
สัมผัสเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการสืบสานมาอย่างยาวนาน เพลิดเพลินกับการแสดงรำโทนพื้นบ้านที่หาชมได้ยาก พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศอันสุขสงบ ณ หมู่บ้านตลาดควาย
สัมผัสเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการสืบสานมาอย่างยาวนาน เพลิดเพลินกับการแสดงรำโทนพื้นบ้านที่หาชมได้ยาก พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศอันสุขสงบ ณ หมู่บ้านตลาดควาย
บ้านตลาดควาย เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมบึงทางด้านตะวันออกของตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ประชากรในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าลาวโซ่งหรือไทยทรงดำ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากบ้านเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ในอดีตชาวบ้านตลาดควายมีวัฒนธรรมพื้นบ้านที่โดดเด่น โดยเฉพาะ "รำโทน" ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายภายในชุมชน การดำรงชีวิตของชาวบ้านส่วนใหญ่มีลักษณะของสังคมเกษตรกรรม คือ ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ยึดถือหลักการพึ่งพาอาศัยกัน และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและชุมชน
กิจกรรมยามว่างของชาวบ้านนิยมใช้การร้องรำทำเพลงเป็นรูปแบบหนึ่งของการพักผ่อนและความบันเทิง นอกจากนี้ชาวบ้านบางส่วนยังคงมีพฤติกรรมตามวิถีพื้นถิ่น เช่น การกินหมาก การสูบยา การดื่มสุรา ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ยังหลงเหลืออยู่
บ้านตลาดควาย ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 5 ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอจอมบึงไปทางทิศตะวันออกประมาณ 5 กิโลเมตร ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างแห้งแล้ง เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนตกเฉลี่ยต่อปีค่อนข้างต่ำ
ภายในหมู่บ้านมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ลำคลองสองสายที่ไหลตัดผ่านบริเวณตอนกลางของหมู่บ้าน คือ คลองซอย และ คลอง ส.ป.ก. ซึ่งลำคลองทั้งสองสายนี้มีบทบาทสำคัญในการหล่อเลี้ยงระบบเกษตรกรรมของชุมชน โดยชาวบ้านใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำเหล่านี้ในการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้พื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านยังประกอบด้วยแปลงนา ไร่ข้าวโพด และสวนผลไม้ ซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของการเป็นชุมชนเกษตรกรรม พื้นที่บางส่วนยังคงมีไม้ยืนต้นและพืชพรรณพื้นถิ่นที่ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ และส่งผลให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของประชาชน
แม้ว่าชุมชนจะประสบกับสภาวะแห้งแล้งในบางช่วงฤดูกาล แต่ชาวบ้านยังสามารถปรับตัวและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสม เช่น การขุดบ่อพักน้ำ การใช้ระบบส่งน้ำเพื่อการเกษตร และการอนุรักษ์น้ำในระดับครัวเรือน ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 5 บ้านตลาดควาย ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,085 คน โดยแยกประชากรชาย 531 คน ประชากรหญิง 554 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 349 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ประชาชนในหมู่บ้านเป็นชาวไทยทรงดำ หรือไทดำ ที่ยังคงรักษาพิธีกรรมและการละเล่นพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมไว้เป็นอย่างดี เช่น การฟ้อนรำพื้นบ้าน การรำโทน และพิธีกรรมไหว้ผีบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่สัมพันธ์กับธรรมชาติและบรรพชน
ไทดำชุมชนบ้านตลาดควายส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักด้านเกษตรกรรม ซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมและเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชน พืชเศรษฐกิจที่นิยมเพาะปลูก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล แตงโม และพืชไร่อื่น ๆ ตามฤดูกาล การทำนายังคงมีบทบาทสำคัญในพื้นที่บางส่วน โดยเฉพาะบริเวณที่มีแหล่งน้ำเพียงพอ แม้ในปัจจุบันจะมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนไปปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งสามารถเติบโตได้ดีในสภาพดินเหนียวอุ้มน้ำและทนต่อความแห้งแล้งได้ระดับหนึ่ง
นอกจากการทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักแล้ว ประชาชนในชุมชนยังประกอบ อาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในครัวเรือน โดยอาชีพเสริมที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- การเลี้ยงไก่เนื้อและสุกร ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการในระดับครัวเรือนหรือฟาร์มขนาดเล็ก เพื่อจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นและรองรับความต้องการบริโภคภายในชุมชน
- การเลี้ยงปลา โดยเฉพาะปลาน้ำจืด เช่น ปลานิล และปลาดุก ซึ่งมักเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ เพื่อจำหน่ายหรือบริโภคในครัวเรือน
- การเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าและเห็ดครีม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใช้พื้นที่ไม่มาก ดูแลรักษาได้ง่าย และให้ผลผลิตในระยะเวลาอันสั้น เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และทรัพยากรของชุมชน อีกทั้งยังสามารถจำหน่ายเป็นรายได้เสริมที่ต่อเนื่องและมั่นคง
การประกอบอาชีพในรูปแบบดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของชุมชนในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ และโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
ชุมชนบ้านตลาดควาย หมู่ที่ 5 ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ควบคู่ไปกับการสืบสานวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ซึ่งได้รับการยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนส่วนใหญ่ นอกเหนือจากพิธีกรรมทางศาสนาและวันสำคัญตามปฏิทินสากลแล้ว ยังมีประเพณีสำคัญของชาวไทยทรงดำที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน ดังนี้
1.ประเพณีตรุษสงกรานต์
ในช่วงเทศกาลตรุษสงกรานต์ ชาวบ้านจะร่วมกันแต่งกายสุภาพไปวัดเพื่อทำบุญในช่วงเช้า และในช่วงสายจะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพและขอพร จากนั้นจะมีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน เช่น การเล่นตะกร้อ เล่นลูกช่วง งูกินหาง และการเข้าผี ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคล
2.พิธีเสนเรือน
เป็นพิธีกรรมสำคัญในการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษและผีบ้านผีเรือน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขอพรให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุข ความมั่นคง และปราศจากภัยอันตราย พิธีนี้จะกระทำโดยลูกชายของเจ้าของเรือน และจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี หรือทุก 2-3 ปี ตามความเหมาะสมของฐานะทางเศรษฐกิจ ครอบครัวที่จัดพิธีจะเชิญญาติพี่น้องมาร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล
3.พิธีเวนดง
คือการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษด้วยการจัดสำรับอาหารที่รับประทานกันในชีวิตประจำวัน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่พ่อแม่เสียชีวิต และทำการเปลี่ยนอาหารทุก 10 วัน เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงผู้ล่วงลับ
4.พิธีรับขวัญเด็กแรกเกิด
เมื่อมีเด็กแรกเกิด จะมีพิธีรับขวัญโดยนำทารกนอนในกระด้ง ร่อนกระด้ง 3 ครั้งพร้อมกล่าวคำว่า "สามวันลูกผี สี่วันลูกคน" เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เด็กจะนอนในกระด้งเป็นเวลา 3 วันก่อนย้ายไปนอนบนเบาะตามปกติ (ในปัจจุบันนิยมทำพิธีหลังจากที่แม่และเด็กกลับจากโรงพยาบาลแล้ว)
5.พิธีแปงขวัญ
พิธีเรียกขวัญหรือขับไล่สิ่งอัปมงคลออกจากร่างกายผู้ที่ตกใจ เจ็บป่วย หรือเสียขวัญ โดยมี "หมอ" ซึ่งเป็นผู้รู้ในไสยศาสตร์เป็นผู้ทำพิธี หากเป็นผู้ใหญ่จะใช้ไก่ต้มหรือไก่ต้มสุก 1 ตัวเป็นเครื่องเซ่น หากเป็นเด็กจะใช้ไข่ต้ม 1 ฟอง
6.พิธีแต่งงาน
คู่บ่าวสาวจะสวมเสื้อฮี ซึ่งเป็นชุดประจำชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะจัดขบวนขันหมากที่ประกอบด้วยขิง ข่า ตะไคร้ ปลาแห้ง หมากพลูใส่ในกะเหลบเป้ (คล้ายกระบุงมีฝาชีครอบ) และโอ่งเล็กที่บรรจุขนม โดยมี "ล่าม" หรือแม่สื่อเป็นผู้นำขบวน พิธีสำคัญภายในงานคือการ "ไหว้เฮา" ซึ่งเป็นการไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายเจ้าสาว หลังจากนั้นจะมีการไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย สินสอดจะกำหนดตามธรรมเนียมของฝ่ายหญิง โดยอิงตามค่าสินสอดของแม่เจ้าสาวเมื่อครั้งแต่งงาน
7.พิธีศพ
เมื่อมีผู้เสียชีวิต ญาติจะเก็บศพไว้ที่บ้าน 2-3 คืน แล้วจึงนำไปเผาที่วัด (ในอดีตเผาที่ป่าช้า) ในขบวนแห่ศพจะมี "เขย" หรือหมอไสยศาสตร์นำขบวน โดยมีการกล่าวนำทางวิญญาณไปยังหลวงพระบาง ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิม หลังจากเผาศพแล้ว เขยจะนำกล่องวิญญาณกลับไปเก็บไว้ที่บ้านของลูกชายคนเล็ก หากไม่มีลูกชาย จะเก็บไว้ที่ศาลบรรพบุรุษในไร่นา
8.พิธีเรียกขวัญข้าวขึ้นยุ้ง
หลังจากการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะจัดพิธีเรียกขวัญแม่โพสพหรือแม่โพสี โดยตั้งร้านบวงสรวงเล็ก ๆ ที่ลานข้าว ใช้กล้วยและมะพร้าวอ่อนเป็นเครื่องบูชา เพื่ออัญเชิญให้แม่โพสพขึ้นยุ้งข้าว เป็นการแสดงความเคารพและขอบคุณที่ช่วยให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
9.พิธีอยู่ข่วง
จัดขึ้นในฤดูทำนา โดยชาวบ้านจะนำฟืนมากองรวมกันและจุดไฟในยามค่ำคืน สาว ๆ จะนั่งล้อมวงรอบกองไฟ ปั่นด้าย หรือนวดข้าว พร้อมกับมีหนุ่ม ๆ เข้ามาเล่นแคน เล่นสะบ้า หรือร้องรำทำเพลง เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความสนุกสนานภายในชุมชน
การรำโทนของชาวไทยทรงดำ บ้านตลาดควาย
การรำโทน เป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2484-2488 ทั้งในเขตพระนครธนบุรีและพื้นที่ชนบท การรำโทนได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยท่านได้สนับสนุนให้การรำโทนเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมประจำชาติ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า การรำโทนเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด หรือใครเป็นผู้ริเริ่ม
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความนิยมในการรำโทนได้ลดลง และบางส่วนได้พัฒนาไปเป็นการรำวงและรำวงมาตรฐาน ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน
การรำโทนมีลักษณะคล้ายกับรำวงในยุคปัจจุบัน แต่ในอดีตจะเน้นใช้ "กลองโทน" เป็นเครื่องดนตรีหลักในการให้จังหวะ ผู้ร่วมเล่นทั้งชายและหญิงจะชักชวนกันรำเป็นคู่ ๆ ไปตามจังหวะเพลง โดยผู้ที่ไม่ได้ร่วมรำจะช่วยกันปรบมือประกอบจังหวะ เพลงหนึ่ง ๆ จะร้องซ้ำประมาณ 2-3 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นเพลงใหม่ ลักษณะของท่ารำไม่มีแบบแผนตายตัว แต่จะใช้ท่ารำที่สื่อถึงเนื้อร้องในแต่ละบท โดยผู้เล่นจะแต่งกายสวยงามตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่น
โอกาสในการเล่นรำโทนไม่มีระบุแน่นอน มักจัดขึ้นในเวลากลางคืน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หากชาวบ้านต้องการเล่นก็จะชักชวนกันมารำที่ลานบ้านของผู้ใดผู้หนึ่ง การรำโทนเป็นการละเล่นที่ใช้การถ่ายทอดแบบมุขปาฐะ เนื้อเพลงและท่ารำจะเรียนรู้จากการจดจำ ไม่เน้นการดัดแปลง เมื่อมีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทั้งในเนื้อร้องและท่ารำ โดยเฉพาะหากคณะผู้เล่นอยู่คนละท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เพลงบางบทก็ยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน
สำหรับชุมชนชาวไทยทรงดำในบ้านตลาดควาย ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ได้รับเอาการรำโทนมาเป็นการละเล่นพื้นบ้านตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยบุคคลสำคัญที่นำการรำโทนเข้ามาเผยแพร่ในหมู่บ้านคือ ร้อยเอกโทน คำพร้อม ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นลูกหลานของชาวไทยทรงดำในชุมชน นอกจากนี้ยังมี นายบุญธรรม คุ้มฮะ เป็นผู้ร่วมฝึกฝนและสอนการรำโทนแก่ชาวบ้าน การรำโทนจึงกลายเป็นการแสดงพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทยทรงดำในหมู่บ้านตลาดควาย และได้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยถือเป็นกลุ่มไทยทรงดำเพียงกลุ่มเดียวที่มีการสืบสานการรำโทนแทนการละเล่นแบบดั้งเดิมอย่าง "อิ้นกอนฟ้อนแคน" โดยการแสดงรำโทนในชุมชนนี้จะมีเฉพาะฝ่ายหญิงซึ่งเป็นสาวชาวไทยโซ่ง จุดมุ่งหมายหลักของการเปิดให้เฉพาะหญิงในหมู่บ้านร่วมรำ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่นได้เข้ามาทำความรู้จักและสร้างสัมพันธ์กับหญิงสาวในหมู่บ้าน
การรำเริ่มต้นด้วยการที่หญิงสาวชาวไทยโซ่งเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ฟังเสียงกลองโทนที่ใช้เป็นเครื่องให้จังหวะ เปิดด้วยเพลง "ชักชวนสาวงาม" จากนั้นเข้าสู่เพลง "ไหว้ครูรำโทน" แล้วจึงดำเนินต่อด้วยเพลงต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นเพลงดั้งเดิมหรือเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ ผู้ร่วมรำจะใช้ท่ารำวงทั่วไปในการเคลื่อนไหวตามจังหวะ และบางเพลงอาจใช้ท่ารำที่สื่อความหมายตามคำร้อง เช่น เพลง "ตาแก่อยากมีเมียสาว"
ในอดีต การรำโทนจะมีชายหนุ่มเข้าร่วมด้วย โดยจะเข้าไปโค้งเชิญหญิงสาวขณะรำ เพื่อรำคู่กันและหยอกล้อกันผ่านท่ารำ ทว่าในปัจจุบัน การรำโทนไม่ได้เป็นกิจกรรมในหมู่บ้านตามธรรมเนียมดั้งเดิมอีกต่อไป แต่ได้รับการสืบทอดในลักษณะของการแสดงเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป
แม้ว่าสภาพสังคมในปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของผู้คน แต่ชุมชนไทยทรงดำบ้านตลาดควายยังคงให้ความสำคัญและรักษาประเพณี รวมทั้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้เป็นอย่างดี เพื่อแสดงออกถึงเอกลักษณ์และความเป็นชุมชนที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่มั่นคง ตัวอย่างของการอนุรักษ์เหล่านี้ ได้แก่ การจัดพิธีกรรมไหว้ผีบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นพิธีที่สะท้อนความเคารพต่อบรรพชนและความเชื่อในวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม การแต่งกายด้วยผ้าซิ่นดำที่มีลวดลายโบราณซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไทยทรงดำ รวมถึงการฟ้อนรำพื้นบ้านและการรำโทน ที่เป็นการละเล่นและศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวและค่านิยมของชุมชน
อย่างไรก็ตาม การแสดงรำโทนในปัจจุบันมิได้จัดขึ้นเป็นกิจกรรมละเล่นประจำหมู่บ้านเหมือนเช่นในอดีตที่เป็นกิจกรรมของชุมชนที่ทำกันเป็นประจำในโอกาสต่าง ๆ แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน โดยเปลี่ยนมาเป็นการแสดงเชิงวัฒนธรรมในโอกาสสำคัญและพิธีการต่าง ๆ เช่น งานต้อนรับแขกผู้มาเยือน งานประจำปีของชุมชน หรืองานกิจกรรมของสถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การแสดงรำโทนมีความยั่งยืนและสามารถส่งต่อให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงและร่วมสืบทอด โดยกระตุ้นให้เกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง รวมถึงส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนไทยทรงดำบ้านตลาดควายให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต
เทศบาลตำบลจอมบึง. (ม.ป.ป.). ข้อมูลพื้นฐาน. สืบค้น 7 มิถุนายน 2568. จาก http://www.chombueng.go.th/
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม. (30 มกราคม 2556). รำโทนบ้านตลาดควาย. สืบค้น 7 มิถุนายน 2568. จาก http://m-culture.in.th/album/
หมู่ 5 บ้านตลาดควาย ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี. (12 กันยายน 2561). โท่น โทน โทน ป๊ะ โท่น โทน. สืบค้น 7 มิถุนายน 2568. จาก https://www.facebook.com/
หมู่ 5 บ้านตลาดควาย ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี. (14 กรกฎาคม 2566). [ภาพประกอบ]. สืบค้น 7 มิถุนายน 2568. จาก https://www.facebook.com/
หมู่ 5 บ้านตลาดควาย ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี. (19 ธันวาคม 2567). เป็นอีกปีที่พี่น้องหมู่ ๕ บ้านตลาดควายได้มาร่วมเดินขบวนเผยแพร่วัฒนธรรมไททรงดำ. สืบค้น 7 มิถุนายน 2568. จาก https://www.facebook.com/
อุไรวรรณ มีเพียร. (2538). การพัฒนาชุดการสอนแบบบูรณาการสำหรับเด็กปฐมวัยในชนบท การศึกษาเฉพาะกรณี : หมู่บ้านตลาดควาย จังหวัดราชบุรี. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.