
หมู่บ้านทำกลองที่สืบทอดวิถีการทำกลองแบบโบราณ เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ชวนให้ไปค้นหาและท่องเที่ยว
"บางแพ" มีที่มาจากในอดีตตั้งอยู่บริเวณที่มีแพซุงมาจอดและผ่าน จึงเรียกว่า หมู่บ้านบางแพ
หมู่บ้านทำกลองที่สืบทอดวิถีการทำกลองแบบโบราณ เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ชวนให้ไปค้นหาและท่องเที่ยว
หมู่บ้านบางแพ บางแพ หรือชุมชนวัดเอกราช เป็นชื่อเรียกดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเก่าก่อนและเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะกับการตั้งรากฐานบ้านเรือน เพราะความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่ามีแพซุงมาจอดและผ่าน จึงเรียกว่า หมู่บ้านบางแพ และในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ได้เสด็จยกทัพไปเพื่อรบกับพม่าจากกรุงศรีอยุธยามาที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางหลวงและทรงยกทัพผ่านตำบลป่าโมก ในระหว่างการพักค้างคืน ทรงสุบินได้ว่าต่อสู้กับจระเข้ใหญ่ได้รับชัยชนะ รุ่งขึ้นนำทัพทำพิธีตัดไม้ข่มนามและประกาศเอกราช ณ ทุ่งนา หนองสาหร่าย แต่นั้นมาบริเวณนี้จึงเรียกว่า บ้านเอกราช ซึ่งปัจจุบันยกฐานะ เป็นตำบลดังปรากฏหนองสาหร่าย ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ในปัจจุบัน
เหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นในชุมชน
- การเริ่มทำกลองแบบดั้งเดิม (พ.ศ. 2470) เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอัตลักษณ์ชุมชนในฐานะ "หมู่บ้านทำกลอง" โดยใช้ไม้ฉำฉาและหนังวัวในการผลิต ซึ่งกลายเป็นทั้งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจหลักของชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน
- การสร้างกลองยาวที่สุดในโลก (พ.ศ. 2537) ชาวบ้านร่วมกันสร้างกลองยาวที่มีความยาว 7.6 เมตร จดบันทึกไว้เป็นกลองที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น สะท้อนความสามัคคีและความสามารถของชุมชน
- ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 เมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (พ.ศ. 2554) จากกระทรวงพาณิชย์ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของชุมชนในด้านเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม
ชุมชนบ้านบางแพมีฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมจากการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งเหมาะกับพื้นที่ราบลุ่ม ต่อมาในช่วงหลังได้มีการพัฒนาอาชีพทำกลองจนกลายเป็นแหล่งผลิตสำคัญของจังหวัดอ่างทอง การผลิตกลองขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง
บ้านบางแพ ตั้งอยู่ในเขตการบริหารส่วนตำบลเอกราช มีระยะห่างจากอำเภอป่าโมกไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร และมีระยะห่างจากจังหวัดอ่างทอง ไปทางทิศตะวันตกออกและทิศเหนือ ระยะทาง ประมาณ 12 กิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านเป็นที่ราบลุ่ม คล้ายอ่างไม่มีภูเขา ไม่มีป่าไม้ ดินเป็นดินเหนียว ถึงดินเหนียวปนทราย พื้นที่ส่วนมากเหมาะกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย ที่สำคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย และมีการเกิดอุทกภัยเกือบทั่วพื้นที่ในฤดูฝน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดกับจังหวัดอยุธยา เช่น ป่าโมก และ วิเศษชัยชาญ
สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
- แม่น้ำน้อย : เป็นแหล่งน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชุมชน มีความสำคัญต่อการทำเกษตรกรรม การประมง และการคมนาคมทางน้ำ
- พื้นที่ชุ่มน้ำ : บริเวณใกล้เคียงมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณและสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้สำคัญของชุมชน
จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย บ้านบางแพ หมู่ที่ 7 ตำบลเอกราช มีจำนวนประชากร จำนวน 202 คน แบ่งเป็น ชายจำนวน 97 คน และหญิง จำนวน 105 คน
ระบบเครือญาติในชุมชนบ้านบางแพตระกูลดั้งเดิมที่อยู่ในชุมชน
- บ้านบางแพมีลักษณะเป็นชุมชนเกษตรกรรมดั้งเดิม และยังคงมี "ตระกูลเก่า" หลายตระกูลที่สืบทอดกันมา เช่น ตระกูล อินทร์แปลง, วงศ์วิชัย, อ่อนเอี่ยม, บุญศรี, และ ทองคำ เป็นต้น
- ตระกูลเหล่านี้มักมีบทบาทในงานบุญ งานวัด และเป็นผู้นำในกลุ่มอาชีพ เช่น การทำกลอง หรือการทำเกษตรแบบดั้งเดิม
การนับลำดับญาติ
- มีลักษณะของ เครือญาติแนวดิ่ง (พ่อ-แม่-ลูก) และ แนวราบ (พี่น้อง ครอบครัวเครือญาติในหมู่บ้านเดียวกัน) อย่างแน่นแฟ้น
- ชาวบ้านจะรู้จักกันเป็นอย่างดีในระดับ "เครือญาติ" และใช้ระบบการนับญาติแบบไทย เช่น พี่น้องของพ่อ-แม่จะถูกเรียกตามความสัมพันธ์ เช่น ลุง ป้า น้า อา อย่างชัดเจน
การสืบทอดมรดก
- มรดกในชุมชนส่วนใหญ่มักเป็น ที่ดินทำกิน หรือ บ้านเรือน ซึ่งจะสืบทอดให้ลูกหลานโดยเฉพาะลูกคนโต หรือแบ่งให้ทุกคนตามที่ตกลงกัน
- หากเป็นบ้านดั้งเดิม มักจะให้ลูกสาวที่แต่งงานแล้วยังอยู่ดูแลพ่อแม่หรือบุตรที่อยู่ในพื้นที่สืบทอดมรดกนั้นต่อไป
การแต่งงาน
- การแต่งงานในชุมชนส่วนมากจะเป็น การแต่งงานภายในชุมชนหรือชุมชนใกล้เคียง
- มีพิธีกรรมแต่งงานแบบไทยดั้งเดิม เช่น พิธีสู่ขอ การจัดขันหมาก และการจัดงานเลี้ยงที่บ้านเจ้าสาว
- ในปัจจุบัน เริ่มมีการแต่งงานข้ามจังหวัดหรือข้ามกลุ่มวิถีชีวิตมากขึ้นจากการศึกษาหรือทำงานนอกชุมชน
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
1.กลุ่มอาชีพเกษตรกรรม
- ชาวบ้านรวมกลุ่มกันในการปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ และจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เช่น คลองส่งน้ำ/ฝายชะลอน้ำ
- มีการใช้แรงงานแบบ "ลงแขก" หรือช่วยกันทำไร่นาของเพื่อนบ้านในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
2.กลุ่มอาชีพเสริม
- กลุ่มแม่บ้านทำขนมไทย สานตะกร้า หรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น สบู่สมุนไพร
- กลุ่มช่างตี/ทำกลองพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียงของอ่างทอง มีบางครอบครัวในชุมชนสืบทอดอาชีพนี้มาหลายชั่วอายุคน
3.กลุ่มออมทรัพย์และสหกรณ์
- กลุ่มออมทรัพย์ชุมชนสำหรับช่วยเหลือด้านการเงินและปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สมาชิกในครอบครัวและชุมชน
- บางกลุ่มเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธ.ก.ส. หรือพัฒนาชุมชนอำเภอ
การรวมกลุ่มทางสังคม
1.กลุ่มเยาวชน-กลุ่มผู้สูงอายุ
- เยาวชนมีบทบาทในการจัดกิจกรรมในงานบุญต่าง ๆ เช่น งานรำวง งานประกวดกระทง และช่วยงานวัด
- ผู้สูงอายุรวมกลุ่มกันออกกำลังกายตอนเช้า ทำอาหารสมุนไพร และแลกเปลี่ยนความรู้พื้นบ้าน
2.กลุ่มจิตอาสา
- กลุ่มช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วม หรือกลุ่มบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพัฒนาวัด โรงเรียน และถนนในชุมชน
3.งานศพ-งานบุญ
- มีการระดมแรงงานและอาหารจากชาวบ้านในรูปแบบ "ลงขัน" หรือ "เครือญาติข้างบ้าน" เป็นการแสดงพลังของความเป็นปึกแผ่นของสังคมชนบท
การรวมกลุ่มทางวัฒนธรรม
1.กลุ่มผู้จัดงานบุญท้องถิ่น
- ช่วยกันจัดงานประเพณีท้องถิ่น เช่น บุญบั้งไฟ สงกรานต์ ลอยกระทง หรือบุญสารทเดือนสิบ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในรอบปี
ชุมชนบ้านบางแพมีลักษณะเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีกิจกรรมทางการเกษตรที่สอดคล้องกับฤดูกาล ดังนี้
ปฏิทินการเพาะปลูก (ข้าว)
- พฤษภาคม-มิถุนายน : เริ่มไถนาและเตรียมดินในช่วงต้นฤดูฝน
- กรกฎาคม-สิงหาคม : ดำนา ปลูกข้าว
- พฤศจิกายน : เริ่มเก็บเกี่ยวข้าว
- ธันวาคม : เก็บเกี่ยวเสร็จและจัดเก็บผลผลิต
ปฏิทินการเลี้ยงสัตว์
- ตลอดทั้งปี : มีการเลี้ยงวัว ควาย ไก่ และเป็ด โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีพื้นที่
- ธันวาคม-เมษายน (ช่วงแล้ง) : จะให้ความสำคัญกับการดูแลแหล่งน้ำ เพราะอาจขาดน้ำเลี้ยงสัตว์
ปฏิทินการผลิตและการค้า
- มกราคม-มีนาคม : มีการแปรรูปข้าวเป็นข้าวกล้องและข้าวสารเพื่อขาย
- ตลอดปี : กลุ่มแม่บ้านผลิตขนมไทย สบู่สมุนไพร และงานจักสานเพื่อขายในตลาดชุมชนและตลาดนัด
- ช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่ : การผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด
ชุมชนมีวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับวัด และมีประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นตลอดปี ดังนี้
- กุมภาพันธ์-มีนาคม : วันมาฆบูชา ประชาชนร่วมเวียนเทียน
- เมษายน : ประเพณีสงกรานต์ มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ แข่งขันกีฬาพื้นบ้าน และการสรงน้ำพระ
- กรกฎาคม : วันเข้าพรรษา แห่เทียนพรรษา
- ตุลาคม : ออกพรรษา ทำบุญตักบาตรเทโว
- พฤศจิกายน : ลอยกระทง มีการจัดงานในชุมชนและที่วัด
- ธันวาคม : งานส่งท้ายปีเก่า จัดกิจกรรมบันเทิงในระดับหมู่บ้าน และบางปีมีการรวมญาติ
กลุ่มผู้สูงอายุและเยาวชนในชุมชนจะมีบทบาทสำคัญในการแสดงศิลปะพื้นบ้าน การรำ การละเล่นโบราณ และการจัดเวทีความรู้ในท้องถิ่น
การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและภัยพิบัติในรอบปี
- ฤดูแล้ง (ธันวาคม-เมษายน) : อากาศร้อนจัด น้ำในคลองและแม่น้ำน้อยลดลง ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงสัตว์และพืชสวน
- ฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) : มักเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่ม โดยเฉพาะในเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฝนตกหนักติดต่อกัน
- บางปีเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง : ทำให้ต้นไม้หัก บ้านเรือนได้รับความเสียหายเล็กน้อย
ผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
ช่วงเวลา | ปัญหา/ผลกระทบ | แนวทางจัดการ |
มกราคม-มีนาคม | ขาดแคลนน้ำ/ฝุ่นควันจากการเผาตอซัง | ใช้น้ำจากบ่อบาดาล/งดการเผา |
พฤษภาคม-มิถุนายน | น้ำหลากเร็วช่วงต้นฝน | ขุดลอกคูคลองระบายน้ำ |
กันยายน-ตุลาคม | น้ำท่วมพื้นที่การเกษตร | สร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราว |
พฤศจิกายน-ธันวาคม | โรคระบาดในสัตว์ (หน้าหนาว) | ฉีดวัคซีน/ดูแลสุขภาพสัตว์ |
1.นายประเทือง อินทร์แปลง
บทบาทและความสำคัญในชุมชน นายประเทืองเป็นปราชญ์ชาวบ้านด้านเกษตรผสมผสานและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นผู้สืบทอดและถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการปลูกข้าวแบบไม่ใช้สารเคมี การใช้สมุนไพรพื้นบ้านรักษาโรค รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในการทำกลองพื้นบ้านซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวอ่างทอง
- เป็นวิทยากรท้องถิ่นในโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของ อบต. และสำนักงานเกษตรอำเภอ
- เคยเป็นผู้นำกลุ่มเกษตรกร และหัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน
- ได้รับเชิญจากหลายโรงเรียนในพื้นที่เพื่อให้ความรู้เรื่องภูมิปัญญาในการใช้พืชสมุนไพร
ประวัติชีวิตที่ผ่านมา นายประเทืองเกิดในครอบครัวชาวนา มีพี่น้อง 7 คน ตั้งแต่วัยเด็กได้เรียนรู้การทำเกษตรจากบิดาและมารดา รวมถึงการตี/ทำกลองพื้นบ้านซึ่งเป็นงานฝีมือดั้งเดิมของครอบครัว
- วัยหนุ่มเคยออกไปรับจ้างทำนาที่สิงห์บุรีและสุพรรณบุรี ก่อนกลับมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว
- ในช่วงอายุ 40 ปี หันมาศึกษาการเกษตรแบบอินทรีย์จากตำราพื้นบ้าน และทดลองใช้ในไร่นาของตนเอง จนประสบความสำเร็จ
- มีบทบาทในการรวบรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อทำแปลงเกษตรตัวอย่าง โดยไม่พึ่งสารเคมี
- ใช้พื้นที่บ้านเป็น "ศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น" เปิดให้เยาวชนและผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้
นายประเทืองยังคงแข็งแรง แม้อายุเกือบ 80 ปี และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้นำหมู่บ้านในด้านการวางแผนกิจกรรมพัฒนาชุมชน และการฟื้นฟูวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การฟ้อนรำกลองยาว และการสวดมนต์แปล
ทุนมนุษย์ ชุมชนมีทุนมนุษย์ที่หลากหลาย ทั้งด้านผู้นำ ภูมิปัญญา และคนรุ่นใหม่
- ปราชญ์ชาวบ้าน เช่น นายประเทือง อินทร์แปลง (ด้านเกษตรอินทรีย์และภูมิปัญญาพื้นบ้าน)
- ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้านมีบทบาทในการบริหารจัดการและประสานงานกับหน่วยงานภายนอก
- อสม. และครูภูมิปัญญา มีบทบาทด้านสุขภาพและการถ่ายทอดองค์ความรู้
- เยาวชนในชุมชน เริ่มมีบทบาทในกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรม เช่น การรำพื้นบ้าน และช่วยงานบุญประเพณี
ผู้คนในบ้านบางแพใช้ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาหลักในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีลักษณะของสำเนียงท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอ่างทอง
ชุมชนบ้านบางแพยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยการปลูกข้าวและการเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลัก
- ปัญหาและความท้าทาย : ปัญหาภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร
- การแก้ไข : การสร้างระบบชลประทานขนาดย่อมและการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน
- การมีส่วนร่วม : การรวมกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการเกษตร และการเข้าร่วมโครงการของสำนักงานเกษตรจังหวัดอ่างทอง
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2568). สถิติทางการทะเบียนราษฎร. https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2566). รายงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การทำกลองบ้านเอกราช. https://ich-thailand.org
กุลวรา สุขสมไทย. (2560). การศึกษาการดำรงอยู่ของภูมิปัญญาอาชีพการทำกลอง บ้านกลองเอกราช อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง. ภาคนิพนธ์. วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน. (ม.ป.ป.). หมู่บ้านทำกลองตำบลเอกราช. https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/
องค์การบริหารส่วนตำบลเอกราช. (2566). ประวัติชุมชนและการสืบทอดภูมิปัญญาการทำกลอง. https://www.akekarach.go.th/