรไปด้วย ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านทำมาหากินกันอย่างพอเพียง มีการตั้งกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่ง เพื่อคงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมให้สมดุล เพราะทรัพยากรเหล่านี้สัมพันธ์และเชื่อมโยงกับวิธีชีวิตของชาวบ้านโดยตรง อาหารทะเลที่ชาวบ้านหาจึงเพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวตลอดทั้งปี ทั้งยังมีการแปรรูปสัตว์ทะเลที่หามาได้เพื่อจัดจำหน่ายสร้างรายได้อีกด้วย เช่น การทำปลาเส้น การทำปลาเค็มตากแห้ง
ชุมชนสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นชุมชนมุสลิมที่มีวิถีชีวิตสัมพันธ์กับการทำอาชีพประมงเป็นหลัก แต่ก่อนชาวบ้านออกทะเลไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่ทันสมัย ชาวบ้านเลือกใช้ภูมิปัญญาแทนเครื่องมือต่างๆ พอถึงยุคที่ทันสมัยก็เริ่มมีเรืออวนลากอวนรุนมาบุกรุกในเขตรัศมี 3,000 เมตร จนกระทั่งทรัพยากรและหน้าดินเสียหายจนไม่เหลือทรัพยากรให้ชาวบ้านได้ทำมาหากิน ชาวบ้านต้องตัดสินใจออกไปหากินนอกบ้าน (ประมงนอกบ้าน) แต่ด้วยความลำบากในการออกไปหากินนอกบ้าน คนที่ทำประมงจะต้องออกไปนอกบ้าน ได้กลับบ้านสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อมาประกอบพิธีละหมาดในวันศุกร์ และคนที่อยู่บ้านคือภรรยาและลูกต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกเอง จากการออกไปหากินนอกบ้าน ทำให้ถูกเพื่อนบ้านต่อว่า ‘ทะเลบ้านคุณก็มีทำไมไม่ไปทำประมงที่บ้านคุณ’ จากนั้นชาวบ้านเลยคิดวิธีการทำอูยัม (การสร้างบ้านปลา) ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และทำอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี จนกระทั่งทะเลกลับมาฟื้นฟูและอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงกลับมาทำประมงใกล้บ้านไม่ต้องออกไปไหนไกลบ้านอีก
เรือเกยหาด: การแข่งขันเรือเกยที่แรกของประเทศไทย
หาดทรายบ้านสวนกงที่เป็นทรายที่ละเอียดและงดงาม หาดทรายเป็นแนวกันชนตามธรรมชาติ และเป็นพื้นที่แห่งความสุข พื้นที่ชีวิตของคนในชุมชน เช่น การจอดเรือ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และยังเป็นที่แข่งขันกีฬาเรือเกยหาด เป็นต้น
การแข่งขันกีฬาชนิดนี้เพื่อให้คนได้เห็นถึงหาดทรายที่อุดมสมบูรณ์และแสดงให้เห็นว่าบ้านสวนกงยังมีหาดทรายอยู่ ซึ่งบางพื้นที่ในภาคใต้ก็ไม่มีหาดทรายที่สวยงาม เนื่องจากโดนเอาโครงสร้างแข็งต่างๆ มาวาง เช่น การวางกระสอบหน้าหาดทำให้หาดถูกทำลายในที่สุดหาดก็พัง การแข่งขันเรือเกยนับว่าเป็นที่นี่ที่แรกของประเทศไทย และคิดว่าน่าจะมีที่นี่ที่เดียว การแข่งขันกีฬาชนิดนี้เป็นการแข่งขันกีฬาที่แฝงไปด้วยความสนุกและแสดงให้คนที่มาดูเห็นคุณค่าของหาดทรายอีกด้วย จัดขึ้นครั้งแรกเมื่องานอะโบ๊ยหม๊ะ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2558 ที่สำคัญคือ เมื่อจะตัดสินแพ้/ชนะ ต้องดูเรือลำที่อยู่สูง ไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว คือ เรือที่วิ่งเร็วกว่าไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญนั้นเรือจะต้องขึ้งมาอยู่บนหาดสูงกว่าก็ถือว่าเรือลำนั้นชนะไป
การแข่งขันมีอยู่สามประเภท คือ เป็นเรือความยาว 7 เมตร มี่กระดูกงู เรือความยาว 7 เมตรไม่มีกระดูกงู และเรือ 6 เมตร แต่ละประเภทนั้นจะมีกฏิกาที่เหมือนกัน ระยะทางก็เหมือนกัน โดยมีระยะทางประมาณ 400 เมตร เวลาแข่งจะแยกประเภทแต่ละประเภท จะมีรอบชิงเพียงรอบเดียวเท่านั้น แต่ละครั้งก็จะมีรางวัลแต่รางวัลจะไม่เหมือนกัน หากแพ้ก็จะมีรางวัลชมเชยให้ คือ คนที่มาแข่งกีฬาชนิดนี้จะไม่มีคนใดกลับไปมือเปล่า จะมีรางวัลให้ทุกลำ ตามลำดับ
การสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน
เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่เมื่อมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สบาย จะทำพิธีการ ‘สะเดาะเคราะห์’ คือ นำเล็บหรือเส้นผมใส่ไว้ในแพ แล้วปล่อยแพออกไปกับเกลียวคลื่นและสายลม เหลือไว้แต่เพียงสิ่งดีๆ
อุปกรณ์สำหรับทำพิธีประกอบด้วย แพ อาหาร ขนมหวาน ข้าวเหนียว ส่วนบริเวณประกอบพิธีจะอยู่ที่ริมชายหาด เป็นสถานที่รวมตัวของคนทั้งหมู่บ้าน เหตุผลที่ทำการสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการปล่อยทุกข์ แต่ปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีคนทำพิธีดังกล่าว เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คนอิสลามยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อพิธีสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน
การดำน้ำฟังเสียงปลา หรือ ดูหลำ เป็นภูมิปัญญาของชาวประมง เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพชาวประมง และชาวประมงถือว่าเป็นการมีเกียรติอย่างมาก เพราะมีน้อยคนที่จะสามารถฟังเสียงปลาได้ แต่น่าเสียดายที่ดูหลำกำลังจะสูญหายไปจากท้องถิ่น
คุณรุ่งเรือง ระหมันยะ หรือ บังนี ดูหลำแห่งบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา บังนีได้เล่าถึงเรื่องราวของการเป็นดูหลำให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า การดำปลาต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บวกกับการเอาใจใส่ในการถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ดังนั้น ต้องค่อยๆ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้เรื่องดูหลำไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องสี่เหลียม จึงต้องใช้ทะเลเป็นห้องเรียน หากจะทำให้ได้ยินเสียงปลาดีจะต้องดูน้ำตั้งแต่เช่ามืดตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพราะช่วงนี้ปลาจะออกเสียงดีกว่าช่วงอื่น เนื่องจากตั้งแต่ช่วงค่ำ ปลาจะร้องหลายตัว จะร้องออกเสียงพร้อมกันหมด ทำให้รู้ว่ามีปลาแต่จับจุดไม่ถูก พอค่อยๆ จะสว่างปลาจะค่อยๆ เงียบเสียงจนกระทั่งเหลือตัวสองตัว แต่ปลาก็ยังร่วมกันเป็นฝูง ซึ่งการรวมหรือไม่รวมฝูงปลานี้ขึ้นอยู่กับทิศทางลมด้วย
ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นลมพัดอยู่ ลมตะวันตก ปลาก็จะร้อง แต่ปลาจะเงียบไปเรื่อยๆ จะทำได้จนถึงตอนเที่ยงก็จะเป็นลมนอก (ลมตะวันออก) ปลาก็จะแตกฝูงกันออกไป เวียนอยู่แบบนี่ตลอด ปกติแล้วปลาจะร้องเสียงไม่ดังมาก จะร้องเหมือนหุงข้าวแล้วข้าวกำลังจะเดือด บางทีเสียงดัง ‘ปอกแป๊ก’ แต่ปลาแต่ละชนิดจะดังไม่เหมือนกัน แต่คนที่ดำจะบอกได้ว่าเสียงที่ฟังจะเป็นเสียงปลาอะไร มีปลาอะไรบ้าง รู้แม้กระทั่งปลาที่ไม่ออกเสียง เช่น ปลาทู แต่ดูหลำสามารถเดาได้
ดูหลำจะใช้เรียกปลาที่ไม่มีเสียงว่า “ปลาบา” คือปลาที่มาพึ่งพาอาศัยอยู่ในฝูงปลาที่มีเสียง ปลาเป็นพันตัวจะขยับพร้อมกัน หันหัวพร้อมกัน ได้ยินเสียง ‘วูม’ จะรู้ได้เลยว่าปลาอยู่ตรงนั้น เมื่อรู้ว่าปลาอยู่ตรงไหน ดูหลำต้องดำปลา การดำปลาต้องมีเรือสองลำขึ้นไปลำเดียวได้ แต่จะได้ปลาน้อยเพราะปลาจะเดิน ทำให้ล้อมไม่ได้ ดังนั้นเวลาล้อมต้องใช้เรือ 2-5 ลำ แต่ลำเดียวจะเอาไม่อยู่ บางทีได้ยินเสียงปลาอยู่ตัวเดียวเท่านั้น แต่พอขึ้นมากลับได้ปลาเป็น 400-500 กิโลกรัม หรืออาจถึง 1,000 กิโลกรัมเลยหากว่าใช้เรือ 4-5 ลำ
คนดำปลานั้นจะมีอุปกรณ์ บางคนใช้แกลลอน 5 ลิตร แล้วก็ว่ายน้ำไป บางคนก็ใช้เรือลำเล็กที่ทำกับโฟม การส่งสัญญาณระหว่างคนที่อยู่ในน้ำเพื่อฟังเสียงปลากับคนที่อยู่บนเรือ คนดำน้ำจะสาดน้ำเพื่อแสดงว่าให้เรือวาง คือ เรือที่อยู่กันเป็นวงกลม คนละด้านกัน 2 ลำก็ 2 ด้าน ถ้า 3 ลำก็ 3 ด้าน แล้วแต่จำนวนเรือ เมื่อคนสาดน้ำ หมายความว่าให้วางอวนได้เลย หากปลาเดินเร็วก็จะสาดน้ำเร็ว พอติดเครื่องแล้วเสียงเรือมันก็จะดัง
เมื่อเสียงเรือดัง ปลาก็จะเดิน พอเดินพร้อมกันปลาก็จะงง ทิศเหนือก็ดัง ทิศใต้ก็ดัง ปลาจะอยู่ที่เดียว ว่ายน้ำกันอยู่ตรงนั้น ซึ่งการวางเรือพร้อมกัน 2 ลำไปจะเร็ว จะปิดปลาแน่นอน การลงดำแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาไม่นาน ดำแค่พอให้รู้ว่าปลาอยู่ทิศไหน ก็ดำตามต่อไปเรื่อยๆ ลงไปแค่พอจมหูไม่ต้องลึก ดำพอได้ยินเสียง เพราะในทะเลจะเสียงดังกว่าบนฝั่ง 3-4 เท่า อยู่เป็นกิโลเมตร ก็ยังได้ยินและใช้เวลาในการจับจุดไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง
คุณรุ่งเรือง ระหมันยะ หรือบังนี ทิ้งท้ายอย่างภาคภูมิใจ ว่า “คุณค่าของดูหลำนี่ ไม่เพียงแต่เป็นการทำงานที่สร้างรายได้ แต่เป็นการทำงานที่มีเกียรติ “เกียรติ” จากวันเวลาที่ได้สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น การลองผิดลองถูก สะสมประสบการณ์กันมาจนเกิดเป็นองค์ความรู้ ไม่ใช่แค่การฟังเสียงปลาหากรวมถึงการสังเกต การจดจำ และการเรียนรู้จากธรรมชาติ หวังว่าจะมีผู้สนใจ สืบทอดภูมิปัญญานี้ต่อไปนี้ เพื่อไม่ให้ดูหลำกลายเป็นเพียงภูมิปัญญาในความทรงจำของบ้านสวนกง
อูยัม (การสร้างบ้านปลา)
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ชาวประมงพื้นบ้านในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ประสบปัญหาความเสื่อมโทรม และการลดลงของทรัพยากรสัตว์น้ำ อันเนื่องมาจากปัญหาเครื่องมือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ของนายทุนและนักการเมือง เช่น อวนลากอวนรุนขนาดใหญ่ เรือปั่นไฟปลากระตัก และโป๊ะของนายทุนที่มาจากจังหวัดสตูล เข้ามารุกล้ำพื้นที่หากินของชาวประมงพื้นบ้านของอำเภอจะนะ ให้เกิดปัญหาตามมามากมาย รวมทั้งผลกระทบต่อชุมชนและครอบครัวด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก
ทำให้ชาวบ้านที่สวนกง อำเภอจะนะ ต้องออกไปหากินนอกบ้าน โดนเพื่อนด่า ว่า “ทะเลบ้านตัวเองมี ทำไมต้องออกมาหากินบ้านเพื่อน” จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้เห็นทางมะพร้าวลอยอยู่ ซึ่งมีปลาอยู่ด้วย เขาก็ได้คิดว่าเอาทางมะพร้าวสร้างเป็นบ้านปลา ซึ่งต้องอาศัยไม้ไผ่กับทางมะพร้าว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางธรรมชาติ เพื่อหลอกให้ปลามาเล่น มาอาศัย เพื่อที่จะได้จับปลา
การสร้างบ้านปลาเป็นภูมิปัญญาที่เกิดมานานจากรุ่นสู่รุ่น การสร้างบ้านปลาทำให้ปลาทั้งเล็กใหญ่มาอาศัยพึ่งพาได้ อูยัมชนิดทางมะพร้าวส่วนใหญ่จะได้ปลากระบอก ปลาซา เป็นต้น ส่วนอูยัมชนิดไม้ไผ่ได้ปลาเก๋า อินทรีย์ ปลาหมึก และอื่นๆ เป็นต้น
การที่จะตั้งจุดว่าจะตั้งอูยัมตรงไหนดูจากฝูงปลาที่ขึ้นมาเป็นฝูง เช่น ปลาลัง ปลาทู หากมีปลาเล็กก็ย่อมมีปลาใหญ่ หากตรงไหนที่มีทั้งโลมาและเต่า ตรงนั้นก็มีลูกปลามากเช่นเดียวกัน เพระโลมาจะกินสัตว์เล็ก การทำอูยัมจะได้อยู่ใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องออกจากบ้านไปไกลๆ เหมือนแต่ก่อน เพราะบ้านสวนกงเป็นพื้นที่ทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์
เทคนิคที่จะทำอูยัม คือ การดูสถานที่ที่เหมาะสม หลังจากนั้นก็ทิ้งไม้ไผ่ลงน้ำแล้วเอาเชือกผูกลูกหินกับไม้ไผ่แล้วก็ทิ้งลูกหินลงไปในน้ำ ส่วนแบบทางมะพร้าว คือ เอากะลาผูกกับทางมะพร้าวและทิ้งกะลาลงไปในน้ำและหลังจากนั้นทรายจะดูดตามธรรมชาติของมันเอง และนอกจากนี้ยังเป็นงานที่สะดวก คือ ตั้งอูยัมเวลาใดก็ได้ เก็บเวลาใดก็ได้ เป็นอาชีพที่อิสระ การจับจุดเพื่อจำ เราต้องอาศัยทุ่นสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ระยะเวลาในการใช้ประโยชน์ คือ ตั้งวันนี้จะได้พรุ่งนี้ อายุการใช้งานของอูยัมคือ ปีต่อปี ซึ่งอูยัมจะสร้างรายได้เฉลี่ยวันละ 3,000 บาท อูยัมจะตั้งได้เฉพาะทุกที่ที่มีทะเลที่อุดมสมบูรณ์
การทำปลาเส้น
น่านน้ำทะเลจะนะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำมากมายนานาชนิด และมีปลาชนิดหนึ่งที่เป็นตัวเล็ก เหมาะแก่การทำปลาเส้นแดดเดียว การทำปลาเส้นมีมากมายหลายชนิด เช่น ปลาเส้นแบบผสมงา แบบเค็ม ซึ่งเป็นการต่อยอดในการทำปลาเค็มแบบธรรมดาทั่วไป คือ การนำมาแปรรูป ปลาที่มีรสนิยมส่วนใหญ่ คือ ปลาม้าว ปลาบาง ปลาโคก ปลาส่วนใหญ่ที่เอามาทำปลาเส้นเอามาจากทะเลบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ปลาเส้นสามารถทำได้ตลอดปี ยกเว้นฤดูฝนเพราะการที่จะทำปลาเส้นต้องแห้งมาก ดังนั้น จึงต้องอาศัยแดดมากที่จะตากให้แห้ง ทะเลจะนะเปรียบเสมือนตู้ ATM หน้าบ้าน สามารถเบิกถอนได้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีวันหมด และทะเลก็ไม่เคยทอดทิ้งคนในชุมชน
การทำปลาเส้นทำได้ด้วยการนำปลามาขอดเกล็ดแล้วผ่าเอาไส้ออก เอาไปล้างน้ำ 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็แช่น้ำเกลือประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยการใส่ตะกร้าแล้วราดน้ำผ่าน หลังจากนั้นก็นำไปตากให้แห้งภายในแดดเดียว วิธีการทำปลาเส้นทำเหมือนทำปลาเค็มทุกขั้นตอน จะแตกต่างกันตรงที่เมื่อปลาแห้งสนิท เอาตัดเป็นเส้นๆ คล้ายๆ ปลาฟิชโช ซึ่งก่อนที่จะทำปลาเส้นต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม คือ มีด เขียง ถาด กะละมัง น้ำสะอาดและเกลือ
การทำปลาเส้นไม่เป็นเพียงแค่การทำปลาเส้น แต่เป็นการสร้างรายได้ในการเดินทางไปปกป้องทะเลอ่าวไทย-อันดามัน จากโครงการแลนบริจด์สงขลา-สตูล หรือเป็นการเอากำไรไปปรับปรุงหรือทำกิจกรรมต่างๆในการเรียนรู้เรื่องหาดทรายและทะเลนอกจากนี้ยังนำเอาไปจ่ายค่าอาหารในการประชุมแต่ละครั้งของกลุ่ม
การทำปลาเค็มตากแห้ง
การทำปลาเค็มตากแห้ง คือ การนำเอาปลามาแปรรูปเพื่อไม่ให้เสียของปลาที่ได้มาจากทะเลปลาใหญ่แม่ค้าจะนำไปขายสะส่วนใหญ่ ส่วนปลาเล็กจะนำมาทำปลาเค็มและเอาไปตากแห้ง โดยส่วนใหญ่การทำปลาเค็มจะทำได้ 2 วิธี คือ การทำปลาเค็มในช่วงฤดูปกติจะทำได้โดยวิธีและขั้นตอน เช่น เตรียมปลา ขั้นตอนแรกของการทำปลาเค็ม ต้องผ่าปลาหากจะทำให้เป็นแบบแผ่นหรือตัดหัวหากจะทำให้เป็นปลากลม เมื่อทำปลาเสร็จล้างให้สะอาดและนำไปแช่เกลือประมาณ 10-15 นาที พอแช่เกลือเสร็จล้างอีกสามน้ำให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง
นอกจากนี้ทำปลาเค็มตากแห้งยังทำได้ในช่วงฤดูมรสุมจะทำได้โดยวิธีการนำไปอบที่โรงอบการอบมี 2 แบบ แบบแรก-จะอบแบบคนจน คือ อบใช้แบบใช้ราน โดยใช้พัดลมพัดใช้งบประมาณไม่มากจะทำให้ปลาเหม็นควันไฟ และแบบที่สอง-การอบแบบคนรวย คือ อบโดยการใช้เตาแก๊สซึ่งจะมีงบประมาณค่อนข้างเยอะ แต่กำไรที่ได้จากการทำปลาเค็มจะได้เยอะกว่า
ชาวสวนกงใช้ภาษาใต้ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
ชุมชนสวนกงมีการฟื้นฟูทรัพยากรในท้องที่ชุมชน มีการสร้างบ้านปลาให้ปลาได้อยู่อาศัยและเป็นแหล่งจับสัตว์น้ำด้วย เพื่อจะได้ไม่ไปทำมาหากินไกลบ้าน และมีแหล่งสัตว์ทะเลให้ทำมาหากินโดยตลอด ต่อมามีทหารมาซ้อมยิงปืนในพื้นที่ ทำให้บ้านปลาที่สร้างพังและทำให้สัตว์ปลาหนีหายไป ชาวบ้านได้ไปเจรจา ว่าการซ้อมปืนเท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าวของชาวบ้าน ชาวบ้านเจรจาจนสำเร็จ ทำให้ทหารได้ย้ายไปซ้อมยิงปืนที่อื่น
ต่อมานายทุนจากสตูลมาทำโป๊ะ ซึ่งเป็นเครื่องมือผิดกฎหมายในตอนนั้น จึงทำให้ชาวบ้านไม่ยอม มีการส่งหนังสือเพื่อเจรจากับนายทุนสตูล แต่นายทุนไม่กลัวเพราะอ้างว่าตนมีอิทธิพล แต่ชาวบ้านเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ชาวบ้านก็เลยคิดใช้วิธีสู้ด้วยการตั้งกลุ่มสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้ ชาวบ้านแจ้งกรมประมงหลังจากแจ้งกรมประมง 2-7 วัน กรมประมงก็มารื้อโป๊ะออก
เหตุการณ์ต่อมามีเรือลากสายเคเบิลเป็นเรือใหญ่ขนาดตึก 3-4 ชั้น เข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านได้ออกไปขับไล่ แต่เขาส่งนักการเมืองมาเจรจาต่อรองแต่ไม่เห็นผล เพราะชาวบ้านบอกว่าทะเลแห่งนี้เป็นปากท้องของชาวบ้าน และได้รับปากกับชาวบ้านว่าจะไม่ทำอีกแล้ว แต่พอถึงช่วงฤดูมรสุมกลับมีการแอบทำแต่ชาวบ้านทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนดู และต่อมามีทหารมาขุดเนินทรายเพื่อไปทำบังเกอร์ ชาวบ้านจึงไปเจรจาโดยให้เหตุผลว่า เนินทรายแห่งนี้เป็นเนินทรายธรรมชาติ จึงมีการล้มเลิกการขุดทราย
ในปัจจุบัน มีบริษัทมาขุดเจาะดินเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ชาวบ้านได้ออกไปขับไล่เช่นเคย และมีผลสำเร็จ จากการต่อสู้ของชาวบ้านที่ได้ปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติพร้อมกับสร้างบ้านปลาเป็นระยะๆ และดูแลมิให้มีเครื่องมือผิดกฎหมายเข้ามาในบริเวณดังกล่าว โดยชาวบ้านได้เริ่มปกป้องตั้งแต่ปี 2536 – 2560 บ้านสวนกงจึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่มีพลังในการรักษาทรัพยากรท้องถิ่นได้อย่างเข้มแข็งมาจนถึงปัจจุบัน
รุ่งเรือง ระหมันยะ. (2560). โครงการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนเพื่อการสื่อสารความรู้เกี่ยวกับฐานทรัพยากร ระบบนิเวศ ระบบเศรษฐกิจ บ้านสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา: รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นฉบับสมบูรณ์. สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
ไครีย๊ะห์ ระหมันยะ. (5 พฤศจิกายน 2564). ไครีย๊ะห์ ระหมันยะ : บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ. สืบค้น 12 เมษายน 2568, จาก https://www.scbfoundation.com/
เทศบาลตำบลนาทับ. (ม.ป.ป.). ขนาดและที่ตั้ง. สืบค้น 12 เมษายน 2568, จาก http://www.natub.go.th/
อภิศักดิ์ ทัศนี. (8 กรกฎาคม 2563). ไครีย๊ะห์ ระหมันยะ : บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ. สืบค้น 12 เมษายน 2568, จาก https://thepotential.org/
อภิศักดิ์ ทัศนี. (16 กันยายน 2565). ภูมิปัญญาบนผืนทรายเเห่ง “จะนะ”. สืบค้น 12 เมษายน 2568, จาก https://www.thaipbs.or.th/