Advance search

ย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นที่สำคัญใจกลางพระนครที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และสถาปัตยกรรม อีกทั้งเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีพราหมณ์อันสำคัญ จึงถือเป็นย่านเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานครอย่างเด่นชัด

เสาชิงช้า
พระนคร
กรุงเทพมหานคร
สำนักงานเขตพระนคร โทร. 0 2628 5041
วิไลวรรณ เดชดอนบม
10 เม.ย. 2025
วิไลวรรณ เดชดอนบม
20 เม.ย. 2025
เสาชิงช้า

"เสาชิงช้า" เป็นชื่อสถาปัตยกรรมไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์-ฮินดูที่จัดขึ้นเพื่อสักการะพระศิวะ โดยมีความเชื่อว่าพิธีนี้ช่วยเสริมความมั่นคงและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่บ้านเมือง เสาชิงช้าจึงเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาและจิตวิญญาณของพระนครในอดีต ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชื่อเรียกชุมชนในละแวกนี้ว่า "ย่านเสาชิงช้า"


ย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นที่สำคัญใจกลางพระนครที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และสถาปัตยกรรม อีกทั้งเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีพราหมณ์อันสำคัญ จึงถือเป็นย่านเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานครอย่างเด่นชัด

เสาชิงช้า
พระนคร
กรุงเทพมหานคร
10200
13.751776
100.501267
กรุงเทพมหานคร

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2325 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ได้มีการสร้างเสาชิงช้าใจกลางของพระนครหรือสะดือเมืองตามคติโบราณในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เชื่อว่าการสร้างเสาชิงช้าไว้กลางพระนครเมื่อแรกตั้งบ้านเมือง จะยังผลให้บ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่น มีลำน้ำเจ้าพระยาเป็นเขตแดนด้านตะวันตก และมีคลองบางลำพูเชื่อมกับคลองโอ่งอ่าง (คลองรอบกรุง) โอบล้อมด้านตะวันออก โดยลำน้ำทั้งสองเชื่อมต่อกันได้ที่ปลายคลอง ทำให้รูปสัณฐานของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นได้รับการจินตนาการว่าเหมือนกระเพาะหมู บริเวณเสาชิงช้าจึงเป็นย่านชุมชนที่มีความเจริญเป็นอันดับแรก ๆ ของพระนคร เนื่องจากนอกจะเป็นพื้นที่สะดือเมืองแล้ว ยังมีถนนที่ทันสมัย คือ ถนนบำรุงเมือง ตัดผ่าน และมีการสร้างตึกแถวให้เช่าทำการค้า ในอดีตบริเวณศาลาว่าการกรุงเทพมหานครและลานด้านหน้าเคยเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่ย้ายมาจากพระบรมมหาราชวังเดิม และได้เป็นที่ตั้งของเสาชิงช้าในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการสร้างโรงไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องย้ายเสาชิงช้ามาอยู่ที่หน้าวัดสุทัศน์ฯ ดังปรากฏในปัจจุบัน นอกจากนี้ พื้นที่ด้านหลังโรงไฟฟ้ายังได้มีการสร้างตลาดเสาชิงช้า ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการขายสินค้าประเภทเครื่องทองเหลืองที่ทำเลียนแบบทองรูปพรรณ หรือที่เรียกกันว่า "ทองเสาชิงช้า" ก่อนที่เทศบาลกรุงเทพมหานครจะรื้อตลาดใน พ.ศ. 2497 และทำเป็นที่ทำการเทศบาลและลานกว้างสำหรับกิจกรรมกีฬา

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการใช้ถนนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะนับว่าเป็นเส้นทางคมนาคมที่ทันสมัย สะดวกสบาย ซึ่งถนนสายหนึ่งที่ตัดใหม่ในขณะนั้น คือ ถนนบำรุงเมือง ที่ตัดผ่านบริเวณเสาชิงช้า ทำให้บริเวณเสาชิงช้าเป็นชุมชนที่มีความเจริญเป็นลำดับแรก ๆ ของพระนคร กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตัดถนนเชื่อมระหว่างถนนเฟื่องนครกับถนนอัษฎางค์ ส่งผลให้มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ริมถนนสำหรับชาวต่างชาติได้เช่าซื้อเพื่อทำการค้าขาย บริเวณนี้จึงเป็นย่านพักอาศัยที่มีทั้งอาคารบ้านเรือนและร้านค้าตั้งอยู่ปะปนกัน

ส่วนชื่อเรียกย่านเสาชิงช้านั้นมาจากเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางของย่านนี้ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้าตามคติความเชื่อของพราหมณ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพระนคร และเป็นการแสดงความกตัญญูต่อเทพ 3 องค์ ได้แก่ พระอิศวร พระพิฆเนศวร และพระนารายณ์ โดยจำลองมาจากตำนานที่กล่าวถึงพระอุมาเทวีที่พนันกับพระอิศวรเกี่ยวกับการวิบัติของโลก โดยให้พญานาคแกว่งตัวให้พระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง หากพญานาคไกวตัวแล้วพระบาทพระอิศวรไม่ตกลงมาถือว่าโลกนั้นยังมั่นคงแข็งแรง แต่สมัยรัชกาลที่ 7 พิธีโล้ชิงช้านี้ได้เลิกไป เนื่องจากมีลักษณะหวาดเสียว ไม่ปลอดภัยต่อตัวผู้เล่น พิธีโล้ชิงช้าในปัจจุบันนี้จึงเหลือเพียงเสาชิงช้าเป็นสัญลักษณ์ถึงการเคยมีอยู่เท่านั้น และในเวลาต่อมาจึงได้เรียกรวมอาคารบ้านเรือนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงโดยนับเอาเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นศูนย์กลางว่า ย่านเสาชิงช้า

เสาชิงช้า เป็นย่านที่ตั้งอยู่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นนอก ในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีเสาชิงช้าเป็นศูนย์กลางของย่าน มีแนวเขตด้านเหนือเป็นถนนราชดำเนินกลางซึ่งเชื่อมถนนสามสายเข้ามาในย่าน ได้แก่ ถนนดินสอ ถนนตะนาว และถนนมหาไชย โดยพื้นที่ย่านเสาชิงช้าครอบคลุมเขตการปกครองถึง 4 แขวง ได้แก่ แขวงเสาชิงช้า แขวงวัดราชบพิธ (บางส่วน) แขวงสำราญราษฎร์ และแขวงบวรนิเวศ (บางส่วน) มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1.02 ตารางกิโลเมตร (637 ไร่ 200 ตารางวา) เนื่องจากพื้นที่ชุมชนย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยอดีต ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ชุมชนย่านเสาชิงช้ามีความหนาแน่นค่อนข้างสูง ทั้งนี้จากข้อจำกัดในพื้นที่ทำให้พื้นที่ว่างสาธารณะของชุมชนย่านเสาชิงช้าส่วนใหญ่มีรูปทรงและการจัดวางพื้นที่ในลักษณะถูกโอบล้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง หรือไม่ก็เกาะตัวเป็นแนวยาวไปตามทางสัญจร

ลักษณะภูมิอากาศ

  • ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายน
  • ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-เดือนตุลาคม
  • ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-เดือนมกราคม

การใช้ประโยชน์อาคาร

การใช้ประโยชน์อาคารของชุมชนย่านเสาชิงช้าส่วนใหญ่มีลักษณะแบบผสมผสาน (mixed use) กล่าวคือ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นที่พักอาศัย พาณิชยกรรม สถานประกอบการ สถานที่ราชการ สถานศึกษา และศาสนสถาน โดยอาคารประเภทพาณิชยกรรมมักเกาะตัวหนาแน่นตามแนวเส้นทางการสัญจรหลักที่มีการเข้าถึงสะดวก ส่วนมากเป็นร้านขายอาหาร ร้านขายของชำ ทั้งนี้ ยังพบการใช้พื้นที่ด้านหน้าอาคารเพื่อพาณิชยกรรม คือ มีการใช้พื้นที่ด้านหน้าอาคารสำหรับการตั้งของขายในช่วงเช้าถึงช่วงบ่าย ส่วนที่พักอาศัยจะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน โดยกระจายตัวตามตรอก ซอยที่เชื่อมต่อกันภายในพื้นที่

ย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของกรุงเทพมหานคร มีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นศูนย์กลางของการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ลักษณะประชากรของย่านนี้มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการรวมตัวของผู้คนหลากหลายเชื้อสายที่เข้ามาตั้งรกรากและพัฒนาเป็นชุมชนอย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งถิ่นฐานของคนไทยเชื้อสายจีนและคนไทยพื้นถิ่น ที่อยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนานจนก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมชุมชนที่มีความหลากหลาย ขณะเดียวกันก็มีความกลมกลืนทางวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ร่วมอย่างแนบแน่น

ประชากรส่วนใหญ่ในย่านเสาชิงช้าเป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวจีนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมประกอบอาชีพค้าขาย โดยมักเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก เช่น ร้านขายของชำ ร้านทอง ร้านยา และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการในระดับชุมชน การประกอบอาชีพของคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่นี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น และยังมีส่วนในการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงกับย่านเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ทั้งยังคงรักษาความเชื่อ ประเพณี และภาษาจีนบางส่วนไว้ในครัวเรือน แม้จะมีการกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งก็ตาม

ในขณะเดียวกันชาวไทยพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนก็มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้สืบทอดวิถีชีวิตดั้งเดิม ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ผูกพันกับศาสนา สถาปัตยกรรม และการใช้พื้นที่สาธารณะในชุมชน โดยมีวัดสุทัศนเทพวรารามและศาลาว่าการกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการปกครองที่สำคัญของชุมชนมานับแต่อดีต ชาวไทยพื้นถิ่นยังมีบทบาทสำคัญในด้านสังคม เช่น การจัดกิจกรรมประเพณีท้องถิ่น งานบุญงานเทศกาล และการรักษาศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

การอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองกลุ่มในย่านเสาชิงช้าก่อให้เกิดวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความผสมผสานอย่างเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในด้านภาษาพูด อาหารการกิน รูปแบบบ้านเรือน การดำเนินชีวิต ตลอดจนประเพณีที่มีลักษณะเฉพาะของชุมชน เช่น ประเพณีงานสารทจีนที่มีการไหว้บรรพบุรุษควบคู่กับประเพณีไทยในช่วงออกพรรษา หรือแม้แต่การจัดงานปีใหม่ที่มีทั้งรูปแบบแบบไทยและจีนในพื้นที่เดียวกัน

ความหลากหลายทางประชากรและวัฒนธรรมในย่านเสาชิงช้านี้ไม่เพียงแต่สร้างสีสันให้กับพื้นที่ หากยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของผู้คนต่างพื้นเพ ผ่านการประนีประนอม ปรับตัว และหลอมรวมอัตลักษณ์ให้เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่สูญเสียรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง นับได้ว่าย่านเสาชิงช้าเป็นตัวอย่างของชุมชนเมืองเก่าในกรุงเทพฯ ที่สามารถดำรงรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างกลมกลืนและมีชีวิตชีวาแม้ภายใต้บริบทของการพัฒนาเมืองในยุคปัจจุบัน

การประกอบอาชีพของประชาชนในย่านเสาชิงช้าเป็นภาพสะท้อนของวิถีชีวิตในชุมชนเมืองเก่า ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เกิดจากความต่อเนื่องของการตั้งถิ่นฐาน วัฒนธรรมดั้งเดิม และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเมืองในยุคปัจจุบัน อาชีพที่ประชาชนในพื้นที่นี้ประกอบส่วนใหญ่มีความหลากหลาย และสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มหลักได้ตามลักษณะเศรษฐกิจ สังคม และภูมิศาสตร์ของพื้นที่

กลุ่มอาชีพที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในย่านเสาชิงช้า คือ การประกอบอาชีพด้านการค้าขายและบริการ ซึ่งถือเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของชุมชนมาอย่างยาวนาน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบกิจการค้าปลีกขนาดเล็ก เช่น คาเฟ่ ร้านอาหารพื้นบ้าน ร้านขนมโบราณ ร้านขายเครื่องใช้ภายในครัวเรือน รวมไปถึงร้านบริการพื้นฐาน เช่น ร้านตัดผม ร้านซักรีด และร้านซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณถนนดินสอที่เชื่อมต่อกับถนนราชดำเนินกลางเยื้องอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แถบนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านขนม สถาบันกวดวิชา ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านค้าเบ็ดเตล็ด เช่นเดียวกับบริเวณถนนมหาไชยที่ก็คึกคักไม่แพ้กัน ถนนสายนี้เป็นตลาดเช่าซื้อพระที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ทั้งพระเครื่อง และพระพุทธรูป ฟากถนนตะนาวและถนนมหรรณพเป็นแหล่งอาหารสตรีทฟูดขึ้นชื่อของย่านเสาชิงช้า ทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ผัดไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีถนนบำรุงเมือง ถนนตีทอง ถนนอุณากรรณ ถนนราชบพิธ ถนนเฟื่องนคร โดยเฉพาะถนนบำรุงเมืองที่เป็นแหล่งจำหน่ายสังฆภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ส่วนมากอยู่บริเวณสี่กั๊กเสาชิงช้า ตึกแถวมุมถนนบำรุงเมือง ไปจนถึงประตูผี ลักษณะเด่นของอาชีพในกลุ่มนี้ คือ การสืบทอดกิจการภายในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งไม่เพียงเป็นแหล่งรายได้ แต่ยังเป็นกลไกในการอนุรักษ์อัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชน

นอกจากอาชีพค้าขายแล้ว ยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ประกอบอาชีพรับราชการ เนื่องจากพื้นที่ย่านเสาชิงช้าตั้งอยู่ใกล้กับศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานราชการหลายแห่ง อาชีพในกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าราชการ ครูต และเจ้าหน้าที่ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและดูแลชุมชน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ เช่น ไกด์นำเที่ยว พนักงานในพิพิธภัณฑ์ ผู้จัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์และร้านจำหน่ายของที่ระลึก อาชีพในกลุ่มนี้มีบทบาทในการสร้างรายได้ให้กับชุมชน พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม ย่านเสาชิงช้ายังคงมีประชาชนบางส่วนที่ประกอบอาชีพอิสระหรือเป็นแรงงานทั่วไป เช่น พนักงานรับจ้างรายวัน พนักงานในร้านอาหาร หรือแรงงานภาคบริการในระดับพื้นฐาน ซึ่งกลุ่มอาชีพนี้มักเป็นผู้มีรายได้น้อย และพึ่งพาระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนและเครือญาติในการดำรงชีวิต

การประกอบอาชีพของประชาชนในย่านเสาชิงช้าเป็นผลลัพธ์ของการหล่อหลอมระหว่างวิถีชีวิตดั้งเดิมกับการปรับตัวตามกระแสสังคมและเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถคงอยู่ได้อย่างมั่นคงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเมือง อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและความเข้มแข็งของชุมชนในเขตเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้อย่างชัดเจน

ประชาชนในย่านเสาชิงช้าส่วนใหญ่แล้วเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือพระพุทธศาสนา เมื่อถึงช่วงวันสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ หรือวันพระ จะมีการรวมตัวกันที่วัด เช่น วัดสุทัศนเทพวราราม วัดมหรรณพาราม เพื่อทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม แต่อย่างไรก็ตามในย่านเสาชิงช้ายังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่นับถือศาสนาพราหมณ์ โดยในย่านเสาชิงช้านี้มีเทวสถานสำคัญสำหรับผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ได้มาสักการะ คือ โบสถ์พราหมณ์ และโบสถ์วิษณุ  นอกจากนี้ยังมีสมาคมฮินดูสมาชจากการรวมตัวกันของกลุ่มชาวอินเดียผู้นับถือศาสนาฮินดูเพื่อร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

พิธีโล้ชิงช้า ภาพสะท้อนสังคมไทยในอดีต

เสาชิงช้าสีแดงสดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และตั้งตระหง่านเป็นศูนย์กลางของย่านเสาชิงช้านั้นถือเป็นโบราณสถานที่เป็นกระจกสะท้อนถึงวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสภาพสังคมของคนไทยในอดีต กล่าวคือ ย้อนไปเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เสาชิงช้าแห่งนี้เคยเป็นที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญพิธีกรรมหนึ่ง คือ พิธีโล้ชิงช้า หรือพระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย เป็นประเพณีโบราณของไทย ซึ่งมีที่มาจากความเชื่อเรื่องการนับถือผีและประเพณีท้องถิ่นดั้งเดิม ผสมผสานกับอิทธิพลคติความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เข้ามาภายหลัง แล้วผูกเป็นตำนานเรื่องพระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาเยือนมนุษยโลกปีละครั้งเพื่อประทานพรให้เกิดความสุขสงบ ช่วยคุ้มครองมนุษยโลกให้ปลอดภัย บันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และตำนานเรื่องพระอิศวรทดสอบความมั่นคงแข็งแรงของโลก

พิธีดังกล่าวนี้ประกอบด้วยสองพิธีต่อเนื่องกัน คือ พิธีตรียัมปวายกับพิธีตรีปวาย โดยพิธีตรียัมปวายเป็นพิธีพราหมณ์ เรียกอย่างสามัญว่า พิธีโล้ชิงช้า กระทำเพื่อต้อนรับพระอิศวร กระทำในวันขึ้น 7 ค่ำ ตอนเช้า และวันขึ้น 9 ค่ำ ตอนเย็น ของเดือนยี่ ส่วนพิธีตรีปวายเป็นพิธีพราหมณ์ที่กระทำเพื่อต้อนรับพระนารายณ์ เรียกอย่างสามัญว่า พิธีแห่พระนารายณ์ กระทำกันในวันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 5 ค่ำ เดือนยี่ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปมักเรียกรวมทั้งสองพิธีนี้ว่า พิธีโล้ชิงช้า

พิธีโล้ชิงช้า หรือพระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวายนี้เป็นประเพณีพิธีกรรมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีต่อสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต และยังสะท้อนถึงพัฒนาการของคติความเชื่อดั้งเดิมที่ผ่านการปรับตัวเข้ากับความเชื่อต่าง ๆ ในท้องถิ่น นั่นคือ การนำเอาคติพราหมณ์-ฮินดูมาผนวกเข้ากับความเชื่อแบบไทย มีเรื่องเล่ากันว่าพิธีโล้ชิงช้านับว่ามีความน่าหวาดเสียวและอันตรายไม่น้อย เพราะผู้โล้ชิงช้าจะต้องขึ้นชิงช้าครั้งละ 4 คน (โล้ 3 กระดาน รวมเป็น 12 คน) โดยชิงช้ามีเชือกที่ถือยึดไว้แน่นทั้งสี่ด้าน สองคนหันหน้าเข้าหากัน พนมมืออยู่กลางกระดาน อีกสองคนอยู่หัวท้ายจับเชือกไว้ แล้วถีบโล้ชิงช้าเพื่อฉวยเงินรางวัล โดยคนที่อยู่หัวกระดานจะเป็นคนฉวยเงินรางวัลที่ผูกแขวนไว้กับฉัตรสูงที่ปักไว้แล้วมีคันทวยยื่นออกในระยะห่างพอที่จะโล้ชิงช้ามาถึงได้ การโล้ชิงช้าสำคัญอยู่ที่คนท้าย คือ จะต้องเล่นตลก เช่นว่า พอคนหน้ากำลังจะคาบถุงเงิน คนท้ายจะต้องแกล้งทำกระดานโล้เบี่ยงออกไปหรือโล้จนเลยถุงเงินไปบ้างเพื่อเรียกเสียงฮาจากคนดู เหตุด้วยความหวาดเสียวบวกกับพิษเศรษฐกิจในสมัยนั้น ส่งผลให้พิธีโล้ชิงช้าต้องเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 7 และไม่เคยมีการโล้ชิงช้าที่เสาชิงช้าอีกเลย แต่ยังคงมีพิธีตรียัมปวายซึ่งทำพิธีโล้ชิงช้าขนาดเล็กในเทวสถานตามโบราณราชประเพณี

ด้วยเหตุนี้ เสาชิงช้าจึงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ แต่ยังเป็นสถานที่ที่มีความหมายในด้านวัฒนธรรมและประเพณีไทย โดยเฉพาะในพิธีโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นพิธีที่สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การเลิกจัดพิธีโล้ชิงช้าในสมัยรัชกาลที่ 7 ทำให้บทบาทของเสาชิงช้าทางศาสนาและประเพณีลดลง แต่เสาชิงช้ายังคงเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพิธีโล้ชิงช้าจะไม่ได้จัดขึ้นแล้ว แต่เสาชิงช้ายังคงเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญในด้านการท่องเที่ยวและประวัติศาสตร์ โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อ พ.ศ. 2492 ทำให้เสาชิงช้ายังคงเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน

ทางภาคใต้ของไทยในจังหวัดนครศรีธรรมราชก็มีประเพณีในลักษณะนี้ แต่เรียกว่า พิธีแห่นางดาน เมืองนครศรีธรรมราชได้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าหรือที่เรียกว่าแห่นางดานนี้เช่นเดียวกับในราชธานี ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา แต่ภายหลังฝั่งราชธานี คือ กรุงเทพมหานครได้เลิกพิธีนี้ไปในสมัยรัชกาลที่ 7 พิธีแห่นางดานก็เลิกตามไปด้วย แต่ใน พ.ศ. 2544 ได้มีการนำพิธีแห่นางดานกลับมาอีกครั้งโดยผนวกเข้าเทศกาลสงกรานต์ของเมืองนครศรีธรรมราช ปัจจุบัน พิธีแห่นางดานหรือโล้ชิงช้าจึงมีที่เมืองนครศรีธรรมราชเพียงแห่งเดียว

ภาษาพูด : ภาษาไทย

ภาษาเขียน : อักษรไทย


ย่านเสาชิงช้าในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในด้านการค้าขายเครื่องทองเหลืองและสินค้าที่เลียนแบบทองรูปพรรณ ซึ่งมีชื่อเสียงในตลาดเสาชิงช้า สินค้าที่ผลิตในย่านนี้ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งการค้าที่มีความสำคัญในสมัยนั้น

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 4 และรัชกาล 5 เมื่อมีการเปิดประเทศและทำสนธิสัญญากับนานาประเทศ ทำให้การค้าระหว่างประเทศเจริญรุ่งเรือง การขยายตัวของการค้าขายกับชาวต่างชาติทำให้ย่านเสาชิงช้ามีความสำคัญมากยิ่งขึ้น การพัฒนาโครงข่ายถนนและการเชื่อมโยงพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ย่านเสาชิงช้าเป็นศูนย์กลางการค้าของกรุงเทพฯ และเป็นพื้นที่ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่ง


ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การตั้งถิ่นฐานของชุมชนในย่านเสาชิงช้าเริ่มต้นจากชุมชนที่ตั้งอยู่ริมคลองและแม่น้ำ ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นที่พึ่งพาแหล่งน้ำในการดำรงชีวิต การตั้งถิ่นฐานในช่วงนี้เป็นไปในลักษณะของชุมชนริมน้ำที่มีการใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการสัญจร

เมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างเมืองและการตัดถนนในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาล 5 ชุมชนในย่านเสาชิงช้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงจากชุมชนริมคลองมาเป็นการตั้งถิ่นฐานตามถนนมากขึ้น โดยมีการสร้างบ้านเรือนที่อยู่ติดถนน การขยายตัวของเมืองทำให้พื้นที่นี้มีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น และกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการเชื่อมโยงถนนระหว่างย่านการค้าหลักกับพื้นที่อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ

ในช่วงรัชกาลที่ 6-7 การขยายตัวของเมืองทำให้ประชาชนเริ่มย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตพระนครชั้นในมากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกสบายและสามารถเข้าถึงแหล่งการค้าได้ง่ายขึ้น การเปลี่ยนแปลงของชุมชนในย่านเสาชิงช้าจึงสะท้อนถึงการเจริญเติบโตและความหลากหลายทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเมืองในยุคต่าง ๆ

สถานที่ท่องเที่ยวในย่านเสาชิงช้า

ย่านเสาชิงช้าเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ในเขตพระนครอันเป็นศูนย์กลางของกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวมของสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางความเชื่อและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ดังสถานที่สำคัญต่อไปนี้

1.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดสุทัศนเทพวรารามเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกที่สำคัญ ตั้งอยู่ใกล้กับเสาชิงช้า ได้รับการสถาปนาขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และต่อเติมจนแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 3 ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปสำคัญที่มีพุทธลักษณะงดงามและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ ภายในวัดยังมีสถาปัตยกรรมไทยที่โดดเด่นและจิตรกรรมฝาผนังที่ทรงคุณค่า ทำให้วัดสุทัศน์ฯ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

2.ลานคนเมือง และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร คือ "ลานคนเมือง" ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ใช้สำหรับจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการแสดงศิลปะร่วมสมัยต่าง ๆ ตลอดทั้งปี โดยลานแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับที่เคยเป็นโรงไฟฟ้าแก๊สในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนจะเปลี่ยนแปลงเป็นสำนักงานของเทศบาลนครกรุงเทพ และกลายมาเป็นศาลาว่าการกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน อาคารศาลาว่าการฯ เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกตะวันตกที่สง่างาม ผสมผสานกับบรรยากาศชุมชนเก่าได้อย่างลงตัว

3.เทวสถานโบสถ์พราหมณ์

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในประเทศไทย ตั้งอยู่ใกล้กับเสาชิงช้า ภายในประดิษฐานเทวรูปพระอิศวร พระพรหม พระวิษณุ และเทพอื่น ๆ ที่เคารพสักการะกันในศาสนาฮินดู สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะพิธีโล้ชิงช้าในอดีต พื้นที่โดยรอบยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมฮินดูและเป็นจุดหมายของผู้ศรัทธาที่เดินทางมาสักการะอย่างต่อเนื่อง

4.วัดเทพมณเฑียร และสมาคมฮินดูสมาช

วัดเทพมณเฑียร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดแขกเสาชิงช้า" เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่สร้างขึ้นโดยชุมชนชาวอินเดียใต้ในประเทศไทย มีการบูชาพระแม่อุมาเทวีเป็นหลัก วัดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชุมชนชาวฮินดูในเขตพระนคร และมักจะมีพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสมาคมฮินดูสมาช ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรม ศาสนา และประเพณีของชาวฮินดูในประเทศไทย

5.ศาลเจ้าพ่อเสือ

ศาลเจ้าพ่อเสือ เป็นศาลเจ้าจีนสายเต๋าที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บริเวณถนนตะนาว ใกล้กับเสาชิงช้า ภายในประดิษฐานเทพเจ้าที่เคารพสักการะ เช่น เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู และเจ้าพ่อเอี๊ยะแซเอี๊ย การมาไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะในช่วงตรุษจีนหรือเทศกาลสำคัญ ศาลเจ้ามีสถาปัตยกรรมจีนที่โดดเด่น และบรรยากาศโดยรอบยังเต็มไปด้วยร้านค้าเก่าแก่และอาหารจีนดั้งเดิมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนไม่ขาดสาย

สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในย่านเสาชิงช้า ล้วนแล้วแต่เป็นเสมือนหน้าต่างที่เปิดให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และความศรัทธาอันหลากหลายของชุมชนในกรุงเทพมหานคร การเดินเที่ยวในย่านนี้จึงไม่เพียงแต่ได้ชมความงดงามทางสถาปัตยกรรม หากยังเป็นการเรียนรู้รากเหง้าและความหลากหลายของวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้

กระทรวงวัฒนธรรม, กรมศิลปากร. (2563). ย้อนรอยพิธีโล้ชิงช้าในสยาม. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.finearts.go.th/

กุศล เอี่ยมอรุณ. (2546). เดินถนนชมย่านเก่า. สารคดี.

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2496). พระราชพิธีสิบสองเดือน. โรงพิมพ์พระจันทร์.

ชนินทร์ วิเศษสิทธิกุล. (2547). การเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมเมืองในเกาะรัตนโกสินทร์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการวางผังเมือง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ชวิน รังสิพราหมณกุล และคณะ. (2557). จดหมายเหตุการบูรณปฏิสังขรณ์เทวสถาน สำหรับพระนคร. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

ชีวิตชอบ Review. (18 กุมภาพันธ์ 2568). คาเฟ่สวยบรรยากาศดี ฟีลดี. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

เทพชู ทับทอง. (2524). กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ 200 ปี. เทพพิทักษ์การพิมพ์.

นัดรีวิว. (29 สิงหาคม 2567). ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านเล็กๆย่าน #เสาชิงช้า. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2548). ความยุ่งของการอยู่. มติชน.

ปดิวลดา บวรศักดิ์. (17 เมษายน 2568). “พิธีโล้ชิงช้า” อดีตพระราชพิธีประจำปี ไม่ได้มีคนเสียชีวิตอย่างที่เข้าใจ. สืบค้น 25 เมษายน 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/

ปราณระฟ้า พรหมประวัติ. (2550). สนามทัศนะและรูปแบบการใช้พื้นที่ว่างสาธารณะของชุมชนเมือง : กรณีศึกษา ชุมชนย่านเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์. (2556). การเปลี่ยนแปลงของชุมชนเมือง: กรณีศึกษาย่านเสาชิงช้า. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วรี จิระรัตน์พันธ์. (2550). แนวทางการพัฒนาย่านเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. (2558). เสาชิงช้า. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก http://www.resource.lib.su.ac.th/

สินธุ์วัฒน์ รัตนพิมพ์. (2561). สถาปัตยกรรมและประเพณีในกรุงเทพมหานคร: การศึกษากรณีเสาชิงช้าและพิธีโล้ชิงช้า. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สุมนมาลย์ กาญจนะ. (2544). แนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่บริเวณเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการออกแบบชุมชนเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 1. (ม.ป.ป.). แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://r01.ldd.go.th/

ส. พลายน้อย. (2518). เล่าเรื่องบางกอก. แพร่พิทยา.

อริย์ธัช นกงาม. (ม.ป.ป.). เสาชิงช้าเป็นเครื่องประกอบพิธียืนชิงช้า (โล้ชิงช้า). กรมศิลปากร, คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.finearts.go.th/

อริศรา มีนะกนิษฐ. (2553). ลานโล่งในกรุงเทพมหานครยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น. วารสารเทคโนสุรนารี, 4(1), 8-9.

SCB ไทยพาณิชย์. (ม.ป.ป.). เที่ยวได้ไม่เอ๊าท์...ที่เสาชิงช้า. ธนาคารไทยพาณิชย์. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.scb.co.th/

EatGuide เพื่อนซี้เวลาหิว. (4 กุมภาพันธ์ 2568). กาแฟโบราณในย่านเสาชิงช้า. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

Foodbymay. (2 กุมภาพันธ์ 2568). ตะลุยกินย่านเสาชิงช้า. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.facebook.com/

kapook. (ม.ป.ป.). ชวนเช็กลิสต์ที่กิน ที่เที่ยวเสาชิงช้า ย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ. สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://travel.kapook.com/

ไทยรัฐ. (1 มิถุนายน 2565). ประวัติ "เสาชิงช้า" ที่เที่ยวยอดฮิตของกรุงเทพฯ . สืบค้น 10 เมษายน 2568, จาก https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/

สำนักงานเขตพระนคร โทร. 0 2628 5041