
"ท่าช้างวังหลวง" แหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญยอดฮิตในฝั่งพระนคร สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์และมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนาน เชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความเป็นไทยที่กลมกลืนไปกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
เหตุที่เรียกย่านนี้ว่าท่าช้าง เพราะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณนี้เป็นบริเวณประตูเมืองที่ใช้สำหรับนำช้างจากวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง ออกมาลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงได้รับการเรียกขานว่า "ท่าช้างวังหลวง" แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ท่าช้าง" ต่อมาใน พ.ศ. 2351 รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากจังหวัดสุโขทัยลงมาทางแพเพื่อประดิษฐานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อชะลอพระพุทธรูปขึ้นจากท่าไม่สามารถผ่านเข้าประตูได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อประตูและกำแพงบางส่วนออก แล้วให้สร้างประตูใหม่ พระราชทานนามว่า “ประตูท่าพระ” คำว่า "ท่าพระ" จึงเป็นนามที่ใช้เรียกกันเป็นทางราชการ แต่ประชาชนยังคงนิยมเรียกว่า "ท่าช้าง" มาจนปัจจุบัน
"ท่าช้างวังหลวง" แหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญยอดฮิตในฝั่งพระนคร สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์และมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนาน เชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความเป็นไทยที่กลมกลืนไปกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ท่าช้างวังหลวงเป็นเขตชุมชนเล็ก ๆ ที่เดิมทีเคยเป็นเส้นทางสำหรับช้างหลวงไปลงท่าอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวัง พื้นที่ในบริเวณนี้จึงได้รับการเรียกขานว่า "ท่าช้างวังหลวง" หรือที่ประชาชนเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า "ท่าช้าง" ส่วนคำว่า "ท่าพระ" เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกท่าช้างวังหลวง ปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือฝั่งตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง ส่วนเหตุที่เรียกท่าช้างวังหลวงว่าท่าพระนั้นเนื่องมาจากท่าน้ำแห่งนี้เคยเป็นท่าพักแพประดิษฐานพระศรีศากยมุนี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญประดิษฐานบนแพล่องมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย เพื่อเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ พ.ศ. 2351 ครั้นมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อชะลอพระพุทธรูปขึ้นจากท่าก็ไม่สามารถผ่านประตูเข้าเมืองได้ รัชกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อประตูเดิมออกแล้วให้สร้างประตูเมืองใหม่ พระราชทานนามว่า "ประตูท่าพระ" และชื่อเรียก "ท่าพระ" จึงได้กลายเป็นชื่อทางราชการของย่านนี้นับแต่นั้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนก็ยังคงเรียกติดปากว่า "ท่าช้าง" ดังเดิม โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้มีพระบรมราชาธิบายถึงความสำคัญของชื่อเรียกท่าช้างนี้ว่า
“เหมือนท่าช้างลงน้ำ ก็มีชื่อหลวงว่าท่าพระ แต่คนชอบเรียกว่าท่าช้าง และไม่ใคร่จะได้ยินใครเรียกว่าท่าพระ เพราะความเพ่งหมายของผู้ที่เรียกท่านั้นไม่เห็นมีวัดอยู่บนบก ไม่เห็นพระลงอาบน้ำที่ท่านั้น ก็สำคัญใจเป็นแน่ดังนี้ จึงไม่อาจเรียกว่าท่าพระ ๆ ก็ใช้แต่ราชการเป็นคราว ๆ คงเรียกว่าท่าช้างอยู่ตามเดิม คำนี้ต้องยอมให้เรียก เพราะเขาเห็นช้างลงมาอาบน้ำจริง ๆ”
อนึ่ง ถนนสายสำคัญในการพระราชพิธีอัญเชิญพระศรีศากยมุนี คือ "ถนนหน้าพระลาน" ถนนสายประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยเป็นถนนในแขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตั้งต้นจากปลายถนนราชดำเนินในต่อถนนสนามไชยที่มุมป้อมเผด็จดัสกร ไปตามกำแพงพระบรมมหาราชวัง ตัดกับถนนมหาราช ผ่านประตูมหาวิทยาลัยศิลปากร หรือ "วังท่าพระ" ในอดีต ไปสุดที่ท่าช้างวังหลวง วังท่าพระนี้เริ่มแรกเป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กรมขุนกษัตรานุชิต หรือ "เจ้าฟ้าเหม็น" พระราชนัดดา พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กับเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ได้ประทับอยู่ตลอดพระชนมายุ ต่อมาในรัชกาลที่ 2 ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์ ก็ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมสาย กรมขุนราชสีหวิกรม ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ต่อไป
ด้วยสาเหตุที่กล่าวมา จึงมีผู้เรียกท่าช้างวังหลวงว่าท่าพระอีกชื่อหนึ่ง อีกทั้งยังมีบันทึกด้วยว่าที่แห่งนี้เคยเป็นร้านขายของของฝรั่งชาติเยอรมัน ชื่อว่า "ห้างสโมสรข้าราชการ" เป็นร้านขายและรับตัดเครื่องแบบข้าราชการทุกเหล่า
อนึ่ง ตึกแถวที่ตั้งเรียงรายบริเวณถนนหน้าพระลานในย่านท่าช้างนั้นย้อนกลับไปเมื่อครั้งสุนทรภู่กวีเอกแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้พระราชทานที่ดินบริเวณวังท่าพระส่วนหนึ่งให้สุนทรภู่ได้ปลูกเรือน แต่ต่อมาภายหลังสุนทรภู่ถูกปลดจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ที่ดินบริเวณนี้จึงถูกเวนคืนเป็นของหลวง ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกแถวขึ้นในบริเวณนี้ มีลักษณะเป็นตึกแถวโบราณที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยสดงดงามตามแบบยุโรปตั้งแต่ยุคคลาสสิกถึงยุคเรอแนซ็องส์ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้เอกชนเช่าทำการค้า บรรยากาศของถนนหน้าพระลานบริเวณตึกแถวโบราณนี้จึงมีความร่มรื่นเป็นอย่างมาก มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ที่ใช้ตึกแถวอันเก่าแก่นี้เป็นที่ประกอบการมากมาย เสริมสร้างให้ริมฝั่งถนนบริเวณท่าช้างแลดูมีชีวิตชีวาตลอดเวลา
ท่าช้างวังหลวงจึงนับเป็นชุมชนเก่าที่มีความสำคัญและสัมพันธ์กับเขตพระนครเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับวังมาแต่สมัยโบราณ ในฐานะเป็นสถานที่สำหรับอาบน้ำช้างหลวง แม้ในปัจจุบันที่บริเวณนี้ไม่ได้เป็นท่าสำหรับอาบน้ำช้างแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงเรียกขานบริเวณนี้ว่า "ท่าช้าง" เรื่อยมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สืบมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ท่าช้างวังหลวง หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ท่าช้าง" เป็นท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่บริเวณสุดถนนหน้าพระลาน ข้างราชนาวีสโมสร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จากถนนหน้าพระลานมายังตัวท่าสองฟากเป็นอาคาร ทางด้านซ้ายมือเป็นอาคารของราชนาวิกสโมสรของทหารเรือ ทางด้านขวาเป็นอาคารพาณิชย์เป็นร้านค้า หาบเร่ และแผงลอย โดยบริเวณท่าช้างนี้เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากแต่เก่าก่อนนั้นท่าช้างเคยเป็นวังที่ประทับของเจ้านายหลายพระองค์ ดังเช่นบริเวณตึกแถวและมหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันนี้เคยเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ รวมถึงเจ้านายในยุคต้นรัตนโกสินทร์อีกหลายพระองค์
ท่าช้าง ถือเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีการติดต่อกับชุมชนภายนอกด้วยเหตุผลที่เป็นสถานที่เส้นทางคมนาคมที่สำคัญทั้งทางบกทางน้ำ ฉะนั้นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชุมชนให้อยู่รอดได้นั้นก็คือการทำการค้า อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการหลั่งไหลของผู้คนเข้าสู่ย่านท่าช้างเพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นค้าขายอาหาร ของที่ระลึก มัคคุเทศก์ ฯลฯ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในย่านท่าช้างแห่งนี้มาอย่างยาวนาน และกลุ่มประชากรแฝง หรือคนต่างถิ่นที่เข้ามาทำการค้าขายในย่านท่าช้าง ส่งผลให้ท่าช้างมีความหลากหลายทางประชากร แต่ทั้งนี้ผู้คนที่อยู่ในชุมชนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในท่าช้างมาราว 30-50 ปีที่ผ่านมา (ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์, ม.ป.ป.)
ท่าช้างในวันนี้มีวิถีชีวิตที่ต่างไปจากอดีต ท่าช้างในปัจจุบันเป็นท่าเรือข้ามฟากขนาดใหญ่ที่ข้ามฟากไปมาระหว่างวังหลัง (ศิริราช)-ท่าช้าง ท่าวัดระฆัง-ท่าช้าง นอกจากนี้ยังเป็นท่าขึ้น-ลงเรือของท่าเรือด่วนเจ้าพระยา และยังมีบริการท่องเที่ยวล่องเรือตั้งอยู่ ท่าช้างจึงเป็นท่าลงเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่สนใจล่องเรือชมทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยา และด้วยเหตุที่ท่าช้างเป็นท่าขึ้น-ลงเรือหลายประเภท ย่านนี้จึงมีผู้คนพลุกพล่านไปมาไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน เกิดการจับจ่ายนำเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของท่าช้าง จนอาจเรียกได้ว่าบริเวณนี้เป็นตลาดขนาดย่อม ๆ ที่มีสินค้าหลากหลายประเภทให้นักท่องเที่ยวได้เลือกหาตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ อาหารสตรีทฟูด ผัก ผลไม้ ตลอดจนสินค้าแฮนด์เมดประเภทต่าง ๆ (ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์, ม.ป.ป.)
ปัจจุบันท่าช้างถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างชาติ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีอาคารแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และอาหารการกินที่อร่อยขึ้นชื่อ โดยอาคารเก่าต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ในย่านท่าช้างล้วนได้รับการบูรณะซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ของท่าช้าง อีกทั้งยังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความสวยงามและเป็นระเบียบมากขึ้น โดยปรับปรุงท่าเรือท่าช้างให้เป็นท่าเรือมาตรฐานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ มีห้องน้ำบริการ พร้อมอาคารพักคอยผู้โดยสารจำนวน 2 หลัง ที่ก่อสร้างอย่างงดงามให้มีความสอดคล้องกับทัศนียภาพในเขตเมืองกรุงเก่า ตลอดจนมีร้านค้าและพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
หนึ่งในโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ของย่านท่าช้างเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ คือ การก่อสร้างอุโมงค์หน้าพระลานบริเวณฝั่งประตูมณีนพรัตน์ พระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นอุโมงค์ทางลอดเชื่อมระหว่างสนามหลวง วัดพระแก้ว และศาลหลักเมือง ทั้งยังเพื่อจัดระเบียบการสัญจร คนไม่ต้องเดินข้ามถนน เพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ ลดความแออัดบนท้องถนน อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ภายในอุโมงค์ยังประดับตกแต่งด้วยภาพประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่หาชมได้ยาก ทั้งยังมีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนคลายเหนื่อยอีกด้วย รวมไปถึงมีจุดประชาสัมพันธ์ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวัง มีทางขึ้นลงบันไดเลื่อน 4 จุด และมีห้องน้ำไว้ให้บริการเป็นจำนวนมาก ถือเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว
ตึกแถวท่าช้าง สถาปัตยกรรมสะท้อนประวัติศาสตร์ท่าช้างวังหลวง
บริเวณท่าช้างวังหลวงมีมรดกที่ทรงคุณค่าและควรค่าแก่การอนุรักษ์ คือ ตึกแถวท่าช้างวังหลวงหันหน้าสู่ถนนมหาราช เริ่มตั้งแต่บริเวณท่าน้ำโค้งตามแนวถนนมหาราช ตึกแถวเหล่านี้เดิมทีเป็นพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้พระราชทานที่ดินปลูกเรือนอยู่อาศัยแด่สุนทรภู่ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ขุนสุนทรโวหาร แต่ภายหลังที่สุนทรภู่ถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว จึงได้เวนคืนที่อยู่อาศัยนั้นให้หลวง ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกแถวขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2452 จำนวน 27 คูหา แต่สร้างได้จริงเพียง 22 คูหา ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกำแพงพระนครที่ริมถนนมหาราชลง และสร้างอาคารลักษณะเดียวกันต่อมาทางทิศเหนือเพิ่มเติมอีกจำนวน 12 คูหา ตึกแถวท่าช้างวังหลวงจึงมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 34 คูหาจนถึงปัจจุบัน
ลักษณะอาคารเหล่านี้เป็นตึกสูง 2 ชั้น มีรูปแบบเครื่องประดับสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก หลังคาชั้นบนทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์ ชั้นล่างด้านหน้า อาคารมีกันสาดมุงด้วยสังกะสีลอนลูกฟูก โดยมีค้ำยันเหล็กและแปไม้รับน้ำหนัก ผนังและเสาอิงภายนอกทั้งสองชั้น มีลวดบัวปูนปั้นตกแต่งและเซาะร่องผนังเป็นเส้นตามแนวนอนทั้งหมด ประตูและหน้าต่างทำจากไม้สัก โดยประตูหน้าของชั้นล่างเป็นชุดบานเฟี้ยม ตอนบนมีช่องลม ส่วนด้านหลังเป็นบานลูกฟักทึบแบบเปิดคู่หน้าต่างชั้นบนด้านหน้าเป็นบานลูกฟักทึบแบบเปิดคู่ตอนบนมีช่องลมไม้ฉลุลายรูปโค้ง ส่วนหน้าต่างด้านหลังเป็นบานเปิดคู่รูปสี่เหลี่ยม ไม่มีช่องลม บริเวณห้องริมสุดของอาคารแต่ละด้านรวมทั้งห้องมุมถนนมหาราชจะมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ รูปด้านอาคารทำเป็นมุขยื่น มุขชั้นล่างมีเสาลอยขึ้นไปรับระเบียงชั้นบน กันสาดชั้นล่างเป็นรูปโค้ง ส่วนแผงหน้าจั่วประดับลวดลายปูนปั้น (เรียก ซุ้มสกัดตัดตอน) และกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ตึกแถวริมถนนมหาราชบริเวณท่าช้างวังหลวง จำนวน 34 คูหา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2544
ปัจจุบันอาคารเก่าเหล่านี้ได้มีการปรับปรุงขนานใหญ่ โดยคงรูปแบบลักษณะเดิมไว้ และการที่ย่านท่าช้างมีอาคารสถาปัตยกรรมงดงามซึ่งมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ยาวนาน ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวังและสถานศึกษา เป็นข้อได้เปรียบและปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นที่รู้จัก ส่งเสริมให้ประชาชนในย่านนี้สามารถประกอบอาชีพได้ อีกทั้งยังมีนัยในการสร้างสำนึกรักในถิ่นกำเนิดอยู่เนือง ๆ เนื่องจากผู้คนในชุมชนท่าช้างจำนวนไม่น้อยที่มีความภูมิใจกับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ โดยรู้สึกว่าการอยู่อาศัยในชุมชนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับความสำคัญตามไปด้วย เพราะอยู่ในชุมชนที่โอบล้อมด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือ การอาศัยอยู่ในชุมชนนี้ทำให้รู้สึกมั่นคงในความเป็นอยู่ได้ว่าจะสามารถทำมาหากินและอยู่ได้อย่างไม่อดตาย เพราะเชื่อแน่ว่าการอยู่อาศัยในใจกลางเมืองหลวงที่มีการส่งเสริมในเรื่องของการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวอยู่เสมอนั้นจะทำให้ชุมชนยังคงมีสีสันอยู่ได้ต่อไป
ภาษาพูด : ภาษาไทยกลาง
ภาษาเขียน : อักษรไทย
พระศรีศากยมุนี รูปพระปฏิมาที่ใหญ่ที่สุดในสยาม
พระศรีศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หล่อด้วยโลหะลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 3 วา 1 คืบ สูง 4 วา ถือเป็นพระพุทธรูปใหญ่กว่าพระพุทธรูปหล่อองค์ใด ๆ ในสยามประเทศ เดิมเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกับที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ ต่อมาพระวิหารหลวงชำรุดหักพัง พระพุทธปฏิมาต้องตากแดดกรําฝนจนชํารุด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ชะลอองค์พระล่องมาทางน้ำในปี 2351 โดยทรงพระราชดำริจะสร้างพระอาราม มีพระวิหารใหญ่อย่างวิหารพระเจ้าพนัญเชิงที่พระนครศรีอยุธยา ประดิษฐานไว้กลางพระนคร ดังปรากฏในหนังสือพระนิพนธ์ "ความทรงจำ" ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ได้บันทึกถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“พระโองการรับสั่งให้สร้างวัดขึ้นกลางพระนคร ให้สูงเท่าวัดพนัญเชิง ให้พระพิเรนทรเทพขึ้นไปรับพระใหญ่ ณ เมืองสุโขทัย ชะลอเลื่อนลงมากรุงฯ ประทับท่าสมโภช 7 วัน ณ วันเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ยกทรงเลื่อนชักตามทางสถลมารค
พระโองการตรัสให้แต่งเครื่องนมัสการพระทุกหน้าวัง หน้าบ้าน ร้านตลาด จนถึงที่ประชวรอยู่แล้ว แต่ทรงพระอุตสาหะเพิ่มพระบารมี หวังที่หน่วงโพธิญาณจะโปรดสัตว์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เสด็จพระราชดำเนินตามขบวนแห่พระ หาทรงฉลองพระบาทไม่
จนถึงพลับพลาเสด็จขึ้นเซพลาด เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรารับพระองค์ไว้ ยกพระขึ้นที่แล้วเสด็จกลับ ออกพระโอษฐ์เป็นที่สุด เพียงได้ยกพระขึ้นถึงที่สิ้นธุระเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัชกาลที่ 1 เพียงได้เชิญพระขึ้นตั้งที่ไว้ ยังมิได้สร้างพระวิหาร มาลงมือสร้างก็ในรัชกาลที่ 2 แต่จะสร้างได้เพียงใดหาปรากฏชัดไม่ ปรากฏแต่ว่าบานประตูพระวิหารซึ่งจําหลักลายอันวิจิตรนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชดําริ และได้เริ่มจำหลักด้วยฝีพระหัตถ์ มีปรากฏชัดในหนังสือความทรงจำว่า
“แล้วทรงพระดำริ ให้ช่างเขียนเส้นลายบานประตูวัดพระใหญ่ยกเข้าไป ทรงพระราชศรัทธาลงลายพระหัตถ์สลักภาพกับกรมหมื่นวิจิตรภักดี”
ก่อนที่วัดสุทัศนเทพวรารามจะมาสร้างสำเร็จแล้วบริบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 2568)
กรมศิลปากร, กองโบราณคดี. (2535). รายงานการสำรวจโบราณสถานในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่มที่ 1. หิรัญพัฒน์.
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. (10 เมษายน 2568). พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ. ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/
เดโช สวนานนท์. (2525). จดหมายเหตุการณ์อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์. กรมศิลปากร.
ท่าช้างวังหลวง. (ม.ป.ป.). สัมผัสเสน่ห์ของประวัติศาสตร์ไทยย่านท่าช้าง. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.thaachang.com/
ไทยรัฐออนไลน์. (5 มีนาคม 2566). อุโมงค์หน้าพระลาน จุดต้อนรับนักท่องเที่ยวสายบุญในวันมาฆบูชา เดินทางอย่างไร. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.thairath.co.th/
ผู้จัดการออนไลน์. (3 มิถุนายน 2559). “ท่าช้างวังหลวง” ตึกใหม่ไฉไลกว่าเดิม!! หอมหวนอวลไออดีต. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://mgronline.com/
ผู้จัดการออนไลน์. (7 มกราคม 2566). 5 เรื่องน่ารู้ “อุโมงค์หน้าพระลาน” ทางลอดเชื่อมโยงที่เที่ยว สนามหลวง-วัดพระแก้ว-ศาลหลักเมือง. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://mgronline.com/
มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2543). โครงการวางแผนเฉพาะแห่งในพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ บริเวณชุมชนท่าพระจันทร์. เจปริ๊น.
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan. (19 พฤษภาคม 2566). สายลมแห่งกาลเวลา (4) .. เดินเที่ยวท่าช้างวังหลวง ถึงหน้ากระทรวงกลาโหม. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.blockdit.com/ยุวดี ศิริ. (2547). ซุ้มรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง. มติชน.
วราวุธ ช่วงชัย. (2553). การจัดกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กรณีศึกษา ย่านท่าช้าง-ท่าพระจันทร์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. (ม.ป.ป.). ชุมชนท่าช้าง. มหาวิทยาลัยศิลปากร, สำนักหอสมุดกลาง, หอสมุดวังท่าพระ. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก http://www.resource.lib.su.ac.th/
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. (ม.ป.ป.). ท่าช้างวังหลวง. มหาวิทยาลัยศิลปากร, สำนักหอสมุดกลาง, หอสมุดวังท่าพระ. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก http://www.resource.lib.su.ac.th/
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. (ม.ป.ป.). อาคารอนุรักษ์บริเวณท่าช้างวังหลวง. มหาวิทยาลัยศิลปากร, สำนักหอสมุดกลาง, หอสมุดวังท่าพระ. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก http://www.resource.lib.su.ac.th/
Trueid. (7 มีนาคม 2566). อุโมงค์หน้าพระลาน GATE 3 กรุงเทพฯ. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://travel.trueid.net/
ศูนย์สารสนเทศกรุงเทพมหานคร. (ม.ป.ป.). ท่าช้าง...รอยอดีตที่เลือนลาง. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://apps.bangkok.go.th/
สำนักงานพระคลังข้างที่. (13 กันยายน 2559). “ท่าช้างวังหลวง” แหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญยอดฮิตย่านฝั่งพระนคร. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์. (23 ตุลาคม 2567). รู้หรือไม่? “ท่าช้างวังหลวง” ย่านพระบรมมหาราชวัง มีอีกชื่อว่า “ท่าพระ”?. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/
National Grographic ฉบับภาษาไทย. (25 มกราคม 2564). ท่าช้าง...กับเรื่องราวความสำคัญในอดีต. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2568, จาก https://ngthai.com/travel/33530/tha-chang-history/