
สัมผัสมนต์เสน่ห์ของชุมชนภูไทบ้านวาริชภูมิผ่านงานประเพณีรำลึกอันงดงาม ด้วยเอกลักษณ์การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมและสัมผัสวิถีชีวิตชาวภูไทอย่างแท้จริงที่วาริชภูมิ
สัมผัสมนต์เสน่ห์ของชุมชนภูไทบ้านวาริชภูมิผ่านงานประเพณีรำลึกอันงดงาม ด้วยเอกลักษณ์การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมและสัมผัสวิถีชีวิตชาวภูไทอย่างแท้จริงที่วาริชภูมิ
บ้านวาริชภูมิเป็นชุมชนที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยมีต้นกำเนิดจากการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ในเขตเมืองกะป๋อง (ปัจจุบันคือเมืองเซโปน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ในราวปี พ.ศ. 2387 ชาวผู้ไทเมืองกะป๋องจำนวนประมาณ 400 ครัวเรือน ภายใต้การนำของท้าวคำเขื่อนได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้าสู่แผ่นดินสยาม ทั้งนี้เป็นผลมาจากนโยบายของกองทัพสยามในขณะนั้นที่ต้องการให้กลุ่มชนจากฝั่งลาวอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรและความมั่นคงให้แก่ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม
หลังจากที่ท้าวคำเขื่อนได้ถึงแก่กรรมก่อนการอพยพ ท้าวราชนิกูลซึ่งเป็นบุตรชายจึงรับหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มผู้อพยพ โดยได้เดินทางผ่านเมืองนครพนมและเข้าสู่เขตเมืองสกลนคร เจ้าเมืองและกรมการเมืองสกลนครได้จัดสรรพื้นที่ให้ชาวภูไทตั้งบ้านเรือนเป็นการชั่วคราว ต่อมาในปี พ.ศ. 2390 ท้าวราชนิกูลและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่ได้ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองสกลนคร เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนที่ดินสำหรับทำกิน จนกระทั่งได้พบพื้นที่ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเหมาะสม มีหนองน้ำอุดมสมบูรณ์และมีแหล่งปลาชุกชุม จึงได้ตั้งถิ่นฐานใหม่บริเวณดังกล่าว และเรียกชื่อว่า "บ้านหนองหอย" ซึ่งก็คือพื้นที่ของบ้านวาริชภูมิในปัจจุบัน
ในช่วงปี พ.ศ. 2419 ท้าวราชนิกูลได้ดำเนินการขอจัดตั้งบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมือง แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากกรมการเมืองสกลนคร ด้วยเหตุนี้ท้าวสุพรหม บุตรชายของท้าวราชนิกูลจึงไปร้องเรียนต่อเจ้าเมืองหนองหาน (พระพิทักษ์เขตขันธ์ หรือพิทักษ์เขื่อนขันธ์) ผู้เป็นเชื้อสายราชวงศ์เจ้าจารย์แก้วแห่งเมืองท่งศรีภูมิ (ปัจจุบันคืออำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2420 ได้มีการกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์เพื่อขอยกฐานะบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมือง โดยเสนอให้ใช้ชื่อว่า "เมืองวาริชภูมิ" อย่างไรก็ตาม เมืองวาริชภูมิกลับถูกจัดตั้งขึ้นในพื้นที่บ้านป่าเป้า เมืองไพร แขวงเมืองหนองหาน แทนที่จะเป็นที่ตั้งของบ้านหนองหอยตามที่ท้าวราชนิกูลและราษฎรต้องการ
แม้จะมีประกาศตั้งเมือง ณ บ้านป่าเป้า แต่ราษฎรภูไทส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหนองหอยเช่นเดิม ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานตามประกาศของทางราชการ ต่อมาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งด้านการปกครอง เมืองวาริชภูมิได้ถูกปรับสังกัดใหม่ให้ขึ้นต่อเมืองสกลนครแทนเมืองหนองหาน และในปี พ.ศ. 2445 เมืองวาริชภูมิได้รับการเปลี่ยนสถานะจากเมืองเป็น "อำเภอวาริชภูมิ" และดำรงฐานะเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นระดับอำเภอในจังหวัดสกลนครสืบมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากประวัติการตั้งถิ่นฐานที่สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาเอกลักษณ์ของชุมชนผู้ไทแล้ว บ้านวาริชภูมิยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อดั้งเดิมของชาวภูไทไว้ได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการนับถือ "เจ้าปู่มเหสักข์" ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ตลอดจนการฟ้อนภูไทที่สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาวผู้ไทวาริชภูมิ
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอวาริชภูมิมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยที่ราบสลับกับภูเขา โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ของตำบลวาริชภูมิ ตำบลคำบ่อ และตำบลค้อเขียวที่อยู่ในเขตเทือกเขาภูพาน ซึ่งมีความสำคัญทั้งทางด้านระบบนิเวศและความเชื่อพื้นถิ่นของชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่บ้านวาริชภูมิที่ตั้งอยู่ในบริเวณเชิงเขา มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ การทำนา ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลนิคมน้ำอูน อำเภอนิคมน้ำอูน จังหวัดสกลนคร
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
บ้านวาริชภูมิเป็นชุมชนที่มีการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะระบบลำน้ำขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของคนในชุมชน ลำน้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ ได้แก่
- ลำน้ำห้วยปลาหาง ซึ่งมีต้นน้ำมาจากเทือกเขาภูพานในเขตตำบลคำบ่อ ไหลผ่านตำบลวาริชภูมิและตำบลปลาโหล ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่อำเภอพังโคน
- ลำน้ำห้วยยาม ซึ่งมีต้นน้ำจากเทือกเขาภูพานในเขตตำบลค้อเขียว ไหลผ่านตำบลหนองลาด และไหลต่อไปยังอำเภอสว่างแดนดิน
ลำน้ำทั้งสองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชาวบ้านใช้สำหรับการเพาะปลูก ทำนา รวมถึงการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน โดยมีบทบาทอย่างมากต่อวิถีการเกษตรกรรมของชาวผู้ไทในพื้นที่
สภาพภูมิอากาศ
บ้านวาริชภูมิอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม ทำให้มีลักษณะภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้นสลับแห้ง มี 3 ฤดูกาลที่ชัดเจน ได้แก่
- ฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน อุณหภูมิสูง แห้งแล้ง
- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุก เหมาะแก่การเพาะปลูก
- ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อากาศเย็นและแห้ง
ลักษณะภูมิอากาศเช่นนี้เอื้อต่อการดำเนินชีวิตและวางแผนการเกษตรของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในด้านการทำนาและปลูกพืชตามฤดูกาล
บ้านวาริชภูมิ ตำบลวารชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านวาริชภูมิ หมู่ 1 และบ้านวาริชภูมิ หมู่ 2 โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร์ (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รายงานจำนวนประชากรบ้านวาริชภูมิทั้ง 2 หมู่บ้าน ดังนี้
- บ้านวาริชภูมิ หมู่ 1 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,736 คน แยกเป็นประชากรชาย 844 คน ประชากรหญิง 892 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 921 หลังคาเรือน
- บ้านวาริชภูมิ หมู่ 2 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 532 คน แยกเป็นประชากรชาย 255 คน ประชากรหญิง 277 คน และมีจำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 286 หลังคาเรือน
ประชากรบ้านวาริชภูมิเกือบทั้งหมู่บ้านเป็นชาวผู้ไท ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว โดยกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทในบ้านวาริชภูมิยังคงใช้ภาษาไทยผู้ไทในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยมีสำเนียงเฉพาะที่แตกต่างจากภาษาถิ่นลาวหรือภาษาไทยถิ่นอีสานทั่วไป ทั้งนี้ ภาษาไทยผู้ไทยังคงได้รับการสืบทอดอย่างต่อเนื่องผ่านครอบครัว การทำกิจกรรมในชุมชน และการร่วมในประเพณีพื้นบ้าน เช่น การฟ้อนภูไท งานบุญเดือนสาม หรือพิธีกรรมทางความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษ
ลักษณะครอบครัวของบ้านวาริชภูมินั้นโดยทั่วไปเป็นครอบครัวขยาย ซึ่งสมาชิกในครอบครัวหลายรุ่นมักอาศัยอยู่ร่วมกันในเรือนเดียวหรือในละแวกเดียวกัน สะท้อนถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างสมาชิกภายในครอบครัวและชุมชน ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาบันครอบครัว และมักเคารพผู้สูงอายุในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกคู่ครอง ซึ่งครอบครัวจะมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาและตัดสินใจร่วมกัน
นอกจากนี้ชาววาริชภูมิโดยส่วนใหญ่ยังนิยมแต่งงานกับผู้ที่มีเชื้อสายผู้ไทด้วยกัน เพื่อสืบสานประเพณี วัฒนธรรม และความเข้าใจในรากเหง้าร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ทำให้มีการแต่งงานกับชาวไทยกลางและชาวไทยอีสานมากขึ้น แต่ในกระบวนการแต่งงานนั้น ครอบครัวยังถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการให้การยอมรับและตัดสินใจร่วมกันเสมอ
ผู้ไทชาวผู้ไทในหมู่บ้านวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ยังคงยึดถือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สะท้อนถึงการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล โดยประชาชนส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ การทำนาและทำไร่ ซึ่งถือเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชนมาอย่างยาวนาน
การทำนาของบ้านวาริชภูมิมักเป็นการทำนาแบบดั้งเดิมโดยใช้แรงงานในครัวเรือน มีการปลูกข้าวเหนียวเป็นพืชหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมการบริโภคของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทที่นิยมบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน การทำนาจึงไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนถึงระบบความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนที่ช่วยกันในช่วงฤดูเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวอย่างพร้อมเพรียงกัน
นอกจากข้าวเหนียว พืชเศรษฐกิจอื่นที่มีบทบาทในระบบการผลิตของชุมชน ได้แก่ ต้นหวาย และพุทรา ซึ่งมีการปลูกในไร่หรือบริเวณใกล้บ้านเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือน และสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว ต้นหวายเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้ในงานจักสานพื้นบ้าน เช่น การทำกระบุง กระจาด เครื่องมือเก็บเกี่ยว และเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนพุทราเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในท้องถิ่น และมีศักยภาพในการจำหน่ายทั้งในตลาดท้องถิ่นและภายนอกชุมชน
ขณะเดียวกัน งานหัตถกรรมพื้นบ้านของชาวภูไทวาริชภูมิยังคงได้รับการสืบทอดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทอผ้าพื้นเมืองและการจักสานเครื่องใช้จากไม้ไผ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับชุมชน ยังถือเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไทได้อย่างชัดเจน ผ้าทอภูไทของบ้านวาริชภูมิจะมีลวดลายเฉพาะถิ่น เช่น ลายหมากจับ ลายดอกแก้ว และลายฮ้านนกยูง ซึ่งมักใช้ในพิธีกรรมและการแต่งกายพื้นเมืองในงานบุญประเพณีสำคัญ เช่น งานบุญเดือนสาม และการฟ้อนภูไท
ภูมิปัญญาในงานจักสานจากไม้ไผ่ของชาวบ้านวาริชภูมิยังคงปรากฏในชีวิตประจำวัน เช่น การจักตอกเพื่อทำเสื่อ การจักกระบุงสำหรับใส่ข้าว หรือภาชนะต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและไม่ฟุ่มเฟือย เครื่องจักสานเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งของใช้ แต่ยังสะท้อนถึงความรู้ ความชำนาญ และค่านิยมด้านความประณีต ความอดทน และการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัวและชุมชน
สภาพเศรษฐกิจของครอบครัวในบ้านวาริชภูมิจึงอยู่ในระดับที่พออยู่พอกิน มีความมั่นคงทางอาหารจากผลผลิตของตนเอง และมีรายได้เสริมจากงานหัตถกรรมและผลิตผลทางการเกษตรตามฤดูกาล ถึงแม้บางครอบครัวจะมีสมาชิกที่ย้ายถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่เพื่อหารายได้เพิ่มเติม แต่โดยรวมชุมชนยังคงมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่อิงกับวิถีเกษตรกรรมและภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นสำคัญ
บ้านวาริชภูมิมีลักษณะทางสังคมแบบชนบท เป็นชุมชนที่ประกอบด้วยครอบครัวขยาย อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีวิถีชีวิตเรียบง่าย และยึดโยงกับทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ แต่เดิมชาวบ้านวาริชภูมิมีความสัมพันธ์กับสังคมภายนอกไม่มากนัก แต่เมื่อมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เข้าสู่พื้นที่ ชุมชนได้ปรับตัวและเปิดรับความเปลี่ยนแปลงจากภายนอกมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ชาวผู้ไทยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนไว้ผ่านรูปแบบวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน
ความเชื่อและศาสนา
ในอดีตชาวผู้ไทบ้านวาริชภูมินับถือผีบรรพบุรุษและผีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น ผีปู่ย่า ผีไร่ผีนา ผีหลักเมือง และผีฟ้าหรือผีแถน ซึ่งถือว่าเป็นเทพผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ โดยเชื่อว่าผีแถนสามารถบันดาลทั้งคุณและโทษได้ หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตนตามความประสงค์ของผีแถนอาจประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ ผีแถนในความเชื่อของชาวผู้ไทแบ่งออกเป็นหลายองค์ โดยแต่ละองค์มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น
- แถนหลวง เป็นหัวหน้าแถน มีหน้าที่ควบคุมและตัดสินข้อพิพาทระหว่างแถน
- แถนกัวปาลาวี ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ ควบคุมดินฟ้าอากาศ
- แถนชาด กำหนดชะตาชีวิต
- แถนแนน ดูแลเรื่องมิ่งขวัญและอายุขัย
- แถนบุน บันดาลความมั่งคั่ง
- แถนเคอ ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
- แถนเคาะ ก่อให้เกิดเคราะห์ร้าย
- แถนชิง เป็นผีประจำตระกูล
- แถนสัด ปกป้องผู้มีคุณธรรม ลงโทษผู้ทำผิด
- แถนนุ่งขาว บันดาลแสงสว่างและความงาม
นอกจากผีแถน ยังมีความเชื่อเรื่อง "เจ้าปู่มเหสักข์" ซึ่งเป็นผีผู้คุ้มครองบ้านเมือง โดยเปรียบเสมือนเทพเจ้าประจำชุมชนที่มีสถานะสูงกว่าผีทั่วไป
ปัจจุบันชาวบ้านนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดควบคู่ไปกับความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ จึงทำให้พิธีกรรมหลายอย่างมีความผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับหลักพุทธศาสนาอย่างกลมกลืน
พิธีกรรมการ "เหยา"
พิธีกรรมสำคัญที่สะท้อนความเชื่อเรื่องผี คือ "พิธีเหยา" ซึ่งเป็นการประกอบพิธีทางจิตวิญญาณเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหรือปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย โดยมี "หมอเหยา" เป็นผู้ทำหน้าที่สื่อสารกับวิญญาณ จุดมุ่งหมายของการเหยามีหลากหลาย เช่น
- เหยาเพื่อชีวิต : เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหรือต่ออายุ
- เหยาเพื่อกุมผีออก : ใช้เมื่อผู้ป่วยถูกผีร้ายเข้าสิง หากรักษาหาย ผู้ป่วยจะกลายเป็น "ลูกเมือง" หรือหมอเหยารุ่นต่อไป
- เหยาเพื่อเลี้ยงผี : เป็นการแสดงความขอบคุณต่อผีในช่วงเดือน 4 และ 6 ของทุกปี
- เหยาเพื่อเอาฮูปเอาฮอย : ทำในช่วงบุญพระเวส เป็นพิธีที่มีลักษณะสัญลักษณ์เกี่ยวกับเพศ และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการเลี้ยงหม่อนไหมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน
ประเพณีฮีตสิบสอง
ชาวผู้ไทบ้านวาริชภูมิปฏิบัติตาม "ฮีตสิบสอง" เช่นเดียวกับชาวอีสานทั่วไป โดยถือเป็นแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมของชาวอีสานที่สอดคล้องกับพุทธศาสนา ประเพณีสำคัญแต่ละเดือน ได้แก่
- เดือนอ้าย : บุญเข้ากรรม
- เดือนยี่ : บุญคูณลาน
- เดือนสาม : บุญข้าวจี่
- เดือนห้า : บุญสงกรานต์ (ฮดน้ำ)
- เดือนหก : บุญบั้งไฟ เพื่อบูชาพญาแถน
- เดือนเจ็ด : บุญชำฮะ (ชำระจิตใจ)
- เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา
- เดือนเก้า : บุญข้าวประดับดิน เพื่ออุทิศแก่ผีบรรพบุรุษ
- เดือนสิบ : บุญข้าวสาก
- เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
- เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
งานประเพณี "ภูไทรำลึก"
เป็นงานประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เพื่อสืบสานวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวภูไท ซึ่งมีรากเหง้าทางชาติพันธุ์ที่เข้มแข็งและโดดเด่น โดยเฉพาะในด้านภาษา การแต่งกาย ดนตรี และพิธีกรรมความเชื่อโบราณ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรำลึกถึงบรรพชนชาวภูไทที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่วาริชภูมิ ส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมภูไทให้คงอยู่สืบไป เป็นเวทีแสดงออกของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไทในท้องถิ่น และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับจังหวัดและภูมิภาค
งานประเพณี "ภูไทรำลึก" ถือเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชาวผู้ไทที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้รากเหง้า และเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดคุณค่าของชาติพันธุ์ผู้ไทให้แก่สาธารณชน โดยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจฐานรากผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมพื้นถิ่นยังคงมีชีวิตอย่างเข้มแข็งในโลกสมัยใหม่
ภาษาพูด : ภาษาไทยถิ่นอีสาน และภาษาไทยกลาง
ภาษาเขียน : อักษรไทย
รัตติยา โกมินทรชาติ. (2549). การฟ้อนของชาวภูไท : กรณีศึกษาหมู่บ้านวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม. (18 กรกฎาคม 2565). งานประเพณีภูไทรำลึก (The Phu Tai Remembrance Festival). สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก http://www.m-culture.in.th/
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (6 กรกฎาคม 2561). งานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ ภูไทวาริชภูมิ. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://rituals.sac.or.th/detail.php?id=120
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (8 เมษายน 2568). ผู้ไท. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://ethnicity.sac.or.th/database-ethnic/191/
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสกลนคร. (7 เมษายน 2568). จ.สกลนคร จัดงาน “วันภูไทรำลึก” ประจำปี 2568 รำภูไทถวายเจ้าปู่มเหสักข์ ร่วมสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม พร้อมส่งเสริมอัตลักษณ์โดดเด่นของ อ.วาริชภูมิ. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://sakonnakhon.prd.go.th/
องค์การบริหารส่วนตำบลวาริชภูมิ. (ม.ป.ป). สภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐาน. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.warichaphum.go.th/
องค์การบริหารส่วนตำบลวาริชภูมิ. (ม.ป.ป). โครงการสืบสานงานภูไทรำลึก วันที่ 6 เมษายน 2566. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.warichaphum.go.th/
ISAN INSIGHT. (2 พฤษภาคม 2564). ประวัติผู้ไทวาริชภูมิ. สืบค้น 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.isaninsight.com/putaiwarit/