Advance search

ชุมชนยังคงรักษาวัฒนธรรมลาหู่แซแล (ลาหู่ดำ) ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ประเพณี และการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายผูกพันกับธรรมชาติ ชุมชนตั้งอยู่ใกล้ทางขึ้นดอยม่อนจอง ซึ่งทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าอันมีชื่อเสียง

หมู่ที่ 5
มูเซอปากทาง
ม่อนจอง
อมก๋อย
เชียงใหม่
อบต.ม่อนจอง โทร. 0 5208 9980
บัวชมพู ปะทะม่วง
2 เม.ย. 2025
สมฤทัย สมัยกุล
30 มิ.ย. 2025
วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
28 พ.ค. 2025
มูเซอปากทาง

บ้านมูเซอปากทาง มาจากลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งอยู่ติดกับถนนสายหลัก ทำให้การคมนาคมสะดวกกว่าหมู่บ้านมูเซออื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า "มูเซอปากทาง" เพื่อบ่งบอกว่าหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ที่ปากทางเข้าออกนั่นเอง 


ชุมชนยังคงรักษาวัฒนธรรมลาหู่แซแล (ลาหู่ดำ) ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ประเพณี และการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายผูกพันกับธรรมชาติ ชุมชนตั้งอยู่ใกล้ทางขึ้นดอยม่อนจอง ซึ่งทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าอันมีชื่อเสียง

มูเซอปากทาง
หมู่ที่ 5
ม่อนจอง
อมก๋อย
เชียงใหม่
63130
17.569199050838662
98.52385473116577
องค์การบริหารส่วนตำบลม่อนจอง

ชุมชนบ้านมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเป็นพื้นที่ที่เคยใช้ปลูกฝิ่นในวงกว้างหลายพันไร่ แต่จากนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งมุ่งลดพื้นที่ปลูกฝิ่นและฟื้นฟูสภาพป่าในพื้นที่ ได้ร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์การบริหารส่วนตำบล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ เข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน

ชุมชนเริ่มมีการปรับเปลี่ยนอาชีพจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นการปลูกพืชผักปลอดสารเคมี และกาแฟใต้ร่มเงาป่า ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้รายได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมีการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ท้องถิ่น เช่น ต้นมะขามป้อม โดยใช้องค์ความรู้และภูมิปัญญาชาวบ้านควบคู่กัน

ในด้านการท่องเที่ยว ชุมชนบ้านมูเซอปากทางเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะประตูสู่ดอยม่อนจอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และได้พัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ภายใต้การดูแลของชุมชนเอง พร้อมกับการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง ที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกพันธุ์ เพาะเมล็ด ต้นกล้า การแปรรูป ไปจนถึงการจำหน่าย จากการสนับสนุนจากรัฐและความเข้มแข็งของชุมชนเอง ทำให้บ้านมูเซอปากทางกลายเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน โดยใช้การปลูกกาแฟและการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการทดแทนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเดิม

ชุมชนบ้านมูเซอปากทาง ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยชุมชนบ้านมูเซอปากทาง

  • ทิศเหนือ ติดกับ หน่วยอนุรักษ์พิทักษ์ป่ามูเซอ ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
  • ทิศใต้ ติดกับ บ้านมูเซอใน ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
  • ทิศตะวันตก ติดกับ บ้านนาไคร้ ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
  • ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ 4 บ้านกะเหรี่ยงอมแพน ตำบลสบโขง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่

ในปัจจุบันชุมชนบ้านมูเซอปากทางตั้งบนพื้นที่สูง ทำให้มีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี และมักมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เสมอ ลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้หมู่บ้านนี้มีอุณหภูมิเย็นสบายในฤดูร้อน และค่อนข้างหนาวจัดในฤดูหนาว โดยในช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิจะลดต่ำลงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7-8 องศาเซลเซียส และในบางปีอาจลดลงเหลือเพียง 2-4 องศาเซลเซียส ขณะที่ฤดูร้อน อากาศไม่ร้อนจัด โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูฝน ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม หมู่บ้านจะมีฝนตกเกือบตลอดทั้งวัน มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,000 มิลลิเมตรต่อปี

การคมนาคมของบ้านมูเซอปากทาง ถือว่าค่อนข้างสะดวกเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากมีถนนลาดยางเชื่อมต่อจากอำเภออมก๋อยมาถึงหมู่บ้าน ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี พ.ศ. 2541 ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์จากตัวอำเภอใช้เวลาเพียงประมาณ 45 นาที 

ข้อมูลประชากรกรมการปกครอง ในปี พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ 5 ชุมชนบ้านมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ มีประชากรทั้งหมดจำนวน 1,431 คน โดยมีทั้งคนไทยและไม่ใช่คนไทย ซึ่งกลุ่มคนไทยแบ่งเป็นชาย 704 คน และหญิง 722 คน และกลุ่มที่ไม่ใช่คนไทย แบ่งเป็นชาย 1 คน และหญิง 4 คน

ลาหู่

ชาวบ้านในชุมชนมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบอาชีพหลักคือการทำเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกกาแฟอาราบิก้า ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากโครงการพระราชดำริให้ปลูกทดแทนพืชฝิ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ต่อมามีการพัฒนาและรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจองในปี พ.ศ. 2555 ส่งผลให้การปลูกกาแฟกลายเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้มั่นคงให้กับชาวบ้าน นอกจากนี้ชุมชนยังมีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมธรรมชาติที่ดอยม่อนจอง ทำให้คนในพื้นที่มีอาชีพเสริมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมท่องเที่ยว เช่น การเป็นไกด์นำทาง พนักงานบริการ และผู้ดูแลที่พัก ทั้งนี้ ชุมชนยังมีการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านการอบรมและถ่ายทอดเทคนิคการปลูกและแปรรูปกาแฟให้กับคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมและการจัดการอาชีพอย่างเป็นระบบในรูปแบบของกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม

ชาวบ้านมูเซอปากทางมีพิธีกรรมบูชาผีและเทพเจ้าที่เป็นประเพณีสำคัญ ซึ่งมักจัดขึ้นในโอกาสพิเศษ เช่น เมื่อมีคนเจ็บป่วย หรือในงานบุญประจำปี โดยพิธีจะเริ่มในช่วงเย็นประมาณ 19.00 น. ด้วยการนำเครื่องบูชาประกอบด้วยถ้วยข้าวตอก น้ำเทียนขี้ผึ้ง และสายสิญจน์ ไปสวดมนต์ที่บ่อปาหรือห้องผี จากนั้นจะมีการเป่าแคน "หน่อภูมา" ซึ่งเป็นแคนพิเศษที่เชื่อมโยงกับเทพเจ้า หลังจากนั้นเครื่องบูชาจะถูกนำไปยังลานจะคี ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีเต้นรำตามจังหวะเสียงแคนเพื่อเป็นการสื่อสารกับผีและเทพเจ้า

พิธีการเลี้ยงผีส่วนใหญ่จะจัดในช่วงเดือนสำคัญของชุมชน เช่น เดือนก่อนฤดูเก็บเกี่ยว หรือในเทศกาลบุญประจำปีของหมู่บ้าน โดยปู่จารซึ่งเป็นผู้นำพิธีกรรมจะเป็นผู้ดูแลและถ่ายทอดความเชื่อเหล่านี้ให้กับคนรุ่นหลัง เพื่อรักษาและสืบสานประเพณีดั้งเดิมของชนเผ่ามูเซอให้คงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ

บ้านมูเซอปากทางมีการปลูกกาแฟอาราบิก้าเป็นอาชีพสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับครัวเรือน นอกจากนั้นยังมีการทำเกษตรผสมผสาน เช่น การปลูกพืชผักปลอดสารเคมี ภายใต้ร่มเงาของป่าไม้ เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติและเพิ่มรายได้เสริม โดยชุมชนได้รวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง เพื่อบริหารจัดการการผลิต การแปรรูป และการจำหน่ายกาแฟอย่างเป็นระบบ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตและกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน สมาชิกในกลุ่มมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการจ้างแรงงานช่วยในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภายในชุมชน

นอกจากนี้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชุมชนบ้านมูเซอนำมาใช้เสริมรายได้ โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตและธรรมชาติของชุมชนผ่านกิจกรรมเดินป่าและการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งช่วยส่งเสริมการรักษาป่าไม้และสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ

โดยรวม วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของชุมชนบ้านมูเซอปากทางผสมผสานระหว่างการเกษตรที่ยั่งยืนกับการสร้างรายได้จากการรวมกลุ่มวิสาหกิจและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีลักษณะดิน ความชื้น อุณหภูมิ และระดับความสูงเหมาะสมกับการปลูกกาแฟอาราบิก้า แม้ว่าปริมาณน้ำฝนจะน้อยกว่าค่ามาตรฐาน แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลผลิต ทำให้ชุมชนได้รวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตจากการปลูกกาแฟ โดยมีการบริหารจัดการที่ชัดเจน มีการวางแผนงานและแบ่งปันผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม แม้จะพบปัญหาขาดแคลนแรงงานและข้อจำกัดทางเทคนิค กลุ่มก็สามารถปรับตัวโดยการจ้างแรงงานและอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ภายในชุมชน รวมถึงขยายพื้นที่ปลูกและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณผลผลิต

โดยชุมชนมีความโดดเด่นด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการที่มีบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีการประชุมและวางแผนร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกชุมชน ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและการทำงานเป็นทีมที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ ชุมชนยังให้ความสำคัญกับทุนทางภูมิปัญญา โดยมีการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการผลิตกาแฟ การแปรรูป และการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และสร้างโอกาสในการจำหน่ายสินค้า

ชาวบ้านมูเซอปากทางใช้ภาษา "มูเซอ" ซึ่งเป็นภาษาของเผ่ามูเซอเฌเล หรือที่เรียกอีกชื่อว่า "ล่าหู่เมเล" เป็นภาษาหลักในการสื่อสารภายในชุมชน โดยภาษามูเซอมีบทบาทสำคัญในการรักษาและสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ ภาษามูเซอยังเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ชุมชนและช่วยเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มสมาชิก ชาวบ้านยังใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สองเพื่อสื่อสารกับบุคคลภายนอก รวมถึงใช้ในการติดต่อราชการ การศึกษา 


สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของชุมชนมูเซอปากทางซึ่งดำเนินการผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยการรวมกลุ่มเพื่อแปรรูปและจำหน่ายกาแฟเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร และสามารถกระจายรายได้สู่สมาชิกภายในชุมชนได้อย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม กลุ่มยังคงเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เช่น การขาดแรงงานในช่วงฤดูเกษตร การขาดแคลนทักษะในการแปรรูปกาแฟของสมาชิกบางส่วน และปัญหาปริมาณผลผลิตที่ไม่แน่นอนจากผลกระทบของสภาพอากาศ ทั้งนี้ กลุ่มได้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น การจ้างแรงงานเพิ่ม การจัดอบรมให้ความรู้แก่สมาชิก การขยายพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงการขอความร่วมมือจากเครือข่ายในการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ การดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองภายในชุมชน การพัฒนาศักยภาพของสมาชิก และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน


ชุมชนบ้านมูเซอปากทางมีเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่ามูเซอเฌเล ที่สะท้อนผ่านประเพณี ความเชื่อ และพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การบูชาเทพเจ้ากี่อชา และพิธีเต้นรำลานจะคี ที่มีปู่จารเป็นผู้ประกอบพิธีสำคัญ วัฒนธรรมเหล่านี้ช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในชุมชนและเชื่อมโยงคนในหมู่บ้านเข้ากับบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องผีและการเลี้ยงผียังคงถูกสืบทอดอย่างเข้มงวด มีการปฏิบัติตามประเพณีอย่างเคร่งครัดเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชุมชน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี วัฒนธรรมดั้งเดิมยังได้รับการรักษาและถ่ายทอดผ่านการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ ทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนบ้านมูเซอปากทางยังคงอยู่ได้

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง บ้านมูเซอปากทาง 

การปลูกกาแฟของชุมชนบ้านมูเซอปากทางมีพัฒนาการที่เชื่อมโยงกับบริบททางสังคม ประวัติศาสตร์ และนโยบายของรัฐมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปี พ.ศ. 2489 ชาวบ้านมูเซอได้อพยพจากดอยช้าง จังหวัดเชียงราย มายังพื้นที่ดอยม่อนจอง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเหตุผลด้านความเสียหายจากสงคราม และพื้นที่ทำกินเดิมไม่สามารถรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ จึงเริ่มตั้งถิ่นฐานใหม่ในบริเวณดังกล่าว

ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ชุมชนเริ่มปลูกกาแฟเป็นครั้งแรกตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อใช้เป็นพืชทดแทนฝิ่นและฟื้นฟูสภาพป่า โดยเน้นปลูกภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ แนวทางนี้ได้รับความสนใจจากชาวบ้านในช่วงเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยว ชุมชนประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด และขาดความรู้ด้านการตลาด จึงทำให้ชาวบ้านบางส่วนตัดต้นกาแฟทิ้ง และหันกลับไปทำเกษตรเชิงเดี่ยวซึ่งมีความชัดเจนด้านตลาดมากกว่า

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2548 เมื่อโครงการพัฒนาชนบทพื้นที่สูงตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เข้ามาส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน โดยแนะนำให้ปลูกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์คาติมอร์เพื่อเพิ่มรายได้และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว โครงการยังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการฝึกอบรมและเรียนรู้ทักษะด้านอาชีพ องค์ความรู้ และการบริหารจัดการชุมชนอย่างเป็นระบบ

ในปี พ.ศ. 2555 ชาวบ้านมูเซอปากทางได้มีโอกาสเข้ารับเสด็จและถวายเมล็ดกาแฟที่ปลูกในชุมชนต่อสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของชุมชน และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในระดับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ด้วยการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง ชุมชนได้รับการส่งเสริมให้ไปศึกษาดูงาน และนำองค์ความรู้มาพัฒนากิจกรรมภายในพื้นที่ ทั้งด้านการผลิตกาแฟ และการรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนดอยม่อนจอง

การปลูกกาแฟของชุมชนบ้านมูเซอปากทางจึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจ แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางสังคม ที่นำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน พึ่งพาตนเองได้ และมีเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

รมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2568). สถิติทางการทะเบียนราษฎร. สืบค้นจาก https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/

ปิยะมาศ วิริยาทรพันธุ์. (2542). การนับวันแบบมูเซอของชาวมูเซอเณเล บ้านมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร.

พงศธร เลาดี. (2563) การบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตกาแฟดอยม่อนจอง บ้านมูเซอปากทาง ตําบลม่อนจอง อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่. ภาคนิพนธ์. วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

อบต.ม่อนจอง โทร. 0 5208 9980