
ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งภาพเขียนสีโบราณ และภูเขาหินปูนที่โอบล้อมรอบหมู่บ้าน ทำให้บรรยากาศดูสวยงามและน่าประทับใจ ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม
“ซำขาม” ตั้งชื่อจากลักษณะเด่นของสถานที่นั้น คำว่า “ซำ” แปลว่าน้ำซับ น้ำที่ไหลออกมาไม่ขาดไม่ว่าฤดูแล้งหรือฤดูฝนแต่ไม่ไหลออกมามาก เพียงแต่ซับหรือซึมอยู่ในดิน เรียกว่า น้ำซำ คำว่า “ขาม” มาจาก ต้นมะขามขนาดใหญ่ ประมาณ 3 คนโอบล้อม ซึ่งมีอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงนำคำทั้งสองมารวมกัน แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านว่า ซำขาม
ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งภาพเขียนสีโบราณ และภูเขาหินปูนที่โอบล้อมรอบหมู่บ้าน ทำให้บรรยากาศดูสวยงามและน่าประทับใจ ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2516 มีชาวบ้านมาอยู่อาศัยและทำไร่ข้าวโพดที่บริเวณเชิงเขา ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำผาพวง ตั้งอยู่ในเขตหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภม. 1 (ภูผาม่าน) และเรียกชื่อหมู่บ้านแบบไม่เป็นทางการว่า “ซำขาม” โดยพ่อใหญ่ตัน-แม่ใหญ่ไก่ ดวงดอกแก้ว เป็นผู้ตั้งชื่อหมู่บ้าน ที่มาของคำว่า “ซำขาม” ตั้งชื่อจากลักษณะเด่นของสถานที่นั้น คำว่า “ซำ” แปลว่าน้ำซับ น้ำที่ไหลออกมาไม่ขาดไม่ว่าฤดูแล้งหรือฤดูฝนแต่ไม่ไหลออกมามาก เพียงแต่ซับหรือซึมอยู่ในดิน เรียกว่า น้ำซำ คำว่า “ขาม” มาจาก ต้นมะขามขนาดใหญ่ ประมาณ 3 คนโอบล้อม ซึ่งมีอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงนำคำทั้งสองมารวมกัน แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านว่า ซำขาม
แรงจูงใจให้ชาวบ้านมาอยู่อาศัยบริเวณถ้ำผาพวง เนื่องจากในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน และมีการเปิดสัมปทานป่าไม้ โดยผู้ที่ได้รับสัมปทานคือโรงเลื่อยในอำเภอชุมแพ บริเวณนั้นจึงเริ่มมีการตัดไม้เพื่อนำไปขายและเริ่มเป็นพื้นที่โล่งเตียน เหมาะแก่การอยู่อาศัยและเป็นพื้นที่ทำกิน จากนั้นเริ่มมีชาวบ้านหลายจังหวัดทราบว่ามีพื้นที่ดังกล่าว จึงอพยพมาอยู่อาศัยและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ชาวบ้านจากจังหวัดนครราชสีมา เลย อุดรธานี อุบลราชธานี และหนองบัวลำภู
ณ ช่วงเวลานั้นมีผู้นำไม่เป็นทางการคนแรกคือ พ่อใหญ่สา และมีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 97 ครัวเรือน ชาวบ้านปลูกบ้านโดยใช้ใบลานมุงเป็นหลังคาและทำฝาบ้าน ประกอบอาชีพทำการเกษตร ได้แก่ ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วเขียว ละหุ่ง (บักหุ่งเทศ) ข้าวฟ่าง และมีร้านขายของชำ 1 ร้าน ของนายประจวบ ป้อมภูเขียว โรคภัยในอดีตที่มักพบบ่อย คือโรคท้องร่วง เนื่องจากน้ำดื่มไม่สะอาด ชาวบ้านใช้วิธีรักษาหลากหลายวิธี เช่น รักษาโดยหมอประจำหมู่บ้าน รับประทานยาต้มและวิธีทางการแพทย์สมัยใหม่ที่สถานีอนามัยบ้านอ่างทองและโรงพยาบาลสีชมพู ในปี พ.ศ. 2524 พ่อเขียน ธรรมสิมมา ได้เป็นผู้นำไม่เป็นทางการ คัดเลือกโดยวิธีการต่อแถวให้คะแนน พ.ศ. 2526 มีผู้นำคนสุดท้ายก่อนจากย้ายหมู่บ้านคือ พ่อทองพูน จันทร์สีดา
สาเหตุความเป็นมาที่ชาวบ้านซำขามต้องย้ายออกจากพื้นที่บริเวณถ้ำผาพวง เนื่องจากใน พ.ศ. 2525 กรมป่าไม้ได้เข้ามาปลูกต้นไม้สักทับที่ดินทำกินของชาวบ้านเพื่อขยายเขตพื้นที่ป่า พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านบ้านซำขามย้ายออกจากพื้นที่ ประมาณ พ.ศ. 2526 เจ้าหน้าที่เริ่มปลูกต้นยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้น เมื่อต้นไม้เริ่มเจริญเติบโตขึ้น พ.ศ. 2531 กรมอุทยานแห่งชาติมีการเรียกผู้นำชุมชนของหมู่บ้าน ขณะนั้นคือ กลุ่มผู้นำของพ่อทองพูน จันทร์สีดา ไปประชุมเพื่อหาทางออกร่วมกันเรื่องบ้านซำขามตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ต่อมา พ.ศ. 2532 ชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่บ้านซำขามที่อยู่บริเวณถ้ำผาพวงมาตั้งอยู่พื้นที่แห่งใหม่ โดยย้ายมาอยู่รวมกับหมู่บ้านวังขอนแดง หมู่ที่ 3 ซึ่งมีผู้นำหมู่บ้านคือ นายหล้า วิจารณรงค์ ชาวบ้านที่ย้ายมาได้รับการจัดสรรที่ดินจากรัฐ ครอบครัวละ 2 งาน เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย ตำแหน่งของที่อยู่อาศัยแต่ละครัวเรือนจะต้องทำการจับสลาก จำนวนครัวเรือนบ้านซำขามแรกเริ่มที่ย้ายมารวมกับบ้านวังขอนแดง มีประมาณ 84 หลังคาเรือน เนื่องจากยังไม่ได้ย้ายมาพร้อมกันทั้งหมด และมีการบริจาคพื้นที่เพื่อสร้างวัดขึ้น ชื่อว่าวัดป่าซำขามสามัคคีธรรม โดยยายรอดเป็นผู้บริจาค มีเจ้าอาวาสคือหลวงพ่อสวัสดิ์ (หลวงพ่อกบ)
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2532-2547 มีการก่อตั้งสมัชชาคนจน เพื่อเรียกร้องขอที่ดินทำกิน เนื่องจากรัฐจัดสรรให้เฉพาะที่อยู่อาศัย กลุ่มคนดังกล่าวได้เรียกร้องขอที่ดินทำกินโดยการออกมาเรียกร้องด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การชุมนุม การสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณซำนกน้อยเป็นเวลาหลายปี จึงได้มาซึ่งที่ทำกิน 7 ไร่ 2 งาน บริเวณบ้านโคกม่วง ใน พ.ศ. 2547 (ได้ที่ทำกินเฉพาะคนที่ออกมาเรียกร้อง) ต่อมา พ.ศ. 2534 เริ่มมีไฟฟ้าใช้และมีการจัดตั้งชุมชนและผู้นำชุมชน แบ่งเขตออกเป็น 7 หมู่ พ.ศ. 2539 เริ่มมีน้ำประปาหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2541 บ้านซำขามแยกเป็นหมู่บ้านออกจากบ้านวังขอนแดง มีผู้ใหญ่บ้านทางการคนแรก คือนางฤกษ์ ชุมทอก ตำรงตำแหน่งถึง พ.ศ. 2564 ต่อมา พ.ศ. 2565 มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ บ้านซำขามจึงมีผู้ใหญ่บ้านคนที่ 2 คือนายสมปอง แสงดาว และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านจนถึงปัจจุบัน
ชุมชนบ้านซำขาม หมู่ที่ 8 ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น
มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ภูผายาว
- ทิศใต้ ติดต่อกับ หมู่ที่ 5 บ้านหนองหญ้าปล้อง
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ เขตหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภม. 1 (ภูผาม่าน)
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ 3 บ้านวังขอนแดง
ในปัจจุบัน ชุมชนได้ย้ายจากถ้ำผาพวงมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านซำขามแห่งใหม่ ซึ่งมีสภาพอาคารบ้านเรือนที่มีความมั่นคง แข็งแรง ที่ดินเป็นที่สามารถโอนสิทธิและตกทอดทางมรดกสิทธิให้ทายาทต้องเป็นเกษตรกรหรือผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักเท่านั้น (ที่ดิน ส.ป.ก.) มีสถานศึกษาในชุมชน คือ โรงเรียนบ้านวังขอนแดงหนองหญ้าปล้อง เปิดสอนระดับชั้น อนุบาล 2 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5
การเดินทาง : มีถนนคอนกรีตและถนนลาดยาง โดยสามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล และรถโดยสารประจำทาง
ด้านสาธารณูปโภค : มีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน โดยการไฟฟ้าอำเภอสีชมพู มีน้ำใช้โดยระบบประปาหมู่บ้าน
ด้านสาธารณสุข : ไม่มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในชุมชน แต่สามารถเข้ารับบริการได้ที่หมู่บ้านใกล้เคียง คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซำจำปาและบ้านอ่างทอง
ข้อมูลประชากรจากที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ 8 บ้านซำขาม ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น มีประชากรทั้งหมด จำนวน 499 คน แบ่งเป็น ชาย 266 คน และ หญิง 233 คน มีครัวเรือน 174 ครัวเรือน ประชากรในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนไทย ไม่ปรากฏข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์
จากการสัมภาษณ์ข้อมูลผังเครือญาติของคนในชุมชน โดยมีผู้ให้ข้อมูล คือ นางเวียง ยมโคตร ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับชุมชน คือ เป็นผู้ที่สามารถให้ข้อมูลในประวัติความเป็นมาของชุมชนและเครือญาติของตนเองได้ดี เนื่องจากได้ดำเนินชีวิตเมื่ออยู่ถ้ำผาพวงจนถึงการย้ายหมู่บ้านมาตั้งอยู่ที่บ้านซำขามในปัจจุบัน ได้ให้ข้อมูลแสดงช่วงอายุของเครือญาติอยู่ที่ 5 รุ่น ดังปรากฏรายละเอียดตามภาพ
ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้คนในชุมชนบ้านซำขาม มีการรวมกลุ่มกันทั้งแบบเป็นทางการและแบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ใหญ่บ้าน กลุ่ม อสม. กลุ่มรักษ์ดงลาน กลุ่มเที่ยววิถีสีชมพู และกลุ่มมหา’ลัย ไทบ้าน โดยมีภาพประกอบตัวอย่างการรวมกลุ่มกันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มแบบเป็นทางการและแบบไม่เป็นทางการตามที่ปรากฏ ดังนี้
ในรอบปีชาวชุมชนบ้านซำขามมีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยมีอัตลักษณ์โดดเด่น ดังต่อไปนี้
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
ประเพณีสงกรานต์ : จัดขึ้นในวันที่ 13-15 เดือนเมษายนของทุกปี เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันปีใหม่ไทย โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่แสดงถึงความกตัญญู การทำบุญและการรวมญาติ
ประเพณีบุญบั้งไฟ : จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เพื่อบูชาพญาแถน (เทพเจ้าแห่งฝน) และขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านซำขาม
ประเพณีบุญเบิกฟ้า : จัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล และเพื่อเป็นการบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์สำหรับการเพาะปลูก
เข้าพรรษา : จัดขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำที่วัดเป็นเวลา 3 เดือนในช่วงฤดูฝน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางที่อาจไปเหยียบย่ำพืชผลของชาวบ้านหรือสัตว์เล็ก ๆ
ออกพรรษา : จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ชาวบ้านบ้านซำขามจะได้ร่วมทำบุญตักบาตรและบำเพ็ญกุศลเพื่อระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประเพณีบุญกฐิน : จัดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี จัดขึ้นเพื่อถวายผ้ากฐินและบริวารกฐินแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทย ชาวบ้านที่ร่วมทำบุญกฐินจะได้รับอานิสงส์ผลบุญมากมาย ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เช่น ความสุข ความเจริญ ความมั่งคั่ง และการได้ไปสู่สวรรค์และนิพพาน
ประเพณีลอยกระทง : จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความสำนึกบุญคุณของแม่น้ำ ที่ให้ชาวบ้านได้อาศัยดื่มกิน อีกทั้งขออภัยพระแม่คงคาที่ทำให้แหล่งน้ำต่าง ๆ ไม่สะอาด
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพภาคการเกษตรเป็นหลัก ได้แก่ การปลูกอ้อย แตงกวา มะละกอ และมันสำปะหลัง นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนยังประกอบอาชีพรับจ้าง เช่น รับจ้างตัดอ้อย รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ อาทิ ไพหญ้า และหน่อไม้ นอกจากนี้ยังมีการเพาะปลูกพืชระยะสั้นจำหน่าย เช่น ผักสวนครัว และสตรอว์เบอร์รี่ รวมถึงการดำเนินธุรกิจส่วนตัวประเภทต่าง ๆ เช่น ร้านคาเฟ่ และรีสอร์ท
วิถีชีวิตชุมชนกับระบบนิเวศ
ระบบนิเวศชุมชนมีความเปราะบางและได้รับผลกระทบอย่างมากจากภัยธรรมชาติหลายรูปแบบ ในช่วงฤดูแล้งไฟป่ามักเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองปกคลุมไปทั่วบริเวณ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในชุมชน แต่ยังทำลายพืชพรรณและสัตว์ป่าอย่างรุนแรง ในทางกลับกันเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่มาพร้อมกับปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไป น้ำป่าไหลหลากจากภูเขาที่อยู่ใกล้ชุมชน ก็เป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติที่คุกคามชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน ขณะเดียวกันภาวะภัยแล้งก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตรกรรม ทำให้พืชผลเสียหายและเกิดโรคระบาดในสัตว์ เช่น โรคปากเท้าเปื่อยในวัวควาย ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคนในชุมชนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคท้องร่วง ที่มักจะระบาดในช่วงน้ำท่วม หรือไข้เลือดออก ที่แพร่ระบาดได้ง่ายในฤดูฝนที่มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายชุกชุม อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายจากภัยธรรมชาติ ระบบนิเวศชุมชนก็ยังคงเป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรที่สำคัญสำหรับชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนที่อุดมสมบูรณ์ จะพบเห็นเห็ดป่าขึ้นมากมาย และยังเป็นฤดูที่สามารถหาไข่มดแดง และผักหวานป่า ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นที่ได้รับความนิยม
บุคคลสำคัญในชุมชน
นายทองพูน จันทร์สีดา เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2497 ที่บ้านมะค่า ตำบลโพนทอง อำเภอบัวใหญ่ (อำเภอสีดาในปัจจุบัน) จังหวัดนครราชสีมา พ่อทองพูน เป็นลูกชาวไร่ชาวนา เรียนหนังสือจบชั้น ป.4 ตอนอายุ 12 ปี จากโรงเรียนวัดบ้านทุ่งรี ตำบลวังหิน อำเภอโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา
พ่อทองพูน มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ซึ่งพ่อทองพูนเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 3 คน และน้องสาวอีก 3 คน ชีวิตในวัยเด็กหลังจากเรียนจบชั้น ป.4 ช่วงอายุ 13 ปี พ่อทองพูนได้มาประกอบอาชีพทำไร่ข้าวโพดกับน้องชายอยู่ที่บ้านสระว่านพระยา ตำบลสระว่านพระยา อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา การเป็นลูกคนโตต้องมาประกอบอาชีพหารายได้ช่วยครอบครัวดูแลเลี้ยงดูน้อง ๆ ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ เป็นระยะเวลา 1 พรรษา หลังจากลาสิกขาก็กลับมาทำไร่ข้าวโพดเช่นเดิม เมื่อ พ.ศ. 2523 พ่อทองพูนอายุ 26 ปี ได้แต่งงานกับ นางสำราญ สีแสด (ยายเตี้ย) ซึ่งในปีนั้นหลังจากที่แต่งงานก็ได้มีลูกชายคนที่ 1 ชื่อนาย ต่อมาอายุ 27 ปี ได้มีลูกสาวคนที่ 2 ชื่อสาว หลังจากนั้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ได้ย้ายจากโคราชมาอยู่ที่ บ้านซำขามบริเวณเชิงเขาถ้ำผาพวง มาดำรงชีพทำไร่ข้าวโพดและถั่วเหลือง พื้นที่อยู่อาศัยมีความอุดมสมบูรณ์ปลูกพืชพันธุ์อะไรก็ได้ผลผลิตดี และได้ทำการย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่บ้านซำขาม สมัยนั้นบ้านซำขามอยู่ในเขตการปกครอง ตำบลวังเพิ่ม อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2526 ได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านบ้านซำขาม ช่วงอายุประมาณ 32 ปี เกิดอุบัติเหตุ ไม้ตกใส่หัวขณะสร้างบ้านและได้รับการรักษาที่อนามัยบ้านอ่างทอง ตำบลวังเพิ่ม อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องไปรักษาที่อนามัยหรือโรงพยาบาลที่ไหนอีกเลยเพราะสุขภาพแข็งแรงดี ต่อมาเมื่อ อายุ 34 ปี มีลูกสาวคนที่ 3 ชื่อพราว
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2525 มีกรมป่าไม้มาปลูกต้นไม้สักทับที่ดินทำกินของชาวบ้านเพื่อขยายเขตพื้นที่ป่า พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านซำขามย้ายออกจากพื้นที่เมื่อ พ.ศ. 2532 จึงได้ย้ายที่ตั้งบ้านมารวมอยู่กับหมู่บ้านวังขอนแดง เมื่อ พ.ศ. 2533 บ้านวังขอนแดงได้แยกการปกครองขึ้นใหม่โดยแยกจาก ตำบลวังเพิ่มเป็น ตำบลดงลาน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2534 ได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านวังขอนแดง ซึ่งสมัยนั้น นายแดง สมวงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านวังขอนแดง
ในช่วงที่ย้ายมาอยู่รวมกับหมู่บ้านวังขอนแดง พ.ศ. 2533 - 2535 ช่วงนั้นพื้นที่ทำกินก็ถูกรัฐจัดสรรให้ไม่เพียงพอต่อการทำมาหากิน ช่วงนั้นพ่อทองพูนก็ได้คิดหาอาชีพเสริมคือได้นำยาลูกกลอนแก้ปวดขาจากโคราชมาขาย เมื่อ พ.ศ. 2536 ยาลูกกลอนช่วงนั้นขายดีมากก็ได้นำเงินเก็บที่ได้จากการขายยาลูกกลอนมาซื้อที่จำนวน 9 ไร่ เพื่อทำไร่ข้าวโพด ปีต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาทำไร่อ้อยแทนก็กลายเป็นอาชีพหลักที่ประกอบเลี้ยงชีพครอบครัวเรื่อยมา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2537 พ่อทองพูนได้มีโทรศัพท์บ้านเป็นเครื่องแรกในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มาใช้บริการโทรศัพท์โทรติดต่อญาติที่อยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศ
เมื่ออายุได้ 44 ปี (พ.ศ. 2541) ลูกสาวคนที่ 2 ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน จากนั้นอายุได้ 46 ปี มีลูกสาวคนที่ 4 ชื่อแพรว ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2547-2551 ได้ดำรงตำแหน่งประธานสภา อบต. ดงลาน ต่อจากนั้นเมื่อ พ.ศ. 2553 พ่อทองพูนได้หย่าร้างกันกับยายเตี้ย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2555 ได้มีภรรยาคนที่ 2 คือ แม่ออมแก้ว แล้วย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านภรรยาคนที่ 2 ที่หมู่บ้านเขาสัพยา ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น แล้วได้แยกทางกันกับภรรยาคนที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2565 แล้วได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านวังขอนแดงกับลูกสาว
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) พ่อทองพูนเป็นชาวเกษตรกรอย่างเต็มตัว ประกอบอาชีพหลัก คือ ทำไร่อ้อย พ่อทองพูนมีสุขภาพที่แข็งแรง ในความสุขแต่ละวันของพ่อทองพูนคือการได้ไปดูไร่อ้อยชมสวนดูแลผลผลิตทางการเกษตรของตนเอง และใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข
ผู้นำในชุมชน
- นางฤกษ์ ชุมทอก เกิดเมื่อวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 เป็นผู้ใหญ่บ้าน พ.ศ. 2541-2564
- นายสมปอง แสงดาว เกิดเมื่อวันที่ 11 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2524 เป็นผู้ใหญ่บ้าน พ.ศ. 2565-ปัจจุบัน
- นายวิเชียร ไชยดี เกิดเมื่อวันที่ 30 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2506 อดีต ส.อบต.ดงลาน, อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, อดีตประธานสภา อบต.ดงลาน
ปราชญ์ชาวบ้านในชุมชน
- นางคูณ สอนห้วยไพร เกิดเมื่อวันที่ 10 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2489 ปราชญ์ชาวบ้านด้านการทอเสื่อ
- นางสาวสำราญ สีแสด เกิดเมื่อวันที่ 10 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2507 ปราชญ์ชาวบ้านด้านการไพหญ้า
ด้านกายภาพ/ชีวภาพ
หมู่บ้านซำขามตั้งอยู่ในพื้นที่การผสมผสานระหว่างที่ราบสูง เนินเขา และพื้นที่ป่าไม้ ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงามและมีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เช่น ภาพเขียนสีโบราณ ภูเขาหินปูนที่สลับซับซ้อน พืชพรรณบนเขาหินปูน สภาพอากาศที่ดี
ด้านทรัพยากรมนุษย์
กลุ่มคนในชุมชน ได้แก่ กลุ่มคนทำไพหญ้า ส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านหลังจากว่างจากการทำอาชีพเกษตรกรแล้วก็จะหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เสริมให้แก่ครอบครัว ด้วยพื้นที่ในชุมชนอยู่ท่ามกลางป่าเขาล้วนเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะหญ้าคานับว่าเป็นวัชพืชชนิดหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในแปลงเกษตรของชาวบ้านและในพื้นที่ตามป่าเขา ชาวบ้านจึงได้เก็บเกี่ยวหญ้าคามาทำเป็นไพหญ้าคาที่สร้างเป็นรายได้ให้กับคนในชุมชน และมีปราชญ์ชาวบ้านผู้มีความรู้และถ่ายทอดความรู้ในด้านการสร้างเสริมอาชีพ กลุ่มอาชีพเสริมหลัก คือ กลุ่มคนไพหญ้า และการทอเสื่อ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์สำนึกรักบ้านเกิดสร้างชุมชนให้เกิดคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญพื้นที่ในชุมชน จึงได้สร้างแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเกิดเป็นกลุ่มเที่ยววิถีสีชมพู และเริ่มมีผู้คนรู้จักมีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้ความสนใจแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
ด้านวัฒนธรรม
ชุมชนของเรายังมีวัฒนธรรมที่สืบสานกันมา คือ ประเพณีท้องถิ่น เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ บุญเบิกฟ้า บุญบั้งไฟ บุญกฐิน เข้าพรรษา ออกพรรษา เป็นต้น
ด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของคนในชุมชนที่เห็นได้เด่นชัด คือ การประกอบอาชีพเพื่อการดำรงชีพ เช่น การทำเกษตร ส่วนใหญ่ทำไร่อ้อย และเกษตรอื่น ๆ เช่น มะละกอฮอลแลนด์ มันสำปะหลัง แตงกวา นอกเหนือจากการทำเกษตร คือ การเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงวัว และเลี้ยงไก่ และการทำสินค้าชุมชน คือ การไพหญ้า การทำหน่อไม้ถุง และทอเสื่อ และมีการหาของป่าไว้ตามฤดูการไว้รับประทานและจำหน่าย เช่น ไข่มดแดง หน่อไม้ เห็ด และผักหวาน นอกจากนี้ ยังมีรายได้เข้ามาในชุมชนจากการท่องเที่ยว คือ การใช้บริการ รถอีแต๊กนำเที่ยว และการพักโฮมสเตย์ที่เป็นบ้านของชาวบ้านที่เปิดไว้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
ด้านสังคม/การเมือง
มี 2 กลุ่มเครือข่ายหลัก คือ เครือข่ายองค์กรภายในชุมชน คือ ผู้สร้างความเข้มแข็งของกลุ่มผู้นำกลุ่มทางการเมือง ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เครือข่ายองค์กรภายนอกชุมชน ได้แก่ กลุ่มเที่ยววิถีสีชมพู คือ กลุ่มผู้ดูแลและบริการนักท่องเที่ยววิถีชุมชน กลุ่มมหา'ลัย ไทบ้าน คือ กลุ่มส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้แนวคิดการศึกษาบนพื้นฐานชุมชน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มรักษ์ดงลาน คือ กลุ่มคัดค้านการสัมปทานเหมืองหิน
ชาวบ้านซำขามได้อพยพมาอยู่อาศัยหลากหลายจังหวัด ได้แก่ ชาวบ้านจากจังหวัดนครราชสีมา เลย อุดรธานี อุบลราชธานีและหนองบัวลำภู ดังนั้นแล้วส่วนใหญ่ใช้ภาษาลาวถิ่นอีสาน และมีส่วนน้อยที่ใช้ภาษาไทยกลาง
ปัจจุบันนี้ชาวบ้านนิยมปลูกพืชเชิงเดี่ยว และเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ การปลูกอ้อย ไม่มีความหลากหลายในการปลูกพืชพรรณของชาวเกษตรกร
กลุ่มเครือข่ายองค์กรภายในชุมชน กลุ่มไพหญ้า ขาดการสืบทอดจากคนรุ่นใหม่ กลุ่มทอเสื่อ ไม่ทอเสื่ออย่างสม่ำเสมอขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่สะดวกของชาวบ้าน ทุกวันนี้ไม่มีคนทอเสื่อขาดการสืบทอดทักษะอาชีพนี้ และกลุ่มทำหน่อไม้ถุง ส่วนใหญ่เน้นขายในชุมชนไม่สามารถขยายตลาดออกนอกชุมชนได้เนื่องจากคนทำเป็นผู้สูงอายุ นอกเหนือจากกลุ่มอาชีพยังมีกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องการขัดผลประโยชน์ต่อกันของคนในชุมชน
กลุ่มเครือข่ายองค์กรภายนอกชุมชน กลุ่มมหา'ลัย ไทบ้าน ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองในการแก้ไขปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา และขาดแหล่งทุนสนับสนุน กลุ่มรักษ์ดงลาน ได้รับแรงกดดันจากผู้ได้รับผลประโยชน์จากการสัมปทานเหมืองหิน และมีงบประมาณจากภายนอกที่ไม่แน่นอน
คนในชุมชนยังมีปัญหาสุขภาพมีโรคประจำตัว โรคที่ปรากฏเห็นได้เด่นชัด ได้แก่ โรคเบาหวาน และโรคตับ
ประเพณีบุญบั้งไฟได้หายไปจากชุมชนเนื่องจากไม่มีงบประมาณ และขาดการสืบสานประเพณีให้แก่คนรุ่นหลัง
หมู่บ้านซำขามตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าเขา ในฤดูร้อนจะส่งผลกระทบอย่างมากจากภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า มักเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝุ่นละออง สำหรับการประกอบอาชีพในการทำไร่อ้อยของชาวบ้าน ช่วงฤดูกาลตัดอ้อยจะมีการเผาอ้อยเกิดขึ้นส่งผลให้เกิดฝุ่นควันตามมา ในส่วนของขยะในชุมชนไม่มีแหล่งทิ้งให้ถูกสุขลักษณะเกิดปัญหาทิ้งขยะไม่เป็นที่สร้างความสกปรกให้กับชุมชน และพื้นที่ดงลานเป็นถิ่นทุรกันดาร มีถนนที่ไม่อำนวยความสะดวกในการสัญจร และที่กำลังเป็นปัญหาหนักต่อชุมชนในพื้นที่ขณะนี้คือการสร้างเหมืองหินในพื้นที่ใกล้เคียงส่งผลกระทบต่อชุมชนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทาอากาศ การสัญจรของรถบรรทุกหินทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง และมีการขอสัมปทานเหมืองหินจุดใหม่ในชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านได้ต่อต้านคัดค้านกันอยู่ในทุกวันนี้ ด้วยพื้นที่ธรรมชาติที่มีมนุษย์เข้ามาทำลายเป็นเหตุทำให้ธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไป มีสภาพอากาศไม่บริสุทธิ์เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นพื้นที่ มีฝุ่น PM 2.5 เกิดเป็นมลพิษทางอากาศ
หมู่บ้านซำขามตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น มีความน่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งภาพเขียนสีโบราณ และภูเขาหินปูนที่โอบล้อมรอบหมู่บ้าน ทำให้บรรยากาศดูสวยงามและน่าประทับใจ ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีจุดเด่นต่าง ๆ ดังนี้
ธรรมชาติที่งดงามและบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์
ทะเลภูเขาและหมอกยามเช้า ดงลานได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนทะเลภูเขา” เนื่องจากมีภูเขาหินปูน สูงใหญ่รายล้อม ยิ่งในช่วงหลังฝนตกหรือยามเช้าตรู่ จะมีหมอกปกคลุมบริเวณยอดเขาและไหลไปตามภูเขา ทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
ภาพเขียนสีโบราณ ในพื้นที่ดงลานยังมีมรดกทางโบราณคดีที่สำคัญคือภาพเขียนสีที่มีอายุกว่า 3,000 ปี ซึ่งเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในอดีต
กิจกรรมและวิถีชีวิตชุมชน
โฮมสเตย์และที่พัก : มีที่พักแบบโฮมสเตย์ให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนอย่างใกล้ชิด
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ : มีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวแบบ “เที่ยววิถีสีชมพู” ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติและเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชน เช่น การเดินป่า ปีนเขา และชมภาพเขียนสี
นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้เคียงบ้านซำขามยังมีสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น วัดถ้ำแสงธรรม วัดถ้ำผาเจาะ อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน และอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้ไม่ไกลจากตำบลดงลาน
โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ และคณะ. (2562). วิถีชุมชนเครื่องมือเจ็ดชิ้นที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผล และสนุก. พิมพ์ครั้งที่ 13 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2). นนทบุรี : สุขศาลา สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.).
โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ และคณะ. (2567). วิถีชุมชนเครื่องมือเจ็ดชิ้นที่ทำให้งานชุมชน ง่าย ได้ผล และสนุก. พิมพ์ครั้งที่ 12 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
มูลนิธิสยามกัมมาจล. (2568). เครื่องมือ 7 ชิ้นในการเรียนรู้ชุมชน. จาก https://www.scbfoundation.com/media_knowledge/knowledge/384
ลาวเด้อ. (2567). เที่ยววิถีสีชมพู เรียนรู้ธรรมชาติสไตล์ไทบ้าน.จาก https://louderisan.com/archives/1719.
วิกิพีเดีย. (2567). อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน. จาก https://th.wikipedia.org/wiki
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. (2565). โครงการจัดการความรู้และขับเคลื่อนระบบการศึกษาและการเรียนรู้. จาก https://satedu.tsri.or.th/project/tibaan.
องค์การบริหารส่วนตำบลดงลาน. (2565). ประวัติและความเป็นมา. จาก https://donglan.go.th/data.php?content_id=1