Advance search

จุดเด่นสำคัญของชุมชน คือ การดำรงชีวิตตามวิถีพึ่งพาตนเอง ด้วยระบบไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้พื้นที่ทำเกษตรอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายป่า และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ พืชพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวไร่ พืชผักพื้นบ้าน และสมุนไพร ซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประกอบอาหารและรักษาโรคตามแนวทางแพทย์พื้นบ้านได้ด้วยตนเอง

หมู่ที่ 4
อุ้มผางคี
อุ้มผาง
อุ้มผาง
ตาก
อบต.อุ้มผาง โทร. 0 5556 1416
บัวชมพู ปะทะม่วง
14 พ.ค. 2025
สมฤทัย สมัยกุล
30 มิ.ย. 2025
วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
30 พ.ค. 2025
อุ้มผางคี

อุ้มผางคี มาจากคำว่า "อุ้มผาง" ซึ่งเป็นชื่อของอำเภอในจังหวัดตาก มาจากภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น คำว่า "คี" หมายถึง "ภูเขา" หรือ "ยอดเขา" "หมู่บ้านอุ้มผางคี" จึงหมายถึงหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาในเขตอุ้มผาง ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศที่อยู่ในเขตภูเขาสูง และมีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่


จุดเด่นสำคัญของชุมชน คือ การดำรงชีวิตตามวิถีพึ่งพาตนเอง ด้วยระบบไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้พื้นที่ทำเกษตรอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายป่า และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ พืชพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวไร่ พืชผักพื้นบ้าน และสมุนไพร ซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประกอบอาหารและรักษาโรคตามแนวทางแพทย์พื้นบ้านได้ด้วยตนเอง

อุ้มผางคี
หมู่ที่ 4
อุ้มผาง
อุ้มผาง
ตาก
63170
15.998233025230673
98.94026117392467
องค์การบริหารส่วนตำบลอุ้มผาง

บ้านอุ้มผางคี เป็นชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่ตั้งอยู่ในตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยมีจุดเริ่มต้นจากการอพยพของสองพี่น้องคือ "นายฝีเมือง" และ "นายสิ้นเมือง" ซึ่งนำครอบครัวขนาดเล็กอพยพจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อหลบหนีภัยสงคราม การเดินทางของพวกเขาไม่ใช่การอพยพฉุกเฉิน แต่เป็นการเคลื่อนย้ายอย่างช้า ๆ ผ่านภูเขา ป่าไม้ และลำห้วย เพื่อแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยในการดำรงชีวิต จุดหมายปลายทาง คือผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ของอุ้มผางที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสายน้ำ ลำธาร และป่าดิบเขา ซึ่งมีภูมิประเทศสูงต่ำสลับซับซ้อนเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน พี่น้องทั้งสองจึงตัดสินใจปักหลักอยู่ ณ พื้นที่แห่งนี้ พร้อมสร้างบ้านเรือนและดำรงชีวิตด้วยวิถีดั้งเดิม พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ และใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการทำไร่หมุนเวียนและหาอาหารจากป่า เมื่อชุมชนเติบโตขึ้นตามลำดับก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และได้ผ่านการปรับเปลี่ยนเขตการปกครองมาหลายครั้ง จนปัจจุบันจัดอยู่ในหมู่ที่ 4 ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก

หนึ่งในเอกลักษณ์ของบ้านอุ้มผางคี คือการรักษาวิถีชีวิตที่เรียบง่าย โดยเฉพาะด้านการผลิตอาหารเพื่อยังชีพ ชาวบ้านนิยมปลูกข้าวไว้กินเองเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูก "ข้าวไร่" บนพื้นที่ดอนหรือพื้นที่ลาดชัน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของพื้นที่ นอกจากนี้พิธีกรรมพื้นบ้านยังมีบทบาทสำคัญในการปลูกข้าวไร่ เนื่องจากผู้นำชุมชนและชาวบ้านเชื่อว่าพิธีกรรมแต่ละขั้นตอนมีความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ข้าวเติบโตอุดมสมบูรณ์และคุ้มครองชุมชนให้ปลอดภัย

บ้านอุ้มผางคี หมู่ที่ 4 ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยบ้านอุ้มผางคีมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดกับ ผืนป่าอนุรักษ์บ้านยะโม่คี หมู่ที่ 5 ตำบลอุ้มผาง
  • ทิศใต้ ติดกับ ผืนป่าบ้านป่าพลู หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ละมุ้ง
  • ทิศตะวันตก ติดกับ บ้านแปโดทะ หมู่ที่ 3
  • ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดกำแพงเพชร

ในปัจจุบันบ้านอุ้มผางคีมีสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เป็นหุบเขา มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำเกษตร มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน ส่วนมากช่วงฤดูฝนกับช่วงฤดูหนาวจะยาวนาน อากาศเย็นสบาย โดยเฉพาะฤดูหนาวอากาศจะเย็นจัด

การเดินทางไปยังบ้านอุ้มผางคี โดยเริ่มเดินทางจากอำเภออุ้มผาง มีเส้นทางการคมนาคมเป็นถนนลูกรังบางช่วงเป็นถนนคอนกรีต ถนนภายในหมู่บ้านเป็นถนนลูกรัง บางเส้นทางเป็นถนนคอนกรีตและถนนลูกรัง ไม่มีรถโดยสารประจำทาง

ข้อมูลประชากรจากกรมการปกครอง พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ บ้านอุ้มผางคี มีประชากรที่เป็นชาวไทย และกลุ่มที่ไม่ใช่คนไทย รวมทั้งหมดจำนวน 4,297 คน กลุ่มคนไทยสามารถแบ่งเป็นชาย 1,710 คน และหญิง 1,538 คน รวม 3,248 และกลุ่มที่ไม่ใช่คนไทย แบ่งเป็นชาย 532 คน และหญิง 517 คน

ปกาเกอะญอ

อุ้มผางคีเป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีโครงสร้างทางสังคมแบบดั้งเดิมซึ่งยังคงความเข้มแข็งและแน่นแฟ้น โดยมีการจัดระบบภายในชุมชนอย่างมีแบบแผนผ่านการรวมกลุ่มกันของครัวเรือน ระบบเครือญาติ และการมีผู้นำที่ได้รับความเคารพทั้งในด้านการบริหารและจิตวิญญาณ เช่น ผู้นำชุมชนและผู้นำพิธีกรรมทางวัฒนธรรม

ชุมชนมีการจัดการทรัพยากรร่วมกัน เช่น ระบบไร่หมุนเวียนที่สมาชิกในหมู่บ้านมีส่วนร่วมในการจัดสรรพื้นที่ การทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูก และการดูแลรักษาป่า โดยทุกครัวเรือนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง แสดงถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในระดับชุมชน

ในด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยเฉพาะการปลูกข้าวไร่เพื่อยังชีพ ซึ่งเป็นทั้งฐานของวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ชุมชนยังมีการหาอยู่หากินจากป่า การรวมกลุ่มลงแขกช่วยกันทำไร่ และบางส่วนเริ่มมีรายได้จากการรับจ้างหรือการจำหน่ายผลผลิตให้กับนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้โครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้านอุ้มผางคีเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกันภายใต้ระบบเครือญาติ มีผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน และมีการรวมกลุ่มเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม โดยยังคงรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างมั่นคง

สำหรับบ้านอุ้มผางคีการทำไร่หมุนเวียนไม่ใช่เพียงกิจกรรมทางเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบชีวิตที่ประสานกับจิตวิญญาณ ความเชื่อ และพิธีกรรมที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น โดยแต่ละเดือนในรอบปีจะมีพิธีกรรมเฉพาะที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เทพยดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาเคารพในรอบปี ซึ่งชาวบ้านอุ้มผางคีมีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมร่วมกันที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น ดังต่อไปนี้

เดือนมกราคม

พิธีแสะท่อบือซ่า เป็นพิธีเรียกขวัญเมล็ดข้าวก่อนตีข้าว เพื่อขอให้ได้ผลผลิตมากและเพียงพอต่อการบริโภคและแจกจ่าย โดยมีข้อห้าม เช่น ห้ามซื้อของ หรือนอนค้างนอกบ้านในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ข้าวไม่อยู่กับเจ้าของ

พิธีเซอท่อโท่ เป็นพิธีเลี้ยงส่งนกหรือเจ้าที่ที่ดูแลไร่ตลอดฤดูกาล โดยจะมีการสร้างยุ้งข้าวจำลอง และถวายของเซ่นไหว้เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้คุ้มครองไร่

พิธีอ้อบือโค๊ะ เป็นพิธีฉลองข้าวใหม่ โดยสมาชิกในครอบครัวและญาติพี่น้องจะร่วมรับประทานข้าวใหม่จากผลผลิตของปีนั้น พร้อมกับจัดอาหารจากวัตถุดิบที่เก็บจากป่าและไร่มาปรุงร่วมกัน เป็นการเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์ โดยความเชื่อว่าหากไม่จัดพิธีเหล่านี้ให้ครบ เด็กกำพร้า คนชรา หรือแม่หม้ายจะไม่ได้รับประทานข้าวใหม่ ถือเป็นการละเมิดจารีตที่สืบต่อกันมา และอาจส่งผลไม่ดีต่อครอบครัวในปีถัดไป

เดือนมีนาคม

พิธีก้าต้าล้อ หรือการเลือกพื้นที่ถางไร่ ชาวบ้านอุ้มผางคีจะเริ่มต้นวางแผนการเพาะปลูกด้วยพิธีกรรม โดยหัวหน้าครอบครัวจะออกไปสำรวจพื้นที่ป่าเพื่อเลือกทำเลที่เหมาะสม เมื่อเลือกได้แล้วจะทำเครื่องหมายกากบาทบนต้นไม้ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และก่อนลงมือฟันต้นไม้จะกล่าวคำอธิษฐานขอขมาต่อเจ้าป่า เจ้าเขา เทพารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพื้นที่

โดยชาวบ้านอุ้มผางคีเชื่อว่าป่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีวิญญาณและเทพยดาสถิตอยู่ หากไม่ขออนุญาตอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดอุปสรรค เช่น ภัยธรรมชาติ โรคพืช หรือผลผลิตไม่ดี ดังนั้นการเริ่มต้นฤดูกาลจึงต้องเต็มไปด้วยความเคารพและจิตสำนึกต่อธรรมชาติ

เดือนสิงหาคม

พิธีขะแกบือโพ หรือพิธีเรียกขวัญข้าวอ่อน เมื่อข้าวในไร่สูงประมาณหนึ่งคืบ ชาวไร่จะจัดพิธีกรรมเพื่ออธิษฐานให้ต้นข้าวเติบโตแข็งแรง ปลอดภัยจากศัตรูพืชและภัยธรรมชาติ พิธีจะจัดขึ้นที่กระท่อมเล็ก ๆ ซึ่งสร้างไว้ในไร่ มีการจัดเตรียมของเซ่นไหว้ เช่น ข้าว น้ำ พริก เกลือ พร้อมกล่าวคำขอพรและงดเว้นการทำงานในวันนั้น ซึ่งข้าวถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขวัญ หากขวัญหาย ข้าวจะอ่อนแอและไม่เจริญงอกงาม การเรียกขวัญจึงเปรียบเสมือนการชุบชีวิตและขอให้วิญญาณแห่งข้าวกลับมาอยู่ในไร่อีกครั้ง

เดือนกันยายน

พิธีขะแกหนืกบ้า เป็นพิธีกรรมเพื่อขอขมาต่อเจ้าที่ก่อนเปิดทางให้คนภายนอกสามารถเดินเข้าไร่ได้ โดยเจ้าของไร่จะนำไข่ พริก และเกลือไปวางที่ทางเข้าไร่ ทำสะตวง และกล่าวคำอธิษฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าหากเปิดไร่โดยไม่ทำพิธี เจ้าของไร่อาจประสบปัญหา เช่น ผลผลิตเสียหาย หรือเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดเขตของขวัญข้าวและเจ้าที่

พิธีกี้บือจือ เป็นพิธีที่จัดขึ้นเมื่อต้นข้าวใกล้ออกดอก โดยมีการฆ่าไก่ ทำอาหาร ถวายของเซ่นไหว้ และร่วมรับประทานกันในชุมชน เพื่อเป็นการมัดมือข้าว เรียกขวัญให้ข้าวออกดอกเต็มที่และมีผลผลิตดี เชื่อว่าช่วงเวลานี้ต้นข้าวอยู่ในภาวะเปราะบาง ต้องได้รับการดูแลทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาในการออกดอกและติดเมล็ด

เดือนพฤศจิกายน

พิธีขะแกกุหล่อ หรือพิธีก่อนเกี่ยวข้าว เจ้าของไร่จะใช้ปูเพศผู้และเพศเมียเป็นเครื่องเซ่นไหว้พระแม่โพสพ เพื่อแสดงความขอบคุณและขอขมา ก่อนที่จะลงมือเกี่ยวข้าวอย่างเป็นทางการ โดยมีความเชื่อว่าข้าวมีวิญญาณที่ต้องให้ความเคารพ การเกี่ยวข้าวโดยไม่ขอขมาจะถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายต่อพระแม่โพสพ และอาจทำให้ขวัญข้าวไม่ยอมกลับมาในปีถัดไป

พิธีกรรมประจำปีของบ้านอุ้มผางคีผูกพันกับปฏิทินธรรมชาติอย่างใกล้ชิด โดยมีจุดเริ่มต้นในเดือนมีนาคม และสิ้นสุดในเดือนมกราคมของปีถัดไป ซึ่งพิธีกรรมในการทำไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอะญอบ้านอุ้มผางคีเป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนความเชื่อว่าธรรมชาติมีจิตวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ดูแล การทำไร่จึงต้องประกอบพิธีเพื่อขออนุญาตและแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมความรัก ความสามัคคี และการช่วยเหลือกันในชุมชน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพิธีกรรมเหล่านี้เริ่มเสื่อมถอยจากผลกระทบของความเจริญและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน หากไม่มีการส่งเสริมและสืบทอดพิธีกรรมดั้งเดิมเหล่านี้อาจสูญหายไปในอนาคต

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

อุ้มผางคีเป็นชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้และแหล่งน้ำ ชุมชนแห่งนี้มี "ทุนชุมชน" หลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์ วัฒนธรรม และสังคม ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญของวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พึ่งพาตนเอง และสอดคล้องกับธรรมชาติ

ด้านทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ของชุมชนรายล้อมด้วยป่าดงดิบเขียวชอุ่มและมีลำห้วยหลายสายไหลผ่าน ทำให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ชาวบ้านใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ เช่น การใช้ไม้และสมุนไพรจากป่าอย่างจำกัด การเก็บของป่าอย่างระมัดระวัง และการดูแลต้นน้ำร่วมกัน

ทุนมนุษย์และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนสะท้อนผ่านองค์ความรู้ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่หมุนเวียนที่คำนึงถึงการฟื้นตัวของธรรมชาติ การใช้สมุนไพรรักษาโรค และการทอผ้าด้วยเทคนิคเฉพาะถิ่น ซึ่งยังคงใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและกลายเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน

ด้านวัฒนธรรม ชาวบ้านอุ้มผางคียังคงรักษาขนบธรรมเนียมและความเชื่อดั้งเดิมไว้อย่างมั่นคง เช่น งานปีใหม่กะเหรี่ยง พิธีบวชป่า และพิธีกรรมที่แสดงความเคารพต่อธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างคนกับผืนป่าและดินน้ำ

ด้านทางสังคม ชุมชนมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติที่แน่นแฟ้น สมาชิกในหมู่บ้านช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่น การลงแขกหรือการร่วมแรงในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในงานเกษตร งานบุญ หรือการซ่อมแซมสิ่งของร่วมกัน ชุมชนยังมีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบของกลุ่มอาชีพและกลุ่มอนุรักษ์

ภาษาปกาเกอะญอ ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน


อุ้มผางคีเป็นชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่มีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน อาชีพหลักของชาวบ้านคือการทำไร่หมุนเวียน การปลูกข้าวเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน การใช้สมุนไพรพื้นบ้าน และการทอผ้าด้วยลวดลายเฉพาะของชนเผ่า นอกจากนี้ยังมีการเก็บของป่าหรือทรัพยากรจากธรรมชาติมาแปรรูปเพื่อใช้หรือจำหน่าย โดยวิถีเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นทั้งการดำรงชีวิตและการรักษาอัตลักษณ์ของชุมชน อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมภายนอกเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ชุมชนก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เช่น การเปิดรับนักท่องเที่ยว การขายสินค้าหัตถกรรม และการเริ่มพึ่งพาตลาดภายนอกมากขึ้น คนรุ่นใหม่บางส่วนเลือกย้ายถิ่นเพื่อหางานในเมือง ส่งผลให้เกิดความท้าทายด้านแรงงานในชุมชน ซึ่งความท้าทายสำคัญที่ชุมชนเผชิญคือการรักษาความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการคงไว้ซึ่งวิถีดั้งเดิม การบริหารจัดการทรัพยากรไม่ให้ถูกใช้มากเกินไป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ รวมทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวยังมีความไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับฤดูกาลหรือสถานการณ์ภายนอก แต่อย่างไรก็ตาม ชุมชนก็มีการรวมกลุ่มเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่น กลุ่มทอผ้า กลุ่มสมุนไพร และกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่น มีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องถิ่น 


สิทธิในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการต่าง ๆ ยังมีข้อจำกัดบางประการ เนื่องจากการเดินทางไปยังหน่วยงานรัฐหรือโรงพยาบาลในเขตเมืองต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง และในทางกฎหมาย ชาวบ้านในชุมชนนี้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองระดับท้องถิ่น แต่การเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ยังถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดด้านความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากมีการใช้พื้นที่ป่าและพื้นที่ทำกินร่วมกัน ทำให้บางครั้งเกิดความขัดแย้งหรือความไม่แน่นอนในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน อย่างไรก็ตาม ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามในการส่งเสริมความรู้เรื่องสิทธิพลเมืองและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อช่วยให้ชาวบ้านสามารถใช้สิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่และได้รับการดูแลที่เท่าเทียม


บ้านอุ้มผางคี จังหวัดตาก การศึกษายังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชน แม้จะมีความพยายามจากภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ในการส่งเสริมและพัฒนาด้านการศึกษา แต่ชุมชนยังเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน โรงเรียนในพื้นที่ส่วนใหญ่จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา และมีบางส่วนที่สามารถเรียนต่อระดับมัธยมต้นได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ห่างไกลและทุรกันดาร ทำให้การเข้าถึงโรงเรียนมีความยากลำบาก ทั้งเรื่องสถานที่เรียน ครูผู้สอน และสื่อการเรียนการสอนที่ยังไม่เพียงพอ รวมถึงปัญหาภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนซึ่งเป็นภาษากลาง ต่างจากภาษาพูดในชีวิตประจำวันของเด็กในชุมชน ทำให้เกิดความยากลำบากในการปรับตัวและเรียนรู้ ชุมชนยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาและพยายามรักษาภาษาและวัฒนธรรมของตนเองควบคู่ไปกับการเรียนรู้ภาษากลาง เพื่อให้เด็กมีความรู้และทักษะที่เพียงพอสำหรับในการพัฒนา


บ้านอุ้มผางคีกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีอิทธิพลจากความเจริญภายนอก เช่น การเข้าสู่ระบบเกษตรเชิงเดี่ยวและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ส่งผลให้พิธีกรรมการทำไร่หมุนเวียนและประเพณีดั้งเดิมถูกลดความสำคัญลง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่เริ่มสนใจสิ่งใหม่มากกว่าการสืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ภูมิปัญญาและพิธีกรรมทางวัฒนธรรมเสี่ยงต่อการสูญหาย นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมของตนเอง การอนุรักษ์วัฒนธรรมจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชน ผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเผยแพร่พิธีกรรมดั้งเดิม พร้อมจัดกิจกรรมที่สร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น กระตุ้นให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการสืบทอดและพัฒนาวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เพื่อให้วัฒนธรรมปกาเกอะญอคงอยู่และเติบโตควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย


อุ้มผางคีตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ มีป่าไม้ น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ซึ่งชาวบ้านใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่าและมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนที่คำนึงถึงการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศ เพื่อรักษาความสมดุลของธรรมชาติและความยั่งยืนของทรัพยากร

ในอดีต ชุมชนสามารถดำรงวิถีชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากป่าไม้โดยไม่ทำลายแหล่งทรัพยากรและมีพิธีกรรมที่ส่งเสริมการเคารพธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การเข้ามาของความเจริญและแรงกดดันจากนโยบายป่าไม้ของภาครัฐ ทำให้วิถีการใช้ทรัพยากรและการทำเกษตรแบบดั้งเดิมต้องปรับเปลี่ยนไป เช่น การลดลงของพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนและเปลี่ยนมาใช้ไร่ถาวร รวมถึงการใช้สารเคมีทางการเกษตรมากขึ้น

ความท้าทายหลักของชุมชนคือการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันการบุกรุกป่าหรือการทำลายสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ รวมถึงการจัดการกับขยะและมลพิษที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ และการส่งเสริมความรู้เรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการประสานงานกับหน่วยงานภายนอกในการดูแลรักษาป่าและน้ำ รวมทั้งการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

สำนักงานจังหวัดตาก. (2566). ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดตาก. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.tak.go.th/

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). รายงานสถานการณ์และแนวโน้มการพัฒนาชนบทในประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.nesdc.go.th/

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง. (2564). วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองในภาคเหนือ. สืบค้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.maefahluang.org/

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2565). ประเพณีและวัฒนธรรมไทย. สืบค้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.culture.go.th/

องค์การบริหารส่วนตำบลอุ้มผาง. (2566). ข้อมูลชุมชนตำบลอุ้มผาง. สืบค้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2568, จาก http://www.umbpang.go.th/

วริษฐ์ ธรรมเกษตรกร. (2557). พิธีกรรมในการปลูกข้าวไร่ (ไร่หมุนเวียน) และการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ กรณีศึกษาหมู่บ้านอุ้มผางคี ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก. ภาคนิพนธ์. วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

อบต.อุ้มผาง โทร. 0 5556 1416