Advance search

บ้านห้วยน้ำนัก ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติทั้งในการเพาะปลูก การลงหลักปักฐานในพื้นที่ สภาพแวดล้อมที่มีความอุดมสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่กับสิทธิในการครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการประกอบอาชีพ วิถีชีวิต และระบบสังคมที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมดั้งเดิม

หมู่ที่ 4
บ้านห้วยน้ำนัก
พบพระ
พบพระ
ตาก
อบต.พบพระ โทร. 0 5550 8930
กฤษฎา อุ่นลาวรรณ
13 เม.ย. 2025
วิไลวรรณ เดชดอนบม
13 เม.ย. 2025
บ้านห้วยน้ำนัก


บ้านห้วยน้ำนัก ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติทั้งในการเพาะปลูก การลงหลักปักฐานในพื้นที่ สภาพแวดล้อมที่มีความอุดมสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่กับสิทธิในการครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการประกอบอาชีพ วิถีชีวิต และระบบสังคมที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมดั้งเดิม

บ้านห้วยน้ำนัก
หมู่ที่ 4
พบพระ
พบพระ
ตาก
63160
16.419819031373738
98.67372666399075
องค์การบริหารส่วนตำบลพบพระ

บ้านห้วยน้ำนัก (ภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า "เว้หนะหนะ") เป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอที่มีผู้คนอยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่เมื่อใด ทราบแต่เพียงว่าช่วงก่อนปี พ.ศ. 2462 ชาวบ้านได้มีการตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณน้ำตกสายรุ้ง ต่อมาได้เกิดโรคอหิวาตกโรคระบาด คนในหมู่บ้านจึงย้ายมาก่อตั้งหมู่บ้านบริเวณปัจจุบัน โดยนายต้าโกล่ผู้นำชุมชนเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้ก่อตั้งหมู่ โดยเริ่มแรกในการก่อตั้งหมู่บ้านมีจำนวนครัวเรือนเพียง 6 หลังคาเรือน และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "ต้าโกล่ หรือ ร่องภูเขา" จากนั้นผู้คนจากอำเภอพบพระและจากที่อื่น ๆ ได้อพยพเข้ามายังหมู่บ้าน "ต้าโกล่" ทำให้ประชากรเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการอพยพของกลุ่มคนจากฝั่งพม่าเข้ามาด้วย ในระยะแรกชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่หมุนเวียนและมีความเชื่อแบบดั้งเดิมคือเชื่อในเรื่องของผู้ปกปักษ์ รักษาทรัพยากรธรรมชาติเทพารักษ์โดยการทำบุญเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของชาวบ้านในสมัยนั้นคือการทำบุญเจดีย์ทราย 

ต่อมาปี พ.ศ. 2480 นายแย่พอ ชาวบ้านห้วยน้ำนักผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ได้สร้างวัดและได้นิมนต์พระนามว่า แน่พาช้อย จากเมืองเมาะละแหม่ง ประเทศพม่า มาจำวัดและมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธ และเป็นศาสนาแรกที่เข้ามาในชุมชนบ้านห้วยน้ำนัก หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2484 ได้มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านคนแรกอย่างเป็นทางการ ชื่อนายติ๊บ มณีคำ ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองจังหวัดลำพูนที่ได้สมรสกับภรรยาซึ่ง เป็นคนบ้านห้วยน้ำนัก นายติ๊บซึ่งสามารถพูดภาษาคำเมืองได้และในสมัยนั้นเองก็ใช้ภาษาคำเมืองในการสื่อสารและเป็นภาษาที่เป็นทางการ ชาวบ้านจึงได้ให้นายติ๊บ มณีคำ เป็นผู้ใหญ่บ้าน เพื่อสะดวกในการติดต่อราชการ ในขณะเดียวกันกำนันจันทร์ ได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านต้าโกล่เป็นห้วยน้ำนัก เนื่องจากชื่อต้าโกล่เรียกยาก และเขียนเป็นภาษาทางการได้ยาก และห้วยน้ำนักเป็นชื่อที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านด้วย เนื่องจากหมู่บ้านห้วยน้ำนักมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านหมู่บ้าน

ในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการอัญเชิญ พือผะโด้ (ศาลตายาย) เพราะคนในหมู่บ้านเชื่อว่าเมื่ออัญเชิญพือผะโด้ เข้ามาสถิตอยู่ในหมู่บ้าน แล้วหมู่บ้านจะมีแต่เรื่องดี นำพาโชคลาภความสุขมาให้แก่คนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุขปราศจากโรคภัยอันตรายใด ๆ 

ในปี พ.ศ. 2519-2520 มีการขุดถนนจากหน่วยงาน กรป.กลาง ของทหารในครั้งแรกที่เข้ามาทำถนนทำเป็นทาง ลูกรัง จากบ้านช่องแคบถึงบ้านพบพระ ปี พ.ศ. 2519 มีบาทหลวงคาเบรียล ตรีเกอับ จากประเทศฝรั่งเศส เข้าเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิคในหมู่บ้านห้วยน้ำนัก ในปีเดียวกันก็มีการได้มีการจัดสร้างโรงเรียนและทำเปิดการเรียนการสอน โรงเรียนนอกจากจะใช้สำหรับสอนหนังสือแล้วยังใช้เป็นที่ฝึกอบรมไทยอาสาป้องกัน (ทสปช.)และอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ ปี พ.ศ. 2525 มีการเข้ามาของระบบเกษตรเชิงเดี่ยว ได้แก่ ข้าวโพด ปี พ.ศ. 2526 มีการก่อตั้งโรงพยาบาลประจำอำเภอ เนื่องจากหมู่บ้านห้วยน้ำนักมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสายและที่สำคัญหมู่บ้านห้วยน้ำนักมีบ่อน้ำร้อนและแหล่งน้ำพุ ทำให้มีการก่อตั้งโรงงานน้ำแร่มองต์เฟลอร์ ในปี พ.ศ. 2537 และในปี พ.ศ 2538 ได้มีการก่อตั้งสำนักงานวนอุทยานแห่งชาติบ่อน้ำร้อนบ้านห้วยน้ำนัก (สาขาพาเจริญ)

บ้านห้วยน้ำนัก ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก สภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ราบสูง สลับกับภูเขาสูง อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 260-1,700 เมตร อยู่ใกล้กับอ่าวเบงกอล ประมาณ 130 กิโลเมตร เป็นเขตรับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้มีฝนตกสม่ำเสมอ มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,300 มิลลิเมตรต่อปี จึงเป็นต้นกำเนิดของลำห้วยสำคัญ เช่น ห้วยวาเล่ย์ ห้วยน้ำนัก ห้วยมอเกอร์ แม่น้ำเมยในอดีตพื้นที่ตำบลพบพระมีน้ำตลอดปี มีแหล่งน้ำซับ 3 แห่ง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรที่สำคัญ ปัจจุบันมีการรุกรานป่าไม้ทำให้ป่าไม้ลดลง ส่งผลให้แหล่งน้ำซับทั้ง 3 แห่ง มีปริมาณน้ำลดลง บ้านห้วยน้ำนักมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านช่องแคบ หมู่ 8 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านหมื่นฤาชัย หมู่ 5 ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านพบพระเหนือ หมู่ 9 ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ พื้นที่เขตรอยต่อของสหภาพเมียนมา

บ้านห้วยน้ำนัก ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 4 บ้านห้วยน้ำนัก ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,964 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 2,012 คน ประชากรหญิง 1,952 คน จำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 559 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)

ปกาเกอะญอ

บ้านห้วยน้ำนัก ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประชากรส่วนใหญ่ของชุมชนเป็นชาวปกาเกอะญอ ในอดีตชาวบ้านในชุมชนบ้านห้วยน้ำนักมีการทำเกษตรกรรมคือการทำไร่เป็นอาชีพหลัก โดยเป็นการทำเกษตรกรรมในลักษณะไร่หมุนเวียน พืชผักที่เพาะปลูกจะนำมาบริโภคภายในครัวเรือนไม่ได้ปลูกไว้จำหน่าย ในการทำไร่ชาวบ้านปลูกข้าวที่เป็นอาหารหลัก ทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และพืชผักพื้นบ้าน ได้แก่ พริก แตง ฟักทอง ฟักเขียว เผือก และมัน เป็นต้น ปัจจุบันชาวบ้านไม่สามารถทำไร่เหมือนในสมัยก่อนได้ เนื่องจากการทำไร่หมุนเวียนถูกมองว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปรับเป็นพื้นที่เพาะปลูก ทั้งที่ในอดีตชาวบ้านก็ทำไร่ในแปลงที่ชาวบ้านเคยทำ เพียงแต่เป็นการทำในลักษณะหมุนเวียนเพื่อพักหน้าดิน การพัฒนาทางระบบสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ชุมชนบ้านห้วยน้ำนักต้องเปลี่ยนอาชีพจากการทำไร่หมุนเวียนที่ทำเพื่อหล่อเลี้ยงคนในครอบครัว เปลี่ยนมาเป็นการทำเกษตรแบบเชิงเดี่ยวเป็นหลัก ทั้งนี้มีพืชที่หลากหลายโดยชาวบ้านสลับหมุนเวียนเพาะปลูกกันไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งพืชหลักที่ชาวบ้านนิยมปลูก ได้แก่ ข้าวนา ข้าวไร่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เป็นต้น

นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีการประกอบอาชีพอื่น ๆ อีกทั้งการทำปศุสัตว์ครัวเรือน เลี้ยงวัว ควาย แพะ หมู ไก่ อาชีพการทอผ้าตามวิถีชีวิตของชนเผ่าสำหรับการนุ่งห่มและใช้สอยภายในครอบครัว อาชีพการค้าขาย พนักงานข้าราชการและเอกชน และอาชีพรับจ้างทั่วไป ฯลฯ

บ้านห้วยน้ำนัก ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นกลุ่มชนเผ่าปกาเกอะญอซึ่งคนปกาเกอะญอในอดีตเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อในเรื่องของอำนาจเหนือธรรมชาติ เทพารักษ์ เชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่าง เช่น ต้นไม้ ดิน หนองน้ำ แม่น้ำ ก้อนหิน ล้วนมีผู้ปกปักษ์รักษา ต่อมามีการเผยแผ่ศาสนาอื่นเข้ามาในชุมชนทำให้ความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านถูกศาสนาอื่นกลืนกิน โดยในปัจจุบันหมู่บ้านห้วยน้ำนักมี 2 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ โดยศาสนาคริสต์แบ่งเป็น 2 นิกายคือ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ทั้งนี้ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ยังคงมีความเชื่อและการนับถือแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง และยังคงมีการรักษาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ยังปฏิบัติสืบทอดต่อมา ได้แก่

1.ประเพณีกินข้าวใหม่ จะจัดขึ้นประมาณเดือนตะเลลา (ธันวาคมถึงมกราคม) เป็นการขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อทำงานเสร็จ พิธีกินข้าวใหม่ จะมีพิธีนี้ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ทุกคนเก็บเกี่ยวข้าว และพืชผลในสวนไร่นา เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เป็นงานฉลองการเก็บเกี่ยว โดยชาวบ้านจะเอาข้าวเปลือกของทุกครอบครัว ครอบครัวละ อย่างน้อง 1 ถัง และพืชผลการเกษตรมากองรวมกันไว้ที่วัด เพื่อแสดงการขอบคุณเจ้าแม่โพสพที่ให้ความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตในปีที่ผ่านมา และในวันนี้ทุกบ้านจะมีการหุงข้าวใหม่และทำกับข้าวจากแต่ละบ้านมาบ้านละ 1 อย่างมารวมกัน เมื่อทำพิธีในวัดเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะกินข้าวใหม่ร่วมกัน ทั้งนี้ญาติพี่น้องที่แต่งงานไปอยู่ที่อื่นจะกลับมาเยี่ยมบ้านแต่ละครอบครัว ในการประกอบอาหารสำหรับกินข้าวใหม่ ต้องมี ปู กบ ปลาก้าง ตุ่นหรืออ้น เพราะมีความเชื่อว่า ปู กบ ปลาก้าง เป็นสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ได้โดยใช้น้ำไม่มาก หมายถึง ความอดทน และใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด สำหรับตัวตุ่นและอ้น เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ด้วยการขุดรูใต้ดิน หมายถึง ความขยันทำมาหากิน

2.หย่าฮูลา หรือกวนข้าวทิพย์ จัดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นพิธีกรรมการทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเราเอง ในรอบปีจะมีการปฏิบัติพิธีกรรมนี้ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเป็นการต่อชะตาชีวิตให้กับตัวเอง ให้พ้นจากภัยอันตราย หรือโรคร้ายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสู่ตัวเรา การทำพิธีกวนข้าวทิพย์เป็นพิธีกรรมที่พึงปฏิบัติเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ความโชคร้าย โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดออกจากชีวิตเมื่อได้ทำพิธีกรรมนี้แล้วเชื่อว่าสิ่งไม่ดี ทั้งหลายก็จะหมดไป โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มาหา จะมีแต่การนำพาสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เพื่อเป็นการดีทุกคนจะต้องได้รับประทานยาหู้ (ข้าวทิพย์) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

3.ตะแกวโพ หรือบวชลูกแก้ว จัดขึ้นช่วงเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน การบวชลูกแก้วเป็นการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ครอบครัวที่มีลูกชายจะต้องร่วมในประเพณีนี้ เพราะเชื่อว่าอานิสงส์จากการบวชจะทำให้บิดามารดาได้ขึ้นสวรรค์ ดังนั้นการบวชหรืองานแห่ลูกแก้วเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และมีอานิสงส์อย่างมาก สถานที่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ บ้าน สำหรับจัดหาอาหารเลี้ยงผู้คนที่มาร่วมงาน วัด สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ชุมชน สำหรับแห่ลูกแก้วรอบหมู่บ้าน อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม ได้แก่ น้ำขมิ้นส้มป่อย และน้ำจันทน์แดง-ขาว

4.ตะลากี้จือ จัดขึ้นในวันที่ 14 เมษายน สถานที่จัดงานคือที่บ้าน วัตถุประสงค์ของการจัดงาน คือ เพื่อเรียกขวัญและให้พรลูกหลาน ผู้นำพิธีกรรมคือคนเฒ่าคนแก่ สามารถใส่ชุดอะไรไปร่วมงานก็ได้ อุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ ด้ายสีขาว ไข่ น้ำหนึ่งแก้ว และกล้วยน้ำว้า ขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรม คือจะทำอาหารที่ใช้ไก่เป็นวัตถุดิบหลักมาทำเป็นแกงส้ม หลังจากนั้นเมื่อลูกหลานมากันครบเรียบร้อย คนเฒ่าคนแก่จะใช้ด้ายสีขาว สัมผัสกับของที่เตรียมไว้คือไข่ ข้าว น้ำ และกล้วยน้ำว้า หลังจากนั้นจึงนำไปมัดมือให้ลูกหลาน พร้อมทั้งให้พรแก่ลูกหลาน ต่อมาในวันที่ 15 เมษายน เป็นพิธี ก่ะโหล่ต๊ะ เป็นการรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งวันนี้ทุกคนจะแต่งกายด้วยชุดปกาเกอะญอ ลูกหลานจะนำน้ำส้มป่อย (พือชี่ที) ไปรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ เพื่อขอขมาตลอดหนึ่งปีที่อาจล่วงเกินคนเฒ่าคนแก่และขอพรในวันขึ้นปีใหม่ไทย และมีประเพณีหม่าปู่โคะ หรือ ทำบุญเจดีย์ทราย จะจัดขึ้นช่วงเดือนเมษายนของทุกปี หลังเทศกาลเทศกาลสงกรานต์ การทำบุญเจดีย์ทรายเป็นการขอบคุณทรัพยากรธรรมชาติที่ให้ที่อยู่อาศัยทำกิน

การแต่งกาย การแต่งกายของชาวปกาเกอะญอในชุมชนบ้านห้วยน้ำนัก จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ การแต่งกายแบบหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน การแต่งกายแบบผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และการแต่งกายแบบผู้ชาย

  • ชุดเชวา จะเป็นชุดสีขาวยาว ซึ่งเป็นชุดสำหรับหญิงสาวบริสุทธิ์ ยังไม่แต่งงาน และจะมีผ้าโพกหัวไว้เป็นเครื่องประดับ
  • เสื้อเชซู เป็นเสื้อทรงกระสอบสีดำหรือสีกรม บ่งบอกว่าผู้หญิงที่สวมใส่ที่ผ่านการแต่งงานแล้ว หรือมีคู่ครองแล้ว และสวมเสื้อคู่กับผ้าถุง
  • เสื้อ "เช กอ" คำว่า “เช” แปลว่า เสื้อ ส่วนคำว่า “กอ” แปลว่า สีแดง เป็นเสื้อสำหรับผู้ชาย สัญลักษณ์จุดเด่นอยู่บริเวณช่วงกลางเสื้อจะนูนเป็นเส้นขึ้นมา หมายถึง การให้เกียรติต่อเพศต่อข้าม และความซื่อสัตย์
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

หมู่บ้านห้วยน้ำนัก เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีจุดเด่นในเรื่องของทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำ และมีทรัพยากรที่ชาวบ้านใช้ในการดำรงชีวิต หมู่บ้านห้วยน้ำนักมีป่าสงวนอยู่ 2 ผืน มีพื้นที่รวม 8,013 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนทั้งหมด และอยู่ในช่วงที่กำลังรอประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อชาวบ้านในการดำรงชีวิต ชาวบ้านห้วยน้ำนักส่วนใหญ่ได้ใช้ประโยชน์และช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

1.น้ำตกสายฝน (ภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า บือเคเล) บือเคเล บือเค หมายถึง ข้าวแห้ง ซึ่งจะพบไผ่ตง ไผ่ซาง บุกกินได้ และบุกกินไม่ได้ หนอนรถด่วน น้ำตกสายนี้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร ประปาภูเขา ซึ่งการเดินทางจากหมู่บ้านไปยังน้ำตกสายนี้มีระยะประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งต้องผ่านไร่ข้าวโพด สวนพริก และสวนกล้วยของชาวบ้าน ซึ่งยังไม่มีทางที่สามารถนำยานพาหนะขับขึ้นไปได้จำเป็นต้องใช้การเดินเท้าจากไร่ข้าวโพดใช้เวลานานพอสมควรในการไปถึงน้ำตกสายนี้

2.น้ำตกสายฟ้า (ภาษาปกาเกอะญอ เรียกว่า เซะโพเล) น้ำตกสายฟ้า เซโพเล เซ โพหมายถึงต้นไม้ ในอดีตชั้นของน้ำตกจะมีลักษณะชั้นที่ชัดเจนแต่ปัจจุบันจะมีลักษณะเรียวสูงไม่สามารถนับชั้นได้ ระยะทางในการเข้าถึงตัวน้ำตกสายฟ้าประมาณ 2 -3 กิโลเมตร และไม่สามารถนำยานพาหนะเข้าไปได้ โดยทางเข้าจะผ่านไร่ข้าวโพด สวนพริก สวนกล้วย เมื่อถึงจุดตัดระหว่างทางคือไม่สามารถเดินบนพื้นดินได้ ต้องเดินทวนลำน้ำเพื่อขึ้นไปยังสุดเขตที่ใกล้กับตัวน้ำตก แต่ยังไม่มีทางเดินเพื่อให้ขึ้นไปจนชั้นบนสุด เนื่องด้วยทางที่ชันของหน้าผาทำให้ไม่สามารถขึ้นไปยังชั้นบนสุดได้พืชพรรณส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นพืชที่ขึ้นตามป่าเต็งรัง ปลาในน้ำตกสายฟ้าจะพบมากคือ ปลาหลด ปลาหลาด ปลากระทิง น้ำตกสายนี้ชาวบ้านใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร และประปาภูเขา

3.น้ำตกสายรุ้ง (ภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า ปะแกะกอเล) คำว่าปะแกะกอแล หมายถึงถึง ต้นบันไดลิง ซึ่งเป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง น้ำตกสายรุ้งการเดินทางไปถือว่าง่ายกว่าน้ำสายฟ้าและสายฝนเพราะระยะทางค่อนข้างใกล้แต่ทางยังคงต้องเดินเท้าประมาณ 2-3 กิโลเมตร น้ำตกสายรุ้งมีทั้งหมดประมาณ 11-12 ชั้น มีน้ำตลอดปี ระบบนิเวศน์ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร ชาวบ้านจะใช้ประโยชน์จากน้ำตกสายรุ้งนี้เพื่อทำการเกษตรเป็นหลัก น้ำตกสายรุ้งมีพืชพรรณและสัตว์น้ำหลากชนิด พืชพรรณที่พบมากในพื้นที่บริเวณน้ำตกสายรุ้งที่ชาวบ้านนิยมนำมาใช้ประโยชน์ เช่น บุก ซึ่งมีสองชนิด คือบุกที่ลำต้นเกลี้ยงจะสามารถรับประทานได้ส่วนบุกที่ลำต้นเป็นหนามหรือขนจะไม่สามารถนำมารับประทานได้ กล้วยป่าส่วนที่ใช้ประกอบอาหารคือปลีกล้วยป่า มะเดื่อ ผักบุ้ง ผักตำลึง บอระเพ็ด ตูนป่า ต้นมะซ่าน ผักโขมและพืชอื่น ๆ สัตว์น้ำที่พบมากในน้ำตกสายรุ้งจะมี ปลาช่อน ปลาปก ปลาหลด ปลาหลาด กุ้งแม่น้ำ กบภูเขา เขียด หอยหนาม ปูจิ๋ว ปูภูเขา เป็นต้น

4.บ่อน้ำร้อนบ่อที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าและสามารถเห็นได้ง่ายที่สุด จากทั้งหมดสามบ่อ ซึ่งหน่วยพิทักษ์อุทยานน้ำตกพาเจริญได้พัฒนาและสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รู้จักกันในนามของ “ออนเซ็นเมืองตาก” เป็นบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เมตร ลึก 2 เมตร เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีความในบริสุทธิ์ปราศจากกำมะถัน จึงใช้อุปโภคบริโภคได้ น้ำในบ่อน้ำร้อนแห่งนี้มีแร่ธาตุสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยรักษาอาการปวดตามข้อ ปวดตามร่างกาย และช่วยเรื่องหลอดเลือดอุดตันได้ บริเวณขอบบ่อโดยรอบมีต้นไม้ ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม มีสถานที่บริการอาบน้ำแร่ ศาลานั่งพัก ที่แช่เท้าเพื่อสุขภาพ

5.บ่อน้ำร้อนบ่อที่ 2 ตั้งอยู่ถัดเข้าไปมีขนาดเล็กสุด อยู่ใกล้บ้านพักเจ้าหน้าที่ มีการตีไม้กั้นล้อมรอบ อยู่ไม่ไกลจากบ่อแรกมากนัก และเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีความลึกและอันตรายมากและยังไม่มีการใช้ประโยชน์จากน้ำบ่อนี้ เพราะการจะใช้น้ำจากบ่อนี้ต้องการต่อท่อและติดตั้งเครื่องสูบน้ำซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับน้ำในบ่อแรกและบ่อที่สามก็มีปริมาณเพียงพอแล้วในการใช้อุปโภคและบริโภค ก่อนถึงบ่อที่ 3 จะมีบ่อน้ำร้อนผุดเล็ก ๆ อีกที่ที่ระหว่าง เส้นทางเดิน ไหลเป็นสายจนกลายเป็นลำห้วยเล็ก ๆ

6.บ่อน้ำร้อนบ่อที่ 3 เป็นบ่อใหญ่ที่สุด ชาวบ้านเรียก “บ่อช้าง” ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจากบ่อหนึ่งประมาณ 100 เมตร ต้อง เดินเท้าขึ้นไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ส่วนบ่อน้ำร้อนที่สามมีการใช้ประโยชน์จากชาวทั้งชาวบ้านและโรงงาน น้ำแร่ที่เข้ามาก่อตั้งโดยการต่อท่อจากบ่อน้ำร้อนไปจนถึงโรงงานดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านใช้น้ำจากบ่อน้ำน้ำร้อนนี้ ส่วนมากเป็นการใช้เพื่อบริโภค

7.บ่อโคลน เป็นบ่อโคลนที่อยู่ถัดจากบ่อที่สองและต้องเดินเท้าประมาณ 500 เมตร และบ่อโคลนนี้ยังไม่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นพื้นที่บริการการท่องเที่ยวหรือยังไม่ได้มีการพัฒนาให้สามารถใช้ประโยชน์จากบ่อโคลนตรงนี้ได้ และยังไม่ได้รับการทดสอบค่าความปลอดภัยของโคลนว่าปลอดภัยและอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกิน สามารถนำมาพอกตัวได้โดยไม่มีอันตรายใด ๆ หรือไม่

8.แม่น้ำเมย ชาวพม่าเรียกว่าแม่น้ำตองยิน เป็นเส้นกั้นเขตชายแดนไทยเมียนมาร์ ที่ยาวถึง 327 กิโลเมตร มีจุดกำเนิดที่บ้านน้ำต้น (เป็นน้ำที่ผุดขึ้นจากใต้ดิน) อำเภอพบพระ ไหลผ่านอำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง ผ่านบ้านสบเมย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บรรจบกับแม่น้ำสาละวิน ไหลเข้าเขตพม่าลงอ่าวมะตะบัน ซึ่งนอกจากเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับพม่าแล้ว แม่น้ำเมยยังมีความสำคัญในการลำเลียงสินค้าทางน้ำระหว่างไทยกับพม่า แม่น้ำสายนี้มีความแปลกกว่าแม่น้ำสายอื่นคืนแม่น้ำสายนี้ไหลขึ้นเหนือไม่ได้ไหลลงใต้เหมือนกับแม่น้ำทั่วไป ซึ่งบ้านห้วยน้ำนักก็เป็นสถานที่หนึ่งที่แม่น้ำเมยไหลผ่าน และชาวบ้านก็ได้ประโยชน์จากแม่น้ำเมยอย่างเต็มที่ทั้งด้านการอุปโภค การเกษตร การขนส่ง และยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของชาวบ้านห้วยน้ำนัก ซึ่งชาวบ้านห้วยน้ำนักมีวิถีชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องแม่น้ำเมย การใช้ประโยชน์จากแม่น้ำเมยของชาวบ้านห้วยน้ำนักมีทั้งทางด้านการเกษตรใช้ในเรื่องของนาข้าวมีการผันน้ำเข้าไป ใช้ที่นาของชาวที่มีที่นาติดกับแม่น้ำเมยและไร่ข้าวโพดที่ติดกับแม่น้ำเมย รวมไปถึงการใช้อาบ การเดินทางข้ามฝั่งไปยังรัฐกะเหรี่ยงประเทศพม่า หรือการเดินไปทำไร่ข้าวโพดก็สามารถใช้เรือในการเดินทางได้ ชาวบ้านได้หาอาหารจากแม่น้ำเมยได้ทุกเดือนเพราะในแม่น้ำเมยมีสัตว์หลากชนิดสัตว์น้ำ ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นพวกปลา หอย ปู กบ กุ้ง เป็นต้น

ภาษาพูด : ภาษาไทยกลาง ปกาเกอะญอ 

ภาษาเขียน : อักษรโรมัน อักษาขาว อักษรไทย


ป่าไม้ในพื้นที่ชุมชนบ้านห้วยน้ำนักเป็นป่าสำหรับแหล่งอาหาร แหล่งรายได้เสริม แหล่งยาสมุนไพร และแหล่งวัสดุในการสร้างที่อยู่อาศัย ตลอดจนแหล่งผลิตข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนของคนในชุมชน ชาวปกาเกอะญอมีวิถีชีวิตที่คลุกคลีและผูกพันกับผืนป่า ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งเป็นแหล่งวัตถุดิบปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษา โรคสำหรับชุมชน

ในปี พ.ศ. 2538 ได้ก่อตั้งสำนักงานวนอุทยานแห่งชาติบ่อน้ำร้อนบ้านห้วยน้ำนัก (สาขาพาเจริญ) วันที่ 25 สิงหาคม 2558 ได้มีการประชุมคณะกรรมการติดตามผลการประกาศอุทยานแห่งชาติเตรียมการ โดยมีการแบ่งระยะของการเตรียมประกาศเป็น 3 ระยะ คือ ระยะ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ชุมชนบ้านห้วยน้ำนักซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ อยู่ในระยะที่ 1 คือเตรียมประกาศภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งการประกาศเขตพื้นที่อุทยานน้ำตกพาเจริญครั้งนี้ทับซ้อนกับเขตพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน โดยอาศัยแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม 1: 4,000 โดยยึดภาพถ่ายปี 2545 เป็นหลักในการกำหนดพื้นที่ป่าและพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้วิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญออาศัยการทำไร่หมุนเวียนเป็นหลักในการเลี้ยงชีพ จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งและจะต้องปล่อยให้พื้นที่เดิมฟื้นฟูสภาพดินและป่าอย่างน้อย 6-7 ปี จึงจะกลับมาทำกินในพื้นที่นั้นอีกครั้ง ทำให้พื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่เป็นไร่ซากแล้วกลายเป็นป่าหนุ่มและไม่มีร่องรอยการใช้ประโยชน์ในปี 2545 ทำให้เสียสิทธิ์ในพื้นที่ทำกินตามหลักการที่กำหนดจากเกณฑ์ปี 2545 อีกทั้งพื้นที่ทำกินชุมชนบ้านห้วยน้ำนักเป็นพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินตามกฎหมาย จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับชุมชนขึ้น ในเขตพื้นที่ป่าและเขตพื้นที่ที่ทำกินของชาวบ้านไม่ชัดเจน หากพื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตอุทยาน แห่งชาติน้ำตกพาเจริญทับซ้อนที่ทำกินของชุมชน ทำให้ชุมชนบ้านห้วยน้ำนักจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์ในเขตป่าตามวิถีวัฒนธรรมเดิมได้อีก ซึ่งเดิมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอมีความผูกพันกับป่าตั้งแต่เกิด มีพิธีกรรมโดยการนำสายสะดือไปแขวนไว้กับต้นไม้เป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับต้นไม้ให้เจริญเติบโตไปพร้อม ๆ กัน และห้ามใครตัดต้นไม้ต้นนี้รวมถึงการเข้าไปทำพิธีกรรมในพื้นที่ต้นน้ำ การทำบุญเลี้ยงเจ้าป่าเจ้าเขาในเขตป่า ซึ่งเป็นความเชื่อ ความศรัทธาที่ปฏิบัติต่อกันมาอย่างเคร่งครัด พื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็นเขตอุทยานทับซ้อนกับที่ทำกิน จึงส่งผลกระทบให้ชาวบ้านไร้ที่ทำกินไร้อาชีพ ขาดรายได้ที่จะเข้ามาจุนเจือครอบครัว ต้องเปลี่ยนอาชีพจากการทำเกษตรกรรมเป็นรับจ้างแทน โดยการเข้าเมืองเพื่อหางานทำ ทำให้ต้องห่างจากครอบครัว ลูกหลานต้องออกจากบ้านเพื่อหางานทำในเมืองใหญ่ ส่งผลให้เด็กก้าวร้าว แข็งกระด้าง และต่อต้านวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง เพราะขาดวัฒนธรรมชุมชนในการขัดเกลาหล่อหลอมจิตใจ จนในที่สุดประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อต่างจะถูกลืม ไม่มีคนสืบทอดและไม่เหลืออัตลักษณ์ความเป็นชุมชนปกาเกอะญอ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). บ่อน้ำร้อนห้วยน้ำนัก. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://thai.tourismthailand.org/Attraction/

เที่ยวไหนต่อ. (5 ตุลาคม 2566). อุทยานแห่งชาติน้ำตกผาเจริญ ตาก. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://th.trip.com/moments/

ยงยุทธ เนตรนิรันดร. (2560). โครงการการบริการพื้นที่โดยชุมชนมีส่วนร่วมบ้านห้วยน้ำนัก ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก: รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.

ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม (13 กรกฎาคม 2556). บ้านห้วยน้ำนัก. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก http://m-culture.in.th/

สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดตาก. (ม.ป.ป.). บ่อน้ำพุร้อนห้วยน้ำนัก. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://www.taklocal.org/

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (ม.ป.ป.). โป่งพุร้อนน้ำนัก/บ่อน้ำร้อนห้วยน้ำนัก. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://naturalsite.onep.go.th/

สำนักอุทยานแห่งชาติ. (ม.ป.ป.). บ่อน้ำร้อนห้วยน้ำนัก – อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://portal.dnp.go.th/

หาเวลาเที่ยว. (2567). [ภาพประกอบ]. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

องค์การบริหารส่วนตำบลพบพระ. (ม.ป.ป.). ประวัติความเป็นมา. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://www.phopphra.go.th/

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ - Namtok Phacharoen National Park. (2567). [ภาพประกอบ]. สืบค้น 13 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

อบต.พบพระ โทร. 0 5550 8930