
เป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิม จึงเป็นแหล่งร่วมด้านพหุวัฒนธรรม ทั้งเรื่องของกิจกรรมทางด้านศาสนา อาหาร และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
บ้านผักฉีด มาจากคำว่า ผักกระเฉด สมัยก่อนมีผักกระเฉดขึ้นอยู่มากตาม ทุ่งนา และในหาน (เป็นขุมเก็บน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน) ก่อนที่ชาวบ้านจะทำนาทุกปีจะต้องกวาดผักกะเฉดทั้งทุ่งนาและในหานมากองกันไว้ เพื่อให้ควายกินเป็นอาหาร จนหมด และภายหลังจากการทำนาผักกระเฉดก็จะขึ้นมาจนเติมทุ่งนาและในหานอีก จึงเป็นที่มาของคำว่า" บ้านผักฉีด " ซึ่งเพี้ยนมาจาก "ผักกระเฉด"
เป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิม จึงเป็นแหล่งร่วมด้านพหุวัฒนธรรม ทั้งเรื่องของกิจกรรมทางด้านศาสนา อาหาร และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
จากการสัมภาษณ์สอบถามเกี่ยวกับประวัติชุมชนบ้านผักฉีดพบว่า ชุมชนบ้านผักฉีดตั้งมา 150 กว่าปี หรือก่อตั้งก่อนปี พ.ศ. 2418 แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีการประกอบอาชีพทำนา และปลูกผักกะเฉดในหนองน้ำหรือในนาไว้เป็นอาหารของวัวและกระบือที่ชาวบ้านเลี้ยง ต่อมาพื้นที่ของชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และเปลี่ยนสภาพกลายเป็นชุมชนเกษตรกรรมกึ่งเมือง เนื่องจากยังมีพื้นที่บางส่วนยังเลี้ยงสัตว์และทำสวนอยู่ในปัจุบัน
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัย สวนยางพารา สวนปาล์ม และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของชุมชนไปสู่ชุมชนเมืองจากการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ที่ตั้งห้างร้านธุรกิจขายปลีก สำหรับที่นาดั้งเดิมได้มีการเปลี่ยนสภาพเป็นที่ตั้งห้างร้านและบ้านเรือนประชาชน
บ้านผักฉีดมีจำนวนครัวเรือน 1,845 ครัวเรือน แบ่งเป็นประชากรชายจำนวน 1,516 คน และประชากรหญิงจำนวน 1,668 คน รวมจำนวน 3,184 คน (ข้อมูลสำรวจปี พ.ศ. 2568 จากกรมการปกครอง)
เดิมที่ประชากรบ้านผักฉีดจะอาศัยอยู่ที่ขุมน้ำหนองหาน (บริเวณซอยตาทิ้น ในปัจจุบัน) ซึ่งเดิมเรียกว่า โคกวัด มีพื้นที่หรือลานกิจกรรมรวมไปถึงที่นาผืนใหญ่ มีการรวมกลุ่มเป็นชุมชนเล็กๆ ก่อนกระจายตัวไปบริเวณซอยคุณหลวงและซอยประเสริฐและบริเวณต่างๆ จนทั่วทั้งบ้านผักฉีด
บ้านผักฉีดมีทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันเป็นพหุสังคม จากการทำผังเครือญาติจะพบว่าประชากรดั้งเดิมล้วนมีส่วนเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ผู้นำชุมชนปัจจุบันเป็นบุคคลที่มีมาจากต้นตระกูลดั้งเดิมทางไทยมุสลิมที่สำคัญของชุมชนบ้านผักฉีด ซึ่งเป็นต้นตระกูลเก่าแก่ของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีตระกูลสิทธิศักดิ์, ปราบทุกข์, แซ่หลิม, เชื้อนาคา, ฯลฯ ซึ่งเป็นตระกูลเก่าทางไทยพุทธที่ยังคงร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมเก่าแก่ของชุมชน
จากการวิเคราะห์กลุ่มองค์กรชุมชนบ้านผักฉีด พบว่า ประกอบดัวยกันหลายกลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มอนุรักษ์ เป็นการอนุรักษ์ป่าชายเลน อนุรักษ์ป่าเพื่อไม่ให้กลุ่มนายทุนมาบุกรุกป่า เพื่อนำไปทำรีสอร์ท นอกจากนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกหวงแหนผืนป่าในชุมชน กลุ่มนี้ก่อตั้งมาแล้วประมาณ 2-5 ปี นอกจากนี้กลุ่มอนุรักษ์ ยังช่วยส่งเสริมการประกอบอาชีพดั้งเดิมไม่ให้สูญหายไป เช่น อาชีพประมง การทำเกษตรกรรม และยังก่อให้เกิดกระบวนการทำงานเป็นทีม การมีส่วนร่วมของชุมชน
- กลุ่มออมทรัพย์ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้สมาชิกมีเงินสะสมไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่น จัดงานศพ เป็นค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มสมาชิก 10 คน จนในปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 70 คน ในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มนั้น จะมีกฎกติกาของกลุ่มเพื่อเป็นข้อตกลงร่วมกันของสมาชิก และมีกฎระเบียบที่ชัดเจน คล้ายกับกฎกติกาชุมชน โดยจะมีการเก็บเงินทุกวันที่ 5 ของเดือน
- กลุ่มมุสลีม๊ะห์ เป็นกลุ่มแม่บ้านมุสลิม หรือกลุ่มสตรีมุสลิม เป็นกลุ่มร่วมกับทำอาหารของชุมชน ไว้เพื่อรองรับกิจกรรมของชุมชน เมื่อมีการจัดทำกิจกรรม กลุ่มนี้จะทำอาหารเพื่อมาร่วมในกิจกรรม หรือเมื่อชุมชนมีการจัดกิจกรรมที่สำคัญ กลุ่มนี้จะทำอาหารเพื่อมารองรับสมาชิกที่มาร่วมกิจกรรม
- กลุ่มผู้สูงอายุ เกิดการรวมกลุ่มของผู้สูงอายุ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ในด้านวัฒนธรรม เช่น การไปวัด การกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา และรวมกลุ่มเพื่ออกกำลังกาย
- กลุ่มวัฒนธรรม เป็นการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนา ส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ของชุมชน ให้คงอยู่คู่ และสืบทอดถ่ายต่อไปยังเยาวชน ซึ่งจะมีคาบเกี่ยวกับกลุ่มผู้สูงอายุ นั่นคือ สมาชิกของกลุ่มนี้ ก็จะอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน
- กลุ่มสอนศาสนา เป็นกลุ่มที่รวมตัวเพื่อสอนและอบรมให้ความรู้ทางด้านศาสนาอิสลามให้กับเยาวชนมุสลิม
- กลุ่มผักกะเฉดแดนท์ เป็นการรวมกลุ่มสตรีในชุมชนบ้านผักฉีด และขุมชนใกล้เคียงเพื่อร่วมกันออกกำลังกาย บางครั้งเรียกว่า ไลน์แดนซ์
- กลุ่ม อสม. เป็นกลุ่มอาสาสมัครของสมาชิกในชุมชนที่มีจิตอาสาในการเข้ามาเป็นตัวแทนของชุมชนในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน รวมไปถึงดูแลสวัสดิการต่างๆ ทางด้านสุขภาพให้กับคนในชุมชน
จากการวิเคราะห์กลุ่มองค์กรทางสังคมของชุมชนบ้านผักฉีด จะพบว่าแต่ละกลุ่มจะมีบทบาทและมีหน้าที่ในชุมชนแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มนั้นจะมีประธานของกลุ่ม เพื่อเป็นผู้นำในการทำกิจกรรม เป็นแกนหลักในการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทำการประสานงานร่วมกันระหว่างกลุ่ม ซึ่งสมาชิกบางคนในชุมชนเป็นสมาชิกของกลุ่มองค์การทางสังคมหลายกลุ่ม เช่น สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย อาจจะเป็นสมาชิกในกลุ่มวัฒนธรรมด้วย เป็นต้น เนื่องจากแต่ละกลุ่มมีบทบาทในการดำเนินกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้น ในการดำเนินกิจกรรมของชุมชนอาจจะทำให้สมาชิกบางกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ในชุมชนแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชุมชน
ปฏิทินทางวัฒนธรรม เป็นปฏิทินที่แสดงถึงกิจกรรมเชิงพหุวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เนื่องจากชุมชนบ้านผักฉีดเป็นชุมชนที่มีทั้งไทยพุทธและมุสลิมอยู่ด้วยกัน จึงทำให้ปฏิทินของชุมชนในประเด็นนี้จึงมีกิจกรรมทั้ง 2 ศาสนา
- ปฏิทินทางเศรษฐกิจ เป็นปฎิทินที่แสดงถึงลักษณะอาชีพในปัจจุบันของคนในชุมชน ที่ยังคงพบและปฏิบัติกันอยู่ในพื้นที่
- ปฏิทินเชิงนิเวศ เป็นปฎิทินที่แสดงถึงกิจกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมที่สมาชิกในชุมชยังคง
- ปฏิบัติและกระทำกันอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีในชุมชน
จากการไปสัมภาษณ์ประวัติชีวิตของบุคคลเก่าแก่ ในพื้นที่ของบ้านผักฉีด ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือว่าเป็นปราชญของชุมชน เป็นบุคคลเก่าแก่ของชุมชน ที่สามารถถ่ายทอดหรือเล่าเรื่องราวในอดีตของชุมชนได้ จากการสัมภาษณ์ จากการพูดคุย และค้นหาบุคคลสำคัญในพื้นที่ ทำให้เราพบว่า ซึ่งเป็นบุคคลเก่าแก่และสำคัญของชุมชนนั้น มีทั้งคนไทยพุทธและมุสลิม เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ทางพหุวัฒนธรรม จึงทำให้บุคคลสำคัญหรือบุคคลเก่าแก่ของที่นี่ ที่สามารถเล่าเรื่องราว สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เยาวชนรุ่นหลานได้ นั่นคือ
- ปู่สัน (นายสัน งานแข็ง อายุ 93 ปี) เป็นชาวมุสลิม บ้านอยู่ใกล้มัสยิด (ชุมชนในบ้าน ที่นาในบ้าน) บิดา มารดา อาชีพทำนาอยู่บริเวณบ้านผักฉีด
ปู่เล่าว่า เมื่อเติบโตขั้นมาตนเองทำนา ทำสวนยาง สวนปาล์ม ปลูกสับปะรด (ปลูกแซมต้นยาง ได้ปีละ 2 ครั้ง เพราะดินเสีย ต้องพักหน้าดินและเว้นระยะเวลาก่อนปลูกครั้งต่อไป) รับจ้างทำกับข้าวอาหารพื้นเมืองในงานพิธีหรือวาะต่าง ๆ ปัจจุบันพื้นที่นาแบ่งขายให้นายทุนซื้อสร้างบ้าน และปรับเป็นสวนแปลงเกษตรออแกนิค (คนไทยจากรุงเทพ) แต่ยังมีสวนยางบริเวณหลังมัสยิด ขายน้ำยางให้กลุ่มตลาดกลางป่าคลอก ที่ดินบริเวณควนตาแท่นหลายแปลง (ของคนอื่น) ถูกขายให้กับชาวต่างชาติในนามภรรยา เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย นายสันเล่าว่า คนท้องถิ่นผักฉีด ป่าคลอก กมลา ขายที่ดินมรดกให้คนต่างถิ่น เช่น คนต่างชาติ คนต่างจังหวัด ทำอาชีพเกษตรกร ตัดยาง คนท้องถิ่นไม่ค่อยทำเอง แม้ว่าจะจ้างแรงงานพม่า ก็ไม่ค่อยคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้ เพราะความเจริญด้านการท่องเที่ยว การสร้างบ้านจัดสรร เข้ามาในพื้นที่เกษตร ส่งผลการพื้นที่เกษตรลดน้อยลง เช่น พื้นที่ปลูกสับประรดภูเก็ตลดน้อยลง มีการนำเข้าจากจังหวัดพังงา กระบี่ แทนการปลูกในพื้นที่ภูเก็ต อย่างไรก็ตาม วิธีการปลูกสับปะรด ปุ๋ยบำรุงดินและต้นไม้ยังใช้แบบเดิม ช่วงแรก ๆ นำสับปะรดขายกรุงเทพ สงขลา หาดใหญ่ แต่หลัง ๆ มีนายหน้ามารับซื้อถึงสวน ต่อมาพื้นที่ปลูกสับปะรดน้อยลง ต้นพันธุ์สับปะรดชำจากต้นเดิมแล้วนำไปปลูกต่อ
ปู่ยังเล่าอีกว่า ลูก ๆ หลาน ๆ ไม่ได้ทำอาชีพเกษตร เนื่องจากได้เรียนหนังสือจึงทำอาชีพอื่น ๆ เช่น ทำงานโรงแรม ขับรถบริการท่องเที่ยว ทำธุรกิจส่วนตัว สร้างเนื้อสร้างตัวมีครอบครัวโดยการซื้อบ้านจัดสรร (จากเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินและการทำงาน) ซื้อผัก ซื้อปลา จ้างพี่เลี้ยงให้เลี้ยงลูกในระหว่างที่ตนเองไปทำงาน มีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง เนื่องจากสังคมปัจจุบันเป็นสังคมนิยม ที่ต้องมีค่าตอบแทนต้องจ้างด้วยเงินหรือสิ่งตอบแทนอื่น ต่างจากสมัยก่อนที่ชาวบ้าน เพื่อนบ้านช่วยกันทำงาน เช่น งานบุญที่มัสยิดในวันว่าง มีการช่วยกันปรุงอาหาร ของกินร่วมกันในงานบุญ หรืองานรื่นเริงต่าง ๆ โดยความสมัครใจร่วมกันทำ ของกิน ของใช้ มีการนำมาให้แลกเปลี่ยน แบ่งปันกันโดยไม่ต้องใช้เงิน ไม่แบ่งแยกศาสนาพุทธ อิสลาม จึงทำให้คนในพื้นที่รู้จักกัน และขอความช่วยเหลือกันได้โดยไม่ต้องจ้างหรือใช้เงิน และ ปู่ยังเล่าอีกว่า บ้านที่สร้างด้วยปูนบางส่วน ในส่วนบ้านไม้ นำไม้มาจากเกาะยาว บ้านเรือนสมัยก่อนเป็นบ้านไม้ ช่างไม้และช่างปลูกสร้างที่มีฝีมือเฉพาะในการสร้างบ้านไม้ตามรูปแบบท้องถิ่น เป็นบ้านยกพื้น มุงหลังคาจาก (มีต้นจาก ป่าจากบริเวณบ้านยามู ในสวนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล) ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังรุ่นหลัง เนื่องจากการสร้างบ้านไม้น้อยลง
ขนม อาหารท้องถิ่นยังมีลักษณะเหมือนเดิม แต่ราคาแพงขึ้น ค่าอาหารและค่าครองชีพสูงขึ้น เช่น สมัยก่อนเงิน 15 บาท สามารถซื้ออาหารของกินได้ทั้งครอบครัว แต่ในสมัยนี้ซื้ออาหารได้บางอย่างเท่านั้น น้ำดื่มสมัยก่อนดื่มกินน้ำบ่อ แต่ปัจจุบันใช้เครื่องกรองน้ำ ลำคลองลำน้ำมีขนาดแคบและเล็กลง ทำให้น้ำท่วมได้ง่ายเวลาที่มีฝนตกหรือน้ำหลาก “
ปู่เล่าว่า การเดินทางสมัยก่อน เดินทางด้วยเส้นทางถนนที่ชาวบ้านช่วยการทำถนน และมีหน่วยงานจากอำเภอสนับสนุนงบประมาณบางส่วน โดยสารด้วยการเดิน จักรยาน การจัดสรรและจองพื้นที่บ้านเรือนเป็น นส.3 และมีการออกโฉนดที่ดินให้แก่บุคคล งานบุญจัดที่มัสยิด (สมัยที่ นายสันเป็นวัยรุ่น อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรี ฯ ยังไม่ถูกสร้าง มีวัดป่าคลอก วันท่าศักดิ์)
สุดท้าย สิ่งที่ ปู่ อยากบอกให้ลูก “ที่ดินมรดก ที่อยู่อาศัยไม่อยากให้ขาย อยากให้ช่วยเหลือ แบ่งปันกัน แต่อาจจะไม่สามารถทำได้ เพราะสังคมเปลี่ยนไป” และสิ่งที่ทำให้ปู่อายุยื่น น่าจะเป็นการรับประทานอาหาร 2 มื้อต่อวันคือ มื้อเช้า ทานกาแฟ กับขนม และมื้อเย็นทานอาหารปกติ ไม่เครียด อารมณ์ดี ออกกำลังโดยการทำสวนเป็นประจำ (ส่วนใหญ่ทุกวัน)
- นางเกือบ สิทธิศักดิ์ (ยายหมิก)
เกิดวันเสาร์ เดือนยี่ พ.ศ .2471 บ้านเลขที่ 59 หมู่ที่ 1 หมู่บ้าน ผักฉีด อำเภอ ถลาง จังหวัดภูเก็ตหรือ ที่คนป่าคลอกติดปาก เรียก หมิกเกือบ เป็นพี่คนโต ในจำนวน 5 คนพี่น้อง สมรสกับลูกคนจีนเกาะยาว ชื่อนายหลาม แซ่อ๋าง และได้แต่งงาน ที่บ้านผักฉีด ย้ายไปยุ่สะปำ บ้านกงสีใหญ่ และได้กลับมา ตั้งรกรากที่เดิม ทำสวน ปลูกยาง สวนทุเรียน เลี้ยงหมู ร่อนแร่ รับจ้างทั่วไป สามีลงเรือหาปลา แบบชาวจีนโพ้นทะเล และมี บุตร รวม 5 คน ต่อมาเปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยตามที่รัฐบาลตั้งกฎหมายใหม่ ไม่นิยมนับ พวก แซ่ ทำงาน เปลี่ยนมาเป็น ธนุกาลกุล มีบุตรจำนวน 5 คน ประกอบด้วย ถาวร โรจน์วัฒนธาดา, สมพงศ์ แซ่อ๋าง (เสียชิวิต), นายอุทัย ธนุกาลกุล นายบุญช่วย ธนุกาลกุล นายอาทร ธนุกาลกุล ยายเกือบสมรสกับสามีได้ไม่นาน สามีป่วย ตกนั่งร้าน เป็นโรคกระดูกหลังคด (หรือมะเร็งสมัยปัจจุบัน) และต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะหัวหน้าครอบครัว เมื่อเสาหลักป่วย และในเวลานั้นการแพทย์ยังไม่เจริญและรักษาไม่ได้ทำให้สามียายเกือบเสียชีวิต ซึ่งทั้งคู่ใช้เวลากินอยู่ร่วมกันเพียงเวลา 12 ปี เมื่อสามีเสียชีวิตทำให้ยายเกือบต้องดิ้นรน เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หาเลี้ยงดูบุตรจำนวน 5 คน ด้วยตัวเอง
ลูกสาวคนโตไป ช่วยขายกาแฟ หรือร้านโก้ปีแปะช่วง จี้หวุ่น ข้างโรงเรียนสิทธิ์สุนทร (ปัจจุบัน) ส่วนน้องๆทั้ง 4 ยังอายุ ไล่เลี่ยกัน 6 ปี 3 ปี และ1 ปี ต่างจำหน้าพ่อตัวเองได้บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งหมดต้องช่วยทำงานรับจ้างทุกอย่าง รวมทั้งทำสวนและนำผลผลิตในสวนของตัวเองออกมาขาย มีการรับจ้างดำนาและสารพัดงานเพื่อไม่ให้ลูกอด ยายเป็นคนทำบุญ ให้ ทาน คนยากไร้ บริจาคช่วยเหลือคน และองค์กรต่างๆ โดยไม่ออกนาม ปัจจุบัน บั้นปลายชิวิต อายุ 98 ปี เป็นหญิงม้าย เป็นเวลา70 กว่าปีอยุ่กินโดย มีนายสิทธิชัย ธนุกาลกุล (หลาน) ซึ่งเป็นบุตรของนายบุญช่วย ลูกคนที่ 4 เป็นผู้ดูแลโดยตรง ส่วนลูกหลานคนอื่นๆ ช่วยดูแลส่งเสียตามกำลัง ยายเกือบในวัย 98 ปียังมีสุขภาพแข็งแรง รักสันโดษ ยายเกือบยังคงออกกำลังกาย ไม่อยู่นิ่ง ไม่ว่าจะทำงานบ้าน และงานจิปาถะทั่วไปในสวน
เคล็ดลับอายุยืน คือ การใส่ใจการดูแลจากลูกหลาน เลือกทานปลา ผัก และสมุนไพรตามบ้าน และสิ่งที่สำคัญทำให้อยู่ได้นาน คือ กำลังใจจากครอบครัว และมีคติพจน์ "อย่าลืมต้นน้ำลำธารที่เคยดื่มกิน อย่างลืมตัว อย่าเนรคุณ กตัญญู และตอบแทนพระคุณ บรรพบุรุษ"
ชุมชนบ้านผักฉีดเป็นชุมชนที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยพุทธและมุสลิม ดังนั้น เมื่อมองในเชิงทุนทางสังคมและความท้าทายในมิติต่างๆ ของชุมชน พบว่า ทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชนมีความหลากหลายและแตกต่างกันออกไป ผนวกกับความเป็นสังคมเมืองกึ่งชนทบท ทำให้การพัฒนาในเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ของชุมชนจึงมีความท้าทายเป็นอย่างมาก สำหรับทุนทางสังคมของชุมชนบ้านผักฉีด สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
1. ทุนทางสังคมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ผู้นำและปราชญ์ชุมชน เป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การทำอาหารพื้นถิ่น การเกษตรกรรม และการรักษาวัฒนธรรม
เครือข่ายชุมชน กลุ่มอาสาสมัครและสมาชิกในชุมชนที่มีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างชุมชนและระหว่างพื้นที่ มีการทำกิจกรรมร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
2. ทุนทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
ประเพณีและกิจกรรมดั้งเดิม ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณี เช่น การทำอาหารพื้นถิ่น การจัดงานประเพณี และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชุมชน
แหล่งเรียนรู้ สถานที่ และบุคคลที่สามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นหลัง
ในด้านความท้าทายในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลต่างๆ ของชุมชน พบว่า ชุมชนยังขาดองค์ความรู้ในด้านนี้ ขาดประสบการณ์ในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เนื่องจาก
1. ความไม่คุ้นเคยกับกระบวนการเก็บข้อมูล สมาชิกในชุมชนบางส่วนอาจไม่คุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูล เช่น การใช้ GPS หรือการจัดทำแผนที่เดินดิน
2. ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เทคโนโลยีอาจเป็นอุปสรรคในการจัดเก็บและจัดการข้อมูล
3. การรักษาความถูกต้องและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ต้องมีมาตรการในการรักษาความถูกต้องของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของสมาชิกในชุมชน
ชุมชนบ้านผักฉีดใช้ภาษาไทยและภาษาใต้ท้องถิ่นสำเนียงภูเก็ต ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
ในด้านเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่มีหลากหลายอาชีพ ทั้งค้าขาย ประมงพื้นบ้านและรับจ้างแตกต่างกันออกไป มีทั้งคนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน มาสร้างบ้านจัดสรรและคนดั้งเดิมของพื้นที่
ในอดีตชุมชนบ้านผักฉีดมีความเชื่อด้านการรักษาโดยหมอผี หมอชาวบ้านทั้งถือความเชื่อโบราณและยาสมุนไพรในการรักษาโรคทั่วไป จากการบอกเล่าของผู้สูงอายุ หากมีการป่วยจะอาศัยการพยากรณ์ของหมอพื้นบ้านหรือเรียกกันว่าพ่อหมอ มีทั้งพุทธและมุสลิม วิธีการพยากรณ์คือการจับไม้ หากหายไม้จะไม่มีการยืดหดก็จะถือว่าหายป่วย ส่วนยาสมุนไพรก็จะมีการปรุงยาหลากหลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ไพล ใบชะพลู ขิง สมุนไพรประเภทว่านต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคไข้หวัด ปวดท้อง ปวดเมื่อย ปวดฟัน รวมถึงการมีหมอตำแยสำหรับทำคลอด ซึ่งหมอตำแยจะเป็นหญิงชาวมุสลิม มีการใช้สีไม้ในการทำนายเพศเด็กในครรภ์ มีทั้งคลอดสำเร็จ และไม่สำเร็จ (แม่ตาย หรือ ลูกตาย หรือ ทั้งแม่และลูกตาย) ในปัจจุบันไม่พบหมอชาวบ้านหรือหมอตำแยในชุมชน คงเหลือเพียงการบอกเล่า ภายหลังมีการก่อตั้งสุขศาลาหรือสถานีอนามัยขึ้นในตำบลป่าคลอก แต่เป็นพื้นที่ค่อนข้างห่างไกล ยากต่อการดูแลความสงบเรียบร้อย กำนัน ต.ป่าคลอก ณ เวลานั้น (ขุนปราบโจรสงบ?) จึงเจรจาขอแลกที่ดินราชพัสดุกับที่ดินของนายเขียว สิทธิศักดิ์ ซึ่งอยู่ติดกับที่ทำการกำนันมาดำเนินการสร้างสุขศาลา/สถานีอนามัย ทำให้เป็นสถานพยาบาลแรกในตำบลป่าคลอกในพื้นที่ชุมชนบ้านผักฉีด ปัจจุบัน ใช้ชื่อ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่าคลอก
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่าคลอก เป็นสถานพยาบาลปฐมภูมิ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต มีแพทย์ออกตรวจเป็นประจำทุกวัน พฤหัสบดี และศุกร์ รวมถึงมีบริการคลินิกพิเศษต่างๆ โดยบุคลากรทางการแพทย์ แยกออกเป็น แพทย์แผนไทย กายภาพ ทันตกรรม NCDs ฝากครรภ์
ในหน่วยชุมชน มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 8 คน ทำหน้าที่ให้บริการด้านส่งเสริมสุขภาพ สื่อข่าวสารสาธารณสุข คัดกรอง ป้องกันโรคเบื้องต้น รวมถึงเป็นสื่อกลางระหว่างชุมชนและ รพ.สต. ในการให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน มีกลุ่มออกกำลังกายโดยการสนับสนุนจากกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลป่าคลอก (กปท.) ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์และการฝึกสอนโดยวิทยากรชำนาญการ เพื่อเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกายในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ
เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลในสังกัดเทศบาลจำนวน 1 โรงเรียน คือ โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลป่าคลอก และที่ตั้งของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1 โรงเรียน คือ โรงเรียนสิทธิสุนทรบำรุง
นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสอนศาสนาและวัฒนธรรม มัสยิดบ้านผักฉีดที่เปิดสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้เด็กไทยมุสลิมได้เรียนรู้อัลกุรอ่านและขนบธรรมเนียมมุสลิม ประชากรส่วนใหญ่ผ่านการศึกษาภาคบังคับและอ่านออกเขียนได้
ในด้านวัฒนธรม ผักฉีดเป็นพื้นที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม มีคนไทยพุทธ มุสลิมเรียนรู้อยู่ด้วยกัน มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ เช่น การบวงสรวงหลางพ่อสุรินทร์ การทำถือศิลอด เป็นต้น นำไปสู่การต่อยอดกิจกรรมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
บ้านผักฉีดมีพื้นที่ติดป่าชายเลนคลองท่าเรือซึ่งยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลน, ป่าชายหาด อุดมสมบูรณ์
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว
ป่าควนเขาพระแทว/ป่าเลนคลองท่าเรือ
ในชุมชนบ้านผักฉีดมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มีความน่าสนใจ เช่น สวนน้ำสาธารณะบ้านผักฉีดและชายหาดบางทราย ซึ่งเป็นสถานที่คนส่วนใหญ่นิยมมาพักผ่อหย่อนใจ
อัจฉริยะ วงษ์คำขาว, และถวิล ลดาวัลย์ (2562). ยุทธศาสตร์การดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. Dhammathas Academic Journal, 19(3),71-80.
เทศบาลตำบลป่าคลอก. (2567). แผนพัฒนาท้องถิ่น เทศบาลตำบลป่าคลอก จ.ภูเก็ต. เข้าถึงข้อมูลจาก https://www.paklok.go.th/news_download?cid=17
Susilawati, S., Susilawati, S., Sadikin, A., Sadikin, A., Saripah, İ., & Saripah, I. (2022). Development Of Ulen Gulung Entrepreneurship Based On Local Wisdom Through
Strengthening Digital Literacy At Bina Cipta Community Learning Center Ujungberung Bandung City. Spektrum, 10(1), 1–10. https://doi.org/10.24036/spektrumpls.v10i1.112918
Ayomsari, S. W., & Azizah, N. (2024). Three Center of Education on A Vocational Learning Approach Based on Local Wisdom in Special Schools in Bali Province. Proceeding of International Conference on Special Education in South East Asia Region, 3(1), 1–9. https://doi.org/10.57142/picsar.v3i1.545
Nurani, Y., Pratiwi, N., Situmorang, R., Ayu, N. G., Made, Y., & Lestari, Y. (2024). Children’s Character Learning Model Based on Indonesian Local Wisdom: Implemented to Early Childhood Education in Play Centers. JPUD - Jurnal Pendidikan Usia Dini, 18(1), 1–14. https://doi.org/10.21009/jpud.181.07