Advance search

บ้านช่องฟืน ชุมชนพหุวัฒนธรรมเก่าแก่กับวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับท้องทะเล การทำประมงพื้นบ้านและปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจนกลายเป็นชุมชนต้นแบบด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม

หมู่ที่ 2
ช่องฟืน
เกาะหมาก
ปากพะยูน
พัทลุง
อบต.เกาะหมาก โทร. 0 7482 9781
กฤษฎา อุ่นลาวรรณ
5 มิ.ย. 2025
วิไลวรรณ เดชดอนบม
5 มิ.ย. 2025
บ้านช่องฟืน

ในอดีตชุมชนเป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมีการขนย้ายฟืนสำหรับค้าขายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และใช้สำหรับการเผาปูนซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นสมัยก่อน ซึ่งการขนย้ายฟืนจะผ่านช่องเขาที่ต้องสัญจรไปมาอยู่เป็นประจำ จึงมีการเรียกช่องเขานั้นว่า ช่องฟืน และใช้เป็นชื่อเรียกพื้นที่บริเวณแถบนั้น รวมทั้งใช้เป็นชื่อชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน


ชุมชนชนบท

บ้านช่องฟืน ชุมชนพหุวัฒนธรรมเก่าแก่กับวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับท้องทะเล การทำประมงพื้นบ้านและปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจนกลายเป็นชุมชนต้นแบบด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม

ช่องฟืน
หมู่ที่ 2
เกาะหมาก
ปากพะยูน
พัทลุง
93120
7.385684587400696
100.32498393109725
องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก

ชุมชนช่องฟืนเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการเข้ามาอยู่อาศัยของผู้คนมาอย่างยาวนานมากกว่า 100 ปี ทราบได้จากหลักฐานการแต่งตั้งผู้นำชุมชนที่มีการบันทึกไว้ถึงทำเนียบผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444 โดยผู้ใหญ่บ้านคนแรก ชื่อนายหนูกัน พรรณราย รับตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444-2474 แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในพื้นที่และเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีพัฒนาการทางสังคมอย่างต่อเนื่องจนมีการคัดเลือกผู้นำชุมชนเพื่อบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ

โดยลักษณะการเกิดชุมชน เกิดจากกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ทยอยกันอพยพครอบครัวเข้ามาตั้งบ้านเรือนเพื่อทำมาหากินในพื้นที่บริเวณนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มคนส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มคนหนีคดีมาตั้งบ้านเรือน เช่น นายหนูกัน พรรณราย หนีคดีมาจากบ้านตะเครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โดยมากัน 2 คนพี่น้อง น้องชายไปปักหลักที่บ้านเกาะหมาก นายรอด รอดรวยรื่น มาจากบ้านศาลาเม็ง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เป็นคนมุสลิมเข้ามา เผยแพร่ศาสนา จนได้แต่งงานกับคนในพื้นที่ นายเหมีย ขุนล่ำ มาจากเกาะหมาก มาเพื่อทำมาหากิน เช่น เผาปูน ขายปืน นายนุ่ม ชาตรี เป็นคนบ้านปากบางนาคราช ย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ช่องฟืนเพื่อทำเตาเผาปูนขาว ฯลฯ

ในระยะแรกของการตั้งชุมชน ชาวบ้านจะใช้เส้นทางเรือเป็นเส้นทางหลักในการสัญจรไปมาระหว่างชุมชน อำเภอ และระหว่างจังหวัด โดยใช้เรือแจวในการเดินทางไปยังพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงการเดินทางไปติดต่อราชการในตัวอำเภอปากพะยูน ชาวบ้านจะทำการแจวเรืออ้อมเกาะหมากไปลงที่หน้าท่าตลาดปากพะยูน ในระยะต่อมาเริ่มมีเรือหางยาวรับจ้างเพื่อข้ามเกาะหมากกับตลาดปากพะยูน ทำให้คนที่มีรถจักรยานยนต์มักจะนำรถจักรยานยนต์จากชุมชนไปขึ้นเรือหางยาว โดยนำรถจักรยานยนต์ขึ้นเรือหางยาวข้ามฝั่ง ไปลงเรือที่บ้านท่าตีนซึ่งเป็นชุมชนหนึ่งในบ้านท่าวา แล้วไปขึ้นฝั่งที่ตลาดปากพะยูน ต่อมาเมื่อมีแพขนานยนต์ข้ามฝั่งชาวบ้านจึงมีความสะดวกมากขึ้นในการข้ามฝั่งไปมาระหว่างชุมชนกับตลาดปากพะยูน และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2539 ได้มีโครงการสร้างสะพานคอนกรีตข้ามฝั่งจากตัวปากพะยูนมาเกาะหมาก ทำให้การเดินทางระหว่างชุมชนกับตัวอำเภอและสถานที่อื่น ๆ สะดวกขึ้นมาก ส่งผลให้ชุมชนมีพัฒนาการทางสังคมที่ดีขึ้น และเข้าถึงระบบสาธารณูปโภคได้อย่างทั่วถึง

ในสมัยก่อนชาวบ้านต้องไปขายไม้ฟืนที่อำเภอสทิงพระในฝั่งของตำบลคูขุด เพื่อนำฟืนที่ได้ไปแลกเป็นสินค้า ไม้ฟืนเป็นเครื่องหุงต้มอาหาร ซึ่งชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านช่องฟืนจะมีการประกอบอาชีพหมกปูนหรือเผาปูน การผลิตปูนขาวจำเป็นต้องใช้ฟืนเป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงในการเผาหินปูน ชาวบ้านในหมู่บ้านจะต้องเดินทางไปหาไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงในการเผาจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งเส้นทางที่ชาวบ้านช่องฟืนใช้ในการหาฟืนเป็นเส้นทางระหว่างภูเขาภายในหมู่บ้าน จึงกลายเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านที่เรียกสืบทอดกันต่อมาว่า "บ้านช่องฟืน" 

ชุมชนบ้านช่องฟืนตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ที่ตั้งชุมชนอยู่ห่างจากตัวจังหวัดพัทลุงเป็นระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุมชนเป็นพื้นที่สูงลาดต่ำลงสู่ทะเลสาบ และมีพื้นที่ราบลุ่ม ป่าพรุ ป่าเสม็ด พื้นที่เหมาะสำหรับทำสวนยางพารา การตั้งบ้านเรือนของราษฎรตั้งอยู่ริมทะเลสาบ มีลักษณะภูมิอากาศแบ่งเป็น 2 ช่วงฤดูกาล คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน สภาพอากาศจะร้อนชื้น ในช่วงฤดูฝนจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงที่มีฝนตกน้อยจะอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน และช่วงที่ฝนตกหนักมากที่สุดระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกๆ ปี โดยชุมชนบ้านช่องฟืนมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ ทะเลสาบสงขลา
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ หมู่ที่ 1 บ้านท่าวา
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ 5 บ้านปากบางนาคราช หมู่ที่ 11 บ้านเกาะหมากเมืองใหม่
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ทะเลสาบสงขลา

บ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง มีสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 2 บ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 937 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 468 คน ประชากรหญิง 469 คน มีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 322 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)

ชุมชนบ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการอยู่อาศัยกันอย่างยาวนาน และด้วยความอุดมสมบูรณ์และความเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานของพื้นที่ ทำให้มีคนอพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว โดยการประกอบอาชีพของประชากรในพื้นที่ชุมชนแห่งนี้มีความหลากหลาย และปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ดังนี้

ในระยะแรกอาชีพหนึ่งที่สำคัญในชุมชนคืออาชีพเผาปูน โดยชาวบ้านใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลสาบสงขลา ที่มีแหล่งหินปูนอยู่ที่เกาะกระ ในกลุ่มหมู่เกาะสี่-เกาะห้า ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่มีหินปูนจำนวนมาก และอยู่ไม่ไกลจากชุมชนช่องฟืนมากนัก ชาวบ้านจะทำการเผาปูนเพื่อทำเป็นปูนขาวสำหรับงานก่อสร้าง และส่วนหนึ่งเป็นปูนสำหรับเคี้ยวหมาก และด้วยพื้นที่ชุมชนมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ทำให้มีฟืนในการเผาปูนอยู่มาก จึงเป็นอาชีพหนึ่งที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพขายฟืนของชาวบ้านอีกกลุ่ม ที่มีการตัดไม้ในป่าเพื่อทำฟืนส่งขายให้กับกลุ่มที่ทำการเผาปูน และทำเป็นไม้ฟืนขายทั่วไป ต่อมาภายหลังช่วงก่อนปี พ.ศ. 2520 ได้มีอาชีพประมงเริ่มเข้ามาในพื้นที่ชุมชนแทนกลุ่มอาชีพเผาปูนและขายฟืน ทั้งยังมีการส่งเสริมให้ชาวบ้านทำสวนยางพาราเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งมีรายได้ที่ดีกว่า ประกอบกับทรัพยากรที่ลดลงและมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง อาชีพเผาปูนและการขายฟืนจึงหายไป เหลือเพียงการใช้ฟืนเพื่อเผาถ่าน และเป็นวัสดุหุงต้มในครัวเรือนเท่านั้น

การทำนาเป็นอีกหนึ่งอาชีพหลักที่สำคัญของคนช่องฟืนใช้ช่วงเวลาสลับกับการเผาปูน โดยพื้นที่ทำนามี 2 แห่ง คือในบ้านช่องฟืน และเกาะราบ ซึ่งเป็นเกาะในทะเลสาบสงขลา พื้นที่ทำนาที่เป็นพื้นที่ระหว่างพรุกับควนบนเกาะหมาก ถูกจับจองโดยกลุ่มคนแรก ๆ ที่เข้ามาทำการถางซุยพื้นที่ ขุดตอไม้ และถางทำข้าวไร่ และขยายพื้นที่ออกมา ขยายจากหมู่ 2 บ้านช่องฟื้น จนถึงหมู่ 11 เกาะหมาก และหมู่ 5 บ้านปากบางนาคราช ในช่วงแรกเป็นการทำนาไว้สำหรับกินภายในครัวเรือน ต่อมาจึงมีการแบ่งขายเพื่อเพิ่มรายได้ และเป็นอาชีพสำหรับชาวบ้าน ต่อมาเมื่อชุมชนขยายพื้นที่นาจึงเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัย และปรับเป็นพื้นที่ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ เช่น ปาล์มและยางพารา 

อาชีพประมงพื้นบ้านเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อยู่คู่กับชุมชนมาตั้งแต่แรกเริ่มตั้งถิ่นฐาน ด้วยสภาพพื้นที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล แต่ในระยะแรกนั้นการทำประมงเป็นเพียงการประกอบอาชีพเพื่อนำอาหารมารับประทานในครัวเรือนสำหรับยังชีพเพียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการทำประมงเชิงพาณิชย์หรือเพื่อทำการค้าขาย ช่วงแรกเป็นการทำประมงแบบพึ่งพาอาศัยธรรมชาติและทำมาหากินตามวิถีชีวิตของชาวบ้านริมทะเล ต่อมาเมื่อสังคมมีพัฒนาการ มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การประมงมีการเปลี่ยนแปลง มีการใช้เครื่องมือหนักในการทำประมง และเป็นการประมงเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ส่งผลให้ระบบนิเวศถูกทำลายและทรัพยากรทางทะเลเสียหายและมีปริมาณที่ลดลง ทำให้ชาวบ้านจึงเห็นความสำคัญและปรับรูปแบบ มีการตั้งกฎกติกาในการทำประมง และฟื้นฟูทรัพยากรให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม อาชีพประมงจึงยังคงอยู่และสร้างรายได้หลักให้กับชาวบ้านมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้เมื่อทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลกลับมาฟื้นตัวมีความสวยงาม และระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พื้นที่ชุมชนและทรัพยากรในพื้นที่จึงถูกส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพื่อเยี่ยมชมความสวยงาม และเป็นที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวช่วงสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งทั้งภาคการค้าและการบริการส่วนต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนได้เป็นอย่างดี

บ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เป็นชุมชนที่มีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมมุสลิม และส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มชาวพุทธ โดยวิถีชีวิตของชาวบ้านจะแตกต่างกันไปตามความเชื่อ มีกิจกรรมทางประเพณีและวัฒนธรรมที่ปฏิบัติตามหลักทางศาสนา ตามวันสำคัญและประเพณีเทศกาลของแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ถึงแม้จะเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมแต่ประชากรที่อาศัยในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีการทำกิจกรรมร่วมกันทางสังคม มีการเอื้อเฟื้อและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน วิถีชีวิตอย่างหนึ่งของคนในชุมชนที่สอดคล้องและเป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ ด้านอาชีพการทำประมงที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะออกเรือไปหาปลา ตามแต่ละช่วงเวลาที่เหมาะสม มีกลุ่มชาวบ้านที่ออกทะเลไปเพื่อจับปลา และกลุ่มที่อยู่รอบนฝั่งเพื่อจัดการแปรรูปอาหารทะเล หรือส่งต่อสำหรับเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตและกิจวัตรประจำวันของชาวบ้านที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปตลอดทั้งปี

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ชุมชนบ้านช่องฟืน อยู่ในพื้นที่ตำบลเกาะหมาก โดยเกาะหมากเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบสงขลา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สามารถชื่นชมความงามของเกาะเล็กใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งได้สัมผัสวิถีชีวิตอันผูกพันกับสายน้ำของชุมชนช่องฟืน และชุมชนใกล้เคียงบริเวณโดยรอบของตำบลเกาะหมาก มีความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งเสมือนแหล่งอาหาร แหล่งประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ เกาะหมากเป็นพื้นที่ที่มีความพิเศษล้อมรอบด้วยทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลสาบตอนกลาง อยู่ระหว่างตอนบนติดทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง และตอนใต้ติดกับปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา โดยในพื้นที่ตำบลเกาะหมากนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตและมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้เรียนอยู่อย่างหลากหลาย ทั้งการเยี่ยมชมพื้นที่ด้วยการนั่งรถพ่วงข้างไปยังแหล่งท่องเที่ยวโดยรอบ และแหล่งเรียนรู้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ชุมชน 

แหล่งเรียนรู้ทางศิลปะ "ประติมากรรมทรายสร้างสรรค์ศิลป์" ที่ใช้กรวดทราย เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีสีเป็นธรรมชาติที่สวยงาม 3 สี คือ ขาว สีเทาดำ และสีทอง มีอยู่มากในพื้นที่ของตำบลเกาะหมาก ได้มองเห็นคุณค่าของเม็ดทรายหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า กรวด จึงมีแนวคิดที่จะนำของไม่มีค่าดังกล่าวมาสร้างมูลค่าเป็นรายได้ จึงเริ่มผลิตงานศิลปะโดยใช้ทรายมาเรียงประดับตกแต่งขึ้นเป็นรูปสวยงามได้ดังใจต้องการ เราสามารถออกแบบชิ้นงานศิลปะได้เลย และได้ผลงานกลับไปเป็นของที่ระลึกอีกด้วย

เรียนรู้การทำ "น้ำพริกเจ๊ะสะ" ต้นตำรับน้ำพริกที่การันตีความอร่อย เป็นยกระดับอาหารทะเลขึ้นชื่อของชุมชนอย่าง "กุ้งสามน้ำ" ลักษณะเนื้อกุ้งจะแน่นและหวานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น การทำ "ไข่ในหิน" หรือไข่เค็ม วิถีชีวิตของคนบนเกาะหมากที่มีการเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง และภูมิปัญญาของชาวบ้านในการถนอมอาหาร โดยการนำวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า โดยใช้กรวดทรายล้าง แกลบเผา และดินจอมปลวก มาใช้แทนดินสอพองทำให้ไข่แดงมีรสชาติมันกว่าปกติ และเติมความหวานด้วยน้ำผึ้งชันโรง "น้ำผึ้งชันโรงจากบังป๊อปฟาร์ม" ที่มีรสชาติหวานละมุน ทานคู่กับอะไรก็อร่อย ซึ่งชันโรงช่วยเกษตรกรผสมเกสรดอกไม้ได้ดี และเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศท้องถิ่น

สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แสงสุดท้ายที่ลานยอ "ชมดาว ลานยอ" เอกลักษณ์ของที่นี่จะมี "ยอ" ซึ่งเป็นเครื่องมือประมงพื้นบ้านตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา นักท่องเที่ยวที่ไปเกาะหมากสามารถเข้าไปถ่ายรูปเช็คอินได้ หรือจะมาพายเรือคายัค เล่นชิงช้ากลางทะเลสาบ รับประทานอาหารพื้นบ้าน และอาหารทะเล อย่าง "กุ้งสามน้ำ" ที่อร่อยเนื้อหวานฉ่ำแบบสด ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ได้สัมผัสใกล้ชิดติดทะเลสาบสงขลา พร้อมรับลมชมแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยามเย็นที่ลานยอ ตกดึกสามารถชมทะเลดาวเต็มฟ้าอย่างโรแมนติก นอกจากนี้สำหรับสายแคมปิ้ง ที่นี่ยังเปิดบริการกางเต็นท์นอนริมทะเลสาบสงขลาอีกด้วย

เกาะกระ ปัจจุบันเจ้าของกิจการร้านอาหารริมทะเล ได้ลงทุนสร้างพระพุทธรูปหลวงปู่ทวด เจ้าแม่กวนอิม สระน้ำกระจก ศาลา 12 เหลี่ยม สะพาน 12 นักษัตร เพื่อพัฒนาทางเดินรอบ ๆ เกาะ และตกแต่งแสงสีภายในถ้ำ โดยมีการนำเจ้าแม่กวนอิมไปประดิษฐานไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้บูชาขอพรภายในถ้ำ บริเวณโดยรอบเกาะกระยังมีหินงาม 3 ชนิด ที่มีอายุถึง 5,000 ปี และนักท่องเที่ยวยังสามารถมาเสี่ยงโชคกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง และเดินสะพานสั่นระฆัง 12 นักษัตรได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีเถาวัลย์ 1,000 ปี ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าคู่รักคู่ไหนที่ได้ไปถ่ายรูปคู่ด้วยกันจะทำให้รักกันยืนยาวเป็นพันปีนอกจากนั้นยังมีเถาวัลย์ 1,000 ปี ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าคู่รักคู่ไหนที่ได้ไปถ่ายรูปคู่ด้วยกันจะทำให้รักกันยืนยาวเป็นพันปี

ล่องแพบ้านช่องฟืน เป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาสัมผัสบรรยากาศในรูปแบบใหม่ โดยมีกิจกรรมนันทนาการบนแพ พร้อมทั้งอาหารทะเล เครื่องดื่ม และที่พักในราคา 12,000 บาท ต่อ 1 วัน สามารถรับนักท่องเที่ยวได้มากถึง 60 คน ซึ่งชั้นที่ 2 ของแพ จะเป็นที่พักผ่อนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการร้องเพลงสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อความบันเทิง และได้เรียนรู้วิถีชีวิตการเป็นอยู่ของชาวประมงในพื้นที่

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

การประกอบอาชีพประมงของชาวบ้านช่องฟืนได้เริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับการเผาปูน แต่ในช่วงแรกนั้นการทำประมงเป็นไปเพื่อยังชีพ ไม่ได้เป็นอาชีพหลัก ภายหลังเมื่อชุมชนชาวบ้านช่องฟืนได้เลิกอาชีพเผาปูน หาฟืน ไปในช่วงต้นทศวรรษที่ 2500 เพราะสินค้าปูนขาวถูกทดแทนด้วย ปูนซีเมนต์จากโรงงาน ปูนขาวราคาถูก ค่าแรงงานราคาแพงและมีหลายขั้นตอน ส่วนไม้ฟื้นถูกแทนที่ด้วยก๊าซหุงต้ม และพื้นที่หาฟืนก็เป็นพื้นที่ป่าในเขตอนุรักษ์ ส่วนการทำนาก็ค่อย ๆ เลิกไป เพราะข้าวราคาตกต่ำ แต่สินค้าประมงมีราคาสูงขึ้น ชาวบ้านจึงหันมาทำประมงเป็นอาชีพหลัก ชาวบ้านเร่งเพิ่มเครื่องมือประมงที่จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น จนจำนวนผู้ประกอบอาชีพประมงในชุมชนช่องฟืนมีมากขึ้น พัฒนาการของการทำประมง ชาวบ้านยึดอาชีพประมงเป็นอาชีพหลัก ประกอบกับในช่วงแรก ๆ ที่หันมาประกอบอาชีพประมงนั้นทรัพยากรในทะเลสาบยังมีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อหลายครอบครัวได้เปลี่ยนมาประกอบอาชีพทำประมงจึงได้เริ่มหาเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น มีการเปลี่ยนจากเรือแจวมาสร้างเรือที่มีเครื่องยนต์ หรือเรือเครื่องหางยาว เครื่องยนต์ขนาด 10-16 แรงม้า เพื่อออกไปหากุ้งปลาได้ไกลขึ้น และเน้นเพื่อการขายให้เวลาในการทำประมงมากขึ้น เริ่มจากออกไปทะเล 16.00 น. แล้วไปกู้ 06.00 น. ในวันถัดไป เมื่อได้ปลามาแล้วก็ช่วยกันแกะออก จากอวนหรือเครื่องมือ แล้วนำไปขาย ถือว่าใช้เวลากับการทำประมงแทบตลอดทั้งวัน

มีการใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย เช่น ไซนั่ง ไซนอน อวน ลอย จำนวนมากเพราะทำให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น และการรุกล้ำพื้นที่จากหลายชุมชนเนื่องจากสินค้าทะเลมีราคาสูง ชาวประมงจากชุมชนอื่นจึงต้องการทำประมงและกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างเช่นเดียวกัน มีผลทำให้สัตว์น้ำหลายชนิดลดปริมาณอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อรายได้ของชาวประมงบ้านช่องฟืนอย่างเห็นชัดเจน ทำให้บางครั้งก็ไม่คุ้มค่าน้ำมัน ถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของชุมชนช่องฟืน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 เจ้าหน้าที่ของ "โครงการแลใต้" ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนองค์กรหนึ่ง นำโดยนายไสว หนูยก ได้เข้ามาให้คำแนะนำชวนชาวบ้านฟื้นทะเล มาช่วยตั้งข้อสังเกตให้คนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรสัตว์น้ำ ชวนชาวบ้านมาร่วมคิดหาทางออกในการฟื้นฟูทะเลสาบ คุยกับคนที่ทำอาชีพประมง และร่วมคุยปัญหาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ มีการประชุมร่วมกับนักวิชาการจนคนเหล่านี้กลายเป็นแกนนำ การทำเขตอนุรักษ์เป็นตัวขับเคลื่อนในการฟื้นฟูทะเลสาบ รวมทั้งยกเลิกเครื่องมือประมงทำลายล้าง จนมีคนจำนวนหนึ่งเห็นด้วย และเริ่มทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำชุมชน เมื่อเกิดแกนนำขึ้นในชุมชนแล้วได้มีการรณรงค์ฟื้นฟูทะเลหน้าบ้านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา เกิดระเบียบ กฎกติกาข้อตกลงต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น ห้ามถีบรูปลามิหลัง หรือปลาดุกทะเล เนื่องจากปลามิหลังจะอยู่ในรูช่วงเจริญพันธุ์ การถีบรูเพื่อจับปลามิหลังทำให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์หมดไป การวางกติกาห้ามวางอวนทุกชนิดในบริเวณเขตปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำห่างจากชายฝั่งไม่เกิน 250 เมตรเพราะเป็นเขตอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น

เกิดการจัดการทรัพยากรที่เป็นรูปธรรม ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลสาบสงขลา มีการทำแนวเขตที่ชัดเจนโดยการพยายามปรับหารูปแบบความเหมาะสม มีการกำหนดขนาดและชนิดเครื่องมือโดยมาจากความคิดเห็นของคนในชุมชน มีกติกาการทำประมงที่ถูกกำหนดโดยชุมชนอย่างชัดเจน มีการตรวจตราเฝ้าระวังเขตอนุรักษ์โดยประมงอาสา/ชาวบ้านอย่างมีส่วนร่วมสม่ำเสมอ มีกองทุนฟื้นฟูทะเลจากกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนเพื่อเป็นค่าน้ำมัน และค่าตอบแทนประมงอาสา และได้รับความร่วมมือจากหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืด จังหวัดพัทลุง ตลอดถึงภาคีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนานกว่า 10 ปี ด้วยหน่วยงานเห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น มีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 10 ปี จากสถาบันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จังหวัดสงขลา และจากความร่วมมือของสำนักงานประมงอำเภอ และประมงจังหวัดพัทลุง ทำให้ระบบนิเวศเริ่มกลับมาฟื้นฟู และมีความสมบูรณ์มากขึ้นในปัจจุบัน (ศราวุธ ชูชื่น, 2562)

รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 ประเภทชุมชน

จากปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมชุมชน จากพัฒนาการทางสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและระบบเศรษฐกิจ เกิดโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ทั้งการปิดปากระวะ การสร้างท่าเรือน้ำลึก การปล่อยน้ำทิ้งจากชุมชน โรงงานอุตสาหกรรมและสารเคมีจากการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่ต้นน้ำ สร้างความเสื่อมโทรมแก่ทะเลสาบแหล่งอาหารและที่อาศัยปลาและสัตว์น้ำ ทำให้ปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว ชาวประมงที่เคยหากินกับทะเล จำต้องออกไปทำงานในโรงงานที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

แกนนำในชุมชนหาทางแก้ไขปัญหา โดยมุ่งไปเรื่องการทำเขตอนุรักษ์ทะเลหน้าบ้าน โดยคุณไสว หนูยก นักพัฒนาเอกชนในขณะนั้น ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน แต่ไม่ได้รับความสนใจ จึงเปลี่ยนกิจกรรมจากการอนุรักษ์มาสู่การออมทรัพย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการรวมคน และได้ไปศึกษาดูงานเรื่องกลุ่มออมทรัพย์ที่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช แล้วกลับมาจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อสวัสดิการบ้านช่องฟืน เพื่อสร้างความไว้วางใจของคนในชุมชนก่อน

เมื่อชุมชนมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จึงเริ่มมีการพูดคุยงานอนุรักษ์ทำความเข้าใจในการกำหนด "เขตอนุรักษ์หน้าบ้านช่องฟืน" ที่อ่าวท่ายาง ในปี พ.ศ. 2533 เป็นวิธีการการอนุรักษ์ ปกป้อง ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลแห่งแรกของตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง และแห่งแรกในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในเขตจังหวัดพัทลุง เริ่มต้นจากแกนนำและคนในชุมชนร่วมกันกำหนดพื้นที่เขตทะเลหน้าบ้าน โดยการนำไม้ไผ่และไม้เสม็ดมาปักเป็นแนวเขตอนุรักษ์ พร้อมเขียนข้อความว่า "เขตห้ามจับกระทุ้งน้ำบ้านช่องฟืน" เพื่อประกาศให้คนทั้งในและนอกชุมชนบ้านช่องฟืนห้ามทำประมงประเภทล้อมกระทุ้งน้ำ โดยมีกติกาและข้อตกลงของชุมชนที่ผ่านมติการรับรองจากผู้ใหญ่บ้านและประธานชมรมชาวประมงรักษ์เลสาบอำเภอปากพะยูน ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ด้วยการทำงานร่วมระหว่างชาวบ้านบ้านช่องฟืนและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงประกาศเขตรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำ ในพื้นที่อ่าวท่ายาง บ้านเกาะหมาก บ้านเกาะโคบ และอ่าวบางเตง พื้นที่ 526 ไร่ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และชุมชนร่วมกับกรมประมงเริ่มปล่อยกุ้งก้ามกรามในช่วงน้ำไม่เค็ม

มีการแบ่งเป็นเขตพื้นที่เป็นเขตปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ (เขตริมฝั่ง) ซึ่งมีระยะทางห่างจากฝั่งออกไป 250 เมตร ความยาว 3,000 เมตร ตลอดแนวบ้านช่องฟืน และเขตห้ามล้อมกระทุ้งน้ำ เป็นพื้นที่ต่อเนื่องจากเขตริมฝั่ง ความกว้าง 750 เมตร ความยาวตามแนวตลอดบ้านช่องฟืน 3,000 เมตร จัดทำกฎกติกา กำหนดอุปกรณ์จับสัตว์น้ำ ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ทำบ้านปลาเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ทะเลหน้าบ้าน โดยมีกติกาที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่สม่ำเสมอตามปริมาณสัตว์น้ำของแต่ละปี โดยมีกลุ่มประมงอาสา ซึ่งเป็นชาวประมงที่อาสาสมัครทำหน้าที่ในการตรวจตรา หากผู้ใดไม่ให้ความร่วมมือหรือละเมิดกติกาข้อตกลง มีบทลงโทษ คือ ครั้งที่ 1 ตักเตือน และครั้งที่ 2 อายัติเครื่องมือทำประมง หลังจากนั้นจะนำเครื่องมือประมงที่ถูกอายัติทำการเปิดประมูลในชุมชนบ้านช่องฟืน และนำเงินที่ได้เข้าบัญชีกองทุนฟื้นฟูทะเลบ้านช่องฟืน

แนวคิดการจัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำขยายไปสู่ชุมชนที่ทำประมงและอยู่โดยรอบลุ่มน้ำทะเสลาบสงขลา ครอบคลุมหลายอำเภอ ของ อ.บางแก้ว อ.เขาชัยสน อ.เมือง อ.ควนขนุน จำนวน 25 ชุมชน ซึ่งได้จัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ รวมพื้นที่อนุรักษ์ 7,800 ไร่ และขยายไปยังโตนเลสาบ ประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานให้กับชุมชนในทะเลสาบสงขลาและเป็นแหล่งเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น ทั้งงานวิจัยที่แกนนำชุมชนได้เรียนรู้การจัดการข้อมูลที่นำมาปรับใช้วางแผนพัฒนาชุมชน รวมถึงการมีส่วนร่วมของผู้หญิงที่มีบทบาทในงานอนุรักษ์อย่างเข้มข้น ด้วยเหตุนี้ "โรงเรียนอนุรักษ์ทะเลหน้าบ้านลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา" ชุมชนบ้านช่องฟืน จังหวัดพัทลุง จึงได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 ประเภทชุมชน (สถาบันลูกโลกสีเขียว, 2567)

ศราวุธ ชูชื่น. (2562). โครงการศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีของชุมชนกับบทเรียนการจัดการทรัพยากรชายฝั่งของบ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัด พัทลุง: รายงานฉบับสมบูรณ์. สำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.

ชุมชนท่องเที่ยวบ้านช่องฟืน. (ม.ป.ป.). การพัฒนาการท่องเที่ยวสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่ ชุมชนบ้านช่องฟืน ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://sites.google.com/view/benchongfuen/

สถาบันลูกโลกสีเขียว. (26 สิงหาคม 2567). ชุมชนบ้านช่องฟืน จังหวัดพัทลุง. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://www.greenglobeinstitute.com/

อพท. (15 มีนาคม 2567). เที่ยวเกาะหมาก จังหวัดพัทลุง. องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน). สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://www.dasta.or.th/th/article/

OTOP นวัตวิถี. (ม.ป.ป.). บ้านช่องฟืน. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://mata-lumnam.com/travel_detail.php

ชุมชนประมงบ้านช่องฟืน. (2566). ภาพชุมชนบ้านช่องฟืน. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/profile.php

ชุมชนประมงบ้านช่องฟืน. (2562). ภาพชุมชนบ้านช่องฟืน. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/profile.php

อบต.เกาะหมาก โทร. 0 7482 9781