Advance search

บ้านดงจันทน์

เมืองแต่โบราณกาล อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีที่ดินกว้างขวาง อนุรักษ์วัฒนธรรมสุโขทัย

หมู่ 2 หมู่ 9 และ หมู่ 11
บ้านดงจันทน์
นครเดิฐ
ศรีนคร
สุโขทัย
อบต. นครเดิฐ โทร. 0 5560 6200
รุ่งนภา เจียมรัตนะประทีป
20 เม.ย. 2025
มณฑล ศรีสุข
25 เม.ย. 2025
รุ่งนภา เจียมรัตนะประทีป
30 เม.ย. 2025
บ้านดงจันทน์ ตำบลนครเดิฐ
บ้านดงจันทน์

บ้านดงจันทน์ เป็นส่วนหนึ่งของตำบลนครเดิฐ เป็นชุมชนใหญ่ ชื่อหมู่บ้านมาจากการที่บริเวณที่ตั้งหมู่บ้าน มีต้นจันทน์ สะกดด้วย "น์" ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเนื้อแข็ง ผลสุกมีกลิ่นหอมขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จนมีลักษณะเป็นดง เมื่อชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ จึงเรียกชื่อหมู่บ้านชุมชนแห่งนี้ว่าบ้านดงจันทน์ 

ส่วนตำบลนครเดิฐ เดิมเป็นชื่อตำบลที่กินพื้นที่ทั้งหมดของอำเภอศรีนคร เป็นตำบลนครเดิฐ ขึ้นอยู่กับอำเภอสวรรคโลก ต่อมามีการยกฐานะพื้นที่ตำบลนครเดิฐทั้งตำบลขึ้นเป็น อำเภอศรีนคร มี 4 ตำบล จึงขยับพื้นที่ของตำบลนครเดิฐให้อยู่ที่ตอนเหนือของพื้นที่เดิมบริเวณหมู่บ้านหนองแหน ดงจันทน์ บึงสวย และบึงงาม

ข้อมูลจาก อ.บัณฑิต การินตา อดีตประธานสภาวัฒนธรรมตำบลนครเดิฐ ระบุว่านครเดิฐเป็นชื่อเมืองโบราณ มีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัย สันนิษฐานว่า ชื่อนครเดิฐ น่าจะมาจากภาษาบาลีว่า ดิฐ ที่แปลว่าความดีงาม อันมีความหมายถึง เมืองแห่งความดีงาม  แต่อีกทฤษฎีก็อ้างว่า นครเดิฐ อาจเป็นการเพี้ยนมาจากคำว่านครเดิม ซึ่งหมายถึงเมืองโบราณดั้งเดิมแห่งนี้


ชุมชนชนบท

เมืองแต่โบราณกาล อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีที่ดินกว้างขวาง อนุรักษ์วัฒนธรรมสุโขทัย

บ้านดงจันทน์
หมู่ 2 หมู่ 9 และ หมู่ 11
นครเดิฐ
ศรีนคร
สุโขทัย
64180
17.438859828716208
99.98199036404004
องค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ

นครเดิฐ เดิมเป็นชื่อเรียกของอำเภอศรีนคร ทั้งอำเภอว่า ตำบลนครเดิฐ ของอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ยกฐานะพื้นที่ทั้งหมดของตำบลนครเดิฐ ขึ้นเป็นอำเภอศรีนคร และได้ขยับพื้นที่ตำบลนครเดิฐมาทางเหนือบริเวณ 4 หมู่บ้าน คือ บ้านดงจันทน์ และบ้านหนองแหน บ้านบึงสวย และบ้านบึงงาม

ข้อมูลจากอาจารย์บัณฑิต การินตา อดีตประธานสถภาวัฒนธรรมตำบลนครเดิฐ สันนิษฐานว่า นครเดิฐ เป็นภาษาโบราณ มีที่มาจากคำบาลีว่า ดิฐ แปลว่าความดีงาม ซึ่งอาจแปลว่าเป็นเมืองแห่งความดีงาม และยังมีข้อสันนิษฐานว่ามาจากชื่อ นครเดิม ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่ปรากฏซากโบราณสถาน ง้วนเจดีย์เรียงรายไปตามแนวแม่น้ำยมสายเก่า

จากการค้นพบซากโบราณสถานในบริเวณตำบลนครเดิฐหลายแห่ง โดยมีหลักฐานทางโบราณคดีเก่าสุดที่บริเวณเขาเขน และเขากา มีการค้นพบเครื่องมือ เครื่องใช้ และอาวุธยุคหิน  และบริเวณโดยรอบปรากฏหลักฐานโบราณวัตถุเชิงประจักษ์ทางประวัติศาสตร์หลายยุคสมัย ได้แก่ ลูกปัด เครื่องประดับหินหลากสี หลายรูปทรง  เครื่องมือ เครื่องใช้ และอาวุธยุคสำริด อาวุธ และเครื่องมือยุคเหล็ก

และยังพบหลักฐานทางโบราณคดีอื่นๆที่บ่งชี้ถึงวิวัฒนาการความเป็นชุมชนบนลุ่มน้ำยม-น่าน ที่เกิดดับทับซ้อนจนถึงปัจจุบันหลักฐานว่า นครเดิฐเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย แล้วต่อมาเกิดการรกร้างผู้คนสูญหายเคลื่อนย้ายออกไป จึงกลายมาเป็นเมืองร้าง เป็นป่ารกชัฏ จนกระทั่งมีชาวบ้านเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำไร่ไถนาในบริเวณนี้อีกครั้งในช่วง พ.ศ. 2470- 2480 โดยในระยะแรกเริ่มมีการตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บริเวณบ้านหนองแหน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานถึงที่มาและความหมายของคำว่านครเดิฐที่แน่ชัด โดยปรากฏว่ามีเมืองโบราณชื่อนครเดิด ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันยังไม่หลักฐานแสดงถึงความเกี่ยวข้องของเมืองนครเดิฐ ในจังหวัดสุโขทัย และเมืองนครเดิด ในจังหวัดเพชรบูรณ์

บ้านดงจันทน์ เป็นชุมชนหมู่บ้านหนึ่งของตำบลนครเดิฐ ชื่อหมู่บ้านมาจากการที่บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านนั้นมีต้นจันทน์เป็นจำนวนมากจนมีลักษณะเป็นดง เมื่อมีการตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้าน ณ บริเวณนั้นจึงเรียกว่า บ้านดงจันทน์ สะกดด้วย "น์" ซึ่งหมายถึงต้นจันทน์ และได้รับยกฐานะเป็นหมู่บ้านใหม่ หมู่ที่ 2 ของตำบลนครเดิฐ กิ่งอำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ในปี พ.ศ. 2496

อนึ่งด้วยความที่บ้านดงจันทน์ เป็นพื้นที่รอยต่อของจังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดสุโขทัย หมู่บ้านดงจันทน์ดั้งเดิมในความหมายและการรับรู้ของชาวบ้าน จะประกอบด้วยบ้านดงจันทน์ส่วนที่อยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ และบ้านดงจันทน์ ส่วนที่อยู่ในเขตจังหวัดสุโขทัย โดยมีวัดดงจันทน์ เป็นจุดศูนย์กลางชุมชนที่ชาวบ้านทั้งสองฝั่งประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน

พื้นที่ดั้งเดิมของตำบลนครเดิฐเป็นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ มีพื้นราบ สลับกับที่ลุ่ม มีหนองคลองบึงอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การทำไร่ปลูกพืชผล จึงมีชาวบ้านเข้ามาหักร้างถางพงเข้าจับจองพื้นที่เพื่อเพาะปลูก

มีหลักฐานของการดั้งชุมชนระยะแรกก่อนที่บ้านหนองแหน แล้วจึงขยายบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มเติมมายังบริเวณพื้นที่บ้านดงจันทน์ โดยมีขุนนครเดิฐเดชา (เพชร สุริยัน) เป็นกำนันตำบลนครเดิฐคนแรก (พ.ศ. 2447-2477) ซึ่งต่อมามีผู้คนหนาแน่นขึ้นจึงเกิดการตั้งถิ่นฐานเป็นกลุมบ้าน เป็นหย่อมบริเวณไร่นาตามริมหนองริมบึง เช่น ริมหนองซ่าน ริมบึงสวย โดยเรียกชื่อชุมชนตามสภาพภูมิประเทศนั้นๆ จึงเกิดเป็นหมู่บ้านดงจันทน์ บ้านปากอ่าว หนองแหน บ้านบึงสวย บ้านบึงงามขึ้น

สำหรับบ้านดงจันทน์นั้น มีการตั้งถิ่นฐานมาก่อน และมีการตั้งวัดดงจันทน์ ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของชุมชน เมื่อปี พ.ศ. 2582 ในสมัยแรกยังมีบ้านเรือนไม่มาก ตั้งกระจายเป็นหย่อมเล็กๆ เรียกว่าหย่อม ตามชื่อเรียกบุคคลที่มีอาวุโสสูงสุดของหย่อมนั้น หรือเป็นผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นคนแรก เช่น หย่อมบ้านตาย้าย หย่อมบ้านตาเจ๊ด หย่อมบ้านตาฟอง หย่อมบ้านตาทับ ตาเจือ เป็นต้น ในแต่ละหย่อมบ้านจะเป็นเครือญาติหรือเพื่อนบ้านที่มาจากหมู่บ้านหรือชุมชนเดิมแห่งเดียวกัน

ชาวบ้านกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านดงจันทน์ เป็นการขยายพื้นที่ทำไร่มาจากบ้านหนองแหน ซึ่งขณะนั้นที่ดินเป็นที่รกร้างไม่มีกรรมสิทธิ์ ใครหักร้างถางพงได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถจับจองเป็นกรรมสิทธิ์เป็นของตัวเองได้เลย ดังนั้นกลุ่มคนที่มาตั้งถิ้นฐานก่อน และมีลูกชายหลายคน จึงกลายเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก และสะสมทุนกลายเป็นผู้มีฐานะของชุมชนในเวลาถัดมา  การดำเนินชีวิตในระยะแรกเป็นการอยู่อาศัยตามไร่นา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนน ใช้ทางเดินตามรอยทางเกวียน มีพื้นคลองแม่น้ำยมสายเก่าซึ่งเป็นที่เรียบไม่มีน้ำ เป็นเส้นทางสัญจรหลักในการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างหย่อมบ้าน แต่ละหย่อมบ้านจะขุดบ่อเพื่อเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ ปลูกข้าวไร่และพืชผลไว้กิน หาผักตามป่า จับปลาตามหนองตามบึงที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ใช้ไม้ฟืน และเผาถ่านจากต้นไม้ที่มีมากมายในชุมชน  อาชีพหลักคือปลูกข้าวไร่ ปลูกฝ้าย ปลูกถั่วดิน และทำไร่พริก โดยในอดีต อำเภอสวรรคโลกเป็นศูนย์กลางของการทำไร่ฝ้ายในประเทศไทย มีโรงงานรับซท้ฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดคือโรงงานซินเฮียงอยู่มราบ้านคลองยาง อำเภอสวรรคโลก

ภายหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2504 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ มีการตั้งโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ขึ้นที่บ้านวังกระพี้จังหวัดอุตรดิตถ์  ทำให้พื้นที่ตำบลนครเดิฐซึ่งเป็นที่ราบขนาดใหญ่เป็นพื้นที่เป้าหมายของการส่งเสริมการปลูกอ้อยเพื่อป้อนผลิตเข้าสู่โรงงาน อ้อยจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาลงทุนทำไร่อ้อย และเป็นแรงงานรับจ้างในไร่อ่้อยและภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ชุมชนเกิดการขยายตัว มีผู้คนหนาแน่นขึ้น เกิดการพัฒนาระบบสาธาณณูปโภคเรื่อยมาตามลำดับ จนกลายเป็นหมู่บ้านที่มีความเจริญ ทันสมัย อยู่บนเส้นทางสัญจรหลักระหว่างอำเภอศรีนครกับอุตรดิตถ์ดังเช่นปัจจุบัน

ปัจจุบันตำบลนครเดิฐมีประชากร ประมาณ 5,000 คน เป็นชาวบ้านดงจันทน์ประมาณ 500 คน ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามแนวถนนสายหลักและถนนสายรองในซอย ซึ่งเดิมมีชาติพันธุ์ตามกลุ่มที่เข้ามาในพื้นที่ คือ กลุ่มคนไทยพื้นถิ่น พูดภาษาสำเนียงสุโขทัย กลุ่มลาวเวียง กลุ่มภาษาโคราช กลุ่มส่วยจากสุรินทร์ และกลุ่มคนไทยสำเนียงราชบุรี-นครปฐม ซึ่งปัจจุบันได้ถูกกลืนเป็นชาวไทยพื้นถิ่น มีขนบธรรมเนียมประเพณี และภาษาพูดสำเนียงสุโขทัย เหลือเพียงผู้สูงอายุบางคนที่ยังพูดสำเนียงเดิมบ้าง

ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์กลางชุมชนของหมู่บ้าน 4 วัด คือ วัดหนองแหน วัดดงจันทน์ วัดบึงสวย และวัดบึงงาม  มีบางส่วนนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ที่มีโบสถ์อยู่ในตัวเภอศรีนคร

ระบบเครือญาติของคนในชุมชน สามารถแบ่งได้จากพื้นที่ในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน แม้ปัจจุบันมีการซื้ขายที่ดินเปลี่ยนมือกันแล้ว แต่ก็ยังมีการอยู่อาศัยใกล้กับกลุ่มเครือญาติดั้งเดิม โดยการอยู่อาศัยนิยมตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆ เรียกว่าหย่อมบ้าน โดยมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่โดยรอบ ในหย่อมบ้านจะมีการขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค คนหย่อมบ้านเดียวกันจะมาใช้น้ำบ่อเดียวกัน ซึ่งต่อมาชุมชนได้ขยาย มีการตั้งบ้านเรือนอยู่ตามรายทาง ขยายจากหย่อมบ้านดั้งเดิม และมีระบบน้ำประปา ทำให้ระบบหย่อมบ้านเดิมได้สูญหายไป

ซึ่งมีหย่อมบ้านเดิมที่แสดงกลุ่มเครือญาติขนาดใหญ่ ของชุมชนดั้งเดิมเมื่อแรกก่อตั้งชุมชน ดังนี้

  • กลุ่มบ้านตาย้าย เพ็งคำ นายเหลี่ยม เงือกน้ำ และเครือญาติจากบ้านหนองแหน
  • กลุ่มบ้านนายทุย ขับร้อง จากบ้านน้ำขุม
  • บ้านนายเจ๊ก ประมาณ มาจากสวรรคโลก
  • บ้านนายทอง เพชรเมิอง มีพื้นเพจากลับแล มาทำนาอยู่บึงสวบ ซึ่งเป็นขตอิทธิพลเสือหรั่ง เป็นเสือปล้นฆ๋า พ่อทองหนีเสือหรั่งมาอยู่บ้านดงจันทน์
  • บ้านกำนันด่วน สำนวน จากบ้านหนองแหน
  • บ้านพ่อสนั่น ชิมชล มาจากท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์
  • บ้านลุงสนิท ป้าทองสุก ดีประเสริฐ เชื้อสายลาวใต้จากท่าตะโก นครสวรรค์
  • บ้านนายประนอม บุญประดับ ที่มีบรรพบุรุษมาจากสวรรคโลก
  • บ้านลุงพัน- ป้าพัน อ่อนสา ลุงพันมาจากพิจิตร
  • บ้านตาฟอง ม่วงทิม และตาเจือ ตาทับ หัดเคลือบ เป็นตระกูลชาวนาจากบ้านไผ่ล้อม-บ้านดงสระแก้ว อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
  • โรงงานตาป้าย มาประสพ  กลุ่มลาวเวียงจากบ้านท่าสัก หาดสองแคว มาบุกเบิกที่ดินทำไร่อ้อย และตั้งโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยส่งรงงานตีเกล็ดน้ำตาลที่บ้านท่าสัก
  • บ้านตาจ่อย  สุวิญญา เป็นกลุ่มชาติพันธ์ลาว (ขี้ครั่ง) จากจังหวัดเพชรบูรณ์
  • นายแด ชาวจีนไหหลำ มากับรถไฟ สมรสกับนางสง่า อินจันทร์ ซ่งมีที่ดินจำนวนมาก

ซึ่งต่อมามีการแต่งงานกันระหว่างหย่อมบ้าน ทำให้ผู้คนมีการขยับขยาย ประกอบกับเมื่อมีการตัดขยายถนนลาดยางระหว่างอำเภอศรีนครและบ้านปลายราย จังหวัดอุตรดิตถ์ การมีระบบไฟฟ้า น้ำประปา ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายมาตั้งบ้านเรือนริมถนนใหญ่และแนวไฟฟ้า น้ำประปา เพื่อความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทำให้หย่อมบ้านเดิมได้เปลี่ยนสภาพ เป็นการตั้งบ้านเรือนตามแนวถนนหลักหนาแน่นขึ้น และมีการผสมผสานกันของคนในชุมชน ไม่เกาะกลุ่มอยู่กันเป็นเครือญาติเช่นในอดีต

ปัจจุบันตำบลนครเดิฐ มีพื้นที่ปกครองรวมทั้งหมด 11 หมู่บ้าน ที่ขยายมาจาก 4 หมู่บ้านเดิม อยู่ภายใต้การปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ แต่ละหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน ผู้ช่วย 2 คน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลประจำหมู่บ้าน 1 คน ที่มาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่เป็นคนประสานงาน อำนวยความสะดวก และจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณในการพัฒนาชุมชน

ในส่่วนของชุมชนบ้านดงจันทน์ครอบคลุมพื้นที่การปกครอง 2 หมู่บ้าน คือ หม่ 2 บ้านดงจันทน์ มีนายสมบัติ จันทร และหมู่ 9 บ้านหนองชาน (เพี้ยนมาจากหนองซ่าน) ที่มีนายธวัช สิงห์วงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน ทั้งหมู่ 2 และหมู่ 9 คือหมู่บ้านชุมชนเดียวกัน มีถนนสายศรีนคร-บ้านปลายราง พาดผ่านตรงกลาง แบ่งหมู่บ้านเป็นสองฝั่ง แม้ในส่วนของการปกครองจะแยกกัน และในส่วนของวิธีชีวิตและโครงสร้างทางสังคม ตลอดจนสำนึกร่วมของการเป็นสมาชิกชุมชนทั้ง 2 หมู่คือชุมชนเดียวกัน

ชุมชนนครเดิฐเป็นชุมชนเกษตรกรรม รายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งการขายพืชผลทางการเกษตร ได้แก่ อ้อย ข้าว ถั่วเหลือง เมล็ดพันธ์ผักบุ้ง มะม่วง โดยมีอาชีพบริการซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเกษตร เช่น ธุรกิจบริการโดรนรับจ้างฉีดยา ธุรกิจรถตัดอ้อย รถไถ รถบรรทุกชนส่งพืชผลการเกษตร ธุรกิจรถเกี่ยวข้าว รถเก็บเกี่ยวข้าวโพด รถอัดฟางก้อน

ข้อมูลจากองค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ ปี พ.ศ. 2566 ระบุถึงสัดส่วนการประกอบอาชีพาของประชากรในตำบลนครเดิฐ

ทำนา คิดเป็นร้อยละ 36.81

ทำไร่ คิดเป็นร้อยละ 59.50

ทำสวน คิดเป็นร้อยละ 3.69

การรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการส่วนใหญ่เป็นการรวมกลุ่มตามโครงสร้างของภาครัฐ เช่น

  • กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ประจำหมู่บ้าน  
  • กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน  
  • กลุ่มฌาปนกิจประจำหมู่บ้าน  
  • กลุ่มสมาชิกโรงเรียนผู้สูงอายุประจำตำบล  

การเป็นสมาชิกกลุ่มตามเงื่อนไขของการประกอบอาชีพ ซึ่งคนในกลุ่มเดียวกันก็จะมีกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เช่น การอบรม การไปประชุม หรือร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ

  • กลุ่มสมาชิกลูกไร่โรงงานน้ำตาลทิพย์สุโขทัย
  • กลุ่มสมาชิกโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์
  • กลุ่มสมาชิกชาวไร่อ้อยศรีสัชนาลัย
  • กลุ่มสมาชิกสหกรณ์นิคมนครเดิฐ
  • กลุ่มสมาชิกสหกรณ์การเกษตรอำเภอศรีนคร
  • กลุ่มลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจ ธกส.
  • กลุ่มสมาชิกฌาปนกิจของสหกรณ์การปฏิรูปที่ดิน

อย่างไรก็ตาม ด้วยพื้นฐานความเป็นสังคมเกษตรกรรม คนในชุมชนมีความใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ภายในชุมชนสมาชิกทุกคนมีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน ไม่มีความเหลื่อมล้ำ แม้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน ภายในชุมชนยังมีระบบการเอื้ออาศัยพึ่งพิงกันแบบสังคมชนบท

ปฏิทินชุมชนของนครเดิฐในรอบปี เรียงตามลำดับตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม

1) เดือนมกราคม เป็นการเริ่มต้นปีในฤดูหนาว งานประเพณีที่สำคัญคือการทำบุญใส่บาตรปีใหม่ ชาวบ้านจะตัดไม้ไผ่สีสุก เตรียมข้าวเหนียวใหม่ต้นฤดูมาเผาข้าวหลามไปใส่บาตรที่วัด นับเป็นการกินข้าวใหม่ฉลองฤดูการเก็บเกี่ยวที่ผ่านมา ข้าวหลามในฤดูนี้จะมีความหอมมันด้วยวัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาลจากไร่นา

ในด้านการประกอบอาชีพนั้น ถ้าเป็นชาวนาในช่วงนี้คือการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว พักดินเพื่อรอเพาะปลูกในรอบต่อไป แต่สำหรับชาวไร่อ้อย เป็นช่วงที่โรงงานน้ำตาลเปิดหีบเริ่มฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อย ที่เรียกว่าหน้าตัดอ้อย ภายในชุมชนจะคึกคัก มีรถราแล่นขวักไขว่ เสียงรถตัดอ้อยดังกระหึ่มอยู่ตามไร่อ้อยทั้งวันและทั้งคืน ร้านค้าต่างๆ เปิดจำหน่ายอาหาร น้ำแข็ง เครื่องดื่มชูกำลังจนดึกดื่น เป็นช่วงที่เศรษฐกิจในชุมชนคึกคักที่สุด

2) เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงคาบเกี่ยวของฤดูเก็บเกี่ยวที่ต่อเนื่องมาจากเดือนมกราคม  กิจกรรมทางอาชีพเช่นเดียวกับเดือนมกราคม คนที่เก็บเกี่ยวอ้อยแล้วก็เริ่มปลูกอ้อยแล้งรอบใหม่  ในส่วนของงานบุญประเพณี มีการทำบุญใส่บาตรวันมาฆบูชาเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ  งานบุญใหญ่ที่มีความสำคัญกับชุมชน คือ การนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ที่ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์  ซึ่งเป็นงานบุญสำคัญของภูมิภาคนี้  ผู้คนนิยมไปทำบุญไหว้พระ ชมมหรสพ การละเล่นต่างๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ได้เงินจากการขายผลิต ในงานนี้จึงนิยมมาซื้อหอม กระเทียม ข้าวเกรียบว่าว น้ำอ้อย ถั่วงา สมุนไพร เม็ดแมงลัก เพื่อตุนไว้กินทั้งปี รวมถึงการซื้อมีดพร้า จอบเสียม อุปกรณืการเกษตรใหม่ๆไว้ใช้งาน

3) เดือนมีนาคม เป็นช่วงสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จ ก็เป็นช่วงเก็บกวาดไร่นา  เผาตอซัง ใบไม้ใบหญ้า ทำความสะอาดไร่นา บ้านเรือน น้ำในหนองแห้งขอด วิดสระจับปลาทำปลาร้า ปลาเกลือ ปลาย่าง เก็บไว้กิน ชาวสวนมะม่วงเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งขาย  ซึ่งผลผลิตมะม่วงจะเริ่มออกตั้งแต่เดือนมีนาคตา และต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคมเริ่มเก็บมะม่วงสุกกวนส้มลิ้ม เริ่มเก็บนุ่นยัดหมอน สอยมะม่วงมะปราง ละมุด บ่มไว้ขาย แจกลูกหลานญาติมิตร ที่จะกลับมาบ้านในช่วงสงกรานต์

4) เดือนเมษายน เป็นช่วงพักจากงานไร่นา เป็นช่วงของการจัดงานบวชนาค ใส่บาตรตรุษไทย และวันสงกรานต์ ลูกหลานจัดพิธีรดด้ำดำหัวขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ละครอบครัวจัดเตรียมอาหารแก้บนเจ้าที่ ไหว้แม่ย่านางรถและอุปกรณ์การเกษตรเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้การทำมาหากินราบรื่น อาหารในช่วงนี้ นิยมทำขนมจีนน้ำยา ทำขนมต้มแดงต้มขาวไหว้แก้บน มีการเย็บบายศรี จีบหมากพลูจัดเป็นเครื่องเซ่นไหว้ ส่วนคนที่มีฝีมือในทางจักสานก็จะถักแห ซ่อมเครื่องมือจับปลา สานกระบุงตะกร้าไว้ใช้งาน เจ้าของเครื่องจักรกลการเกษตรต่างๆ เช่นรถไถ รถบรรทุก ก็ซ่อมแซม ตรวจเช็ค เปลี่ยนอะไหล่บำรุงเครื่องมือที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมาให้งานได้เหมือนเดิม

ในช่วงสงกรานต์ จะเป็นช่วงที่ลูกหลานญาติมิตรที่อยู่ห่างไกล กับมาเยี่ยมบ้าน บรรยากาศในชุมชนก็จะคึกคักเป็นพิเศษใครลูกหลานอายุครบบวชก็จะนิยมจัดงานบวชในช่วงนี้

5) เดือนพฤษภาคม เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ชาวไร่อ้อยเริ่มทำนุบำรุง ใส่ปุ๋ย พรวนดิน อ้อยในไร่ ส่วนชาวนา หรือคนที่เพาะปลูกพืชระยะสั้น เช่น ถั่ว ข้าวโพด เริ่มเตรียมดินรอน้ำฝนเพื่อทำการเพาะปลูก ส่วนงานบุญประเพณีในช่วงนี้ วัดต่างๆ นิยมจัดงานบุญสลากภัตร ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจัดสำรับอาหารคาวหวานใส่สำรับเครื่องถ้วยสวยงามใส่ในกระบุง แล้วพากันหาบเข้าวัด เพื่อจับสลากเสี่ยงทายพระที่รับกิจนิมนต์ฉันอาหารในสำรับนั้นๆ โดยมีความเชื่อว่าการทำบุญสลากภัตรเป็นการทำบุญโดยไม่เจาะจง ทำให้เกิดอานิสงฆ์มากกว่าการทำบุญทั่วไป นอกจากนี้ช่วงเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติ เป็นช่วงที่นิยมจัดงานมงคล เช่น จัดงานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ในชุมชนแต่ละหมู่บ้านจัดงานทำบุญกลางบ้าน ปั้นตุ๊กตาเสียกบาลแต่งเครื่องบัตรพลีทำบุญกลางบ้าน เพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีในปีที่ผ่านมา เซ่นไหว้ให้กับสัมภเวสี และเริ่มต้นรับสิ่งๆที่เป็นมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น

6) มิถุนายน เนื่องจากเข้าสู่ฤดูผล เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกเริ่มฤดูทำนาข้าว และนาผักบุ้ง ไถหว่าน เตรียมดิน ตีเทือกนา ปลูกอ้อยใหม่ ทำหญ้าอ้อย ใส่ปุ๋ยใส่ยา บำรุงพืชผลรับหน้าฝน หยอดพริก หยอดถั่ว ปลูกผักตามฤดูกาล เช่นมะเขือ แตงกวา แตงไทย ไว้กิน  กิจกรรมในชุมชนส่วนใหญ่ในช่วงนี้จะเป็นการทำงานเกษตรในไร่นา

7) เดือนกรกฎาคม เป็นช่วงฤดูฝนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไร่นาเขียวชอุ่ม  ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในชุมชน คือปริมาณฝนในช่วงนี้ หากฝนตกมาพอดีๆ ไม่แล้งจนเกินไป หรือไม่มากจนมีน้ำท่วม จะส่งผลให้พืชผลงอกงามสมบูรณ์ดี

นอกจากภารกิจในไร่นา ช่วงนี้มีงานบุญใหญ่ คืองานบุญเข้าพรรษา ชาวบ้านนิยมห่อข้าวต้มมัดใส่บาตรเข้าพรรษา ทำขนมจีนน้ำยาไปวัด เนื่องจากช่วงนี้ใบตองงามดี กล้วยก็ผลใหญ่รสชาติดี  สมุนไพรต่างๆ งอกงาม ปลาตามหนองคลองบึง ก็อุดมสมบูรณ์ ทำข้าวต้ม ขนมจีนน้ำยาได้รสชาติอร่อย

8) เดือนสิงหาคม เป็นฤดูเกษตรกรรม มักมีฝนตกชุก ชาวบ้านมักคอยคอยทำนุบำรุงพืชผล และเป็นช่วงกลางพรรษา ชาวบ้านถือคติไม่ยัดนุ่นยัดหมอน หากฝ่าฝืนจะทำให้เกิดกาลกิณี ทำมาหากินไม่ขึ้น

9) เดือนกันยายน เป็นฤดูเกษตรกรรม มักมีฝนตกชุก ชาวบ้านมักคอยคอยทำนุบำรุงพืชผล และเป็นช่วงกลางพรรษา ชาวบ้านถือคติไม่ยัดนุ่นยัดหมอน หากฝ่าฝืนจะทำให้เกิดกาลกิณี ทำมาหากินไม่ขึ้น

10) เดือนตุลาคม เป็นฤดูเก็บเกี่ยวพืชอายุสั้น เช่น ถั่ว ข้าว ข้าวโพด และงานบุญออกพรรษา งานแห่เทโว  เทศน์มหาชาติ  แต่งพวงมะโหตรตกแต่งศาลาเทศน์มหาชาติ  และงานบุญกฐิน

11) เดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวในนา ลมหนาวเริ่มมา น้ำท่ายังอุดมสมบูรณ์ เป็นช่วงจับปลา แปรรูปทำปลาร้า ปลาเกลือ จัดเตรียมดอกไม้ ใบตองทำกระทง ในงานลอยกระทง ช่วงนี้เป็นฤดูงานรื่นเริง

12) เดือนธันวาคม เริ่มฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผล ตัดอ้อย เกี่ยวข้าว ช่วงนี้จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ค่อยมีงาน

1) นายประสาท มาประสพ 

ผู้มาบุกเบิกพื้นที่ทำไร่อ้อย และตั้งโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยจากกลางไร่ส่งโรงงานน้ำตาล

เกิดเมื่อ พ.ศ. 2497  ที่บ้านหาดสองแคว อำเภอตรอน อุตรดิตถ์ เป็นลูกคนที่สองของนายป้าย นางจันทร์ มาประสพ  มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นครอบครัวมีเชื้อสายลาวเวียง จากเวียงจันทร์ ต่อมาพ่อแม่พามาค้าขายอยู่ที่ตลาดท่าสัก ชุมชนใหญ่ที่เป็นสถานีรถไฟ พ่อแม่มีบ้านไม้สองชั้นอยู่ข้างวัดท่าสัก ประกอบอาชีพค้าขายในตลาด สลับกับออกมาทำนาเวลาหน้านา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2504 หลังรัฐบาลประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 มุ่งเน้นการผลิตสินค้าแปรรูปเพื่อการส่งออกและส่งเสริมให้ผู้คนเข้าจับจองพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เคลื่อนความเปลี่ยนแปลงกระหน่ำเข้าสู่ทุกชุมชนที่ข่าวสารความเจริญเข้าถึง

ปู่ป้ายซึ่งมีลูกแล้ว 5 คน พร้อมกับญาติกลุ่มหนึ่ง เข้ามาบุกป่า หักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่ทำไร่ ณ ที่ราบผืนใหญ่ริมหนองน้ำ ระหว่างหนองส้านกับบึงสวย เขตตำบลนครเดิฐ รอยต่อของจังหวัดสุโขทัยกับอุตรดิตถ์

การบุกเบิกเป็นไปอย่างโหดร้ายท่ามกลางไข้ป่า ช้างป่า และอิทธิพลเถื่อนรอบด้าน ขณะที่กฏหมายยังมาไม่ถึงพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้ แต่ปู่คงมองเห็นโอกาสของความรุงเรืองล่วงหน้า จึงกลับไปรับประสาทลูกชายคนที่ 2 ที่กำลังเรียนชั้น ป.7 ให้ลาออกจากโรงเรียนในตลาดมาช่วยบุกเบิกไร่ การลาออกจากโรงเรียนกลางคันของเด็กหนุ่ม คือการเสียสละอย่างใหญ่หลวงอย่างไม่เต็มใจ และกลายเป็นปมในใจ จนกระทั่งปู่ป้ายตายจากไป

ปู่ป้ายกับลุงประสาท บุกเบิกที่ดินบริเวณริมบึงสวยด้วยเครื่องมือเพียง มีด จอบ เสียม กับป่ารก และดินแข็งๆ จนกระทั่งสามารถเป็นเจ้าของที่ดินแปลงสวยผืนเดียวติดกันเกือบร้อยไร่...ความจริงแล้วปู่ป้ายเข้าไปบุกเบิกที่ดินลึกกว่านี้ เป็นที่ดินผืนใหญ่กว่านี้ แต่มีทั้งเสือ ทั้งโจร นักเลงท้องถิ่น ที่ทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด จำใจทิ้งที่ดินนั้น และออกมาจับจองที่ดินริมบึงผืนปัจจุบัน

ด้วยความอุตสาหะ เมื่อทุกอย่างเข้าที่ ปู่ป้ายกลับไปรับย่าจันทร์และลูกๆ คนอื่นๆมาลงหลักปักฐาน ณ ดินแดนแห่งใหม่ ในฐานะพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่อ้อยใหญ่ มีโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยเป็นน้ำเชื่อมบรรจุปี๊บส่งขึ้นรถไฟเข้าโรงงานน้ำตาลที่บ้านท่าสัก มีคนในหมู่บ้านจำนวนมากเข้ามาเป็นคนงานเคี่ยวน้ำอ้อยของโรงงานตาป้าย

ในสังคมชาวไร่ยุคนั้น ปู่ป้ายนับว่าเป็นคนมีฐานะคนหนึ่ง เป็นเจ้าของบ้านกลางไร่ขนาดใหญ่ใหญ่ อยู่ห่างไกลผู้คน จนตัองขนลูกรังมาอัดทำถนนเป็นทางสัญจรเข้าสู่โรงงาน มีโรงงาน มีรถบรรทุก รถอีแต๋น มีคนงานหลายสิบคนที่ต้องดูแล นับว่าเป็นคนใหญ่โต กว้างขวาง สร้างตำนาน "โรงงานตาป้าย" ให้เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของดินแดนบ้านไร่แห่งตำบลนครเดิฐแห่งนี้  ซึ่งต่อมาโรงงานน้ำตาลที่บ้านท่าสักได้ปิดกิจการลง เนื่องจากสู้โรงงานน้ำตาลวังกะพี้ ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ไม่ได้ โรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยของปู้ป้ายก็ปิดกิจการลงด้วยเช่นกันปู่ป้ายและครอบครัวทำไร่อ้อยส่งโรงงานน้ำตาลวังกะพี้ โดยปู่ป้ายได้เข้าไปทำงานที่โรงงานในตำแหน่งนักสำรวจ ทำหน้าที่สำรวจจำนวนชาวไร่ ปริมาณอ้อยที่ปลูกในแต่ละปีและทำหน้าที่กำหนดโควต้าให้กับชาวไร่แต่ละราย เพื่อให้โรงงานสามารถคาดการณ์ผลผลิตในแต่ละปี และจัดทำระบบส่งเสริมสนับสนุนชาวไร่อ้อยอย่างเป็นระบบ

เมื่อลุงประสาทเติบโตและมีครอบครัว ได้ประกอบอาชีพทำไร่อ้อยตามรอยครอบครัว และใช้การทำไร่อ้อยเป็นอาชีพหลักในการเลี้ยงดูครอบครัวตลอดมา ในพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์มีโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ถึงสองแห่ง คือ โรงงานน้ำตาลวังกะพี้ และ โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ลุงประสาทได้ไปซื้อที่ดินขยายพื้นที่ปลูกอ้อยที่ตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่มีการปลูกอ้อยแปลงใหญ่จำนวนมาก ซึ่งต่อมารัฐได้เข้ามาจัดสรรที่ดินที่ชาวบ้านบุกเบิกทำไร่ให้เป็นพื้นที่ สปก. ในปี พ.ศ. 2526

จนกระทั่งโรงงานน้ำตาลวังกะพี้ปิดกิจการ กลุ่มบริษัทไทยเบฟเข้ามาซื้อกิจการโรงงานและตั้งเป็นโรงงานน้ำตาลทิพย์สุโขทัย ลุงประสาทก็เข้ามาเป็นลูกไร่ของโรงงานน้ำตาลทิพย์สุโขทัยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

2) นางฉลวย บุญประดับ

ปราชญ์ชุมชน และครูภูมิปัญญาเจ้าของตำรับการทำน้ำพริกลาบสูตรสุโขทัย

ป้าฉลวย อายุ 86 ปี  เกิดปี พ.ศ. 2482

เดิมป้าฉลวยเป็นคนบ้านแก่งบ้าน-บ้านวังสะโม อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ มีเชื้อสายลาวเวียง มีญาติอยู่บ้านหาดสองแคว ซึ่งมีคนหาดสองแควมาบุกเบิกทำไร่ที่ดงจันทน์หลายคน พี่สาวของป้าหลวยมาได้สามีอยู่น้ำขุม ป้าหลวยไปเที่ยวบ้านพี่สาวก็เลยไปเจอกับลุงประนอม บุญประดับ ผู้เป็นสามี และตัดสินใจผูกข้อมือแต่งงานอยู่กินกันที่บ้านดงจันทน์ ลุงนอมกับเครือญาตินับว่าเป็นคนบ้านดงจันทน์ดั้งเดิม เกิดที่บ้านดงจันทน์ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายอยู่ที่บ้านดงจันทน์ ตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นป่า บ้านเดิมของบ้านบรรพบุรุษครอบครัวบุญประดับน่าจะอยู่ทางสวรรคโลก แต่ว่ามาตั้งรกรากอยู่ตรงจันทน์นานแล้ว  มีกลุ่มบ้านของเครือญาติอยู่ตรงข้างซอยโรงงานเถ้าแก่กิม มีบ้านหลายหลังของพี่น้องลุงนอมปลูกเรียงกัน มีลุงนอม ป้าเหลียว ยายผิว ตาแหยม ยายพัน

สำหรับการเดินทางในอดีต ตอนที่ป้าหลวยเดินทางจากบ้านแก่งมาหาพี่สาวที่น้ำขุม ป้าหลวยเดินทางมาทางรถไฟขึ้นจากสถานีท่าสักมาลงที่สถานีคลองมะพลับ แล้วจีงเดินเท้าตามทางเกวียนมาที่บ้านน้ำขุม-บ้านดงจันทน์ หลังแต่งงานป้ามาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีพี่มีน้องคนอื่นตามมา แต่มีพี่สาวอยู่บ้านน้ำขุมและอีกคนแต่งงานอยู่สวรรคโลก ส่วนพี่น้องที่เหลืออีกสามคนยังอยู่ที่บ้านแก่ง ซึ่งเป็นพื้นเพเดิมของครอบครัว

พอแต่งงานกับลุงนอมแล้ว ป้าหลวยกับลุงนอม มีลูกเจ็ดคนทำอาชีพรับจ้าง มีทำไร่ของตัวเองบ้างแต่ไม่มาก เน้นรับจ้างเป็นหลัก ทำไร่อ้อยแล้วก็ทำนาข้าวไว้กินบ้าง มีที่ดินอยู่ข้างในทั้งหลังบ้านใกล้หนองตาชู แล้วก็มาซื้อที่แปลงนี้ 10 ไร่ แต่ตอนนี้หนองตาชูแห้งหมดแล้วกลายเป็นไร่อ้อยไม่เหลือสภาพหนองน้ำแล้ว

เมื่อก่อนในตำบลนนครเดิฐมีบึงมีหนองเยอะ การตั้งถิ่นฐานก็จะนิยมอยู่กันตามริมบึง มีพวกอยู่ริมหนองซ่าน พวกริมบึงสวย พวกใกล้หนองนาก เนินกระเซา ก็อยู่ใกล้หนองตาชู นิยมทำไร่อยู่ตามริมหนอง หน้าฝนหยอดข้าวทำข้าวไร่ไว้กิน

ลูกคนโตป้าหลวย คือ นางส้มจีน ฉัตรธง หรือน้าแป๊ว เกิดปี พ.ศ. 2500 เกิดที่บ้านดงจันทน์เข้าเรียนโรงเรียนศาลาวัดดงจันทร์ถึง ป.3 จากนั้นก็มีการสร้างโรงเรียนแห่งใหม่เป็นโรงเรียนบ้านดงจันทร์ก็ย้ายมาจบ ป. 4 ที่โรงเรียนใหม่

ในอดีตเมื่อว่างจากการทำไร่ทำนา ครอบครัวของป้าหลวยและญาติ ไปทำรับจ้างเป็นคนงานโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยของเถ้าแก่กิมเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้กับโรงงานเถ้าแก่กิม คนเมื่อก่อนส่วนมากก็จะทำของตัวเองก่อนถ้าหมดงานตัวเองถึงจะไปรับจ้างก็ทำงาน

ที่โรงงานเถ้าแก่กิน เถ้าแก่กิมได้กับป้าแย้มคนในหมู่บ้าน มีลูกหนึ่งคนแต่ว่าลูกหลานคนอื่นๆไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วไม่รู้ว่าเถ้าแก่กิมเป็นคนที่ไหนแต่ว่ามาอยู่ที่นี่ก็มีโรงงานเถ้าแก่กิมแล้ว เครือญาติของลุงประนอมที่ไปทำงานและตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กัน คือครอบครัวนามสกุล จันทร จันทร์วิลัย นอกจากนี้ลุงนอมยังนับถือเป็นเกลอกันกับลุงแดง ลูกเขยตาฟอง ม่วงทิม ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ซึ่งการเป็นเกลอเท่ากับการนับถือกันเหมือนพี่น้องจริงๆ

ลูกคนเล็กของป้าหลวยชื่อพี่นุชเกิด พ.ศ. 2515 (รายละเอียดลูกของป้าหลวยให้ดูในผังเครือญาติ) ลูกตายไปแล้วสองคนเป็นความดันตาย กินเหล้าตาย

ส้มจีน ฉัตรธง แต่งงานกับนายปอน ฉัตรธง มีลูกสองคนคือชูชาติกับพิเชษฐ์ พอนายปอนด์ตายตอนอายุ 34 ก็แต่งงานใหม่มีลูกสาวฝาแฝดสองคน คือ นิดกับนิว  สามีใหม่มีอาชีพค้าขายมีความคล่องตัวค้าขายเก่งแต่เจ้าชู้ก็เลยเลิกรากันไป 

จุดเริ่มต้นทำน้ำพริกลาบสูตรป้าหลวย

เดิมป้าหลวยเป็นคนทำกับข้าวแบบขาวบ้านทั่วไป ไม่มีสูตรตายตัว ใช้วิธีจำๆทำตามกัน ไม่พิถีพิถันจุดเริ่มต้นทำน้ำพริกแกงน้ำพริกลาบของป้าหลวยเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของชาวบ้าน มีเกษตรอำเภอมาอบรมเอาสูตรน้ำพริกมาให้ สอนขั้นตอนการทำอย่างละเอียด และแต่งตั้งป้าหลวยเป็นประธานกลุ่ม อบรมที่บ้านลุงเกษมป้าเนียง ตอนแรกทำกันอยู่ 10 คน

การทำนำพริกให้ได้สูตรมาตรฐาน มีขั้นตอนเยอะต้องปอกหั่นข่าตะไคร้ ต้องล้างให้สะอาดหอมกระเทียมแกะให้เรียบร้อยแต่ทำไปทำมาคนหายไปหมดเพราะว่ามันยุ่งยากกว่าจะหาข่าหาตะไคร้หาเครื่องครบ แต่ป้าหลวยชอบก็เลยทำเรื่อยๆ สืบทอดทำมาเกิน 20 ปีแล้ว ไปขายที่ตลาดนัดหนองแหน มีลูกค้าประจำแต่ปัจจุบันทำน้อยลงเพราะแก่แล้วทำไม่ไหวพอสมาชิกหายหมดเราก็เลย รับมาทำเองกลายเป็นกิจการของเราเอง ซึ่งตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านก็กินน้ำพริกป้าหลวยเป็นหลัก

“จากที่อบรมด้วยกัน 10 คน ตอนนี้ไม่มีใครทำจริงจัง มีเราจริงจังคนเดียวก็เลยกลายเป็นอาชีพหลักของเราไปแล้ว เมื่อก่อนทางเกษตรอำเภอมีเครื่องมาให้เครื่องปั่น แต่ว่าพอทำไปทำมาเครื่องชำรุดเค้าก็เก็บไปหมดเราก็ต้องซื้อเครื่องเอง เวลาที่ได้งบ อบต. หรืองบหน่วยงานมาพอถึงเวลาเค้าก็เก็บไป"

คิดว่าที่คนอื่นๆ เค้าไม่ค่อยทำน้ำพริกเพราะมันเป็นงานละเอียดงานประดิษฐ์ประดาเยอะ หลักๆที่ทำคือ น้ำพริกลาบ พริกแกงแดง แล้วก็แกงส้ม แต่ส่วนใหญ่ก็จะทำอยู่สองอย่างพริกลาบกับพริกแกง พริกลาบของทางบ้านเราเป็นพริกลาบสุโขทัยไม่ใส่มะแข่น เป็นลาบคั่ว ลาบแบบนี้เรากินแบบนี้เราไม่รู้ว่าต่างกับคนอื่นยังไงแต่พอไปกินลาบบ้านอื่นเค้าทำไม่เหมือนบ้านเรา

ส่วนบทบาทหน้าที่อื่นๆ ตอนนี้ป้าหลวยเป็นประธานโรงเรียนผู้สูงอายุ หมู่ 9 ตำบลนครเดิฐซึ่งเป็นการรวมกลุ่มไปทำกิจกรรมที่ อบต. เดือนละสองครั้ง จริงๆแล้ว เมื่อก่อนป้าหลวยก็รับหน้าที่หลายๆอย่างในหมู่บ้านเพราะมีความเป็นผู้นำ มีความคล่องตัวคุยเก่ง ตอนนี้อำนวยบุญประดับหรือพี่อู๋ลูกของป้าหลวยซึ่งเป็นช่างซ่อมปะยางประจำหมู่บ้าน ก็เข้าไปเป็นสมาชิกของโรงเรียนผู้สูง ผู้สูงอายุประจำหมู่บ้านเพราะว่าจะต้องขับรถคอยไปรับส่งป้าหลวยอยู่แล้วก็เลยไปด้วยกั ตอนนี้ไม่ค่อยมีสมาชิกเข้าโรงเรียนผู้สูงอายุเพราะทุกคนมีเหตุผลต่างๆกันบางคนสุขภาพไม่ดีบางคนมีงานบางคนไม่มีเวลามีสมาชิกอยู่ 14 คน

กลุ่มผู้สูงอายุตั้งขึ้นในสมัยผู้ใหญ่ถวิล สิงห์วงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่ถวิลเป็นประธานแต่พอผู้ใหญ่ถวิลตาย ป้าหลวยเคยเป็นรองประธานก็เลยมาเป็นประธานแทนจนกระทั่งบัดนี้  เมื่อก่อนพอมีเวลากองทุนหมู่บ้านก็เป็นสวัสดิการ เป็นคนที่ทำงานกับพวกงานพัฒนาให้ความร่วมมือกับชุมชน เป็นกรรมการหมู่บ้านและอีกหลายตำแหน่งในหมู่บ้านทำงานกับอบต. คุ้นเคยกับคนที่อบต.

เมื่อก่อนป้าหลวยเป็นร้านของชำประจำหมู่บ้านขายทุกอย่าง และป้าหลวยยังทำหน้าที่เป็นนายหน้าให้คนไปกู้เงินเถ้าแก่แล้วเค้าจะมีเปอร์เซ็นต์ให้เรา เถ้าแก่คิดดอกเบี้ยเรา 3 บาท เราก็มาคิดเขา 5 บาท แต่ว่าทำไปทำมาคนไม่ไปใช้หนี้เราก็เลยกลายเป็นหนี้เถ้าแก่แทน ก็เลยต้องเลิกทำไป ปัจจุบันป้าหลวยมีอาชีพหลักในการทำน้ำพริกลาบ น้ำพริกแกงเผ็ด ซึ่งน้ำพริกของป้าหลวยเป็นเอกลักษณ์ของอาหารตำบลนครเดิฐ เป็นที่นิยมในการกินใช้ในครัวเรือน ซื้อไปเป็นของฝาก ติดครัวเมื่อไปอยู่ที่อื่นแทนรสชาติของบ้านเกิด ตลอดเวลาที่มีงานบุญ ที่ต้องทำกับข้าว ก็ต้องใช้น้ำพริกของป้าหลวยเป็นสารตั้งต้นในการทำกับข้าวในงานบุญ

3) ทองสุข  ดีประเสริฐ 

เกิด พ.ศ. 2488 ปัจจุบันอายุ 80 ปี

ป้าสุขเป็นลูกนายสงกา แม่ชื่อนางเสา กำภาพันธ์  มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน นามสกุลนี้ไม่ค่อยมีคนใช้เพราะมีแต่พี่น้องผู้หญิง ครอบครัวของป้าสุขเป็นคนมาจากท่าตะโกนครสวรรค์ เป็นลาวพูดภาษาลาว ไม่แน่ใจว่าเป็นลาวอะไรเค้าเรียกกันว่าลาวใต้ (รายชื่อพี่น้องดูในผังเครือญาติ)

น้องคนเล็กคือน้าปื๊ด พอคลอดลูกเสร็จแม่ก็เป็นลมตาย ก็ช่วยกันเลี้ยงน้องมาแล้วกำนันด่วนมารับเลี้ยงน้าปื้ดเป็นลูกบุญธรรม 

“เราอยู่ท่าตะโก ไม่มีที่ทำกินก็ค่อนข้างลำบาก นั่งรถไฟมาทำมาหากินอยู่ท่าสักแล้วได้ข่าวว่าทางดงจันทน์ที่ดินอุดมสมบูรณ์  เปิดให้จับจองคนทางท่าสัก หาดสองแควมาจับจองกันเยอะก็เลยตามมากับเค้าบ้าง มีคนร่ำลือกันว่าดวงจันทน์ที่กว้างขวาง ไม่มีเจ้าของใครอยากได้ที่แค่ไหนถางได้ก็ถางเอา  เราก็เลยมาจับที่ทางนี้กับเค้าบ้าง ตอนมาถึงใหม่ๆแถวนี้เป็นที่รกร้าง มีแต่บึงมีปลา มีช้างเยอะมากแล้ว ตอนแรกไปอยู่กันที่เขาอีแมว(เขากา) เสือแมวเป็นเสือจี้ปล้นท้องสามเดือนโดนตำรวจยิงตาย สมัยนั้นแถวนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีเสือจี้ปล้น"

จากท่าสักก็มารถไฟสายสวรรคโลกมาลงที่คลองมะพลับ ด้วยฐานะยากจน มาถึงทางนี้ปลูกข้าวพอได้กินปลูกอะไรก็ได้ ดินฟ้าอากาศมันดี น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็ได้กิน ตอนทำก็ทำทั้งไร่ทั้งนาทำข้าวไว้กินที่ดอนมาหน่อยก็ปลูกถั่วปลูกฝ้าย  เจ็บป่วยก็ไปสุขศาลา เมื่อก่อนเค้าไปขุดพระหาของเก่าขายกันที่ต้นมะยมสองตอ. ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน เราก็ตามไปขุดกับเขา ทำงานทุกอย่างที่พอเลี้ยงตัวได้ทั้งรับจ้างตัดอ้อยไปขุดพระใครเค้าทำอะไรก็ทำตามกัน

แม่ก็ท้องอยากรวยก็ไปขุดกับเขาแม่ไปขุดพระเอาน้ำติดไปขวดนึง คนเมื่อก่อนน่ะลำบากยากจนทุกข์ยาก ตรงไหนมีที่ทำกินอุดมสมบูรณ์ก็พากันมา  พอแม่ตายพ่อมีเมียใหม่เค้ามีบ้านเมียใหม่ที่บึงพระก็เลยมาอยู่ตรงหนองซ่าน ลุงสนิท ดีประเสริฐ สามีก็เป็นญาติๆ มาจากทางโน้นด้วยกันมาจากท่าตะโกด้วยกันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คนเมื่อก่อนส่วนมากก็ได้กันในกลุ่มญาติพี่น้อง

ช่วงนั้นมีญาติพี่น้องที่มาจากท่าตะโกนครสวรรค์ด้วยกันหลายคนเหมือนกันนัดกันมา บ้านตาสนั่น ชิมชลก็เป็นญาติกัน เมื่อก่อนอยู่หนองส้านด้วยกัน ตอนหลังถึงออกมาถนนใหญ่

เมื่อก่อนเวลามามากันเยอะก็เป็นลูกป้าลูกลุงก็มีลูกมีหลานกัน ป้าเป็นลาวใต้ ทางบ้านตาจ๋อยยายเริญเป็นลาวขี้ครั่ง มาจากเพชรบูรณ์ พูดลาวเหมือนกัน ทางบ้านนี้เรียกอร่อยว่าแซ่บ เมื่อก่อนก็อยู่กันที่หนองซ่านซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้ลูกเต้าก็แตกกันไปหมดแล้ว

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นชัดเจนก็คือช่วงหลังจากที่มีไฟฟ้าที่ดวงจันทร์มีไฟฟ้ามาปี 2526 เพราะมีถนน เพราะตัดถนนมีไฟฟ้า คนก็เริ่มย้ายออกมาเรื่อยๆ อย่างที่ดินที่อยู่ตรงนี้ ก็คือมาซื้อกำนันด่วน ย้ายจากข้างในหนองซ่าน ตาด่วนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่พอรับน้าปื๊ดมาเป็นลูกเลี้ยงก็เลยชวนพี่ๆ ของน้าปื๊ดมาอยู่ด้วยกันใกล้ๆ เพื่อจะได้ดูแลกันเวลาที่พ่อแม่ตายหมด แบ่งที่ขายให้คนละสองไร่ตอนนั้นราคาซื้อขายไร่ละ 20,000 บาท กำนันบอกว่าลูกหลานจะได้ดูโทรทัศน์กับ เค้าออกมาอยู่ข้างนอกกันเถอะจะชาร์จแบต โทรทัศน์เดี๋ยวก็หมดเดี๋ยวก็หมดข้างในไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา

ตอนป้าเด็กๆ เดินไปเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองแหนใช้เดินลัดไปข้างหลังบึงไปเพราะบ้านเมืองเริ่มเจริญ กำนันด่วนก็ชวนมาอยู่ตรงที่เป็นบ้านปัจจุบันบอกว่าลูกหลานจะได้ดูโทรทัศน์กันมั่ง ป้าทองสุขกับลุงสนิทมีลูกสามคนคือ สมจิตร วาสนา แล้วก็จเร 

ป้าทองสุกบอกว่าข้อดีของดงจันทน์ ก็คือความอุดมสมบูรณ์ทำอะไรก็ได้กินปลูกอะไรลงดินก็ได้กินหมดปูปลาก็หากินง่าย ตอนเค้าทำอ้อยกันป้าก็ทำ 10 กว่าไร่ มีที่ไม่เยอะเมื่อก่อนไม่ได้มีรถราสะดวกสบายเหมือนอย่างนี้ตอนทำอ้อยไม่มีรถ  เรื่องทำมาหากินเราก็ทำทุกอย่าง ทำนาบ้าง ปลูกอ้อยมั่งตัดอ้อยมั่งออกตัดอ้อยไม่มีรถลาก คนส่วนใหญ่ก็ตัดอ้อยเมื่อก่อนรถก็ไม่มีลากก็ต้องใช้คนงานตัดอ้อยเดี๋ยวนี้รถก็ไม่มีคนก็หายาก 

เรื่องการกินอยู่ อาหารการกินบ้านป้าเป็นกับข้าวธรรมดาทั่วไป กินผัก กินแกงส้ม แกงเลียงทั่วๆไปแต่เดี๋ยวนี้ก็กินลาบ เราอยู่ใกล้บึงเราก็จะกินแกงส้มเยอะ ทำปลาร้า ปลาเค็มไว้ เพราะปูปลามันหาง่ายกิน หวานกินมันขนมนมเนยก็กินเป็นปกติ 

(ครอบครัวป้าแย้มเป็นลูกตาย้วน ยายแก๊สมีพี่น้องคือ ยายแย้ม ยายยิ้ม ประดิษฐ์) ครอบครัวป้าทองสุขมีที่ดินไม่เยอะเพราะว่ามีแต่ลูกสาวถ้าใครมีลูกชายหลายคนก็จะฟันที่เยอะๆเป็นร้อยๆไร่แต่บ้านป้ามีแต่ผู้หญิงก็มีที่นิดเดียว

ความเปลี่ยนแปลงของชุมชนในสายตาป้าทองสุก

คนทางนี้ก็มาจากหลายที่  มีหลายพวก อย่างตาย้ายกำนันด่วนมาจากหนองแหนแล้วเค้าก็มีที่ดินเยอะ บ้านเก่าที่หนองซ่านเดี๋ยวนี้กลายเป็นไร่อ้อยหมดแล้วไม่มีบ้านคนเลย เดี๋ยวนี้เหลือบ้านแค่หลังเดียว ยายฝ้ายายฟ้อนเป็นหลานตาย้ายยายแจ่มมาเกี่ยวดองกันตอนรุ่นลูกหลานมาได้กัน ตาย้ายเป็นเศรษฐีที่ดินมีที่ดินมากที่สุดฝั่งนี้เป็นที่ของกำนันด่วนยาวไปแล้วก็มีถนนคั่นกลางฝั่งนี้ไปจนถึงหนองส้าน คือเป็นที่ดินของตาย้ายทั้งหมดเป็นเจ้าของที่รายใหญ่ ชีวิตป้าอาภัพ พอจะเริ่มสะดวกสบายหน่อยเดี๋ยวนี้พ่อแม่ก็มาตายไปหมดที่สมัยก่อนมันไม่ค่อยมีราคาที่มันกว้างขวางมีก็แบ่งกัน ตอนที่กำนันแบ่งให้ก็ขายให้ไร่ละ 20,000 ก็เลยให้พี่ให้น้องมาอยู่เป็นเพื่อนกันจะได้ดูแลกัน

4) ป้าพัน อ่อนสา อายุ 84 ปี

ครูภูมิปัญญาชุมชน ช่างทำบายศรี ร้อยพวงมะโหตร ถักยอ สานลอบ สานตะกร้า กระบุง

ป้าพันเป็นลูกของยายแจ่ม ยายแจ่มเป็นน้องของตาย้ายซึ่งเป็นคนแรกๆที่มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านดงจันทน์ ตาย้ายเป็นคนหนองแหน มีบ้านอยู่หนองแหนมีพี่น้องหลายคน พอพ่อแม่ตายหมดก็มาบุกเบิกที่ดิน ที่บริเวณบ้านดงจันทน์ได้เป็นจำนวนมากและพาพี่พาน้องมาอยู่ 

ยายแจ่มกับตาเหลี่ยม พ่อแม่ของป้าพันก็มาจับจองที่ดินพร้อมพร้อมกับตาย้าย กำนันด่วน ลุงแหลม ลุงย้าย ตาเบี้ยวพ่อตาแบน คนกลุ่มนี้มาจากบ้านหนองแหน  แล้วมีทางบ้านตาเจ๊กประมาณมาจากทางสวรรคโลก ไม่เกี่ยวข้องกันกับทางฝั่งบ้านตาย้าย ตาเหลี่ยมมาฟันที่ได้ 10 กว่าไร่ เป็นที่แปลงเดียวกันแล้วก็ยาวไปถึงข้างล่างแต่ต่อมามีถนนตัดผ่ากลาง ส่วนยายบินตาเบี้ยวเป็นพี่น้องยายเรืองเมียตาย้ายอีกที ตอนแรกที่มาอยู่ดงจันทน์ก็ทำข้าวไร่ หยอดข้าวไว้กินบ้างปลูกถั่วบ้างปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้กินไม่ต้องรดน้ำปลูกไปก็ได้กินรถ ต่อจากนั้นมีพวกตาป้ายมาทำโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยเป็นรุ่นหลังย้ายมาที่หลัง รุ่นตาย้ายมามันแทบไม่มีใครถือเป็นคนกลุ่มแรกคนที่มาบุกเบิกสร้างหมู่บ้านดงจันทน์ทางฝั่งตะวันตก 

ป้าพันเป็นลูกติดยายแจ่มก่อนมาได้กับตาเหลี่ยม พ่อป้าพันนามสกุลเดิมว่าศรีสวัสดิ์เป็นคนอยุธยาเป็นนายตรวจตั๋วรถไฟ ได้กับยายแจ่มตอนอยู่บ้านเดิมที่ไผ่ล้อมไผ่เขียว พอพ่อถูกยิงได้ ยายแจ่มมาได้กับตาเหลี่ยม ป้าพันจึงมาใช้นามสกุลเงือกน้ำ พอแต่งงานกับลุงพันผู้เป็นสามี จึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลอ่อนสา ลุงพันเป็นคนพิจิตร อพยพมาจากพิจิตรมาอยู่ที่หนองส้าน มีญาติพี่น้องที่มาด้วยกัน คือ ยายทองสุก ยายรำ ตากาส่วนพวกตาจ่อยยายเริญ พ่อทิดรถ มาจากเพชรบูรณ์พวกนี้เป็นเป็นลาวขี้ครั่ง เมื่อก่อนไม่มีที่อยู่ก็มาแบ่งกันจากคนที่จับจองไว้แล้วคนละไร่สองไร่เพื่อปลูกบ้าน พวกคนมาใหม่มาทีหลังจะไม่มีที่ทำกิน ส่วนใหญ่มารับจ้าง ถ้าเป็นคนพื้นก็จะมาบุกเบิกที่ก็จะมีไร่เยอะ

จุดเริ่มต้นเป็นหมอทำบายศรี

ป้าพันแต่งงานเมื่ออายุเริ่มวัยสาว ลุงพันมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำไร่เหมือนคนอื่นๆ เป็นหมอกระเป๋ารับฉีดยาตามบ้านทั่วไปไม่ได้ไปเป็นคนงานตัดอ้อยหรือว่าใช้แรงงานเหมือนใครๆ วันๆ คนก็มาตามมาหาไปฉีดยาตามไร่ในหมู่บ้านบึงสวยบึงงาม สมัยก่อนเดินทางไปรงพยาบาลลำบากคนนิยมใช้บริการหมอกระเป๋าฉีดยาตามบ้าน

ยายแม น้องสาวของยายแจ่ม อยู่บ้านปากอ่าว เป็นหมอทำบายศรีทำงานฝีมือทำพวงมะโหตร เป็นหมอที่ไปขึ้นครูมา  ป้าพันช่วยน้าแมทำงานจนมีความชำนาญเชี่ยวชาญ เวลาทำบายศรีจีบหมากพลูเตรียมเครื่องครบ บายศรีมีหลายอย่างใช้งานตามประเพณี ป้าพันไม่รู้หนังสือเพราะมัวเลี้ยงน้องจึงไม่ได้ไปโรงเรียน พอทำบายศรีคล่องก็ไปครอบครูกับลุงแม้นที่หนองแหน 

การครอบครูก็ต้องเตรียมเหล้าขวดนึง ยาซองนึง หมากพลูสามคำ สตางค์ 12 บาท พอเราครอบครูแล้วเราก็ทำทุกอย่างได้หมด แบบที่มันทำได้เอง เหมือนมีคนจับมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการปั้นหุ่นตุ๊กตาเสียกบาลจะพับบายศรีทำอะไรต่างๆ มันเหมือนเรารู้ไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างที่เค้าบอกกันว่าของมีครู เรามีครูเราหยิบจับอะไรเราก็ทำได้หมด คือถ้าคนไม่ครอบครูเค้าก็ทำตามขั้นตอนที่หัดมา แต่ถ้าเราครอบครูมาแล้วมันทำได้เองจากข้างใน เหมือนมีคนจับมือทำ

การปฏิบัติตนของคนมีครู

คนมีครูเวลาเราจะเอาของใบบายศรีของเซ่นไหว้มากิน เราต้องยกมือขอ แต่ถ้าเราทำผิดซักอย่างหรือลืมถ้าเราทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ครบถ้วน มันจะหล่นมันจะเสื่อม ตั้งบายศรีไปมันก็จะพังถ้าเราทำไม่ครบถ้วนตามที่ครูบอก ขาดยาซองนึงของไม่ครบหรือว่าลืมอะไรซักอย่างนึงมันจะไม่ราบรื่น ทำให้ล้มทำให้หล่นมันจะล่มเราจะรู้สึกตัวไปเองว่าอ๋อที่เราทำมันขาดเราหลงหลงลืมอะไรไปบ้าง

เวลาวันพระต้องมีไหว้ครูเอาเงิน 12 บาทใส่พานให้ครู เพราะเราครอบครูแล้วเรามีครูเราต้องคอยไหว้ป้าพันไม่ได้เรียนหนังสือเพราะว่าน้องเยอะไม่ได้ไปโรงเรียนมัวแต่เลี้ยงน้อง ทำได้ได้แค่เขียนชื่อแต่อ่านหนังสือไม่ออก พอจะไปโรงเรียนพ่อบอกว่าลูกผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียน แม่ก็ไม่สนับสนุนแม่ให้เราคอยดูน้องคอยช่วยงานที่บ้าน เราเลี้ยงน้องอยู่บ้านพ่อแม่ไปตัดอ้อย แต่ก็ไม่รู้ทำไมพอเราไปเรียนอะไรเราก็ได้หมด ไปโรงเรียนผู้สูงอายุเค้าสอนเค้าบอกอะไรเราก็ทำได้หมดเข้าใจทุกอย่างทั้งที่ไม่รู้หนังสือ แต่หลายคนก็มาขอเรียนวิชาหลายๆอย่างด้วย

5) นางปราณี  ม่วงทิม

เกิด พ.. 2494 ที่บ้านหนองผา อำเภอเมือง อุตรดิตถ์ พ่อแม่พาย้ายจากบ้านหนองผาไปบ้านดงจันทน์ เมื่ออายุ 10 ขวบ เนื่องจากพ่อแม่มีลูกหลายคน ที่ดินที่หนองผาเป็นดินแดง เพาะปลูกได้ไม่ดี ญาติพี่น้องของพ่อจากบ้านดงสระแก้ว ไปบุกเบิกจับจองที่ดินที่ดงจันทน์ ร่ำลือกันว่าที่ดงจันทน์ดินดี น้ำท่าสมบูรณ์ พ่อเลยพาลูกเมียขนของขึ้นล้อเทียมวัว มาอยู่กับลุงเจือ ที่มาอยู่ก่อน ขายนาที่บ้านดงสระแก้ว มาซื้อที่ดินต่อจากตาเฉย 

ป้าปราณีเล่าถึงสภาพหมู่บ้านในขณะนั้นว่า สภาพโดยทั่วไปของหมู่บ้านมีต้นจันทน์ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเนื้อแข็งขึ้นเป็นดงมีผลเป็นทรงกลม มีกลิ่นหอมรสหวานฝาดเด็กๆ ชอบกิน  สมัยนั้นบ้านเรือนมีไม่มากต้องกระจายเป็นหย่อมหย่อมเรียกว่าหย่อมบ้าน แต่และหย่อมบ้านจะเป็นเครือญาติหรือเพื่อนบ้านที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน  ชาวบ้านกลุ่มแรกเริ่มมาสร้างถิ่นฐานที่บ้านดงจันทน์เป็นการขยายพื้นที่ทำกินมาจากบ้านหนองแหนและน้ำขุม  ซึ่งในขณะนั้นแถวดงจันทน์เป็นที่ดินรกร้างไม่มีกรรมสิทธิ์ใครถางป่าได้เท่าไหร่ก็สามารถจับจองเป็นที่ของตัวเองได้เลย แรกชาวบ้านเริ่มมาอยู่อาศัยตามไร่นา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนนใช้เดินทางตามรอยทางเกวียน มีคลองแม่น้ำยมสายเก่าที่มีลักษณะเป็นพื้นเรียบไม่มีน้ำ เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ทั้งหมู่บ้านใช้ตะเกียงเจ้าพายุตะเกียงลานน้ำมันก๊าซหรือน้ำมันยาง ในเวลากลางคืนใช้เชื้อเพลิงจากฟืนและเผาถ่านจากต้นไม้ที่มีอยู่จำนวนมากใกล้หมู่บ้านมีหนองน้ำคือหนองนาคและหนองซ่านและบึงสวยเป็นแหล่งอาหารที่ชาวบ้านจับปลาจับกุ้งสายบัวและผักกระเฉดเป็นอาหาร แหล่งน้ำกินน้ำใช้ คือใช้ถังอลูนิเนียมไปหาบมาจากหนองซ่าน ส่วนน้ำกินจะไปหาบมาจากบ่อของกำนันด่วน

ป้าปราณีเรียนที่โรงเรียนวัดหนองผาถึงชั้น ป.3 มาเรียนต่อชั้น ป.4 ที่โรงเรียนศาลาวัดบ้านดงจันทน์ ที่มีพระอาจารย์มีเป็นผู้สอน มีครูถมยา มั่นแย้ม เป็นครูใหญ่

ชีวิตในวัยสาวของป้าปราณี คือการช่วยพ่อแม่ทำไร่ ไปหาบน้ำ หน้าเทศกาลสงกรานต์ และงานพระแท่น เป็นโอกาสที่รวมกลุ่มกับคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านไปเที่ยวน้ำตกแม่พูล และงานนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ วิธการเดินทางคือนั่งรถไฟขนอ้อยทีบ้านปลายรางไปลงที่โรงงานวังกะพี่ แล้วต่อรถสองแถวจากวังกะพี้เข้าเมือง เดินจากในเมืองไปพระแท่นอีกที  ซึ่งการไปเที่ยวเป็นโอกาสพิเศษต้องไปนอนค้าง ไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ในวันเดียว

ป้าปราณีแต่งงานกับลุงสำเริง ม่วงทิม ลูกของยายปลั่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มีลูกสองคน ประกอบอาชีพทำไร่ ราวปี พ.ศ. 2521 มีรถสิบล้อบรรทุกน้ำตาลทรายมาพลิกคว่ำ ที่โค้งหนองตาชู ป้าปราณีตามชาวบ้านไปขนน้ำตาลทรายกลับบ้านหนึ่งกระสอบ เมื่อตำรวจมาจึงมาดำเนินคดีทุกคนที่มีส่วนในการขนน้ำตาล ป้าณีต้องไปขึ้นศาล เสียค่าปรับ 800 บาท แพงกว่าค่าน้ำตาลที่ได้มา เป็นประสบการณ์ในการถูกดำเนินคดีและขึ้นศาลครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต

ต่อมาเมื่อลูกชายคนเล็กอายุได้ 2 ขวบ ลุงสำเริงสามีของป้าปราณีไปทำงานขับรถที่ประเทศซาอุดิอารเบียทำให้ฐานะครอบครัวค่อยดีขึ้นตามลำดับ สามารถเก็บเงินซื้อที่ดิน สร้างบ้านสองชั้น และที่ไร่เพื่อทำไร่อ้อยจนมีฐานะมั่นคง ส่งลูกเรียนจบมหาลัย  มีงานที่มั่นคงทำ แต่ลุงสำเริงเสียชีวิตหลังจากเกษียณกลับมาใช้ชีวิตอยูที่บ้านได้ไม่นาน ป้าณีมีสถานะเป็นม่าย  ไปอยู่กับลูกสาวที่กรุงเทพ สลับกับกลับมาดูแลบ้านที่ดงจันทน์เป็นระยะ มีรายได้จากการให้เช่าที่ดินปลูกอ้อย

6) นายหม่อง เพ็งคำ

เกิดปี พ.ศ. 2504 ปัจจุบันเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐหมู่ 9 นายหม่องเป็นลูกชายคนเล็ก ในบรรดาลูก 8 คน ของพ่อย้าย เพ็งคำ ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านดงจันทร์ โดยครอบครัวพื้นเพอยู่บ้านหนองแหน ต่อมาพ่อย้ายพาพี่น้องมาหักล้างถางพงขยายที่เพาะปลูกในบริเวณฝั่งตะวันตกของคลองแม่น้ำยมสายเก่า จนถึงริมหนองซ่าน  ซึ่งต่อมามีกลุ่มของนายเจ๊ก ประมาณ นายหัน คุ้มพาน จากสวรรคโลก และนายทุย ขับร้องจากบ้านน้ำขุม มาถางป่าจับจองที่ดินตั้งบ้านเรือนอยู่แนวแม่น้ำยมสายเก่าฝั่งตะวันออก

พ่อย้ายจับจองที่ดินได้ค่อนข้างมาก ซึ่งต่อมาก็ได้แบ่งให้ญาติพี่น้องเข้ามาทำมาหากิน  เมื่อทางการตัดถนนสายบ้านปลายราง-ศรีนคร ที่ดินของพ่อย้ายส่วนใหญ่จึงอยู่ติดแนวถนนสายหลักของหม่บ้าน และอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางชุมชน เมื่อทางราชการต้องการขยับขยายย้ายจากโรงเรียนจากศาลาวัดดงจันทน์มาสร้างใหม่ พ่อย้ายได้บริจาคที่ดินริมถนนสายหลักจำนวน 4 ไร่ 2 งาน สร้างโรงเรียนบ้านดงจันทน์ เมื่อโรงเรียนใหม่สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2511 นายหม่องจึงได้เป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนบ้านดงจันทน์ ต่อมาในสมัยผู้ใหญ่ถวิล สิงห์วงษ์ มีการจัดสร้างประปาหมู่บ้าน พ่อย้ายก็ได้มอบที่ดินจำนวน 1 งานที่ติดกับบ้านของนายหม่องให้เป็นที่ทำงานและขุดบ่อบาดาล สร้างถังประปา โดยมีนายหม่องร่วมเป็นกรรมการประปา คอยดูแลและรักษาผลประโยชน์ของผู้ใช้น้ำ

นายหม่องประกอบอาชีพทำนาและทำไร่ สมรสกับนางเสวียน ชาวลับแล  มีลูก 2 คน ในปี พ.ศ.2545 ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต่อจากผู้ใหญ่ถวิล ที่พ้นวาระเกษียณจากตำแหน่ง แต่ต่อมาในปี 2547 นายหม่องได้ลาออกจากผู้ใหญ่บ้านเพื่อมาสมัครสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ จนหมดวาระและได้กลับมาลงสมัครจนได้รับเลือกอีกครั้งในปัจจุบัน

7) นายสังเวียน  เพชรเมือง

เกิดเมื่อปี 2497 บ้านดงจันทน์ มีบ้านติดชายทุ่งน้ำทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านที่เรียกว่า “ร้องฝิ่น” นายสังเวียนมีชื่อเล่นว่า ปริก เป็นลูกของพ่อทอง แม่โปร่ง เพชรเมือง มีพื้นเพ เป็นคนลับแล ปู่พรม พ่อปู่ทองโยกย้ายจากลับแลมาอยู่ทางบึงสวย สักลาย ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเสือหรั่ง ในช่วงนั้นมีเสือหรั่งอาละวาดทางการประกาศว่าถ้าใครให้พักพิงกับเสือหรั่งถือว่ามีมีความผิดด้วยพ่อทองก็เลยย้ายมาอยู่ที่บ้านดงจันทน์ ซึ่งปลอดภัยกว่า มีชุมชนหนาแน่นพอสมควร  แล้วก็มาแต่งงานกับย่าโปร่ง (ซึ่งปัจจุบันอายุ 88 ปี) หลานพ่อเจ๊ก ประมาณ ปู่ทองเป็นหมอเป่า รักษางูกัด อาบน้ำมนต์แก้อาการคนถูกโป่งถูกคุณไสย

นายสังเวียนเกิดบ้านดงจันทร์เข้าเรียนที่โรงเรียนศาลาวัดดงจันทร์ มีพี่น้องทั้งหมด 5 คนคือนายสังเวียนเป็นคนโต นางเสงี่ยม พูนทวี นางเฉลียว นางประทิน นายพินิจ ตอนที่มาอยู่ที่ดวงจันทร์ที่บ้านก็ทำไร่ถั่วเหลืองทำไร่ฝ้ายเพื่อไปขายเป็นรายได้  ส่วนที่ดินที่ติดชายน้ำทำนาข้าวไว้กิน พันธุ์ข้าวที่นิยมคือพันธุ์แก้วกลางพันธุ์เล็บมือนาง ปลูกแล้วได้ผลผลิตดี พอปลูกถั่วปลูกฝ้ายแล้วก็จะเอาไปขายร้านเจ๊กในตลาดคลองมะพลับโดยโดยขนใส่รถสองแถวประจำทางไปขายเจ๊กซึ่งก็ได้ราคาค่อนข้างดี ต่อมาปลูกอ้อย เวลาจะขายก็ขนอ้อยใส่ล้อลากไปใส่ตู้รถไฟขนเข้าโรงงานที่รางรถไฟที่บ้านปลายราง บางทีก็ขนใส่รถจีเอ็มซีหน้ามือหมุน รถไฟขนอ้อยนั้นเป็นเส้นทางสัญจรหลักเวลาที่จะเข้าเมือง หนุ่มสาวก็จะพากันนั่งไปบนรถไฟขนอ้อยไปลงที่วังกะพี้ เวลาจะไปเที่ยวพระแท่นไปเที่ยวในเมืองก็ใช้นั่งรถไฟจากบ้านปลายราง ข้อเสียเวลานั่งรถไฟคือเสื้อผ้าก็จะโดนสะเก็ดไฟจากฟืนรถไฟขาดเป็นรูไปหมด

ที่ดินที่สังเวียนอยู่เป็นมรดกจากปู่ทอง ปู่ทองเป็นคนที่มาทีหลังไม่ได้จับจองที่ แต่เป็นการมาซื้อที่ต่อจากคนอื่น ที่ดินแปลงบ้าน 18 ไร่ ซื้อมาในราคา 400 บาท อีกแปลงหนึ่ง 10 ไร่ 1,300 บาท ที่ดินที่ดงจันทน์ราคาไม่แพง แต่อุดมสมบูรณ์เพาะปลูกได้ผลดี จึงดึงดูดให้คนอยากมาอยู่อาศัย

8) นายสังวร สิงห์วงศ์

เกิดปี 2508 เป็นลูกชายคนโตของผู้ใหญ่ถวิล สิงห์วงษ์ ซึ่งผู้ใหญ่ถวิลเกิดเมื่อปี 2482 แล้วก็ตายในปี 2558 ผู้ใหญ่ถวิลเป็นลูกของนายเปล่ง นางยเรียน สิงห์วงษ์ นายเรียนเป็นคนลาวจาก จ.เลย ผู้ใหญ่ถวิลเกิดที่บ้านดงสระแก้วแล้วย้ายตามน้าชายคือนายทับ หัดเคลือบ มาบุกเบิกที่ดินที่บ้านดงจันทน์ ในราวปี 2500 ผู้ใหญ่ถวิลมีพี่น้อง 9 คน ซึ่งกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป ผู้ใหญ่ถวิลย้ายมาตั้งรกรากถาวรที่ดงจันทน์กับครอบครัวน้าชายปี 2504

พอเป็นหนุ่มไปบวชพระสามัคคีที่วัดพระปรางค์(วัดพระมหาธาตุเมืองเชลียง) แล้วไปจำพรรษาที่วัดโพธิ์ทองเนื่องจากชอบพออยู่กับแม่ระนอง มั่นถึง สาวสวยบ้านไผ่เขียว หลังจากบวชพระสึกออกมาก็ได้แต่งงานกับแม่ระนองและมีลูกคนแรกในปี 2508 คือนายสังวร นายสังวรเกิดที่บ้านดงจันทร์ช่วยพ่อแม่ทำไร่เรียนโรงเรียนบ้านดงจันทร์ จนปี 2540 ผู้ใหญ่ถวิลได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่ 9 บ้านหนองชานที่ตั้งขึ้นใหม่โดยแยกมาจากบ้านดงจันทน์  ผู้ใหญ่ถวิลมีผลงานตอนเป็นผู้ใหญ่บ้านคือทำร้านค้าชุมชนทำคุ้มตามหมู่บ้าน ทำบ่อบาดาลการเกษตร ทำประปาหมู่บ้าน รวมถึงเป็นผู้นำทางศาสนาแล้วก็เป็นมรรคทายกยกคนนำสวดสวดมนต์เวลามีงานบุญต่างๆ

1) ต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ

ด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ดินร่วนซุย มีหนองน้ำ คลองขนาดต่าง ๆ และบึงขนาดใหญ่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตรของราษฎร บริเวณที่ลุ่มใกล้แหล่งน้ำมักประกอบอาชีพทำนาข้าว และนาผักบุ้งเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ผักบุ้ง ส่วนที่ราบจะเป็นพื้นที่สำหรับการทำไร่อ้อย ไร่ถั่ว ไร่ข้าวโพด และสวนมะม่วง

พื้นที่ส่วนใหญ่จึงเหมาะสมแก่การทำพืชไร่ มีลักษณะเป็นที่ราบกว้างใหญ่ แหล่งน้ำประเภทหนองและบึงดั้งเดิมถูกปรับสภาพจนกลายเป็นที่ราบเกือบทั้งหมด บางแห่งได้รับการขุดลอกเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เป็นแหล่งน้ำใช้ทางการเกษตรในฤดูแล้ง รวมถึงเป็นแหล่งน้ำบาดาลใต้ดินครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบลนครเดิฐ เจาะลงไปไม่ลึกมาก

2) การทำไร่อ้อย

การทำไร่อ้อยในพื้นที่ตำบลนครเดิฐ เป็นการทำไร่แปลงใหญ่ ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ในอดีตเจ้าของไร่อ้อย ต้องไปรับคนงานมาเลี้ยงดุตลอดฤดูตัดอ้อย เป็นคนงานจากอีสาน เช่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น สกลนคร ส่วนทางเหนือมักเป็นคนงานจากจังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน มาเป็นคนงานไร่อ้อย คอยตัดอ้อยเข้าโรงงาน  

การตัดอ้อย คนงานใช้มีดตัดอ้อยที่กกอ้อย และตัดปลายยอดทิ้ง และปอกเปลือกอ้อยออก นำลำอ้อยที่ปอกแล้วมามัดรวมกันคิดค่าแรงตามจำนวนมัดที่ตัด​ พอตัดอ้อยได้มากพอก็จะมีรถสิบล้อมาขนอ้อยขึ้นรถไปส่งโรงงาน ซึ่งเมื่อก่อนนอกจากมีคนตัดอ้อยจะมีคนงานอีกชุดเป็นคนขึ้นอ้อย​ หรือทำหน้าที่ขนอ้อยที่คนงานตัดกองไว้ในไร่บรรทุกใส่รถนำไปส่งโรงงาน  งานขึ้นอ้อย เป็นงานของคนหนุ่มร่างกายแข็งแรงกำยำ​ หนึ่งรถสิบล้อต้องใช้คนประมาณ 6-8คน คนอยู่ข้างล่างที่จะคอยโยนมัดอ้อยขึ้นรถ คนอยู่บนรถจะรับ และเรียงอ้อยใส่กระบะ

เด็กๆ ลูกเจ้าของไร่อ้อย มักติดรถตามพ่อแม่เข้าไร่ ไปช่วยนับมัดอ้อยบ้าง ส่งน้ำคนงานตัดอ้อยบ้าง​ ส่งข้าวรถ ช่วยพ่อแม่หุงข้าวทำกับข้าวส่งข้าวคนขึ้นอ้อย เพื่อเป็นการฝึกทักษะเรียนรู้การทำไร่อ้อย ปัจจุบันแรงงานไร่ร่อ้อยขาดแคลนอย่างหนัก คนงานขึ้นอ้อยก็เริ่มหายไป มีรถตัดอ้อยซึ่งเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ราคานับสิบล้าน และรถคีบคอยคีบมัดอ้อยแทนการใช้แรงคนเหมือนก่อน

ในอดีตหน้าตัดอ้อยที่เรียกว่าฤดูโรงงานเปิดหีบ เคยเป็นช่วงที่ในชุมชนคึกคักมาก มีผู้คนเยอะแยะ เงินหมุนเวียนเศรษฐกิจสะพัดรถราวิ่งขวักไขว่ ทั้งรถอ้อย รถไถ คนขนคนงาน รถวิ่งซื้อของ ซื้อกับข้าวทำเลี้ยงคนงาน รถนักสำรวจของโรงงานฯลฯ พ่อค้าแม่ขายหน้าบานรับเงินตลอดเวลา ร้านกับข้าว เหล้าเบียร์​ น้ำแข็ง ไม่มีเวลาปิด  สังคมชาวไร่อ้อยมีกิจกรรมครึกครื้นตลอดทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนไม่มีเวลาหลับไหล

ต่อมาทั้งจากปัญหาคนงานขาดแคลน ปัญหาการเผาอ้อยก่อนตัด​ระบบโควต้าโรงงานที่ยุ่งยากซับซ้อนนำมาสู่การแก้ไขปัญหาด้วยการใช้รถตัดอ้อย เครื่องจักรประสิทธิภาพสูง นำเข้าจากออสเตรเลีย มาใช้ตัดอ้อยแทนแรงงานคน​ รถตัดอ้อยจะตัดยอดทิ้งและตัดลำอ้อยเป็นท่อดูดใส่รถเทเลอร์พ่วงกระบะ​ จากนั้นสิบล้อก็จะพ่วงกระบะบรรทุกอ้อยไปส่งโรงงาน

ปัจจุบัน ฤดูตัดอ้อยไม่คึกคักเหมือนในอดีต ไร่อ้อยใช้คนทำงานน้อยลง เน้นการใช้เครื่องจักร ถึงเวลาตัดอ้อยใช้เพียงรถตัดหนึ่งคัน และเทเลอร์พ่วงสิบล้ออีกสองคัน เบ็ดเสร็จใช้คนเพียง 4  คนก็สามารถตัดอ้อยได้วันละถึง 50 ไร่ ต่อให้ปลูกอ้อยหลายร้อยไร่ก็ตัดแค่ไม่กี่วัน เจ้าของไร่ไม่ต้องเลี้ยงคนงานไว้ตัดอ้อยเหมือนก่อนเจ้าของไร่ก็แค่ขับรถไปดูความเรียบร้อย เตรียมน้ำดื่ม กระติกน้ำแข็ง โทรสั่งข้าวกล่อง แล้วเข้าไปส่งไม่ต้องมีมหกรรมหุงข้าวต้มแกง เลี้ยงดูปูเสื่อกันอย่างที่เคยมีในอดีต

การทำไร่อ้อยให้คุ้มทุนจึงต้องใช้ทุนสูง ทำเป็นจำนวนมาก เหมาะกับเจ้าของไร่รายใหญ่ทำไร่อ้อยครั้งละหลายสิบไร่ ทำให้ปัจจุบันชาวไร่รายเล็กจึงเลิกทำไร่อ้อย มักนิยมนำที่ดินให้กับรายใหญ่เช่า หรือไปทำสวนมะม่วง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจกิจตัวใหม่ของตำบลนครเดิฐ

หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ นิยมเรียนหนังสือแล้วไปทำง่านในเมืองบางคนไปทำงานในโรงงานน้ำตาล ซึ่งมีความมั่นคงและได้รับเงินเดือนแน่นอน ไม่ต้องเสี่ยงกับอาชีพเกษตรกรที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป

3) การทำสวนมะม่วง

การทำสวนมะม่วง ทำกันมากในพื้นที่ที่ติดกับตำบลน้ำขุม ซึ่งมีล้งรับซื้อมะม่วงหลายแห่ง สำหรับนำไปส่งขายทั่วประเทศและส่งออกยังต่างประเทศ โดยมีคนกลุ่มแรกๆ ไปเรียนรู้เทคนิคการปลูกและดูแลผลมะม่วงให้ได้ผลผลิตดีจากสวนทางแปดริ้ว และทางสวรรคโลก จากนั้นจึงนำมาขยายพื้นที่เพาะปลูกในอำเภอศรีนคร รวมทั้งตำบลนครเดิฐ มะม่วงที่นิยมปลูกกันมากที่สุด ได้แก่ มะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ เนื่องจากปลูกง่าย ทนแล้ง ออกผลทั้งปี มีเปลือกหนา เหมาะสมแก่การขนส่งทางไกล นอกจากนั้นก็มีพันธุ์น้ำดอกไม้ เขียวเสวย และแก้วขมิ้น

การทำสวนมะม่วงนั้น ส่วนหนึ่งคือการทำในที่ดินเดิมที่เคยทำไร่อ้อย เนื่องจากมะม่วงและอ้อย ต้องการสภาพอากาศที่คล้ายๆกัน คือ ดินร่วนซุย แดดแรง และอากาศร้อน ซึ่งเป็นสภาพภูมิอากาศของนครเดิฐ โดยการทำสวนมะม่วงในระบบไร่นั้น สามารถปลูกได้ทั่วไปบนที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อย ริมถนนหนทาง หรือตามหัวไร่ปลายนา ไม่ต้องการการดูแลมาก เมื่อถึงเวลาก็มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อ สอยไปส่งที่ล้งรับซื้อมะม่วง แม้จะได้ราคาไม่สูงมากนัก แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และต้องคอยดูแลอย่างพืชผลชนิดอื่น

 3) การแปรรูปมะม่วง 

ด้วยมีผลผลิตมะม่วงจำนวนมากในชุมชน ชาวนครเดิฐจึงมีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปมะม่วงในหลายรูปแบบ ได้แก่

  • การทำส้มลิ้ม และการทำส้มแผ่น คือ การนำมะม่วงสุกมากวนในกระทะไฟฟืนจนงวด แล้วนำไปตากแดด หากนำไปหยอดเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ รสสัมผัสหนานุ่ม เรียกว่า ส้มลิ้ม แต่หากไล้บนแผ่นพลาสติกให้บาง พอแห้งจึงม้วนเป็นแท่งเรียกว่า “ส้มแผ่น” และยังมีมะม่วงกวนกันกระทิและน้ำตาลจนมีลักษณะเหนียวหนึบเป็นเงารสชาติหวานมันแซมด้วยรสเปรี้ยวของมะม่วง นำมาหั่นชิ้นห่อกระดาษแก้วแบบท็อฟฟี่ที่เรียกว่า “มะม่วงกวน”  ที่เป็นสูตรเฉพาะที่หากินได้ที่แถวนี้เท่านั้น

4) การทำปลาร้า ปลาเกลือ ปลาย่าง

จากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีหนอง คลองบึงในพื้นที่หลายแห่ง ชาวชุมชนแห่งนี้จึงเชี่ยวชาญในการจับปลา ทั้งการหว่านแห ลงข่ายในแหล่งน้ำธรรมชาติ และการเลี้ยงปลาในสระ ในฤดูที่จับปลาได้เป็นจำวนมาก ก็จะนำมาแปรรูปเป็นปลาร้า ปลาเกลือ และปลาย่าง หรือปลากรอบ

ปลาร้า ของชาวนครเดิฐเป็นการหมักปลาร้าแบบภาคกลาง นิยมให้ปลากระดี่ตัดหัว ขอดเกล็ด ตวักไส้ มาหมักกับเกลือและข้าวคั่ว  จนได้ที่มีกลิ่นหอมกลมกล่อม เป็นเครื่องปรุงอาหารหลายชนิด เช่นปรุงใส่ในน้ำพริก ใส่แกงส้ม ทำปลาร้าหลน ปลาร้าทรงเครื่อง เป็นต้น

ปลาเกลือ คือปลาแดดเดียว หรือปลาเค็ม นิยมใช้ปลาว่อน ปลาสลิด ปลาจีน ปลานิล ที่ขอดเกร็ดควักไส้ แบะอก หรือหั่นชิ้น มาแช่ในน้ำเกลือ แล้วตากแดด ให้พอหมาด หรือหากต้องการเก็บไว้นานก็จะตากจนแห้ง เพื่อเก็บไว้ทำอาหาร นำไปทอดหรือปิ้งกินเป็นกับข้าว หรือไปปรุงเป็นต้มกะทิปลาเค็มใส่ใบมะขามอ่อน เป็นต้น

ปลาย่าง คือการถนอมปลาเป็นอาหารที่สามารถเก็บไว้กินได้นานเป็นปี นิยมใช้ปลาสร้อย หรือปลาดุก มารมควันย่างไฟอ่อนด้วนฟืนไม้มะม่วง จนปลามีลักษณะแห้งกรอบ ใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร เช่น แกงเรียง ต้มโคล้ง แกงขนุนปลาย่าง หรือนำมาโขลกใส่น้ำปลาหวาน หรือนำมายำกับมะม่วง

นอกจากนี้ในอดีตชาวบ้านนิยมหมักน้ำปลากินเอง  ปลาที่นำมาหมักน้ำปลาได้อร่อยที่สุด คือปลาสร้อย ซึ่งมีมากหน้าน้ำหลาก  แต่ด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลานาน ปัจจุบันชาวบ้านนิยมกินน้ำปลาขวดจากโรงงาน  จึงไม่มีการทำน้ำปลาในชุมชนแล้ว

5) ขนมจีนน้ำยาสุโขทัย 

ขนมจีนน้ำยาแบบที่กินกันที่ชุมชนนครเดิฐ เป็นการทำน้ำยาแบบสุโขทัยโบราณ ที่ต้มเครื่องแกงเครื่องสมุนไพร ได้แก่ พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม กระชาย จนเปื่อย แล้วจึงนำมาโขลกละเอียด กรองเอาเฉพาะน้ำ คือส่วนที่เป็นน้ำยาของเครื่องสมุนไพรที่นำมาต้ม จากนั้นจึงนำมาต้มกับกะทิ น้ำปลาร้า เนื้อปลาต้มโขลกละเอียด ซึ่งนิยมใช้ปลาช่อนนาตัวใหญ่ พร้อมใส่หัวกระชายจักเป็นดอก ต้มเคี่ยวกันส่วนผสมทุกอย่างเข้าที่ นำมาราดขนมจีนกิน นิยมทำในวันเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลสงกรานต์

6) พริกลาบ พริกแกง สูตรสุโขทัย

เป็นเครื่องปรุงอาหารที่มีรสชาติเฉพาะถิ่น พริกลาบท่นี่เป็นเครื่องแกงแบบคั่วเครื่องปรุง ที่ประกอบด้วยพริกแดงจินดาผสมพริกแดงใหญ่  หอมแดง กระเทียมแกะกลีบ  ข่า ตะไคร้  กะปิ เม็ดผักชี ไม่ใส่มะแขว่นแบบลาบคั่วของคนเหนือ  นำเครื่อปรุงทั้งหมดคั่วให้หอมแล้วโขลกรวมกัน ปรุงด้วยเกลือและนำไปผัดน้ำมันไว้ เวลาจะกินลาบ นำเครื่องแกงไปคั่วกับหมูสับ เครื่องในต้มสุก โรยผักใบหอม เป็นอาหารมื้อพิเศษที่นิยมกินกันในงานบุญ หรือใช้เป็นอาหารรับแขก

7) น้ำอ้อยแว่น

เป็นเครื่องปรุงอาหารที่มีประจำบ้านของชาวนครเดิฐ ซึ่งมีการทำไร่อ้อยเป็นอาชีพหลัก มีช่วงผลิตอยู่ระหว่างหลังงานลอยกระทงไปจนถึงสงกรานต์ และเป็นช่วงหมดหน้าฝนอ้อยให้ผลผลิตดี ไม่ชุ่มน้ำให้น้ำหวานเข้มข้นคุณภาพดี ซึ่งอ้อยที่จะนำมาทำน้ำอ้อยแว่นต้องปลูกด้วยวิธีออแกนนิค ไม่ใส่สารเคมี อ้อยที่ปลูกใส่ปุ๋ยเคมี เมื่อนำมาเคี่ยวจะเกิดฟอง และไม่จับตัวเป็นน้ำอ้อยไม่สามารถใช้มาทำน้ำอ้อยแว่นได้

ในอดีตมีโรงงานเคี่ยวน้ำอ้อยในพื้นที่หลายแห่ง แต่ปัจจุบันเหลือโรงเคี่ยวน้ำอ้อยเพียง 2 โรงที่อำเภอสวรรคโลก น้ำอ้อยแว่นทำมาจากการหีบน้ำอ้อยไปเคี่ยว จนตกผลึกนำไปใส่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นแว่น รสหอมหวาน มีกลิ่นเฉพาะ บางเจ้านิยมใส่ถั่วสิสงคั่ว งาคั่ว เพื่อเพิ่มรสชาติ นิยมกินเป็นขนมหวาน และใช้ประกอบอาหาร เช่น เชื่อมกับมะพร้างทึนทึกเป็นไส้ขนมต้ม ไส้ขนมใส่ไส้ หรือทำหน้ากระฉีกกินกับข้าวเหนียวมูน เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมเหนียวราดหน้าขนมวง ทำน้ำปลาหวานกินกับมะม่วงเปรี้ยว ฯลฯ

8) ขนมวงน้ำอ้อย 

ขนมพื้นบ้านที่เริ่มหากินยาก ตัวขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวนวด คลึงเป็นเส้นแล้วปั้นเป็นวงแบบเดียวกับโดนัท ทอดในน้ำมันร้อนๆเป็นสีเหลืองทอง พอแป้งเย็น ราดด้วยน้ำอ้อยเคี่ยวเป็นคาราเมล เมื่อเย็นตัวจะกลายเป็นน้ำตาลกรอบบนแป้งทอดเหนียวนุ่ม เป็นขนมอร่อยที่เป็นที่นิยม ปัจจุบันมีคนทำน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ คนรุ่นใหม่ไม่นิยม เหลือเพียงป้าพเยาว์ เงือกน้ำที่ยังทำเป็น

9) ข้าวหลาม 

นิยมทำในช่วงฤดูหนาว และเทศกาลปีใหม่ เพราะเป็นช่วงข้าวใหม่ออก อากาศเย็นสบาย ข้าวใหม่อ่อนนุ่ม มียางข้าว ให้กลิ่นหอมเหมาะสำหรับนำมาทำข้าวหลาม ข้าวหลามของชาวนครเดิฐกระบอกใหญ่ ข้าวหลามหนึ่งกระบอก ใช้ลำไผ่สีสุกทั้งปล้อง รสหวานมัน เข้มข้นด้วยกะทิ 

การทำข้าวหลามเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียวใหม่ทิ้งไว้ครี่งวัน สงให้สะเด็ดน้ำแล้วนำมากรอกใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เลื่อยเตรียมไว้  คั้นน้ำกะทิปรุงด้วยน้ำตาลและเกลือให้มีรสตามชอบ เติมน้ำกะทิลงไปในกระบอกที่ใส่ข้าวเหนียวไว้ บางครอบครัวอาจใส่เผือกหรือถั่วดำต้มสุกลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ ปิดฝากระบอกข้าวหลามด้วยจุกใบตองให้แน่นสนิท  จากนั้นขุดดินเป็นร่องทำราวข้าวหลาม นำกระบอกข้าวหลามมาเรียงบนร่องที่ขุดไว้ แล้วสุมไฟฟืน จนข้าวหลามสุกดี  ซึ่งการคุมไฟเผาข้าวหลามต้องเป็นผูมีประสบการณ์จึงจะควบคุมไฟเผาข้าวหลามได้สุกพอดี ไม่ดิบหรือไหม้จนเกินไป

10) ขนมตาล

ทำมาจากเนื้อตาลสุก ปัจจุบันมีคนทำน้อย เพราะวิธีทำค่อนข้างยุ่งยาก และต้นตาลมีน้อยลง เริ่มจากการนำลูกตาลสุกมาปอกเปลือก ยี กรองเอาแต่เนื้อละเอียดสีเหลือง นำมานวดกับแป้งข้าวจ้าว น้ำตาลและกะทิ ทิ้งไว้ให้ขึ้นฟูด้วยยีสต์ธรรมชาติจากเนื้อตาลสุก แล้วจึงตักใส่กระทงใบตองนึ่งจนฟูหน้าแตก โรยมะพร้าวทึนทึกขูดเคล้าเกลือเล็กน้อย กินร้อนๆยิ่งอร่อย

ภาษาหลักที่ใช้ในชุมชน คือภาษาไทยสำเนียงสุโขทัย ที่เป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์

ภาษาไทยสำเนียงสุโขทัย ออกเสียงว่า ซู่โข๋ทัย การออกเสียงสำเนียงสุโขทัย แตกต่างจากภาษาไทยกลางที่กรุงเทพ หรืออยุธยา การพูดว่า เช่น แกงไก๋ใส๋มะเขือผวง คือจะสลับวรรณยุกต์เสียงเอก กับเสียงจัตวากันอัตโนมัติ เช่น เอาเสือมาปูให้แขกหนัง-เข้าป๋าระวังเสื่อจะกั๊ด ในส่วนของการพูดสำเนียงสุโขทัยของชาวตำบลนครเดิฐ เป็นสำเนียงสุโขทัยใหม่คือส่วนผสมของสำเนียงกรุงเทพกับสำเนียงสุโขทัยเก่า ว่ากันว่าสำเนียงนี้เริ่มพูดกันตั้งแต่สถานีรถไฟสวรรคโลกสร้างเสร็จ

ปัจจุบันสำเนียงสุโขทัยเก่ายังมีพูดอยู่บ้างแต่น้อยมาก ในอำเภอกงไกรลาศ และบางส่วนของอำเภอศรีสำโรง คือนอกจากจะสลับวรรณยุกต์เอกกับจัตวาแล้ว ยังมีคำศัพท์ของตัวเองที่ไม่ได้ใช้คำไทยด้วย เช่น ขี้ปุ๋น (สุโขทัยใหม่ออกเสียงเป็น ฟะ-หรัง) รากเหง้าเดิมของภาษาสุโขทัยมาจากมอญและเขมร เช่น ปลาเห็ด (ทอดมัน), โม่ๆ (มากินข้าว -  เขมรพูด โมสิบาย), ด๊อก (ต่างหู - เขมรพูด โกนด๊อก)

ตอนเหนือของตำบลนครเดิฐที่ติดกับอุตรดิตถ์นั้น เป็นส่วนที่ติดกับพื้นที่ใต้สุดใต้ของอาณาจักรล้านนา แบ่งกันที่แถบจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีข้อสังเกตว่าใครพูดภาษาเหนือ หรือพูดภาษาไทยให้ แยกกันตรงคำว่า อร่อย บ้านไหนพูด อร๋อย เป็นสุโขทัย บ้านไหนพูด ลำ เป็นเหนือ ซึ่งบางพื้นที่ของสุโขทัยก็ไม่ได้พูดสำเนียงสุโขทัย เช่น อ.ทุ่งเสลี่ยมพูดเหนือ  คน .ศรีสัชนาลัย พูดลาวพวน ส่วนสำเนียงสุโขทัยก็พูดกันอีกในบางพื้นที่ของบางจังหวัด เช่น พิษณุโลก ตาก อุตรดิตถ์ พิจิตร และโคราชบางส่วน


การเมืองมีความมั่นคง ผู้นำชุมชนปัจจุบันยังเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือ แต่กำลังจะหมดวาระ ในอนาคตยังไม่มีผู้นำคนใหม่ ที่มีความเหมาะสม เนื่องจากประชากรรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพไม่สนใจการเมืองท้องถิ่นในชุมชน การเมืองภาคใหญ่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่กับนักการเมืองเก่าแก่ในพื้นที่ มีความใกล้ชิด และเอื้อเฟื้อกัน


เป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีรายได้ค่อนข้างดี มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง บางคนไม่ทำไร่ก่ปล่อยที่ดินให้คนทำไร่อ้อยรายใหญ่เช่า ในอัตราค่าเช่าที่เหมาะสมเป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และระบบสวัสดิการทางเศรษฐกิจอย่างถั่วถึง ส่วนใหญ่เป็นสมาชิก และลูกค้า ของ ธกส. ธนาคารออมสิน สหกรณ์การเกษตร ที่มีการให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ


ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาในชุมชนมีแต่ผู้สูงวัย ลูกหลานที่ได้เรียนหนังสือมักไปใช้ชีวิต ทำงานสรางครอบครัวในเมืองใหญ่ ในชุมชนเหลือแต่ผู้สูงอายุ กิจกรรมส่วนใหญ่จึงเป็นกิจกรรมผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความต่อเนื่องในการสืบทอดให้กับคนรุ่นต่อไป


สมาชิกทุกคนในชุมชนเข้าถึงสิทธิพลเมือง มีเอกสารสิทธิ์ครบถ้วน สามารถเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างทั่วถึง


ระบบสาธารณูปโภคของชุมชนอยู่ในระดับดีมากสำหรับชุมชนชนบท มีถนนราดยางและถนนคอนกรีตเข้าถึงทกพื้นที่ มีไฟฟ้าทั่วถึง มีระบบน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค และระบบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรครอบคลุมทุกพื้นที่ในชุมชน รวมถึงมีไฟให้แสงสว่างตามถนนครบถ้วนบนถนนทุกสาย


ในชุมชนมีสถานีอนามัยถึง 2 ให้บริการสุขภาพพื้นฐาน มีระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ และโรงพยาบาลศูนย์ที่อยู่ไม่ไกล เดินทางสะดวก มี อสม. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านดูแลสุขภาพพื้นฐาน มีกิจกรรมออกกำลังกายตอนเย็นที่ลานกีฬาประจำหมู่บ้าน และมีงานแข่งขันกีฬาเพื่อสุขภาพประจำตำบล มีลานเปตองเพื่อผู้สูงอายุในชุมชน


มีโรงเรียนประถมศึกษาในชุมชน 1 แห่ง  แต่ใกล้จะปิดตัว ปัจจุบันมีนักเรียนเหลือเพียง 37 คน เนื่องจากประชากรวัยเด็กลดลง และ ชาวบ้านนิยมส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนภายนอกชุมชน คือโรงเรียนบ้านแหลมถ่อน โรงเรียนบ้านข่อยสูง ที่มีระบบสวัสดิการรองรับ มีรถรับส่ง มีเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายปี  ส่วนคนที่มีฐานะดีนิยมส่งลูกไปเรียนโรงเรียนในเมือง


จากปัญหาประชากรวัยทำงานในชุมชนมีจำนวนน้อย และลูกหลานส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเรียนหนังสือ และทำงานในสังคมเมือง ในชุมชนจึงขาดการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี อย่างมีคุณภาพ ผู้รู้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีปัญหาสุขภาพ และล้มตายไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดผู้รู้ไม่จริง ทำให้วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างเลือนหายและถูกบิดเบือนด้วยความไม่รู้


เป็นสังคมชนบทที่มีสิ่งแวดล้อมพื้นฐานค่อนข้างดี เป็นต้นทุนที่ดีสำหรับการทำเกษตรกรรม ดินดี แหล่งน้ำสมบูรณ์ แต่การทำเกษตรกรรมเพื่อเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ป่าธรรมชาติ และที่ดินสาธารณะลดน้อยลง เกิดการบุกรุกที่ดินสาธารณะเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ


มีการรุกล้ำที่สาธารณะตามชายบึงที่ตื้นเขินเป็นพื้นที่เพาะปลูก ทำให้พื้นที่สาธารณะของแหล่งน้ำต่างๆ ลดน้อยลง

บุคคลสำคัญผู้มีคุณูปการต่อชุมชน

1) พระอธิการบุญมี  ปัญญาโชโต  อดีตเจ้าอาวาสวัดจันวนาประชากร (ตั้งแต่ พ.ศ. 2505-2532)

เกิดที่จังหวัดราชบุรี และติดตามญาติโยมมาบวชจำนำพรรษาที่วัดดงจันทน์ ซึ่งสมัยนั้นเป็นพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร  ท่านได้ชักชวนชาวบ้านช่วยกันตัดไม้ในป่าสร้างศาลาการเปรียญเพื่อเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรม และเป็นโรงเรียนให้เด็กๆ มาเรียนซึ่งโดยมีท่านเป็นครูคนแรกที่เริ่มสอนให้เด็กๆ ในบ้านไร่ปลายนาได้เขียนอ่าน ต่อมาท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการหาเงินสร้างพระอุโบสถจนแล้วเสร็จ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พัฒนาวัดให้รุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางชุมชน ฟื้นฟูประเพณีตักบาตรเทโว และจัดการสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้กับนักเรียน ในยุคที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสทั้งวัดและชุมชนบ้านดงจันทน์มีความรุ่งเรืองอย่างมาก เป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธา และร่วมแรงร่วมใจของชุมชนอย่างแท้จริง

2) นายย้าย เพ็งคำ (พ.ศ. 2463-2547)

นายย้ายเป็นผู้บุกเบิกหมู่บ้านกลุ่มแรกของบ้านดงจันทน์ฝั่งตะวันตก โดยพาญาติพี่น้องจากบ้านหนองแหนมาหักร้างถางพงทำไร่ และจับจองที่ดินจำนวนมาก ซึ่งต่อมาได้บริจาคที่ดินกว่า 4 ไร่ริมถนนสายหลักเพื่อสร้างโรงเรียนบ้านดงจันทน์ ให้เด็กๆได้เรียนหนังสือ เมื่อทางการต้องการสร้างประปาหมู่บ้าน ท่านบริจาคที่ดินริมถนนบริเวณกลางหมู่บ้านเพื่อสร้างที่ทำการประปาประจำหมู่บ้าน ท่านเป็นผู้นำโดยธรรมชาติมีบุคลิกสง่า น่าเกรงขาม เป็นผู้อุปถัมป์วัดและโรงเรียน ตลอดจนกิจกรรมสาธารณประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ มีส่วนช่วยพัฒนาชุมชนให้เจริญรุ่งเรืองดังเช่นวันนี้

3) นายเจ๊ก ประมาณ (พ.ศ. 2464 -2549)

มีพื้นเพเป็นชาวสวรรคโลก และได้มาผู้บุกเบิกหมู่บ้านดงจันทน์ฝั่งตะวันออก ซึ่งนายเจ๊กจับจองที่ดินเป็นจำนวนมากและมีฐานะเป็นคหบดีของชุมชน ท่านเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญ ซื่อสัตย์สุจริต มีความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจกว้างขวาง ได้รับการยกย่องให้เป็นมรรนายกผู้ดูแลจัดการการเงินทรัพย์สินของวัด และเป็นผู้นำในการประกอบพิธีทางศาสนา ฟื้นฟูและสืบสานประเพณีสำคัญของหมู่บ้าน และเป็นผู้อุปถัมป์วัดและโรงเรียน บทบาทในการพัฒนาชุมชนให้เจริญรุ่งเรือง เมื่อท่านเสียชีวิตทายาทของท่านได้สืบทอดเจตนารมย์ในการเป็นผู้อุปถัมป์วัดจันวนาประชากรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

4) ผู้ใหญ่ถวิล  สิงห์วงษ์  (พ.ศ. 2482-2558)

ผู้ใหญ่ถวิลมีพื้นเพเป็นชาวนาบ้านดงสระแก้ว ที่ติดตามน้าและลุงมาบุกเบิกที่ดินทำไร่ ที่บ้านดงจันทน์ เนื่องจากที่นาเดิมไม่เพียงพอแก่การเลี้ยงดูคนในครอบครัว ผู้ใหญ่ถวิลผ่านการบวชเรียนมาอย่างแตกฉาน จึงเป็นผู้นำนการประกอบศาสนพิธี และยังเป็นหมอธรรมมีภูมิปัญญาในการปัดเป่ารักษาโรคอาการไฟไหม้ น้ำร้อนลวกสัตว์มีพิษกัดต่อย ในยุคที่สาธารณสุขยังไม่ทั่วถึง ท่านจึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้กับชาวบ้าน ต่อมาเมื่อทางการแยกหมู่บ้านดงจันทน์ฝั่งตะวันตกออกมาเป็นหมู่ 9 บ้านหนองชานท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่ 9 ระหว่าง พ.ศ. 2540-2545

ครูภูมิปัญญาของชุมชน

1) นางพัน  อ่อนสา แม่ครูผู้รอบรู้ในศาสนพิธี

ท่านเป็นครูภูมิปัญญาของชุมชนในหลายด้าน ทั้งด้านความเชื่อ ศาสนพิธี และเป็นช่างฝีมือ ท่านได้รับการครอบครูมาอย่างถูกต้อง มีทั้งฝีมือและองค์ความรู้อย่างลึกซึ้ง มีความเชี่ยวชาญในการจัดทำบายศรีในงานพิธีต่างๆ เป็นข้าวัดในการจัดทำพวงมะโหตประดับตกแต่งศาลาในการเทศน์มหาชาติ และงานประเพณีสำคัญ เป็นคนปั้นตุ๊กตาเสียกบาลและการจัดทำเครื่องบัตรพลีในการเซ่นไหว้บูชาผีในการทำบุญกลางบ้าน เป็นคนแต่งขันหมากงานแต่งงาน เตรียมเครื่องอัฐบริขารในการบวช  นอกจากนี้ท่านยังเชี่ยวชาญในงานช่างต่างๆ เป็นช่างตัดผม ช่างสานตะกร้า กระบุง เครื่องจักสานต่างๆ เป็นช่างถักแห ถักลอบเพื่อจับปลา อีกด้วย

2)  นางฉลวย  บุญประดับ ผู้รังสรรค์น้ำพริกลาบสุโขทัยสูตรเด็ด

ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำน้ำพริกลาบ น้ำพริกแกงสูตรสุโขทัย ซึ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์  ป้าหลวยนับเป็นสตรีหัวก้าวหน้า ที่ทำงานมาแล้วหลายอย่า มีความคล่องตัวสูง มีความเป็นผู้นำ ท่านเป็นชาวบ้านคนแรกๆ ที่เข้าไปอบรมอาชีพกับเกษตรอำเภอ และพัฒนากร จนเชี่ยวชาญ  จึงรวมกลุ่มชาวบ้านตั้งกลุ่มแม่บ้านผลิตน้ำพริกขาย ซึ่งมีทั้งน้ำพริกลาบสูตรสุโขทัย น้ำพริกแกงเผ็ด น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกตาแดง ต่างๆ ซึ่งต่อมาสมาชิกกลุ่มได้ล้มหายตายจากไปหมด  แต่ท่านยังเป็นผู้ผลิตน้ำพริกลาบและพริกแกงขายให้กับคนทั้งตำบล ซึ่งเป็นที่นิยมและเป้นที่ยอมรับกันว่ามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กลายเป็นของฝากที่คนสุโขทัยไกลบ้านต้องมาซื้อติดครัวไว้

 3) นางพเยาว์ เงือกน้ำ ปรมาจารย์แห่งอาหารและขนมพื้นบ้าน

ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแปรรูปถนอมอาหาร และการทำขนมพื้นบ้าน ป้าพเยาว์มีความเชี่ยวชาญในการทำปลา แร่ปลา และแปรรูปปลาสด เป็น ปลาร้า ปลาจ่อม กุ้งจ่อม ปลาย่างรมควัน ปลาเกลือ (ปลาเค็ม) กุ้งแห้ง ให้มีรสชาติและกลิ่นรสที่ดี ในอดีตท่านยังเชี่ยวชาญในการหมักน้ำปลาจากปลาสร้อย ตามภูมิปัญญาของชาวสุโขทัยโบราณ แต่เนื่องจากปัจจุบันการหมักน้ำปลาค่อนข้างยุ่งยาก และซับซ้อน ไม่เป็นที่นิยมจึงเลิกทำอย่างน่าเสียดาย

นอกจากนี้ท่านยังมีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปผลไม้ เช่น การดองมะม่วง มะขามแช่อิ่ม การกวนมะม่วงกะทิรสหวานมัน การทำส้มลิ้ม และส้มแผ่น ซึ่งเป็นของกินท้องถิ่นของชาวสุโขทัย อาหารแปรรูปฝีมือป้าพเยาว์จะเป็นที่รับรู้กันว่ามีสีสวย กลิ่นรสที่ดี การหั่นตัด บรรจุ เป็นไปอย่างสวยงามเหมาะสมชวนรับประทาน

ในส่วนของขนมพื้นบ้าน ป้าพเยาว์ มีฝีมือในการทำ กระยาสารท ข้าวต้มมัด ขนมเทียน ขนมกล้วย ขนมตาล สาคูไส้หมู ขนมชั้น ขนมเปียกปูน ได้อย่างประณีต สวยงาม รสชาติเยี่ยมเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลิ้มลอง 

ประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่น

1) ประเพณีใส่บาตรข้าวหลามในวันปีใหม่

เป็นประเพณีกินข้าวใหม่ของสังคมชาวนา หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลเรียบร้อยแล้ว เข้าสู่ฤดูหนาว และการเริ่มต้นปีใหม่ ชุมชนนี้มีงานประเพณีที่สำคัญคือการทำบุญใส่บาตรข้าวหลามในวันปีใหม่ ชาวบ้านจะตัดไม้ไผ่สีสุก เตรียมข้าวเหนียวใหม่ต้นฤดูมาเผาข้าวหลามไปใส่บาตรที่วัด นับเป็นการกินข้าวใหม่ฉลองฤดูการเก็บเกี่ยวที่ผ่านมา ข้าวหลามในฤดูนี้จะมีความหอมมันด้วยวัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาลจากไร่นา และเป็นการตรวจสอบคุณภาพของผลผลิตการเกษตรแต่ละบ้านไปด้วยพร้อมๆกัน

2) เทศกาลตรุษ-สงกรานต์

เป็นงานประเพณีท้องถิ่นเพื่อทำบุญ และการรื่นเริง เป็นประเพณี สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเพณี คือตรุษ และสงกรานต์ ดังนี้

  • ประเพณีทำบุญตรุษไทย เป็นประเพณีสิ้นปี หรือประเพณีส่งปีเก่าจะกระทำในช่วงสิ้นปี ถึงปีใหม่ตามการนับเวลาจันทรคติ ตรงกับวันแรม14 ค่ำ เดือน 5 มีการทำบุญเลี้ยงพระด้วย ขนมจีนน้ำยา น้ำพริก ขนมกวนและข้าวเหนียวแดง มีการสวดอาฏานาฎิยสูตรเมื่อสวดเสร็จแล้วให้ยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อขับไล่ผีและสิ่งไม่ดีให้หมดไป
  • ประเพณีสงกรานต์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 14 คือวันกลาง และวันที่ 15 เมษายน คือวันวันเถลิงศก ขึ้นศักราชใหม่ เป็นวันที่พระอาทิตย์โคจรจากราศีมีนขึ้นสู้ราศีเมษได้องศาหนึ่งแล้ว  โดยกิจกรรมในวันสงกรานต์คือ การตักบาตร ในวันที่ 13 เมษายน ชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานไปทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระที่วัด จากนั้นชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อสังสรรค์ รื่นเริงกันในหมู่เครือญาติ ทำพิธีรดน้ำผู้ใหญ่ บริเวณวัดที่มีการจัดไว้ให้  มีการสรงน้ำพระพุทธรูปและจัดพิธีรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุในชุมชน

3) ประเพณีสลากภัต

จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เป็นการจัดเตรียมอาหาร หรือที่เรียกว่าภัตตาหารเพื่อให้ภิกษุได้มีอาหารฉัน มีกำลังเพื่อปฏิบัติธรรมวินัยพิธีกรรม  ความเป็นมาของประเพณีนี้คือ สมัยเมื่อครั้งพุทธกาลได้เกิดทุพภิกขภัยชาวบ้านหาอาหารมาถวายพระได้ยาก จึงทูลพระพุทธเจ้าว่าอาหารมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอที่จะถวายอาหารแด่ภิกษุได้ครบทุกรูปจะถวายโดยให้ภิกษุจับสลากจะได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต จึงเกิดมีประเพณีถวายอาหารแก่ภิกษุโดยวิธีการจับสลาก

การจัดงานที่วัดดงจันทน์นั้น ชาวบ้านจะจัดเตรียมอาการเป็นสำรับ แยกสำรับอาหารคาว และสำรับอาหารหวาน จัดใส่ภาชนะที่สวยงามจัดเรียงในถาด บรรจุปากกระบุงและหาบไปวัด หลักปฏิบัติสำคัญอยู่ที่การถวายโดยให้ภิกษุจับสลากก่อนเพื่อเป็นการสุ่ม โดยชาวบ้านได้จัดทำสำรับอาหารคาวหวานมาที่วัดจะได้รับหมายเลข และนำสำรับอาหารไปจัดรอที่อาสนะตามหมายเลข ภิกษุจับสลากได้ของผู้ใดก็รับอาหารจากโยมผู้นั้น

4) ประเพณีทำบุญกลางบ้าน

ชุมชนแห่งนี้นิยมทำในช่วงเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ ตรงกับเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มมีฝนแรกตกลงมา เป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก เป็นการทำบุญตลอดจนบูชาและอุทิศส่วนกุศลให้พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรรมนายเวร ที่สิงสถิตย์ในชุมชนเพื่อขอความคุ้มครองให้คนที่อยู่อาศัยในชุมชนเกิดความอยู่เย็นเป็นสุขและประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ขับไส่สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้หมดสิ้นไป รวมถึงขอให้ฝนตกตามฤดูกาล อันจะทำให้พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์สร้างความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ให้มีความรักสามัคคี ชาวบ้านมารวมตัวกันได้ไต่ถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน มีปัญหาช่วยกันและทำพิธีร่วมกัน ณ ศาลากลางหมู่บ้าน

พิธีเริ่มจากนิมนต์พระสงฆ์ 9 รูปมาสวดมนต์เย็นในบริเวณพิธี และจากทำกระบาย มีลักษณะเป็นกระทงกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยม และใช้ดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว เรียกว่าตุ๊กตาเสียกบาล  รวมถึงสัตว์เลี้ยงในครอบครัววางลงในกระทงจุดธูปดอกเดียวปักลงในกระทง จัดเตรียมเสบียงอาหาร ได้แก่ น้ำ ขนมจีน หอม กระเทียม พริกแห้ง เกลือ วางลงในกระบาย เป็นเครื่องบัตรพลีเซ่นไหว้ แล้วนำไปวางที่ทิศตะวันตก เมื่อพระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยจะนำน้ำมารูปละ ๑ แก้ว ยืนเป็นวงกลมแล้วสวดมนต์กรวดน้ำราดลงไปในกระทง บางแห่งอุทิศให้คนอยู่ บางแห่งอุทิศให้คนตาย เสร็จแล้วจะนำกระทงไปวางทิ้งบริเวณพื้นที่ทางสามแพร่ง หลังจากเสร็จพิธีชาวบ้านจึงร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เป็นโอกาสที่ได้ไต่ถามความเป็นอยู่ ตลอดจนร่วมหารือแก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน

 5) งานบวชพระและการทำขวัญนาค

ชาวบ้านตำบลนครเดิฐยังยึดถือ ประเพณีไทยอย่างเคร่งครัด เมื่อลูกชายอายุ 20 ปีบริบูรณ์ พ่อแม่จะจัดพิธีบวชให้ เมื่อได้ฤกษ์ยามสำหรับบวชมาแล้ว วันสุกดิบ(วันเตรียมตัวก่อนวันทำพิธีบวช 1 วัน) จะมีการปลงผม และพิธีทำขวัญนาค เพื่อที่จะปลุกปลอบใจนาคให้ชื่นบาน ทำจิตใจให้สะอาด สงบ มีสมาธิ อีกทั้งยังเป็นการชี้ให้ผู้ที่จะบวช เห็นถึงคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิดและชุบเลี้ยงตนมา ซึ่งหมอทำขวัญจะสอดแทรกคำสอนไปในบทสวด ซึ่งหมอทำขวัญแต่ละท่านจะมีท่วงทำนองและเนื้อหาแตกต่างกัน

การทำขวัญนาคเกิดจากความเชื่อของบุคคลที่ว่า คนเราเกิดมามี “ขวัญ” อยู่ประจำตัวเป็นเครื่องพิทักษ์รักษาตัวตนของทุกคน ถ้าขวัญของผู้ใดอยู่กับตัว บุคคลผู้นั้นจะอยู่เย็นเป็นสุขเป็นปกติ แต่ถ้าขวัญของผู้ใดหนีไปจากตัวมักจะมีอันเป็นไป ทำให้ผิดปกติ พอมาถึงวันที่ชายหนุ่มจะเข้าพิธีอุปสมบทอาจขวัญเสียจึงต้องหาผู้ที่มีความรู้มาเรียกขวัญให้ เรียกว่า “ทำขวัญนาค” จากนั้นวันรุ่งขึ้นจะทำการแห่นาคไปวัด ซึ่งขบวนแห่นาคจะเป็นการละเล่นที่สนุกสนาน นิยมดื่มสุรา เต้นรำสังสรรค์กันระหว่างทาง เมื่อถึงวัด จะทำการแห่นาคเวียนทักษิณาวัตรรอบโบสถ์ 3 รอบก่อนจะนำนาคเข้าไปอุปสมบทในพระอุโบสถ เมื่อบวชเสร็จเรียบร้อย บางครอบครัวอาจจัดงานทำบุญฉลองพระใหม่ในวันรุ่งขึ้นของอีกวัน

6) ประเพณีใส่บาตรกระยาสารท วันสารทไทย

วันสารทไทย ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นเทศกาลทำบุญเดือน 10 ของไทย ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณตามหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย เป็นฤดูที่ต้นไม้เริ่มออกผล ผู้คนต้องการให้พืชพันธุ์ธัญญาหารของตนเจริญงอกงามดี ก็ได้นำพืชพันธุ์เหล่านั้นไปถวายสิ่งที่ตนนับถือเพื่อดลบันดาลให้พืชผลเจริญงอกงามดี

แต่เดิมนั้น ในช่วงนี้รวงข้าวเป็นน้ำนม ชาวนาจึงนิยมนำมาตำทำเป็นข้าวเม่า มาปรุงร่วมกับถั่วงา มะพร้าว น้ำตาลน้ำอ้อย เป็นกระยาสาทร เพื่อนำไปใส่บาตรถวายพระ และแบ่งกันกันกิน แต่ปัจจุบัน ชาวบ้านไม่นิยมทำกระยาสารท เพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลาและแรงงานเยอะ จึงนิยมซื้อกระยาสารทสำเร็จมาใส่บาตรแทนการลมือทำกระยาสารทเองในชุมชนประเพณีสารทไทย จึงเป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว ทำบุญทำทานให้เป็นของขวัญแก่ไร่นาของตนและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงการทำบุญรวมพี่รวมน้องเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวด้วย

สภาวัฒนธรรมตำบลนครเดิฐ. (2547). ประวัติชุมชนนครเดิฐ. สุโขทัย: องค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ

องค์การบริหารส่วนตำบลนครเดิฐ. สภาพทั่วไป. เข้าถึงข้อมูลวันที่ 2568, จาก https://www.nakorndert.go.th/home

นายหม่อง เพ็งคำ, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2568

นางปราณี ม่วงทิม, สัมภาษณ์, 15 มกราคม2568

นายประสาท มาประสพ, สัมภาษณ์, 20 มกราคม 2568

นางพัน อ่อนสา, สัมภาษณ์, 24 มีนาคม 2568

นางทองสุก ดีประเสริฐ, สัมภาษณ์, 25 กุมภาพันธ์ 2568

นางขวัญเรือน หัดเคลือบ, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2568

นางฉลวย บุญประดับ, สัมภาษณ์, 8 มีนาคม 2568

ผู้ใหญ่ธวัช สิงห์วงษ์, สัมภาษณ์, 5 มีนาคม 2568

ผู้ใหญ่สมบัติ จันทร, สัมภาษณ์, 5 มีนาคม 2568

นายเสรี แก้วเหล็ก, สัมภาษณ์, 22 เมษายน 2568

นายวิเชียร มั่นคง, สัมภาษณ์, 10 เมษายน 2568

นางพเยาว์ เงือกน้ำ, สัมภาษณ์, 25 เมษายน 2568

นายสังเวียน เพชรเมือง, สัมภาษณ์, 26 เมษายน 2568

นางสมสาย มณีงาม, สัมภาษณ์, 2 พฤษภาคม 2568

นายสังวร สิงห์วงษ์, สัมภาษณ์, 2 พฤษภาคม 2568

อบต. นครเดิฐ โทร. 0 5560 6200