
ชุมชนบ้านสะนำเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ทั้งในด้านประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรม คนในชุมชนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งที่อพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ โดยได้นำเอาภูมิปัญญาศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่มีลวดลายเก่าแก่และงดงามมาด้วย ในชุมชนมีต้นไม้ขนาดใหญ่หรือต้นไม้ยักษ์ชนิดหนึ่ง คือ ต้นเชียงหรือต้นผึ้งซึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีป่าหมากที่เป็นสถานที่ที่มีความโดดเด่นและมีความสำคัญแห่งหนึ่งของชุมชนตามคำขวัญ "คลองกระเวนน้ำใส ต้นไม้ใหญ่ป่าหมาก หลายหลากสมุนไพร ยิ่งใหญ่วัฒนธรรม งามล้ำธรรมชาติ แหล่งนักปราชญ์ชาวลาวเวียง" ประชาชนส่วนใหญ่มีเชื้อสายลาวเวียง มีวัฒนธรรมที่ยังคงติดตามมา คือ วัฒนธรรมการแต่งกาย วัฒนธรรมด้านอาหารการกินตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ ตามความเชื่อและศรัทธา
บรรพบุรุษของชุมชนบ้านสะนำ คือ นางสาซึ่งเป็นคนชุมชนบ้านทัพคล้าย มีสามีชื่อ นายนำ ที่อยู่อาศัยที่หมู่บ้านสะนำก่อนภรรยา จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านสานำ" และต่อมาเพี้ยนมาเป็น "บ้านสะนำ" ซึ่งเดิมบริเวณดังกล่าวนี้เรียกว่า บ้านผักป่าเน่า (หรือผักชะอมที่เรารู้จัก) เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกชะอมกันทุกบ้าน และชอบทำอาหารที่มีผักชะอมเป็นส่วนประกอบ
ชุมชนบ้านสะนำเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ทั้งในด้านประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรม คนในชุมชนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งที่อพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ โดยได้นำเอาภูมิปัญญาศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่มีลวดลายเก่าแก่และงดงามมาด้วย ในชุมชนมีต้นไม้ขนาดใหญ่หรือต้นไม้ยักษ์ชนิดหนึ่ง คือ ต้นเชียงหรือต้นผึ้งซึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีป่าหมากที่เป็นสถานที่ที่มีความโดดเด่นและมีความสำคัญแห่งหนึ่งของชุมชนตามคำขวัญ "คลองกระเวนน้ำใส ต้นไม้ใหญ่ป่าหมาก หลายหลากสมุนไพร ยิ่งใหญ่วัฒนธรรม งามล้ำธรรมชาติ แหล่งนักปราชญ์ชาวลาวเวียง" ประชาชนส่วนใหญ่มีเชื้อสายลาวเวียง มีวัฒนธรรมที่ยังคงติดตามมา คือ วัฒนธรรมการแต่งกาย วัฒนธรรมด้านอาหารการกินตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ ตามความเชื่อและศรัทธา
สะนำ หมู่ที่ 2 ตั้งอยู่ในตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ตั้งขึ้นประมาณปี 2484 จากการที่ชาวบ้านอพยพหนีภัยการเมืองมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ราว พ.ศ. 2370 ที่เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่เป็นเมืองขึ้นของไทยได้ก่อกบฏยกกองทัพมาตีกรุงเทพฯ โดยผ่านนครราชสีมา ได้เกิดการต่อสู้กันเป็นเวลานานนับปีจนยุติลงเมื่อเจ้าอนุวงศ์และครอบครัวถูกจับเป็นเชลยส่งมากรุงเทพฯ ในช่วงสงครามสู้รบกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ได้มีการกวาดต้อนผู้คนกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งบรรพบุรุษของชาวสะนำได้อพยพหนีภัยสงครามมาในครั้งนั้น เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินและปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ ณ สถานที่ที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบัน เดิมในพื้นที่เขตตำบลบ้านไร่มีลักษณะเป็นป่าดงที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าชุกชุม มีลำคลอง ห้วยละหานไหลผ่านตลอดปี มีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำไร่ ทำนา เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารมาก ภาษาพูดที่ชาวสะนำและชาวบ้านน้อยพัฒนาพูดเป็นภาษาถิ่น ภาษาลาวสำเนียงคล้ายคนลาวในนครเวียงจันทน์ และใกล้เคียงกับชาวเมืองสุวรรณเขต ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงเชื่อว่าบรรพบุรุษของชาวสะนำน่าจะเป็นคนลาวที่อพยพมาจากนครเวียงจันทน์ หรือจำปาศักดิ์ บรรพบุรุษของคนบ้านสะนำ คือ นางสาซึ่งเป็นคนบ้านทัพคล้าย มีสามีชื่อ นายนำ มาอยู่ที่บ้านสะนำก่อน จึงนำมาเป็นชื่อบ้านว่า บ้านสานำ และเพี้ยนมาเป็น บ้านสะนำ ในเวลาต่อมา "หมู่บ้านสะนำ" ถือเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมของชุมชนลาวครั่งที่ใหญ่ที่สุดของตำบลบ้านไร่และเป็นชุมชนดั้งเดิมที่แยกออกมาจากกลุ่มบ้านทัพคล้าย เมื่อสงครามสิ้นสุด
บ้านสะนำ หมู่ที่ 2 มีอาณาเขตติดต่อกับดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านน้อยพัฒนา หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านหินตุ้ม หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านหัวนา หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านหนองใหญ่ หมู่ที่ 11 ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
สภาพภูมิประเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำสลับภูเขา มีพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิอากาศ มี 3 ฤดู คือฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน
- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่พฤษภาคมถึงกรกฎาคมและเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
- ฤดูร้อน เริ่มจากกลางเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ของทุกปี และเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม เดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด
- ฤดูหนาว เริ่มจากเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี
ข้อมูลประชากรจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ 2 บ้านสะนำมีประชากรทั้งหมดจำนวน 925 คน โดยแบ่งเป็นเพศชายจำนวน 448 คน และเพศหญิงจำนวน 477 คน โดยไม่ใช่คนไทยจำนวน 3 คน เป็นเพศชาย 2 คน เพศหญิง 1 คน ภายในชุมชนมีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 402 ครัวเรือน
ลาวครั่งอาชีพหลัก คือ การเกษตร เช่น ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
อาชีพเสริม คือ การทอผ้า การแปรรูปอาหาร การถนอมอาหาร ปลูกผักสวนครัวเพื่อจำหน่าย
องค์กรชุมชน ประกอบด้วย ด้านเกษตร (กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน กลุ่มปลูกผักปลอดภัย) ด้านอาชีพ (กลุ่มทอผ้าแม่บ้านตำบลบ้านไร่)
ประเพณีแห่ค้างดอกไม้ จะทำกันในวันสงกรานต์ช่วงขึ้นปีใหม่ของไทย แต่ละหมู่บ้านจะนำดอกไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น นำมาประดับตกแต่งเป็นต้นไม้และนำขึ้นรถแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นก็นำมาถวายที่วัด โดยประเพณีนี้จะทำกันเป็นประจำทุกปี ในหมู่บ้านใกล้เคียง บ้านห้วยป่าปก จะเป็นการทำค้างดอกไม้ขึ้นถ้ำที่ใหญ่ที่สุด เชื่อกันว่าเป็นการนำดอกไม้หอมมาถวายพระ จะทำให้ชีวิตในของการเริ่มต้นปีใหม่สดชื่นหอมหวนเบิกบานเหมือนดอกไม้ ที่หมู่บ้านสะนำจะมีการสรงน้ำพระพุทธมนต์ สรงน้ำผู้สูงอายุ ในอดีตแห่ไปบ้านผู้อาวุโสหรือผู้สูงอายุ ปัจจุบันมักจะแยกกันตามแต่ละบ้านแล้วค่อยมารวมรดน้ำร่วมกันทีหลัง (ช่วงมี อบต. เข้ามาดูแลจัดการ) จากนั้นจะมีกิจกรรมช่วยกันก่อเจดีย์ทราย ก่อเจดีย์ข้าวสาร ในวันสุดท้าย และมาตกแต่งทีหลังด้วยไม้เนื้ออ่อนสลักเป็นลาย ทำตุงเล็กย้อมสีไปปักตกแต่ง และยังช่วยกันตกแต่งวัดด้วย ความหมายของการก่อเจดีย์ข้าวสาร คือ ทำอาหารไว้กินในภพหน้าเกิดชาติจะได้ไม่อดอยาก ดอกไม้ความหมายก็คือให้ร่างกายหอมสดชื่นทั้งหมู่บ้าน ในงานพิธีหากชาวบ้านคนไหนจะถวายผ้าที่วัด ก็จะมารวมตัวกันทอผ้า หรือใครที่มีเตรียมไว้อยู่แล้วก็สามารถถวายวัดเลยได้เลย ผ้าที่นิยมนำมาถวาย เช่น ผ้าปูที่นอน ที่นอน หมอนขวาน หมอนสี่เหลี่ยม ผ้าขาวม้า ฯลฯ
ทุนวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ต้นไม้ยักษ์ประจำหมู่บ้านสะนำ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ต้นเซียง” หรือ “ต้นผึ้ง” เนื่องจากเป็นแหล่งอาศัยของผึ้งป่าจำนวนมาก มีอายุกว่า 400 ปี มีขนาดลำต้นที่ใหญ่ที่ประมาณขนาดด้วยคนโอบได้มากกว่า 40 คนโอบ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชุมชน ทั้งในด้านระบบนิเวศและคุณค่าทางวัฒนธรรม ต้นไม้ยักษ์นี้ตั้งอยู่ในป่าหมากที่อุดมสมบูรณ์ และได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยชาวบ้านมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษา โดยเฉพาะนายเฮียง เจ้าของที่ดินที่ปฏิเสธการขายให้พ่อค้าภายนอก เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นทรัพยากรสาธารณะของชุมชน ต้นไม้ยักษ์แห่งนี้จึงมิใช่เพียงสิ่งมีชีวิตทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณ และสะท้อนจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ของชุมชน ที่เห็นคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กับการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
- การทอผ้าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความสำคัญต่อชุมชนบ้านสะนำ ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวลาวครั่งที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ศิลปะการทอผ้าในชุมชนมีลักษณะเฉพาะ ทั้งในด้านลวดลาย เทคนิค และความประณีต สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ นอกจากคุณค่าทางวัฒนธรรม การทอผ้ายังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของครัวเรือน โดยมีการพัฒนาลวดลาย สีสัน และรูปแบบให้สอดคล้องกับตลาดร่วมสมัย กระบวนการสืบทอดองค์ความรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในครอบครัวและชุมชน แสดงถึงพลังของการเรียนรู้ข้ามรุ่นและความยั่งยืนของภูมิปัญญาท้องถิ่น การทอผ้าจึงมิใช่เพียงหัตถกรรมพื้นบ้าน หากแต่เป็นทั้งมรดกวัฒนธรรม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และกลไกสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์ของชุมชนในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม
ภาษาไทย เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารภายในพื้นที่ของหน่วยงานราชการ ทั้งในด้านการดำเนินงาน การติดต่อประสานงาน ตลอดจนใช้เป็นภาษาหลักในการจัดการเรียนการสอนภายในสถานศึกษาในพื้นที่ชุมชน
กระทรวงวัฒนธรรม.(2563). แหล่งวัฒนธรรมชุมชน กระทรวงวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2568. จาก https://moral.m-culture.go.th
กรมการปกครอง.(2568). ระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2568. จาก https://stat.bora.dopa.go.th
รัตนาพร ปานประทีป.(2563). กระบวนการสร้างพลังร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาใบไม้เปลี่ยนชุมชน กรณีศึกษาชุมชนบ้านสะนำ ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี. ภาคนิพนธ์. วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.