
แหลมฉบัง ชุมชนขนาดใหญ่ในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย วิถีชีวิตชุมชนพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ กับการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตชุมชน
แหลมฉบัง ชุมชนขนาดใหญ่ในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย วิถีชีวิตชุมชนพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ กับการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตชุมชน
การตั้งรกรากบริเวณแหลมฉบังในสมัยแรก เริ่มการเป็นพื้นที่ในการส่งออกไม้ฟื้นไปยังโรงงานที่ต้องใช้เชื้อเพลิงในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเป็นการนำไม้ที่ตัดมาจากป่ามีขนาดยาว 2 ศอก ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงจากบ้านโรงโป๊ะ จันทบุรี และตราด เพื่อส่งขายโดยมีเรือใบบรรทุกไม้ฟืนเหล่านี้ไปส่งโรงเคี่ยวน้ำตาลที่พระประแดงและบางหญ้าแพรก เมืองปากน้ำสมุทรปราการ ภายหลังโรงน้ำตาลหันไปใช้ขี้เลื่อยเป็นเชื้อเพลิงแทน การตัดไม้ฟืนในพื้นที่จึงหยุดลง ชาวบ้านที่มาทำงานในพื้นที่จึงมีการรวมกลุ่มกันหาทำเลที่ตั้งชุมชนเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว จึงเกิดเป็นชุมชนบริเวณแถบชายฝั่งแหลมฉบังขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม สามารถทำเกษตรกรรมได้ และทำประมงไปด้วยในขณะเดียวกัน
เนื่องจากภูมิประเทศเป็นอ่าวเวิ้งเข้ามาในพื้นดิน มีเขาแหลมฉบังเป็นกำบังลมทะเล เหมาะกับการประกอบอาชีพประมงจึงเกิดเป็นชุมชนชาวประมงมานานหลายชั่วอายุคน พิจารณาได้จากประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเทียบเคียงกับการสร้างโบสถ์วัดแหลมฉบังตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้สร้าง เมื่อ ร.ศ. 111 (พ.ศ. 2436) เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจทางพุทธศาสนาของวัดแหลมฉบัง ในสมัยนั้นชุมชนมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียง 15 หลังคาเรือน ประมาณ 65 คน ปลูกเป็นเพิงไม้ไผ่เล็ก ๆ พออาศัยอยู่ได้แบบไม่ถาวร และยังมีชาวบ้านอีกส่วนที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านเกาะกลาง หรือ ชายตะกราด อีก 30 หลังคาเรือน ชาวบ้านประกอบอาชีพประมง ทำไร่มันสำปะหลัง ในบริเวณพื้นที่ชุมชนหมู่บ้านแหลมฉบัง หลังจากนั้นก็ได้จับจองพื้นที่เป็นของตนเอง ปลูกบ้านเรือนอาศัยอย่างถาวรและออกเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดในที่สุด มีพื้นที่บางส่วนที่เป็นที่สาธารณะ คือ ที่ชายตะกราดเป็นพื้นที่น้ำทะเลไหลเข้า เกิดเป็นตะกอนสะสมจนเป็นพื้นที่ดิน เรียกว่า เกาะกลาง
ในระยะต่อมาจึงมีประชาชนย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ประกอบกับมีประชาชนบางส่วนที่ถูกเวนคืนที่ดินเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย ซึ่งอยู่ด้านนอกของหมู่บ้านแหลมฉบัง เพื่อจัดสร้างเป็นนิคมอุตสาหกรรม ประชาชนจึงย้ายเข้ามาอยู่รวมกันในหมู่บ้านแหลมฉบังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดทำให้ชุมชนมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ชุมชนแหลมฉบัง ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปกครองของเทศบาลนครแหลมฉบัง ลักษณะภูมิประเทศสภาพพื้นที่ทางภูมิศาสตร์โดยทั่วไปเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล มีชายฝั่งทะเลอยู่ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งติดกับอ่าวไทย มีที่ราบบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นบริเวณกว้าง มีภูเขาขนาดเล็กความสูงไม่เกิน 200 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ทางบริเวณตอนเหนือของเทศบาลหลายแห่ง เช่น เขาไผ่ เขาขวาง เขาน้อย เขาน้ำซับ เขาทุ่งวัว เขาพุ เขาโพธิ์ใบ เขาหนองอ่าง เขาบ่อยา เขาแหลมฉบัง ลักษณะภูมิอากาศเทศบาลนครแหลมฉบังอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดผ่านทำให้อากาศชุ่มชื้นและมีฝนตก ลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไปไม่ร้อนจัดและไม่หนาวมาก แบ่งออกเป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้
- ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม โดยในช่วงเดือนเมษายนอากาศจะร้อนที่สุด
- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
- ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยในเดือนธันวาคมจะมีอุณหภูมิต่ำสุด มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน
เทศบาลนครแหลมฉบังอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร เป็นระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 109.65 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลหนองขามและตำบลบึง อำเภอศรีราชา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลบางละมุงและตำบลตะเคียนเตี้ย อำเภอบางละมุง
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ทะเลฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย
เขตเทศบาลนครแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ที่มีความเจริญทางสังคม และมีพัฒนาการทางระบบเศรษฐกิจที่ดี ทำให้มีประชากรอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น จากทั้งประชากรในพื้นที่เองที่อยู่อาศัยกันมาอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มคนที่เข้ามาแสวงหาพื้นที่ทำกิน กลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มแรงงาน ที่มาอยู่อาศัยในพื้นที่ จึงมีความหนาแน่นของอัตราจำนวนประชากรในพื้นที่ค่อนข้างสูงมาก โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรในเขตพื้นที่ท้องถิ่นเทศบาลนครแหลมฉบังมีมากถึง 86,790 ส่วนในเขตพื้นที่ตำบลทุ่งสุขลา มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 42,715 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 20,843 คน ประชากรหญิง 21,869 คน มีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 41,827 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ชุมชนแหลมฉบังเป็นชุมชนที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจแบบยังชีพและอาศัยพึ่งตนเองภายในชุมชนเป็นหลักมาตั้งแต่อดีต จากการที่คนในชุมชนมีการปลูกข้าวไว้เป็นอาหารหลัก และการออกหาปลาเพื่อเป็นอาหารโดยการอาศัยภูมิประเทศที่ติดกับทะเล และมีที่ลุ่มที่ดอนเหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม
วิถีชีวิตของชาวบ้านในการปลูกข้าว ชุมชนบ้านแหลมฉบังในสมัยนั้นมีพื้นที่ส่วนบน หรือส่วนกลางไว้ปลูกข้าวเพราะจะเป็นพื้นที่ลุ่ม ถึงหน้าน้ำจะมีน้ำพอเพียงสำหรับการเพาะปลูกข้าว เพื่อเลี้ยงคนในชุมชน มีประเพณีเกิดขึ้น คือ ประเพณีการลงแขกทำนา ทั้งในช่วงเริ่มต้นเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว จึงทำให้เกิดความสามัคคี และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันของคนในชุมชน ในการปลูกข้าวและเกี่ยวข้าวแต่ละครั้งจะใช้พื้นที่ในการปลูกข้าวมาก จึงไม่สามารถที่จะปลูกหรือเก็บเกี่ยวข้าวคนเดียวได้ จึงต้องหาแรงงานเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้เกิดประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าวในชุมชนแหลมฉบัง
วิถีชีวิตของชาวบ้านในการประมง คนในหมู่บ้านแหลมฉบังได้มีการประกอบอาชีพประมงเพื่อหาเลี้ยงตนเอง นอกจากจะปลูกข้าวแล้วยังประกอบอาชีพประมงควบคู่ไปด้วย การทำประมงของคนในหมู่บ้านนั้นมีการจำกัดหน้าที่ของผู้หญิงและผู้ชายของผู้คนในสมัยอดีต ผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวออกเรือไปหาปลาในทะเล เด็กนั้นจะปลูกพืชสวนครัวไว้บริเวณบ้าน เนื่องจากคนในสมัยอดีตมีข้อจำกัดที่ว่าผู้หญิงไม่สมควรขึ้นคร่อมเรืออาจจะทำให้แม่ย่านางเรือไม่พอใจและทำให้จับปลาไม่ได้มาก เมื่อหมดหน้าเกี่ยวข้าวชาวบ้านในหมู่บ้านจะมีการออกเรือเพื่อหาสัตว์น้ำ เรือที่ใช้ในการทำประมงจะใช้เรือและเรือแจว
ปัจจุบันประชาชนในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังยังคงประกอบอาชีพด้านการทำเกษตรกรรมและการทำประมงอยู่ โดยการทำเกษตรกรรมชาวบ้านจะมีการปลูกพืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น การทำนาข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกฟักทอง ปลูกมันสำปะหลัง และปลูกพืชผักชิดอื่น ๆ และชุมชนบริเวณชายทะเลแหลมฉบังที่ประกอบอาชีพด้านการประมง มีทั้งการทำประมงชายฝั่ง และการเลี้ยงปลาในกระชัง โดยชุมชนที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล คือ ชุมชนบ้านบางละมุง ชุมชนบ้านแหลมฉบัง และชุมชนบ้านอ่าวอุดม จะมีการเลี้ยงปลาในกระชังและการทำประมงชายฝั่งร่วมด้วย นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีการนำอาหารทะเลมาแปรรูปเพื่อส่งขายและเป็นสินค้าชุมชน ทั้งยังขายเพื่อเป็นของฝากประเภทอาหารแห้ง หรืออบ เช่น ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังยังมีการทำปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงโค สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ไก่พื้นเมือง และเป็ดเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่สร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ชุมชนแหลมฉบังนอกจากจะเป็นพื้นที่ที่มีการทำประมง เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และด้วยสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และพัฒนาการทางสังคมที่เจริญก้าวหน้า จึงมีการประกอบธุรกิจอาหารห้างร้านต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วย เช่น โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร สถานีบริการต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อรองรับการเข้ามาของผู้คนทั้งในด้านธุรกิจและการท่องเที่ยว
ในพื้นที่ของเทศบาลนครแหลมฉบังถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งทุนของชุมชนในหลากหลายด้าน ทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนพื้นที่ชุมชนแหลมฉบังให้มีความก้าวหน้าทางสังคม ทั้งระบบเศรษฐกิจ และพัฒนาการทางศักยภาพในพื้นที่ เขตเทศบาลนครแหลมฉบังมีกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งงานแหล่งรายได้ของคนในท้องถิ่น รวมไปถึงกลุ่มคนจากพื้นที่ต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาแสวงหาพื้นที่สร้างรายได้สร้างอาชีพเพื่อให้เกิดรายได้ในการดำรงชีวิต โดยกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังมีความหลากหลาย ประกอบด้วย
1) กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดในเขตเทศบาลแหลมฉบัง แยกเป็น
- โรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่ง
- คลังเก็บน้ำมันปิโตรเลียม 3 แห่ง
- คลังเก็บก๊าซ LPG ซึ่งเป็นก๊าซหุงต้ม 3 แห่ง
2) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอยู่ในความรับผิดชอบของการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3,556 ไร่ ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
3) กลุ่มสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ฯ โครงการอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ฯ เป็นโครงการของเอกชนก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 โดยบริษัทสหพัฒน์อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา บนพื้นที่ 1,300 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่อุตสาหกรรม 780 ไร่ และพื้นที่สาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อม 520 ไร่
ด้านการพาณิชย์และกลุ่มอาชีพ ก็เป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจของพื้นที่ชุมชนแหลมฉบัง ที่นอกจากอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญภายในเขตเทศบาลแล้ว ธุรกิจที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ การพาณิชยกรรมและการขนสินค้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมทางการผลิต คือ เป็นการกระจายสินค้าและการจำหน่ายสินค้าประกอบการพาณิชย์อื่น ๆ เช่น สถานประกอบการด้านพาณิชยกรรม
- ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง
- ตลาดสด 13 แห่ง
- ร้านค้าทั่วไป 550 แห่ง
- สถานีบริการน้ำมัน 11 แห่ง
- สถานีบริการก๊าซ NGV / LPG 6 แห่ง
นอกจากนี้ทรัพยากรธรรมชาติและสถานที่สำคัญในชุมชนแหลมฉบัง ยังเป็นต้นทุนสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว และช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โดยเขตพื้นที่ชุมชนเทศบาลแหลมฉบังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น
- วัดนางเศรษฐี (ร้าง) มีโบสถ์วัดนางเศรษฐี เป็นโบราณสถานอยู่ในชุมชนบ้านบางละมุง
- วัดศรีวนาราม (วัดบ้านนาใหม่)
- วัดบางละมุง
- ศูนย์การเรียนรู้เกษตรชุมชน อยู่ในชุมชนบ้านหนองคล้าใหม่
- สวนเกษตรตามรอยพ่อ, บ้านเกษตรพอเพียง อยู่ในชุมชนบ้านบางละมุง
- ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในชุมชนบ้านทุ่งกราด
- ป่าชายเลนแหลมฉบัง อยู่ในชุมชนบ้านแหลมฉบัง
- อ่าวอุดม
- อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ
สถานการณ์ความขัดแย้งของการท่าเรือฯ กับชุมชนหมู่บ้านแหลมฉบัง
ปี พ.ศ. 2521-2528 มีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ โดยการท่าเรือฯ เป็นผู้รับผิดชอบ เวนคืนที่ดินบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัยชาวบ้านในชุมชนบ้านแหลมฉบัง เพื่อสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังใช้สำหรับขนส่งสินค้าไปขายให้กับคนในประเทศและต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สีเขียว สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ชาวบ้านจึงเกิดความไม่เข้าใจการท่าเรือฯ ว่า เพราะเหตุใดในครั้งแรกกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่ได้รับการยกเว้นให้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วจึงมาเวนคืนอีก และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ การจ่ายค่าทดแทน การท่าเรือฯ จ่ายค่าทดแทนให้แก่ราษฎร ตามที่คณะกรรมการเวนคืนที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดตามหลักเกณฑ์ของทางราชการในขณะนั้น การจ่ายค่าทดแทนไม่เป็นธรรม เพราะที่อยู่อาศัยที่สร้างในที่ดินที่ถูกเวนคืนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าราคาที่ได้รับ การเวนคืน และไม่สามารถพบปะพูดคุยเจรจากันได้ อีกทั้งยังมีการเร่งรัดให้สร้างท่าเรือแหลมฉบัง จึงทำให้เจ้าที่การท่าเรือฯ เข้าผลักดันให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่โดยเร็ว ใช้มาตรการตัดน้ำตัดไฟของชาวบ้าน หวังให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ไปโดยปริยาย (โฉม วัฒนะวิเชียร, 2553)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2529-2540 การท่าเรือฯ กำหนดระยะเวลาจ่ายเงินทดแทนเวนคืนที่ดิน 10 ปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาถือเป็นการสิ้นสุดในการจ่ายเงินทดแทนให้กับชาวบ้าน ในขณะนั้นชาวบ้านต้องเผชิญกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดที่ใช้พฤติกรรมการข่มขู่ชาวบ้าน พูดจาประณาม เสียดสีว่า ชาวบ้านเป็นพวกถ่วงความเจริญของประเทศ ควรให้ออกจากพื้นที่เวนคืนนั้นเสียโดยเร็ว ชาวบ้านมีความไม่พอใจ จึงรวมตัวของกันในชุมชนบริเวณวัดแหลมฉบัง วันที่ 31 มีนาคม 2537 ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมอย่าง สงบที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนทางรัฐบาลเมื่อเห็นชาวบ้านมาชุมนุมจึงได้ส่งตัวแทนของรัฐบาลเพื่อเข้ามาพูดคุยกับชาวบ้าน ทางตัวแทนของภาครัฐได้รับข้อเสนอและรับปากว่าจะพิจารณาจึงทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านพอใจและทยอยกลับ ต่อมามีการเจรจาแก้ปัญหาในเรื่องการอยู่อาศัยของประชาชน ในชุมชนหมู่บ้านแหลมฉบังและสามารถ ตั้งคณะกรรมการเจรจา โดยมีประธานเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และนายอำเภอศรีราชาเป็นเลขานุการฯ แต่การเจรจาในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ
ภายหลังท่าเรือใช้กำลังเจ้าหน้าที่รื้อถอน ปราบปราม ชาวบ้านที่ไม่ย้ายออกจากพื้นที่เวนคืน โดยการสั่งการของผู้อำนวยการท่าเรือฯ ในสมัยนั้น อีกทั้งเมื่อกรมการศาสนาออกกฎกระทรวงขายที่ดินวัดแหลมฉบังให้กับการท่าเรือฯ และประกาศยุบวัดแหลมฉบังอันเป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านชุมชนแหลมฉบัง ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านทวีความหวงแหนที่ดินของตนเองมากยิ่งขึ้น และต้องการได้วัดคืนเป็นของชุมชนอย่างเดิม ประกอบกับ เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในสมัยนั้น กำหนดนโยบายให้เอกชนมาลงทุนเช่าท่าเรือแหลมฉบัง และนำที่ดินบริเวณหมู่บ้านแหลมฉบังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่พอใจ และความขัดแย้งได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติ
ปี พ.ศ. 2541-2545 กลุ่มแกนนำชาวบ้านนำโดยจำนงค์ วงศ์สว่าง ได้ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการเวนคืนที่ดินที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนหมู่บ้านแหลมฉบัง ซึ่งหมู่บ้านแหลมฉบัง เคยได้รับรางวัลพระราชทาน เป็นหมู่บ้านเกษตรประมงดีเด่น เมื่อชาวบ้านมีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง การท่าเรือฯ จึงมีทีท่าที่ประนีประนอม โดยเจรจายอมความให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในชุมชนได้อยู่อาศัยในที่ดินเดิมโดยไม่ให้มีการบุกรุก และก่อสร้างเพิ่มเติม และได้สนับสนุนให้ชุมชนมีกิจกรรมสาธารณะ และนันทนาการ โดยการช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความขัดแย้งเริ่มที่เบาบางลง และไม่ปรากฏความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก
ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย มีพื้นที่ขนาด 6,340 ไร่ ประกอบด้วยท่าเทียบเรือที่เปิดให้บริการแล้ว ดังนี้
- ท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์ 7 ท่า
- ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ 1 ท่า
- ท่าเทียบเรือ Ro/Ro 1 ท่า
- ท่าเทียบเรือโดยสารและเรือ Ro/Ro 1 ท่า
- ท่าเทียบเรือสินค้าทั่วไป ประเภทเทกอง 1 ท่า
- อู่ต่อและซ่อมเรือ 1 ท่า
ท่าเรือแหลมฉบังสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่พิเศษ (Super Post Panamax) ได้ โดยการท่าเรือฯ ทำหน้าที่เป็นองค์กรบริหารท่าเรือโดยรวม ส่วนงานด้านปฏิบัติการเป็นของเอกชนที่เช่าประกอบการหรือที่เรียกว่า Landlord Port โดยเป็นท่าเทียบเรือที่มีอัตราการเติบโตของการให้บริการขนถ่ายสินค้าสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก จากการจัดอันดับท่าเทียบเรือที่เป็น World Top Container Port โดยนิตยสารชั้นนำของโลก เช่น Loylld List เป็นต้น ท่าเรือแหลมฉบังได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากลำดับที่ 23 ในช่วงปี 2541-2542 โดยเลื่อนขึ้นเป็นลำดับที่ 20 และ 18 ในปี 2545 และ 2546 ตามลำดับ
ด้วยลักษณะที่ตั้งของประเทศไทย ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย และยังสามารถติดต่อทำการค้าผ่านแดนกับประเทศใกล้เคียง ได้แก่ จีนตอนใต้ และ เวียดนาม เป็นต้น โดยมีลักษณะเป็นหน้าด่านของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีข้อได้เปรียบในลักษณะที่เป็นท่าเรือที่มีดินแดนหลังท่า (Hinterland) ที่มีขนาดกว้างใหญ่ จึงทำให้มีศักยภาพสูงในการพัฒนาให้เป็น Gateway Port โดยพยายามดึงประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้มาเป็น Hinterland ของท่าเรือแหลมฉบัง
ท่าเรือแหลมฉบังมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่สุด (Post Panamax) ได้ รวมทั้งมีพื้นที่สนับสนุน (Supporting Areas) สำหรับประกอบการท่าเทียบเรือ และกิจการต่อเนื่องอย่างเพียงพอ ตลอดจนมีระบบโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางถนน รถไฟ และทางน้ำ เข้า-ออก ทลฉ. เชื่อมโยงกับภาคต่าง ๆ ของประเทศ และกับประเทศเพื่อนบ้านได้ดีพอสมควร
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าเรือแหลมฉบังยังมีพื้นที่ว่างเพียงพอที่จะใช้สำหรับพัฒนาในธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ เช่น สถานีจอดรถบรรทุก (Truck Terminal) ศูนย์กระจายสินค้า และ Free Trade Area เป็นต้น รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกเสริมอื่น ๆ เช่น คลังสินค้าอันตราย ศูนย์ฝึกป้องกันความเสียหายจากอัคคีภัย ที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งพร้อมที่จะรองรับการพัฒนาการให้บริการแบบครบวงจร แก่ลูกค้าได้ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งผู้ใช้บริการจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันทางการตลาดระหว่างผู้ประกอบการท่าเทียบเรือต่าง ๆ สูงสุด ด้านการประกอบการมีความคล่องตัวในการบริหารและมีความยืดหยุ่นในการให้บริการแก่ลูกค้าสูง เนื่องจากท่าเรือแหลมฉบังเน้นการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประกอบการท่าเทียบเรือ โดยท่าเรือแหลมฉบังได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาลในการเป็นท่าเรือหลักของประเทศแทนท่าเรือกรุงเทพ โดยมีนโยบายจำกัดตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ ไว้ไม่เกิน 1.0 ล้านทีอียู ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา
สุธี สีกล้า. (2555). การจัดการความขัดแย้งของชุมชนจากการเวนคืนที่ดินของรัฐระหว่างการท่าเรือกับชุมชนบ้าน แหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
เทศบาลนครแหลมฉบัง. (ม.ป.ป.). แผนพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. 2566-2570). เทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี.
เทศบาลนครแหลมฉบัง. (ม.ป.ป.). ที่เที่ยว. เทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี.
การท่าเรือแห่งประเทศไทย. (2561). ท่าเรือแหลมฉบัง. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://lcp.port.co.th/cs/internet/lcp/index.html
ไทยโพสต์. (2565). 'การท่าเรือ' ยกระดับ 'ท่าเรือแหลมฉบัง' เป็น Smart City. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://www.thaipost.net/economy-news/67150/
Warich Nathtigoon. (2564). ป่าชายเลนชุมชนแหลมฉบัง. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://www.wongnai.com/attractions/
ที่นี่ชลบุรี. (2565). แหลมฉบัง. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/Teeneechonburi1/posts/
ร้านยุพาอาหารทะเลแหลมฉบัง. (2564). อาหารทะเลเเห้งแหลมฉบัง. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/profile.php
Hutchisonports. (ม.ป.ป.). HPT ผู้ให้บริการท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์รายใหญ่ที่สุดในท่าเรือแหลมฉบังและประเทศไทย ทำลายสถิติการปฎิบัติการยกขนตู้คอนเทนเนอร์อีกครั้ง. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://hutchisonports.co.th/
304industrialpark. (ม.ป.ป.). โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2568, จาก https://www.304industrialpark.com/th/articles-detail/42/