
ย่านประตูน้ำ ไม่ใช่เพียงตลาดค้าส่งเสื้อผ้า แต่ถือเป็นย่านพาณิชยกรรมที่มีความคึกคักและมีชีวิตชีวาที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าแฟชั่นหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของนักช็อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสแฟชั่นที่ทันสมัย รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของย่านประตูน้ำในฐานะย่านการค้าที่สำคัญของเมืองหลวง
ย่านประตูน้ำ ไม่ใช่เพียงตลาดค้าส่งเสื้อผ้า แต่ถือเป็นย่านพาณิชยกรรมที่มีความคึกคักและมีชีวิตชีวาที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าแฟชั่นหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของนักช็อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสแฟชั่นที่ทันสมัย รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของย่านประตูน้ำในฐานะย่านการค้าที่สำคัญของเมืองหลวง
ย่านประตูน้ำเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร โดยตั้งอยู่ในเขตราชเทวี ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางเมืองชั้นในที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของชื่อ "ประตูน้ำ" นั้นสืบเนื่องมาจาก โครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีอยู่จริงบริเวณคลองแสนแสบ ใกล้สี่แยกประตูน้ำในปัจจุบัน ย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างประตูระบายน้ำในคลองสายสำคัญของกรุงเทพฯ อาทิ คลองแสนแสบ คลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก คลองประเวศบุรีรมย์ และคลองสำโรง เพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำสำหรับการเกษตรและคมนาคม
ในคลองแสนแสบมีประตูระบายน้ำ 3 แห่ง ได้แก่
- ประตูน้ำสระปทุม
- ประตูน้ำบางขนาก
- ประตูน้ำท่าไข่
ซึ่งประตูน้ำสระปทุม มีความพิเศษตรงที่มีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดอย่างแน่นอน ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดพักรอของพ่อค้าแม่ค้าที่สัญจรทางเรือ โดยเฉพาะกลุ่มที่มุ่งหน้าไปยังสี่แยกมหานาคซึ่งเป็นตลาดสำคัญในยุคนั้น เมื่อมีการรอคอยเป็นเวลานาน จึงเริ่มมีการตั้งร้านขายของชั่วคราว กระทั่งพัฒนาเป็นตลาดโดยปริยาย ชื่อ "ประตูน้ำ" จึงกลายเป็นชื่อที่ผู้คนใช้เรียกพื้นที่นี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ในเวลาต่อมา ย่านประตูน้ำได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการตัดถนนเข้าสู่บริเวณประตูน้ำ 2 สาย ได้แก่ถนนประแจจีน (ปัจจุบันคือถนนเพชรบุรี) และถนนราชดำริ
ต่อมาในรัชกาลที่ 6 มีการก่อสร้างโรงงานซ่อมรถไฟที่มักกะสัน และมีการขยายเครือข่ายการเดินทางผ่านทั้งทางเรือและทางบก รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะ เช่น เรือเมล์ รถราง และรถโดยสาร ทำให้ย่านประตูน้ำกลายเป็นพื้นที่ที่มีประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลั่งไหลเข้ามาอย่างหนาแน่น
ในช่วง พ.ศ. 2504 ย่านประตูน้ำยังคงมีลักษณะเป็น ตลาดสดดั้งเดิม ประกอบด้วยตลาดสำคัญ 2 แห่ง คือ ตลาดเฉลิมโลก และตลาดเฉลิมลาภ (มีขนาดใหญ่กว่า) โดยสินค้าหลักที่วางจำหน่ายในเวลานั้น ได้แก่ อาหารสด และของใช้ในครัวเรือนทั่วไป
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2500-2510 เป็นต้นมา ย่านประตูน้ำเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคของ พาณิชยกรรมค้าปลีกและค้าส่ง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ มีการตั้งแผงลอยริมถนน ตึกแถว อาคารพาณิชย์ และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ส่งผลให้ย่านประตูน้ำกลายเป็นจุดหมายสำคัญของผู้ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งนิยมเดินทางมาเลือกซื้อสินค้าเพื่อนำกลับไปจำหน่ายในประเทศของตน
ย่านประตูน้ำสะท้อนพัฒนาการของเมืองที่เริ่มต้นจากจุดตัดของระบบคมนาคมทางน้ำ สู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชุมชนที่เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่แห่งนี้เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านจาก "ชุมชนค้าขายริมคลอง" สู่ "มหานครแห่งพาณิชยกรรม" อย่างแท้จริง
พัฒนาการที่สำคัญของย่านประตูน้ำ
ระยะก่อรูปเมือง (พ.ศ. 2367-2411)
ช่วงเวลานี้สอดคล้องกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งเป็นยุคที่พื้นที่บริเวณประตูน้ำยังเป็นชานเมืองของกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นทุ่งนากว้างขวาง มีสภาพแวดล้อมเงียบสงบ และยังไม่มีถนนคมนาคมทางบก จึงต้องใช้คลองแสนแสบเป็นเส้นทางสัญจรหลัก
การตั้งถิ่นฐานเริ่มต้นจากการอพยพของชาวไทยล้านช้างที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งขบถเจ้าอนุ ในช่วงนี้ประชากรยังมีจำนวนน้อย กระจุกตัวอยู่ริมคลองแสนแสบ และประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก การพัฒนาในพื้นที่ยังจำกัดอยู่เพียงการอยู่อาศัยแบบกระจัดกระจายและการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตร
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ได้มีการสร้างสถานที่สำคัญ เช่น วังสระปทุม ซึ่งส่งผลให้มีประชากรบางส่วนเข้ามาใช้พื้นที่ย่านประตูน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางวัน ทำให้เริ่มเกิดพัฒนาการของพื้นที่ด้านที่อยู่อาศัยบริเวณริมคลอง
ระยะเป็นตลาดน้ำและจุดเริ่มต้นของการค้า (พ.ศ. 2411-2468)
เป็นช่วงที่พื้นที่ย่านประตูน้ำเริ่มมีการขยายตัวมากขึ้นจากผลของการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม โดยเฉพาะการก่อสร้างประตูน้ำในคลองแสนแสบ ทำให้พื้นที่กลายเป็นจุดแวะพักของเรือสินค้าและเรือโดยสาร ส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดน้ำขึ้นริมคลองแสนแสบ โดยเฉพาะการค้าขายผลผลิตทางการเกษตร อาหารสด และสินค้าอุปโภคบริโภคจากพื้นที่ชานเมืองเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ
ช่วงนี้มีการอพยพเข้ามาของประชากรจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่
- ชาวแขกมักกะสัน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวมาร์กัสซาร์ (เกาะสุมาตรา) อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณฝั่งตะวันออกของคลอง และมีบทบาทในงานตกแต่งสวนของสถานที่ราชการ
- ชาวมลายู ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานก่อนแขกมักกะสัน
- ชาวจีนกลุ่มแรก ซึ่งเข้ามาประกอบกิจการค้าขาย
- ประชาชนจากจังหวัดนครปฐม ที่ย้ายเข้ามาเพื่อประกอบกิจการค้าตามญาติพี่น้อง
ในรัชกาลที่ 5 การพัฒนาประตูน้ำในคลองแสนแสบมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนย่านประตูน้ำให้กลายเป็นศูนย์กลางคมนาคมทางน้ำ โดยเรือจากเมืองชั้นในและหัวเมืองด้านตะวันออกจะต้องผ่านประตูน้ำแห่งนี้ ส่งผลให้เกิดความคับคั่งและเกิดการค้าขายที่ตลาดน้ำมากขึ้น จึงเกิดชื่อเรียกว่า "ตลาดประตูน้ำ" และกลายเป็นชุมชนการค้าที่สำคัญ
ภายในตลาดน้ำ มีเรือแพมาเทียบขายสินค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอาหาร ผัก ผลไม้ และของสดจากเกษตรกรบริเวณริมคลอง นับเป็นยุคแรกของตลาดสดที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจต่อพื้นที่อย่างยิ่ง โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ทรงเสด็จมาจ่ายตลาดที่ประตูน้ำอยู่เสมอ
ในช่วงปลายระยะนี้ (ประมาณ พ.ศ. 2464) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเมื่อ นายเลิศ หรือพระยาภักดีนรเศรษฐ์ ได้ก่อสร้างตลาดริมน้ำขนาดใหญ่แบบพาณิชยกรรมที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นแผงค้าขาย มีการขายสินค้าอย่างหลากหลายทั้งอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ พร้อมกับการเริ่มสร้างอาคารถาวรประเภทตึกแถว โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดของถนนเพชรบุรีกับถนนราชปรารภ ทำให้ตลาดประตูน้ำเปลี่ยนผ่านจาก "ตลาดน้ำ" ไปสู่ "ตลาดบก"
ยุคตลาดบกและการขยายตัวของชุมชนการค้า (พ.ศ. 2468-2489)
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2468 ถึง พ.ศ. 2489 ย่านประตูน้ำได้พัฒนาเข้าสู่ระยะของ ตลาดบก อย่างเต็มรูปแบบ โดยเป็นผลสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการคมนาคมและเศรษฐกิจของเมืองกรุงเทพฯ ที่เริ่มมีการใช้ถนนและทางรางรถไฟเข้ามาเชื่อมโยงพื้นที่แทนการสัญจรทางน้ำเป็นหลัก
การค้าขายในพื้นที่ย่านประตูน้ำจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงจากตลาดน้ำที่ใช้เรือในการลำเลียงสินค้า กลายเป็นตลาดบกที่ตั้งอยู่ตามแนวถนนสายสำคัญและริมคลองแสนแสบ โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดของถนนเพชรบุรีกับถนนราชปรารภ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมการค้าและการตั้งถิ่นฐานของประชากรในรูปแบบใหม่
ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ชุมชนชาวจีนเริ่มมีบทบาทเด่นชัดมากขึ้น โดยประชากรชาวจีนจากพื้นที่เมืองชั้นในได้ขยายตัวเข้าสู่ย่านประตูน้ำอย่างต่อเนื่อง มีการเช่าตึกแถวหรือก่อสร้างบ้านเรือนของตนเอง โดยอาคารที่พักอาศัยและร้านค้าจะมีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์สองชั้น ชั้นล่างใช้ประกอบกิจกรรมการค้า ส่วนชั้นบนใช้เป็นที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประชากรแฝงที่เข้ามาใช้พื้นที่เฉพาะในเวลากลางวันเพื่อประกอบอาชีพด้านการค้าและบริการ ส่งผลให้ย่านประตูน้ำมีประชากรที่มาใช้งานพื้นที่ในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประชากรในพื้นที่มีความหลากหลายทางด้านวิถีชีวิตและรูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของเมืองที่กำลังเติบโตและเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจชุมชนสู่ระบบเศรษฐกิจเมือง
ในช่วงแรกของยุคตลาดบก กิจกรรมการค้ายังดำรงอยู่ในทั้งสองรูปแบบ กล่าวคือ ตลาดน้ำยังคงมีบทบาทผ่านการค้าขายสินค้าทางเรือ เช่น ผักสายบัว ผักบุ้ง ฯลฯ โดยเรือเหล่านี้จะเดินทางมาจากพื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบ เช่น คลองเตย สี่แยกมหานาค ปากคลองตลาด และยังมีการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครปฐม และพื้นที่ด้านหลังโรงพยาบาลศิริราช เข้ามายังย่านประตูน้ำ
ขณะเดียวกัน ตลาดบกเริ่มกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายแบบถาวร โดยเฉพาะในรูปแบบของตลาดสดที่ตั้งอยู่ตามแนวถนนสายหลักและริมคลอง เช่น ตลาดริมน้ำ ตลาดสดนายเลิศ ฯลฯ ซึ่งมีการจัดพื้นที่เป็นแผงค้าขายอย่างเป็นระบบ มีสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น ของหมักดอง อาหารจีน ฯลฯ ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชุมชนชาวจีนในพื้นที่
การพัฒนาโครงสร้างตลาดในช่วงนี้จึงสะท้อนถึงการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของเมือง ทั้งในด้านรูปแบบการค้าขาย พฤติกรรมของผู้บริโภค และการจัดการพื้นที่การค้าสาธารณะ โดยตลาดในย่านประตูน้ำกลายเป็นตลาดค้าส่งและค้าปลีกสำคัญที่มีอิทธิพลต่อย่านโดยรอบ และวางรากฐานไปสู่การพัฒนาพื้นที่ในยุคต่อมา
ช่วงเป็นศูนย์การค้าหรือย่านการค้า (พ.ศ. 2489-2547)
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2489 ถึง พ.ศ. 2547 ย่านประตูน้ำได้เข้าสู่ยุคของการเป็นศูนย์การค้าและย่านการค้าอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเศรษฐกิจอย่างชัดเจนที่สุด โดยสามารถแบ่งเป็นช่วงย่อยได้ดังนี้
1.ศูนย์กลางการค้าสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภค (พ.ศ. 2489-2507)
ในช่วงเวลานี้ ย่านประตูน้ำมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนเมืองและการเพิ่มขึ้นของบ้านพักอาศัย ทำให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวจีนอพยพจากพื้นที่เมืองชั้นในและพื้นที่อื่น ๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานและประกอบอาชีพค้าขายในพื้นที่นี้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาวอินเดีย ซึ่งได้เปิดร้านค้าขายผ้าและเครื่องนุ่งห่ม สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติของประชากรในย่านประตูน้ำในยุคนี้
กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักยังคงเป็นตลาดสดตามริมคลองแสนแสบ ได้แก่ ตลาดสดนายเลิศและตลาดเฉลิมโลก โดยมีการค้าขายเครื่องอุปโภคและบริโภคหลากหลายประเภท เช่น อาหารสด (ปลา เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้) เครื่องปรุงรส เครื่องดื่ม อาหารคาวหวาน เป็นต้น สินค้าเครื่องอุปโภคส่วนใหญ่ได้จากสำเพ็ง ส่วนผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์จะมาจากปากคลองตลาด เรือเอี้ยมจุ้นยังคงส่งสินค้าไปยังพื้นที่หนองจอกและมีนบุรี
ตลาดนายเลิศมีลักษณะเป็นตลาดสดโดยทั่วไป มีร้านอาหารตั้งอยู่บริเวณใจกลางตลาด และในช่วงกลางคืนเปลี่ยนเป็นตลาดโต้รุ่งแห่งแรกของพื้นที่ ขณะที่ตลาดเฉลิมโลกมีลักษณะเป็นตลาดสดเต็มรูปแบบ โดยร้านค้าส่วนใหญ่ขายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป ส่วนตึกแถวรอบตลาดจะจำหน่ายเครื่องอุปโภคและบริการต่าง ๆ
การขยายตัวของย่านพาณิชยกรรมในฝั่งตะวันออกเริ่มเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากปี พ.ศ. 2503 เมื่อมีการสร้างถนนเพชรบุรีตัดใหม่เชื่อมโยงพื้นที่เมืองด้านตะวันออก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายตลาดเฉลิมโลกและโรงหนังเฉลิมโลกจากริมคลองแสนแสบไปยังถนนเพชรบุรีตัดใหม่ รวมถึงการก่อสร้างตลาดเฉลิมลาภในปี พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะเสื้อผ้าและเครื่องสำอางที่รับสินค้ามาจากย่านพาหุรัดและโบ๊เบ๊
2.การเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์กลางการค้าสมัยใหม่ (พ.ศ. 2507-2547)
ในช่วงเวลานี้ ย่านประตูน้ำได้พัฒนาไปสู่ศูนย์กลางการค้าสมัยใหม่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและกิจกรรมเศรษฐกิจ ประชากรที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายอย่างถาวร ในขณะที่มีกลุ่มประชากรแฝงเข้ามาทำงานและค้าขายในช่วงเวลากลางวัน และกลุ่มผู้ทำงานในพื้นที่และผู้ใช้บริการในช่วงกลางคืน โดยย่านประตูน้ำยังคงมีบทบาทเป็นย่านพาณิชยกรรมระดับภูมิภาคควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา มีการขยายตัวของย่านการค้าจากจุดศูนย์กลางเดิมในย่านเยาวราช วังบูรพา เสาชิงช้า และพาหุรัด มายังพื้นที่ย่านประตูน้ำ ซึ่งถือเป็นศูนย์การค้าทันสมัยแห่งแรกของกรุงเทพมหานคร ด้วยการก่อสร้างโรงแรมอินทรา ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม ร้านอาหาร และศูนย์การค้าฮ่องกง โดยศูนย์การค้าอินทราเน้นจำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง แม้ช่วงแรกยังไม่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากยังขาดความครบวงจร
ในปี พ.ศ. 2514 ตลาดเฉลิมลาภเริ่มเสื่อมโทรมและบรรยากาศการค้าเริ่มซบเซา ส่งผลให้กิจกรรมตลาดสดลดลงและเปลี่ยนเป็นร้านตัดเสื้อ ซึ่งในช่วงฐานทัพอเมริกาในไทยช่วงเวลานั้น ผู้หญิงเมียเช่าจากอำเภอสัตหีบและผู้หญิงทำงานกลางคืนเป็นลูกค้าหลัก อย่างไรก็ดี หลังปี พ.ศ. 2516 ฐานทัพอเมริกาออกไป ส่งผลให้ร้านตัดเสื้อหลายแห่งปิดกิจการลง แต่ในเวลาเดียวกันก็มีชาวต่างชาติจากตะวันออกกลางเข้ามาซื้อสินค้าปริมาณมาก ส่งผลให้กิจกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าหันไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับส่งออกมากขึ้น
ในช่วงนี้ ตลาดกลางและตลาดอินทราก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับการค้าสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องอุปโภค โดยตลาดเฉลิมลาภกลายเป็นศูนย์รวมการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำคัญของกรุงเทพฯ ส่งผลให้ย่านประตูน้ำกลายเป็นแหล่งค้าส่งและค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ในปี พ.ศ. 2522 กฎหมายอาคารชุดมีผลบังคับใช้ ทำให้มีการขยายตัวของอาคารสูงในพื้นที่ โดยในปี พ.ศ. 2526 อาคารใบหยก 1 ได้ก่อสร้างขึ้นเป็นอาคารสูง 46 ชั้น ซึ่งรวมศูนย์การค้าและโรงแรม ส่งผลให้การค้าส่งและค้าปลีกในย่านประตูน้ำเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารใบหยก 1 มีร้านค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปประมาณ 300 ร้าน กระจายอยู่ 3 ชั้น โดยเน้นสินค้าสำหรับวัยรุ่นและรองรับทั้งการขายส่งและค้าปลีก
การพัฒนานี้ทำให้ย่านประตูน้ำกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่สำคัญของประเทศ โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงานและมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นที่จากตลาดสดและตึกแถวเก่าไปสู่การสร้างอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชยกรรม และอาคารพักอาศัยขนาดใหญ่ เช่น อาคารประตูน้ำคอมเพล็กซ์ อาคารมารวยพลาซ่า และอาคารซิตี้คอมเพล็กซ์ เป็นต้น
ในช่วงปลายทศวรรษ 2530 ถึงต้นทศวรรษ 2540 ย่านประตูน้ำเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการค้าส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้บางร้านค้าปิดตัวลงและการก่อสร้างโครงการใหม่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ภายหลังสถานการณ์เริ่มฟื้นตัว ย่านประตูน้ำกลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าส่งและค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่มีความสำคัญในปัจจุบัน
สภาพปัจจุบัน
ย่านประตูน้ำเป็นตลาดเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่รองรับกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่ระดับชั้นกลางขึ้นไปจนถึงตลาดส่งออก โดยพื้นที่แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่
- ย่านตลาดประตูน้ำ ซึ่งประกอบด้วยตลาดเฉลิมลาภ อาคารอินทรา ตลาดกลาง ตลาดอินทรา อาคารใบหยก อาคารมารวยพลาซ่า อาคารกรุงทองพลาซ่า อาคารซิตี้คอมเพล็กซ์ และอาคารประตูน้ำแพลตตินั่ม
- ย่านประตูน้ำฝั่งตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยอาคารประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ที่เป็นอาคารพาณิชยกรรมขนาดใหญ่และร้านค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบค้าส่งและค้าปลีก โดยแบ่งพื้นที่ขายเป็นล็อตขนาดเล็กที่สุดประมาณ 5.5 ตารางเมตร
นอกจากนี้ ในพื้นที่ยังมีบ้านพักอาศัยกึ่งพาณิชยกรรมจำนวนมาก โดยกิจกรรมหลักคือการค้าส่งและค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งแต่ละบริเวณมีบรรยากาศและลักษณะการค้าขายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของพื้นที่
ย่านประตูน้ำตั้งอยู่ในเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเขตเมืองชั้นในที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางพาณิชยกรรม การค้า บริการ สถาบันราชการ และที่อยู่อาศัย โดยมีลักษณะภูมิศาสตร์และการใช้ประโยชน์ที่ดินแบ่งตามทิศต่าง ๆ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดกับ ถนนนิคมมักกะสัน ซึ่งเป็นแนวเส้นทางรถไฟสายตะวันออกและที่ตั้งของสถานีรถไฟมักกะสัน พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของการทางรถไฟ และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่พร้อมศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงกับสนามบินสุวรรณภูมิและพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของชุมชนแออัดริมสองฝั่งทางรถไฟ
- ทิศตะวันออก ติดกับ ซอยจารุรัตน์ เป็นกลุ่มอาคารพาณิชย์และโรงแรมขนาดใหญ่ พร้อมชุมชนแออัด ถนนเพชรบุรีที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ถือเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมโยงการเดินทางไปยังพื้นที่ตะวันออกของกรุงเทพฯ ได้แก่ ถนนพัฒนาการ ถนนสุขุมวิทย์ และเส้นทางมอร์เตอร์เวย์ นอกจากนี้ยังใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 1
- ทิศใต้ ติดกับ คลองแสนแสบ ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำสายหลักที่ให้บริการเดินเรือขนส่ง โดยมีจุดขึ้นลงบริเวณสี่แยกประตูน้ำ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของอาคารพาณิชย์และศูนย์การค้าขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เช่น ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า และประตูน้ำแพทตินั่ม ถัดไปเป็นย่านการค้าราชประสงค์ ที่ปัจจุบันประกอบด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ และเกสรพลาซ่า เชื่อมโยงกับอาคารสำนักงานย่านถนนสุขุมวิทย์จนถึงถนนสีลม และพื้นที่ศูนย์การค้าบริเวณปทุมวัน
- ทิศตะวันตก บริเวณซอยเพชรบุรี 15 เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การค้าประตูน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งค้าส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปในรูปแบบตลาดแผงลอย ตลาด และอาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เช่น ตลาดประตูน้ำ ตลาดกลาง ตลาดอินทรา ใบหยกการ์เม้นท์ ศูนย์การค้าอินทรา อาคารใบหยก 1 และ 2 กรุงทองพลาซ่า และซิตี้คอมเพล็กซ์
การใช้ประโยชน์ที่ดิน
การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระหว่างปี พ.ศ. 2529 ถึง 2547 พบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2529-2542 พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อที่อยู่อาศัย สถาบันราชการ และพื้นที่นันทนาการ รวมถึงถนน แม้หน่วยงานราชการในเขตนี้จะมีจำนวนมากแล้ว แต่พื้นที่เหล่านี้ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่โล่งว่างและแหล่งน้ำมีแนวโน้มลดลง การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจกรรมพาณิชยกรรมยังมีปริมาณน้อยและขาดพื้นที่สวนสาธารณะและที่พักผ่อนหย่อนใจ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของพื้นที่ในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่สูงนัก
ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2542-2547 พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงใช้ประโยชน์เพื่อที่อยู่อาศัยและสถาบันราชการเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจกรรมพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และคลังสินค้ากลับมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากพื้นที่กลายเป็นแหล่งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกสำคัญ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมและคลังสินค้าเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและการกระจายสินค้าสู่ย่านการค้าใกล้เคียง
ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงจากพื้นที่เพื่อที่อยู่อาศัยมาเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมและแหล่งงานมากขึ้น ที่อยู่อาศัยจึงมีลักษณะเป็นกึ่งพาณิชยกรรม เช่น ห้องแถว ตึกแถว และอาคารพาณิชย์ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการลดลงของพื้นที่โล่งว่าง เนื่องจากมีการใช้พื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ประชากรในพื้นที่ย่านประตูน้ำมีลักษณะความหลากหลายทั้งในด้านเชื้อชาติ อายุ และอาชีพ โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพด้านพาณิชยกรรมและการบริการ เนื่องจากย่านประตูน้ำเป็นศูนย์กลางธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่ ประชากรจึงประกอบด้วยทั้งผู้พำนักอาศัยถาวรและกลุ่มประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานและค้าขายในพื้นที่ชั่วคราว
ในกลุ่มประชากรที่อยู่อาศัยถาวร จะเป็นกลุ่มคนที่ทำงานในกิจกรรมพาณิชยกรรม รวมถึงบุคลากรในสถาบันราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ขณะที่ประชากรแฝง ได้แก่ กลุ่มพนักงานร้านค้า ผู้ค้าขายตามตลาด ศูนย์การค้า โรงแรม รวมถึงผู้ที่ทำงานในระบบขนส่งและการบริการที่เข้ามาใช้พื้นที่ในช่วงเวลาทำงานเท่านั้น
นอกจากนี้ ประชากรในพื้นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีทั้งคนไทย ชาวจีน ชาวอินเดีย และชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของย่านประตูน้ำในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้า ที่ดึงดูดผู้คนจากหลากหลายถิ่นที่มาเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานร่วมกัน
ประชากรในพื้นที่ย่านประตูน้ำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการค้าส่งค้าปลีกและการบริการ ทำให้ย่านนี้มีความคึกคักและมีชีวิตชีวา
ย่านประตูน้ำเป็นหนึ่งในศูนย์กลางพาณิชยกรรมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้รูปแบบการประกอบอาชีพของประชากรในพื้นที่มีความหลากหลายและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภท โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- พาณิชยกรรมและค้าขาย อาชีพหลักของประชากรในย่านนี้ คือ การค้าส่งและค้าปลีกสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์แฟชั่น และสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคบริโภค ร้านค้าในตลาดประตูน้ำ อาคารศูนย์การค้า และตลาดต่าง ๆ เป็นสถานที่ประกอบอาชีพที่สำคัญสำหรับพ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อยไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่
- การผลิตและตัดเย็บเสื้อผ้า ตั้งแต่ช่วงหลัง พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา ย่านประตูน้ำได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยมีช่างตัดเย็บเสื้อผ้าและโรงงานตัดเย็บที่รองรับการผลิตเสื้อผ้าตามสั่งและเสื้อผ้าส่งออก ทำให้อาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นอาชีพที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่
- ธุรกิจบริการ เนื่องจากย่านประตูน้ำเป็นย่านธุรกิจที่มีโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และสถานบันเทิง จึงทำให้อาชีพด้านการบริการ เช่น พนักงานโรงแรม พนักงานร้านอาหาร พนักงานขาย และบุคลากรในธุรกิจบันเทิงเป็นกลุ่มอาชีพที่พบมากในพื้นที่
- งานสำนักงานและธุรกิจ ในช่วงที่มีการพัฒนาอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีบุคลากรในสายงานธุรกิจ การบริหาร การตลาด และงานบริการด้านอื่น ๆ เข้ามาทำงานในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
- งานขนส่งและโลจิสติกส์ ด้วยที่ตั้งที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนและถนนสายหลักต่าง ๆ รวมทั้งการเป็นจุดกระจายสินค้า อาชีพในกลุ่มงานขนส่ง การจัดเก็บสินค้า และโลจิสติกส์จึงมีบทบาทสำคัญในการรองรับกิจกรรมทางการค้าในย่านนี้
ย่านประตูน้ำถือเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับธุรกิจด้านพาณิชยกรรม ได้แก่ ย่านการค้า ศูนย์การค้า ตลาด โรงภาพยนตร์ สถาบันการเงิน และสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานหลักของประชากรในพื้นที่
รองลงมาคือ กิจการในสาขาอุตสาหกรรมขนาดเล็กและสาขาบริการต่าง ๆ ที่มีบทบาทสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในย่านนี้ นอกจากนี้ การให้เช่าที่อยู่อาศัยยังเป็นอีกกิจการหนึ่งที่สร้างรายได้สำคัญให้กับเขตราชเทวี โดยเฉพาะในแขวงถนนพญาไท ถนนเพชรบุรี และมักกะสัน ซึ่งแม้ว่าพื้นที่บริเวณนี้จะอยู่ในภาวะอิ่มตัวจากความหนาแน่นของอาคาร แต่ยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกในระดับเล็กน้อย ส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่มีระดับสูงมาก ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต้องเป็นกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปแบบและการพัฒนาของพื้นที่ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐกิจได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประกอบอาชีพและสังคมในย่านประตูน้ำอย่างชัดเจน
การประกอบอาชีพในย่านประตูน้ำสะท้อนภาพของย่านพาณิชยกรรมที่มีความหลากหลายและความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างการผลิต การค้า และบริการ ทำให้ย่านนี้เป็นแหล่งงานที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร
วิถีชีวิตของประชาชนในย่านประตูน้ำมีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างชุมชนพาณิชยกรรมแบบดั้งเดิมและความเป็นเมืองยุคใหม่อย่างชัดเจน โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในภาคการค้าส่งและค้าปลีกเสื้อผ้าสำเร็จรูป อันเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพื้นที่ย่าน อีกทั้งยังมีการจ้างงานจากภาคบริการ โรงแรม ศูนย์การค้า ตลอดจนสถานบันเทิง สถาบันการเงิน และสำนักงานต่าง ๆ ทำให้รูปแบบชีวิตประจำวันของประชาชนในย่านนี้มีลักษณะเร่งรีบและต้องสอดคล้องกับเวลาทางธุรกิจ
ในพื้นที่ยังพบว่ามีกลุ่มประชากรแฝงเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก เช่น แรงงานภาคตัดเย็บเสื้อผ้า พนักงานบริการ ลูกจ้างร้านค้า รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าแผงลอย โดยกลุ่มแรงงานเหล่านี้มักจะอาศัยอยู่ในที่พักอาศัยแบบกึ่งพาณิชยกรรม เช่น ห้องเช่า ตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งใช้พื้นที่เดียวกันทั้งในการอยู่อาศัยและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
การดำเนินชีวิตของผู้คนในย่านมีความสอดคล้องกับวิถีเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านการใช้ชีวิต การบริโภค และการเดินทาง โดยใช้บริการขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสารคลองแสนแสบเป็นหลัก เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงสถานที่ทำงานและการค้าขาย
แม้ย่านประตูน้ำจะมีลักษณะเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมที่หนาแน่นและคึกคัก แต่ในบางพื้นที่ยังคงหลงเหลือวิถีชีวิตชุมชนแบบดั้งเดิม เช่น ชุมชนบ้านครัวเหนือ ซึ่งยังคงรักษาศิลปหัตถกรรมการทอผ้าไหม รวมถึงการดำรงอยู่ของชุมชนชาวจีนและชาวอินเดียที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และกิจกรรมทางศาสนาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
การผสมผสานกันของวิถีชีวิตทั้งในเชิงพาณิชยกรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและพลวัตของประชากรในพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้ย่านประตูน้ำเป็นชุมชนเมืองที่มีชีวิตชีวา มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างโดดเด่น
ตลาดประตูน้ำ : ศูนย์กลางเศรษฐกิจชุมชนที่เติบโตเคียงคู่กรุงเทพมหานคร
ตลาดประตูน้ำ เป็นย่านพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของกรุงเทพมหานคร โดยตั้งอยู่ในเขตราชเทวี ซึ่งถือเป็นเขตเมืองชั้นในที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าและบริการ
ตลาดประตูน้ำเริ่มมีการตั้งร้านค้าตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2500-2510 โดยในระยะแรกเป็นเพียงแผงค้าขายริมถนนที่จำหน่ายเสื้อผ้ามือสองและสินค้าจากโรงงาน แต่จากความต้องการสินค้าในราคาย่อมเยาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศูนย์กลางค้าส่งเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ มีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ตึกแถว และศูนย์การค้าหลายแห่ง เช่น อินทรา สแควร์ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ และพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตลาดประตูน้ำเป็นแหล่งเศรษฐกิจชุมชนที่มีพลังการผลิตและการจัดจำหน่ายอย่างเข้มแข็ง มีบทบาทในการสร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะในกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งมีจุดเด่นด้านราคาถูก การซื้อแบบยกแพ็กในราคาส่ง และการตามเทรนด์แฟชั่นที่รวดเร็วทันสมัย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดประตูน้ำได้รับความนิยมในหมู่นักช้อปชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมักเดินทางมาเลือกซื้อสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อในประเทศของตน
ด้วยวิถีชีวิตของชุมชนการค้านั้น ส่งผลตลาดประตูน้ำเป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชุมชนการค้าในเขตเมืองอย่างชัดเจน ตั้งแต่ยามรุ่งเช้าจนถึงยามค่ำคืน พื้นที่นี้เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เริ่มตั้งร้านตั้งแต่เช้ามืด เพื่อรองรับการค้าขายแบบส่งและปลีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงการต่อรองราคา กลิ่นอาหารริมทาง และผู้คนหลากเชื้อชาติที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจร่วมกัน นอกจากบทบาททางเศรษฐกิจแล้ว ตลาดประตูน้ำยังเป็นภาพสะท้อนของความขยันหมั่นเพียร ความสามารถในการปรับตัวของประชาชน และการรวมพลังของผู้ประกอบการรายย่อย ที่สามารถขับเคลื่อนให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับชุมชนที่มีความยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองแห่งโอกาสทางการค้า ทำให้ตลาดประตูน้ำจึงไม่ใช่เพียงแค่ตลาดจำหน่ายเสื้อผ้า หากแต่เป็น "ประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ" ของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ที่มารวมตัวกันและผลักดันให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมระดับนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความสำเร็จของเศรษฐกิจระดับฐานรากที่เติบโตคู่กับพัฒนาการของกรุงเทพมหานครมาอย่างยาวนาน
ภาษาพูด : ภาษาไทย
ภาษาเขียน : อักษรไทย
เศรษฐกิจของย่านประตูน้ำมีลักษณะพึ่งพากิจกรรมในภาคพาณิชยกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และของใช้อื่น ๆ ซึ่งมีการกระจายอยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่และตลาดต่าง ๆ เช่น แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ อินทรา สแควร์ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ตลาดเฉลิมลาภ ฯลฯ ย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของธุรกิจบริการ โรงแรม สถาบันการเงิน สำนักงาน และอุตสาหกรรมขนาดย่อม โดยเฉพาะคลังสินค้าและโรงงานเสื้อผ้าขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วไป
การเติบโตของภาคเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากระบบคมนาคมที่เอื้อต่อการเดินทางของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว อาทิ รถไฟฟ้า BTS แอร์พอร์ตเรลลิงก์ และจุดขึ้นลงทางด่วนหลายจุด รวมถึงคลองแสนแสบที่ยังคงใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่มีความหนาแน่นของอาคารสูงและมีการใช้ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพ จึงส่งผลให้แนวโน้มการขยายตัวด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างจำกัดเฉพาะบางจุด และมักเน้นกิจกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง เช่น ธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม ทำให้วิถีชีวิตของประชาชนในย่านประตูน้ำสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวอย่างต่อเนื่องของชุมชนเมือง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า และแรงงานจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น
ส่งผลให้พื้นที่ย่านประตูน้ำยังคงมีความคึกคักตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีกิจกรรมค้าขายตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงค่ำคืน ส่งผลให้เกิดลักษณะ "เมืองไม่หลับ" ที่มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจตลอดเวลา ประชาชนในพื้นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศาสนา อันเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเป็นพลวัตทางสังคม และเสริมสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างเข้มแข็ง
ย่านประตูน้ำเป็นพื้นที่ที่มีพัฒนาการทางสังคมควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 100 ปี โดยเริ่มต้นจากการเป็นชุมชนริมน้ำในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งมีการสร้างประตูระบายน้ำ "ประตูน้ำวังสระปทุม" บริเวณคลองแสนแสบ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นจุดพักและค้าขายของผู้คนที่สัญจรทางน้ำ จนเกิดเป็นชุมชนการค้าขนาดย่อม และค่อย ๆ พัฒนาเป็นย่านเศรษฐกิจในเวลาต่อมา
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในสมัยรัชกาลที่ 5-6 อาทิ ถนนเพชรบุรี ถนนราชปรารภ สถานีรถไฟมักกะสัน และสะพานเฉลิมโลก ประกอบกับการลงทุนของนักธุรกิจเอกชน เช่น นายเลิศ เศรษฐบุตร และภายหลังคือ นายพันธุ์เลิศ ใบหยก ได้ส่งเสริมให้ย่านประตูน้ำกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและแหล่งงานสำคัญของกรุงเทพฯ ผู้คนจากภูมิภาคต่าง ๆ อพยพเข้ามาประกอบอาชีพ ค้าขาย และอยู่อาศัยในพื้นที่ ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของย่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ภายหลังจากยุคพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมในช่วงหลังปี พ.ศ. 2500 โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ย่านประตูน้ำได้รับอิทธิพลจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติที่เน้นการขยายตัวของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการอยู่อาศัย โดยพื้นที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสูง เพื่อรองรับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นที่เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเริ่มลดบทบาทลง
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดินในย่านประตูน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การถือครองของหน่วยงานราชการและสถาบันสำคัญ เช่น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สภากาชาดไทย และกรมศาสนา ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือของผู้เช่าที่ดิน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของประชากรที่เข้ามาทำมาหากินแบบชั่วคราว ขาดความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ และมีแนวโน้มจะไม่รวมกลุ่มกันในลักษณะของชุมชนดั้งเดิม
ผลกระทบทางสังคมอีกประการหนึ่งคือ การขาดแคลนผู้นำชุมชนที่มีบทบาทในการรวมกลุ่มและขับเคลื่อนกิจกรรมสาธารณะในระดับพื้นที่ ส่งผลให้การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม การอนุรักษ์พื้นที่ และการสื่อสารข้ามรุ่นระหว่างประชากรดั้งเดิมและประชากรใหม่ลดน้อยลงตามลำดับ
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของย่านประตูน้ำสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจาก "ชุมชนดั้งเดิม" ไปสู่ "ย่านเศรษฐกิจเมือง" ที่มีลักษณะผันผวนทางประชากรสูง มีระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่หลวม และต้องการการฟื้นฟูบทบาทของคนในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของย่านอย่างยั่งยืน
ญาณินี ไพทยวัฒน์. (2567). การกลายเป็นเมืองในพื้นที่ย่านประตูน้ำ ระหว่าง พ.ศ. 2448-2550. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://so19.tci-thaijo.org/
Pratunam & Platinum Fashion Mall). (23 พฤษภาคม 2560). [ภาพประกอบ]. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
ประตูน้ำ&แพลตินั่ม (Pratunam & Platinum Fashion Mall). (26 สิงหาคม 2560). [ภาพประกอบ]. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
ประตูน้ำ&แพลตินั่ม (Pratunam & Platinum Fashion Mall). (3 กันยายน 2560). [ภาพประกอบ]. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
ประตูน้ำ&แพลตินั่ม (Pratunam & Platinum Fashion Mall). (13 กันยายน 2560). [ภาพประกอบ]. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
ประตูน้ำ&แพลตินั่ม (Pratunam & Platinum Fashion Mall). (9 ตุลาคม 2560). [ภาพประกอบ]. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
มติชน. (31 พฤษภาคม 2565). ย่านประตูน้ำ / มองบ้านมองเมือง : ปริญญา ตรีน้อยใส. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.matichon.co.th/
ศิลปวัฒนธรรม. (25 กันยายน 2567). “ประตูน้ำ” ย่านขายเสื้อผ้ายอดฮิตคนไทย มาจากอะไร ทำไมคนนิยมขายเสื้อผ้า. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/
อมรรัตน์ การะเวก. (2549). พัฒนาการของย่านการค้าประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
HOTEL BANGKOKIAN. (20 พฤษภาคม 2568). พาย้อนอดีต ตลาดประตูน้ำ จุดกำเนิดของแหล่งค้าขายใจกลางเมือง. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2568, จาก https://www.hotelbangkokian.com/