
ชุมชนเก่าแก่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา มีสถาปัตยกรรมทรงคุณค่า อาคารประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของเมืองกรุงจากอดีตสู่ปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นย่านที่มีความเคลื่อนไหวในแง่ของงานสร้างสรรค์ ศิลปะและกิจกรรมร่วมสมัยในบรรยากาศชุมชนเมืองเก่าที่มีชีวิตชีวา
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาของชื่อ บางรัก ประมาณ 2 ข้อสันนิษฐานหลัก สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของพื้นที่นี้อย่างลึกซึ้ง
ข้อสันนิษฐานแรก สันนิษฐานว่าเคยมีต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ไม้รัก" จมอยู่ในคลองเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านบริเวณดังกล่าว โดยไม้ท่อนนี้เป็นจุดสังเกตที่สำคัญของผู้คนที่ใช้เส้นทางน้ำในการสัญจร เมื่อกล่าวถึงบริเวณนี้จึงมักนึกถึงไม้ซุงนั้นอยู่เสมอ จนกลายเป็นชื่อเรียกพื้นที่ว่า "บางรัก" และในเวลาต่อมา คลองแห่งนั้นก็ถูกเรียกขานว่า "คลองต้นซุง" หรือ "ตรอกซุง"
ข้อสันนิษฐานที่สอง กล่าวถึงการตั้งอยู่ของโรงพยาบาลมิชชันนารีที่มีชื่อเสียงในการรักษาโรคในอดีต ซึ่งชาวบ้านเรียกขานว่า "บางรักษ์" อันหมายถึงสถานที่รักษาโรค ต่อมาเมื่อถูกใช้บ่อยครั้ง ทั้งในการเขียนและพูด อาจมีการเพี้ยนเสียงหรือสะกดคลาดเคลื่อนจนกลายเป็น "บางรัก" ในที่สุด
แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าชื่อ "บางรัก" มีต้นกำเนิดจากข้อสันนิษฐานใดโดยตรง แต่ทั้งสองแนวทางต่างก็สะท้อนถึงความเป็นพื้นที่สำคัญที่มีความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต การเดินทาง และการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในยุคต้นของกรุงเทพมหานคร
ชุมชนเก่าแก่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา มีสถาปัตยกรรมทรงคุณค่า อาคารประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของเมืองกรุงจากอดีตสู่ปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นย่านที่มีความเคลื่อนไหวในแง่ของงานสร้างสรรค์ ศิลปะและกิจกรรมร่วมสมัยในบรรยากาศชุมชนเมืองเก่าที่มีชีวิตชีวา
คำว่า “บาง” หมายถึง ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณริมทางน้ำเล็ก ๆ ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลัก โดยระดับน้ำในทางน้ำดังกล่าวจะสัมพันธ์กับการขึ้นลงของน้ำในแม่น้ำหรือลำคลองใหญ่ เดิมทีชาวสยามมักตั้งบ้านเรือนบริเวณริมแม่น้ำสายหลัก แต่เมื่อพื้นที่ริมน้ำมีการตั้งถิ่นฐานหนาแน่น ไม่สามารถขยายได้อีก จึงมีการขุดทางน้ำเข้าสู่พื้นที่ด้านใน หรืออาศัยพื้นที่ที่ดอนริมลำคลองเล็กซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ อันเป็นบริเวณที่เหมาะสมสำหรับตั้งถิ่นฐาน มีน้ำใช้ และสามารถสัญจรได้ทางน้ำ จึงปรากฏชื่อชุมชนที่มีคำขึ้นต้นว่า “บาง” อย่างแพร่หลายริมสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น บางเขน บางกรูด บางระมาด บางจาก ฯลฯ
บางรัก เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ในกรุงเทพมหานครที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การต่างประเทศ และวัฒนธรรม มีการกล่าวถึงในเอกสารมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ และปรากฏในวรรณกรรมเมื่อ พ.ศ. 2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนที่มาของชื่อ “บางรัก” นั้น ยังไม่มีข้อยืนยันแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานสำคัญ 2 ประการ ได้แก่
ประการที่ 1 มีข้อสันนิษฐานว่า เดิมพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการรักษาโรคและเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การแพทย์แผนตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในสยาม โรงพยาบาลดังกล่าวตั้งอยู่ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอในขณะนั้น ด้วยความโดดเด่นด้านการรักษา ประกอบกับความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในบริการทางการแพทย์ จึงมีการเรียกพื้นที่บริเวณดังกล่าวว่า “บางรักษ์” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า “รักษา” หรือ “การเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บ” ต่อมาอาจเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการออกเสียงหรือการเขียนเอกสารราชการในสมัยก่อน จึงทำให้คำว่า “บางรักษ์” ค่อย ๆ กลายเสียงและแปรเปลี่ยนเป็น “บางรัก” ดังที่ใช้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งบางประการเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานนี้ เนื่องจากในช่วงเวลาที่กล่าวถึงนั้น ที่ว่าการอำเภอบางรักษ์เดิมตั้งอยู่ที่บ้านทวาย (บริเวณปลายถนนสาทรตัดกับถนนเจริญกรุง) ไม่ได้ตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลตามที่ระบุไว้ในข้อสันนิษฐาน ทำให้แนวคิดนี้อาจเป็นเพียงการคาดเดาจากข้อมูลทุติยภูมิในรายงานกิจการจังหวัดพระนครช่วงต้นเท่านั้น
ประการที่ 2 พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมไทย ได้เสนอว่า บริเวณย่านบางรักในอดีตเคยมีคลองสายหนึ่งไหลผ่าน ซึ่งใช้เป็นทางลำเลียงไม้ซุงจากภาคเหนือมายังกรุงเทพฯ โดยมีการพบไม้ซุงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ไม้รัก” จมอยู่ในคลองดังกล่าว ไม้ชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้พื้นถิ่นที่พบได้ในประเทศไทย โดยมีอยู่ 2 ชนิดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้แก่
- ชนิดที่หนึ่ง เป็นไม้ทรงพุ่ม มีดอกสีขาวหรือสีม่วงอ่อน ใช้ร้อยพวงมาลัยหรือประดับงานมงคล
- ชนิดที่สอง เป็นไม้ขนาดใหญ่ ยางของต้นมีพิษ นิยมใช้ในงานก่อสร้างหรือเป็นไม้เนื้อแข็ง
จากการที่ไม้ซุงชนิดนี้ถูกพบจมอยู่ในคลองเป็นเวลานาน ผู้คนในชุมชนจึงจดจำและกล่าวถึง “ไม้รัก” ที่จมอยู่ในคลองอยู่เสมอ จนกลายเป็นจุดสังเกตประจำถิ่น และมีการเรียกขานพื้นที่บริเวณนั้นว่า “บางรัก” ซึ่งมีความหมายในเชิงภูมิศาสตร์มากกว่าความหมายเชิงนามธรรมของคำว่า “รัก” ตามความเข้าใจในปัจจุบัน
คลองสายนี้ในภายหลังได้ถูกถมและพัฒนาเป็นเส้นทางถนน โดยยังคงทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ไว้ในชื่อ “ตรอกซุง” ซึ่งเป็นชื่อที่สะท้อนถึงอดีตของพื้นที่ในฐานะจุดพักไม้ซุงและเส้นทางการค้าทางน้ำในอดีต
พัฒนาการของย่านบางรัก
- ยุคแรกเริ่ม (ต้นรัตนโกสินทร์)
ย่านบางรักเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานในช่วงรัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นยุคที่การสัญจรทางน้ำมีบทบาทสำคัญ ทั้งในการค้าขายและป้องกันเมือง ต่อมาได้กลายเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญกับชาวตะวันตก โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสซึ่งได้รับอนุญาตให้นำเรือขึ้นมาจอดบริเวณนี้ และได้จัดตั้งสถานกงสุลแห่งแรกขึ้นในบริเวณบางรัก
- ยุครัชกาลที่ 4 – 5 : จุดเปลี่ยนของเมือง
เมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการตัดถนนเจริญกรุงขึ้นเป็นถนนสายแรกของประเทศ เพื่อรองรับการค้าขายและการใช้รถม้าของชาวยุโรป ถนนสายนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองจากการคมนาคมทางน้ำสู่ทางบก และในยุครัชกาลที่ 5 ได้มีการตัดถนนเพิ่มเติมกว่า 100 สาย ซึ่งรวมถึงถนนสุรวงศ์ สี่พระยา และถนนสายรองอื่น ๆ ส่งผลให้โครงสร้างเมืองเปลี่ยนแปลงจาก "เมืองน้ำ" สู่ "เมืองบก"
ในช่วงนี้ บางรักได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการต่างประเทศ มีสถานกงสุลของหลายชาติ ธนาคาร โรงแรม โรงเบียร์ และกิจการค้าขายหลากหลายประเภท มีชาวต่างชาติตั้งรกรากอยู่จำนวนมาก เช่น โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน อินเดีย และมุสลิม จึงเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างชัดเจน
- ยุครัชกาลที่ 6 – 7 : การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นเมืองสมัยใหม่
ในช่วงนี้ การก่อสร้างอาคารตึกแถวแบบตะวันตกแพร่หลายมากขึ้น รวมถึงการเปิดกิจการของชาวต่างชาติ เช่น ห้างสรรพสินค้า บริษัทเดินเรือ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกมากมาย แม้บางสถานกงสุลได้ย้ายออกจากพื้นที่ในเวลาต่อมา แต่บางรักก็ยังคงบทบาทในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญ
- หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงยุคปัจจุบัน
เมื่อเข้าสู่ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กรุงเทพมหานครเริ่มพัฒนาเป็น "เมืองบก" อย่างเต็มรูปแบบ คูคลองหลายสายถูกถมเพื่อสร้างถนน ส่งผลให้วิถีชีวิตเปลี่ยนจากการสัญจรทางน้ำมาเป็นทางบก พื้นที่บางรักได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการก่อสร้างอาคารสูงและสถานที่ทันสมัย เช่น อาคารไปรษณีย์กลาง อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ในช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาทิ การก่อสร้างโรงแรมเชอราตัน โรงแรมแชงกรีลา และห้างสรรพสินค้าโรบินสันบางรัก อาคารเก่าจำนวนมากถูกรื้อถอนและแทนที่ด้วยอาคารแบบสมัยใหม่ ทำให้ภาพลักษณ์ของบางรักกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจทันสมัย และศูนย์กลางธุรกิจอย่างชัดเจน
- การฟื้นตัวของย่านสร้างสรรค์
จากการเป็นย่านการค้าระหว่างประเทศในอดีต ทำให้บางรักยังคงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในช่วงปลายทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา มีกลุ่มศิลปิน นักออกแบบ และผู้ประกอบการรายย่อย เข้ามาดำเนินกิจการเกี่ยวกับงานศิลปะ งานออกแบบ หอศิลป์ ร้านกาแฟ และธุรกิจเชิงสร้างสรรค์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ย่านบางรักกลายเป็นแหล่งรวมของ “ย่านสร้างสรรค์” ที่มีชีวิตชีวา
มีการจัดกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เช่น งาน Gallery Hopping Night ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมงานศิลปะ พูดคุยกับศิลปิน และร่วมกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในยามค่ำคืน ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น และยกระดับภาพลักษณ์ของย่านให้มีความร่วมสมัย
ย่านบางรักตั้งอยู่ในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ของแขวงบางรักทั้งหมด รวมถึงชุมชนต่อเนื่องถึงเขตทางพิเศษศรีรัช โดยพื้นที่ดังกล่าวคาบเกี่ยวกับทุกแขวงภายในเขตบางรัก ได้แก่ แขวงมหาพฤฒาราม แขวงสี่พระยา แขวงสุริยวงศ์ และแขวงสีลม รวมมีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 484 ไร่ หรือเทียบเท่ากับ 0.77 ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ และแขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ แขวงสี่พระยา แขวงสุริยวงศ์ และแขวงสีลม เขตบางรัก
- ทิศใต้ ติดต่อกับ แขวงยานนาวา เขตสาทร
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ แม่น้ำเจ้าพระยา และแขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของย่านบางรักเป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีความลาดเอียงของระดับพื้นดินจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ สอดคล้องกับแนวการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นเขตเมืองอย่างหนาแน่น ประกอบด้วยอาคารถาวรทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในลักษณะของความเป็นเมือง (Urbanization) ที่ชัดเจน
แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญในพื้นที่ประกอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านตะวันตก คลองผดุงกรุงเกษมทางทิศเหนือ และคลองสาทรทางทิศใต้ แม้ว่าคลองผดุงกรุงเกษมและคลองสาทรในปัจจุบันจะถูกลดบทบาทเหลือเพียงเป็นทางระบายน้ำ แต่ยังคงมีสถานะสำคัญต่อระบบการจัดการน้ำในพื้นที่
ระบบคมนาคม
1. ระบบสัญจรทางบกการสัญจรภายในย่านบางรักเป็นการคมนาคมทางบกเป็นหลัก โดยประชาชนใช้การเดินทางด้วยรถยนต์และการเดินเท้าเป็นสำคัญ โครงข่ายถนนภายในพื้นที่สามารถจำแนกตามลำดับชั้นได้ดังนี้
- ทางพิเศษ (Expressway) ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช ซึ่งเป็นทางยกระดับที่พาดผ่านพื้นที่ของย่าน ทำหน้าที่เป็นเส้นทางด่วนเชื่อมโยงพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยรอบ
- ถนนสายหลัก (Arterial Street) ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ซึ่งถือเป็นเส้นทางสายหลักภายในย่านบางรัก มีบทบาทในการเชื่อมต่อพื้นที่ภายในกับเขตเมืองโดยรอบ
- ถนนสายรอง (Collector Street) ได้แก่ ถนนสี่พระยา ถนนสุรวงศ์ ถนนสีลม และถนนสาทร ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างถนนสายหลักกับพื้นที่ย่อยภายในย่านและชุมชนใกล้เคียง
- ถนนสายย่อย (Local Street) อาทิ ซอยต่าง ๆ ของถนนเจริญกรุง ถนนเจริญเวียง ถนนจรัสเวียง เป็นต้น ทำหน้าที่ในการให้บริการเข้าถึงอาคารและสถานที่สำคัญภายในพื้นที่
- ตรอกซอย (Alley) เป็นเส้นทางสัญจรขนาดเล็กที่เกิดจากช่องว่างระหว่างอาคาร โดยใช้สำหรับการเดินเท้าเป็นหลัก เชื่อมโยงระหว่างชุมชนหรือบล็อกอาคารในพื้นที่เดียวกัน
2. ระบบขนส่งสาธารณะย่านบางรักมีระบบขนส่งสาธารณะที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งทางบก ทางราง และทางน้ำ ดังนี้
- รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (BTS) มีเส้นทางพาดผ่านถนนสาทรในแนวตะวันออก–ตะวันตก เชื่อมต่อผ่านสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยมีสถานีในพื้นที่ 1 สถานี ได้แก่ “สถานีสะพานตากสิน” ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของระบบขนส่งรางในพื้นที่
- เรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ด้านตะวันตกของย่านติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญ ทั้งในรูปแบบเรือด่วนและเรือข้ามฟาก โดยมีท่าเรือโดยสารรวมทั้งหมด 5 ท่า ได้แก่
- ท่าเรือข้ามฟากสี่พระยา
- ท่าเรือด่วนสี่พระยา
- ท่าเรือวัดม่วงแค
- ท่าเรือโอเรียนเต็ล
- ท่าเรือสาทร
- รถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) มีเส้นทางให้บริการผ่านถนนสายสำคัญ ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ถนนสี่พระยา ถนนสุรวงศ์ ถนนสีลม และถนนสาทร โดยมีป้ายหยุดรถโดยสารสาธารณะภายในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 10 แห่ง
ย่านบางรักเป็นชุมชนเมืองเก่าแก่ที่มีลักษณะประชากรหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา และวิถีชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นย่านที่มีความเปิดกว้างทางสังคมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ประชากรในย่านบางรักประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายกลุ่มวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ได้แก่ ชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวมุสลิม และชาวคริสต์ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาวตะวันตกและชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศที่เข้ามาพำนักและดำเนินธุรกิจภายในพื้นที่ ส่งผลให้ย่านบางรักมีบรรยากาศของความเป็นชุมชนนานาชาติที่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืน
ลักษณะทางสังคมของประชากรในย่านนี้มักมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบของเครือญาติหรือกลุ่มชุมชนที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะในเขตชุมชนดั้งเดิมซึ่งมีการสืบทอดอาชีพ ความเชื่อ และวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางกายภาพในย่าน ก็ส่งผลให้มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาอยู่อาศัยหรือประกอบกิจการเพิ่มมากขึ้น ทั้งในฐานะแรงงาน ผู้ประกอบการ และนักสร้างสรรค์ทำให้ประชากรในย่านบางรักมีความหลากหลายในเชิงสังคมและวัฒนธรรม เป็นการหลอมรวมระหว่างชุมชนดั้งเดิมกับชุมชนใหม่ที่เข้ามาสร้างสรรค์คุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมร่วมกัน ย่านบางรักจึงถือเป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันของประชากรที่มีความหลากหลาย และเป็นแบบอย่างของสังคมเมืองที่มีพลวัต สามารถปรับตัวและพัฒนาไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์และรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชนไว้อย่างมีคุณค่า
ย่านบางรักเป็นพื้นที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ด้วยความเป็นศูนย์กลางทางการค้า การบริการ และธุรกิจหลากหลายรูปแบบ ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่มีความหลากหลายและครอบคลุมหลายภาคส่วน
โดยหลักการประกอบอาชีพของประชากรในย่านบางรัก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจบริการ การค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการพักอาศัยในเมือง เนื่องจากย่านบางรักตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีความเจริญสูง และมีโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมที่เอื้อต่อการเชื่อมโยงธุรกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ในอดีตย่านบางรักมีชื่อเสียงในฐานะเป็นย่านการค้าสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายสินค้าทางเรือที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย เช่น การขนส่งสินค้า การค้าปลีก และการค้าส่ง ซึ่งยังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ภาคบริการต่าง ๆ เช่น ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยว และสำนักงานสำนักงานต่าง ๆ เช่น ไปรณีย์กลาง บางรัก แลนด์มาร์กที่สำคัญบนถนนเจริญกรุงก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้และการจ้างงานแก่ประชากรในพื้นที่ ส่วนกลุ่มอาชีพอื่น ๆ เช่น งานด้านการศึกษา การแพทย์ และงานด้านศิลปวัฒนธรรม ก็มีบทบาทเสริมสร้างความหลากหลายและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนในย่าน
ด้วยการผสมผสานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายนี้ ทำให้ย่านบางรักยังคงเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีความเคลื่อนไหวสูงและมีความสำคัญต่อการพัฒนาเมืองกรุงเทพมหานครในภาพรวม
ร้านอาหารชื่อดัง : แปะเตียงโจ๊กบางรัก ข้าวมันไก่เจ้าเก่าเจริญกรุง สีลมภัตตาคาร Boon Tong Kee (บุญตงกี่) Prachak Pet Yang (ประจักษ์เป็ดย่าง) Blue Elephant Restaurant ฯลฯ
ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า : โรงหนังเก่าปรินซ์รามา เจมส์ ทาวเวอร์ (Gems Tower) ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก (River City Bangkok) ไอคอนสยาม (Icon Siam) (ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เชื่อมต่อพื้นที่บางรักด้วยระบบขนส่ง) ฯลฯ
บางรักมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานของผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งชาวตะวันออกและตะวันตก ทำให้ย่านบางรักมีลักษณะเด่นด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษา และศาสนา
การรวมตัวของชุมชนต่างวัฒนธรรมในพื้นที่สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของกรุงเทพมหานครในฐานะเมืองท่าที่เปิดกว้างและมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและการติดต่อกับโลกภายนอก โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานต่างได้นำศาสนา ขนบธรรมเนียม และวิถีชีวิตของตนเข้ามาผสานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคมของย่านบางรักเกิดความกลมกลืนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ศาสนสถานที่กระจายอยู่ในย่านบางรักเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในพื้นที่ โดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 กลุ่มวัฒนธรรมสำคัญ ดังนี้
- กลุ่มวัฒนธรรมไทยและศาสนาพุทธ ได้แก่ วัดม่วงแค และวัดสวนพลู ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนชาวไทยพุทธในพื้นที่ และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมตามประเพณีพุทธศาสนา
- กลุ่มวัฒนธรรมจีนและความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า ได้แก่ ศาลเจ้าเจ็ด และศาลเจ้าเจียวเอ็งเบี้ยว ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อแบบจีนดั้งเดิมที่เน้นการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ
- กลุ่มวัฒนธรรมมุสลิมและศาสนาอิสลาม ได้แก่ มัสยิดฮารูณ และมัสยิดบ้านอู่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในการประกอบศาสนกิจ การศึกษา และการรักษาขนบธรรมเนียมตามหลักอิสลาม
- กลุ่มวัฒนธรรมตะวันตกและศาสนาคริสต์ ได้แก่ อาสนวิหารอัสสัมชัญ และคริสตจักรสาทร ซึ่งเป็นศูนย์กลางศาสนาคริสต์ในรูปแบบคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ และแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของชาติตะวันตกที่มีต่อการพัฒนาเมืองในยุคอาณานิคม
ศาสนสถานเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในเชิงศาสนาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมทางสังคม วัฒนธรรม และจิตใจของผู้คนในแต่ละชุมชน สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ภายในย่าน
การรวมกลุ่มของชุมชนที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมแตกต่างกันนี้ จึงสะท้อนให้เห็นถึงบริบททางสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง และสร้างความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในพื้นที่ย่านบางรัก ตลอดจนเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันของผู้คนในเมืองใหญ่ที่หลอมรวมความต่างให้กลายเป็นอัตลักษณ์ร่วมได้อย่างกลมกลืน
บางรัก : ย่านร่วมสมัยบนรากวัฒนธรรม สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเมืองกรุง
ย่านบางรักในปัจจุบันเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องของกรุงเทพมหานครที่ได้รับการพัฒนาให้เป็น ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy District) โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและวัฒนธรรมของชุมชนเดิมในพื้นที่ มาเชื่อมโยงกับธุรกิจสร้างสรรค์ ศิลปะ และการท่องเที่ยวเชิงคุณค่าอย่างยั่งยืน
การเติบโตของบางรักในฐานะย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพัง หากแต่มีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรม สังคม รวมถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่หลากหลายที่สั่งสมมายาวนาน
ย่านบางรักเป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่ที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย อาทิ ชาวไทย ชาวจีน ชาวมุสลิม และชาวตะวันตก ซึ่งตั้งถิ่นฐานในพื้นที่มาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ สิ่งสะท้อนทุนวัฒนธรรมเหล่านี้ปรากฏชัดในศาสนสถานหลากศาสนา เช่น วัดสวนพลู มัสยิดฮารูณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ และศาลเจ้าเจียวเอ็งเบี้ยว ตลอดจนวิถีชีวิต อาหาร เครื่องแต่งกาย และเทศกาลที่ยังคงปรากฏในพื้นที่
อาคารโบราณที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม เช่น ศุลกสถาน พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก ไปรษณีย์กลาง โกดังเก่า อาคารจีน อาคารฝรั่ง และบ้านไม้สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญกรุง ก็ถือเป็นทุนวัฒนธรรมที่นำมาสู่การอนุรักษ์และดัดแปลงเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เช่น แกลเลอรี ร้านหนังสือ คาเฟ่ และพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย
ด้านชุมชนบางรักอยู่ที่ความหลากหลายแต่เชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืนผ่านความสัมพันธ์ทางศาสนา วิถีชีวิต และกิจกรรมในชุมชน การดำรงอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายใต้บริบทของเมืองใหญ่ ได้สร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง ซึ่งกลายเป็นคุณลักษณะพิเศษของบางรักที่ส่งเสริมการเกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานความร่วมมือ
เครือข่ายชุมชน ชมรม และกลุ่มศิลปินในพื้นที่มีบทบาทในการจัดกิจกรรม เช่น การจัดนิทรรศการ การแสดงศิลปะริมถนน การพาเดินชุมชน (Walking Tour) ตลอดจนกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เข้ามาส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ โดยยังคงเคารพอัตลักษณ์เดิมของชุมชน
การพัฒนาย่านบางรักให้เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากผ่านธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม (SMEs) ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ งานฝีมือ งานออกแบบ ร้านอาหารพื้นถิ่น ร้านค้าแนววินเทจ และการให้บริการนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การพัฒนาเศรษฐกิจเหล่านี้มีพื้นฐานจากอาคารเก่า ทรัพยากรพื้นที่ และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาสร้างมูลค่าใหม่ผ่านการออกแบบทางวัฒนธรรม ทำให้บางรักกลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ และสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและกิจกรรมเชิงศิลป์ที่ไม่ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิม
ย่านบางรักยังเป็นพื้นที่บันเทิงที่มีรากลึกมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากโรงแรมโอเรียนเต็ลไปจนถึงถนนสี่พระยา เคยเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงชั้นนำ อาทิ เบลีวิวบาร์ สะแปล็นดิดบาร์ รวมถึงสถานที่เต้นรำที่เรียกว่า “ฮอลล์” อย่างโรสฮอลล์ เวมบลี้ และมูแลงรูจ นอกจากนี้ยังมีสโมสรของชาวต่างชาติ เช่น ยูไนเต็ดคลับ ดอยเชอร์คลับ และบริติชคลับ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางสังคมสำหรับชาวต่างชาติที่พำนักในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลานั้น ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายในพื้นที่จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในมิติของศาสนาและสถาปัตยกรรมเท่านั้น หากยังรวมไปถึงวิถีชีวิตยามค่ำคืนที่มีความหลากหลายและเปิดกว้าง ซึ่งยังคงสะท้อนอิทธิพลอยู่ในลักษณะกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ปัจจุบัน
ย่านบางรักในวันนี้คือผลรวมของการถักทอวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการฟื้นคืนคุณค่าของอดีต และการสร้างสรรค์แนวทางใหม่ในการอยู่ร่วมของเมืองใหญ่และชุมชนดั้งเดิม ทำให้บางรักมิใช่เพียงย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง หากแต่เป็นพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาเมืองอย่างมีชีวิต ที่ไม่ละทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ของผู้คนในพื้นที่
ในอดีตย่านบางรักมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจในฐานะย่านท่าเรือที่เชื่อมต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับโลกตะวันตก การเข้ามาของสถานกงสุล พ่อค้าชาวต่างชาติ และกิจการของคณะมิชชันนารีส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากระบบตลาดพื้นบ้านไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ ถนนเจริญกรุงซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้กลายเป็นถนนสายเศรษฐกิจสายแรกของประเทศ และเป็นแกนกลางในการกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เกิดการขยายตัวของธุรกิจภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรมระดับสากลอย่างโรงแรมโอเรียนเต็ล การค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค และการธนาคาร ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษ 2520-2540 พื้นที่บางรักได้รับการพัฒนาอย่างเข้มข้นจากภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการก่อสร้างอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และโรงแรมขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับเมือง
ปัจจุบัน ย่านบางรักปรับเปลี่ยนบทบาทสู่การเป็น “ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดเล็ก กลุ่มศิลปิน นักออกแบบ และธุรกิจเชิงวัฒนธรรม เช่น คาเฟ่ แกลเลอรี และโฮสเทลแนวสร้างสรรค์ ซึ่งตอบสนองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า
ย่านบางรักมีลักษณะประชากรที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา ตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทย จีน มุสลิม อินเดีย และชาวตะวันตกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้า ประกอบกิจกรรมทางศาสนา และเผยแผ่วิทยาการ ส่งผลให้เกิดชุมชนแบบผสมผสานทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบ
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเมือง เช่น การตัดถนน ถมคลอง และการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ได้ส่งผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและวิถีชีวิตของผู้คนในย่าน เดิมที่เคยเน้นการสัญจรทางน้ำ ได้เปลี่ยนเป็นการเดินทางทางบกและทางราง ส่งผลให้ชุมชนริมคลองบางส่วนสูญหายหรือถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม ย่านบางรักยังคงเผชิญกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนมือของทรัพย์สินและที่ดินจากผู้ครอบครองดั้งเดิมไปสู่กลุ่มนักลงทุนรายใหม่ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรบางส่วน และเกิดการปรับบทบาทของพื้นที่สู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงสร้างชุมชนดั้งเดิมยังคงหลงเหลือให้เห็นผ่านศาสนสถาน ชื่อถนน และกิจกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ไว้
ย่านบางรักเป็นพื้นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านศาสนาและสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และความเชื่อของชาวจีน ศาสนสถานสำคัญในพื้นที่ เช่น วัดสวนพลู มัสยิดฮารูณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ และศาลเจ้าเจียวเอ็งเบี้ยว เป็นต้น ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายและความกลมกลืนทางวัฒนธรรม
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ย่านบางรักยังเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมบันเทิงยามค่ำคืน มีไนต์คลับ บาร์ และสโมสรของชาวต่างชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อวัฒนธรรมเมือง เช่น ยูไนเต็ดคลับ ดอยเชอร์คลับ บริติชคลับ รวมถึงฮอลล์เต้นรำชื่อดังอย่างโรสฮอลล์และเวมบลี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสากลของพื้นที่ในยุคนั้น
ปัจจุบันวัฒนธรรมร่วมสมัยได้เข้ามาแทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมในบางส่วน ย่านบางรักกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมสร้างสรรค์และศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะในย่านเจริญกรุงที่มีการจัดแสดงผลงานศิลปะ การฟื้นฟูอาคารเก่าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี ร้านอาหารแนวผสมผสาน และกิจกรรมศิลป์ในชุมชน สะท้อนถึงการฟื้นคืนชีวิตวัฒนธรรมเมืองผ่านมิติใหม่ที่ยังเชื่อมโยงกับรากวัฒนธรรมเดิมอย่างมีพลวัต
ไปรษณีย์กลาง บางรัก
หากพูดถึงแลนด์มาร์กสำคัญของย่านบางรัก หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึง "อาคารไปรษณีย์กลาง" ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนเจริญกรุง อดีตศูนย์กลางการรับ คัดแยก และส่งต่อสิ่งของทางไปรษณีย์ ตลอดจนเป็นที่ตั้งของงานบริการด้านโทรคมนาคมทั้งที่ทำการโทรเลขกลาง ที่ทำการกองช่างวิทยุ ชุมสายวิทยุบริการ ชุมสายการถ่ายทอดสัญญาณดาวเทียม รวมถึงที่ทำการชุมสายเทเล็กซ์ ที่ทำการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ และห้องปฏิบัติการบริการโทรทางไกลต่างประเทศผ่านโอเปอเรเตอร์ (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) สร้างเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2478 ในสมัยที่หลวงโกวิทย์อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) ดำรงตำแหน่งอธิบดี มีพระสาโรชรัตนนิมมานก์ หัวหน้ากองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นสถาปนิก นายหมิว อภัยวงศ์ เป็นผู้ช่วยสถาปนิก และนายเอช. เฮอรมัน วิศวกรชาวเยอรมัน (เชิญพร คงมา และธีรพรรณ ลีลาวรรณสุข, 2562) ก่อสร้างเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แนวนีโอคลาสสิกอันเป็นที่นิยมในตะวันตก ลดทอนการประดับประดาและความประณีตที่มีในสถาปัตยกรรมของไทยก่อนหน้านี้ แต่ใช้การตกแต่งภายในอย่างเรียบง่ายด้วยภาพนูนต่ำรูปแสตมป์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นผลงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ตัวอาคารไปรณีย์กลาง บางรัก แบ่งพื้นที่เป็น 3 ตอน ได้แก่ มุขเหนือ มุขใต้ และมุขกลาง ที่น่าสนใจ คือ ปีกทั้ง 2 ข้างของอาคารมีแนวเสาข้างละ 6 ต้น ตัวเลขนี้มีนัยแฝงที่สื่อถึงเนื้อหาแห่งรัฐธรรมนูญ หรือหลัก 6 ประการของคณะราษฎร อันประกอบไปด้วย เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา เป็นการใช้สถาปัตยกรรมเป็นตัวแทนในการสื่อความหมายทางการเมืองในช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นอกจากนี้ ส่วนบนสุดของมุขกลางอาคารจะเห็นครุฑ 2 ตนโดดเด่นอยู่มุมทางเหนือและใต้ ครุฑของอาคารไปรษณีย์กลางเรียกว่า ครุฑยุดแตรงอน เป็นผลงานของลูกศิษย์แผนกช่างปั้นจากโรงเรียนศิลปากร ภายใต้การกำกับดูแลของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี โดยครุฑทั้ง 2 ตนนี้เป็นประติมากรรมปูนปั้นลอยตัวขนาดใหญ่ 3 เท่าของคนจริง ประยุกต์จากครุฑพ่าห์ ซึ่งเป็นตราแผ่นดินของรัชกาลที่ 3 รวมกับแตรงอนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งนับว่ามีความถูกต้องตามลักษณะกายวิภาค ในท่ากางปีกอย่างมีพละกำลัง ลำตัว ลำแขน และขาแสดงกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ท่วงทีขึงขัง กำยำ น่าเกรงขาม โดยมีการลดทอนลวดลายการประดับตกแต่งที่อ่อนช้อยตามรูปแบบงานประติมากรรมไทยดังครุฑที่เคยเห็นทั่วไป
นอกจากงานประติมากรรมนอกอาคารแล้ว ภายในอาคารยังมีชิ้นงานประติมากรรมนูนต่ำขนาดใหญ่ประมาณ 2 เมตร ปั้นหล่อด้วยปูนซีเมนต์เป็นรูปไปรษณียากรจำนวน 8 ดวง ซึ่งเป็นผลงานของภายใต้การกำกับดูแลของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันอาคารหลังใหญ่หลังนี้จะไม่ได้เป็นศูนย์กลางหลักของงานไปรษณีย์และโทรคมนาคมเช่นวันวาน แต่สิ่งที่อาคารอายุกว่า 80 ปีหลังนี้หลงเหลืออยู่ คือ ความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และประติมากรรมอันทรงคุณค่าของไทยที่น่าเรียนรู้และค้นหา โดยอาคารไปรษณีย์กลางนี้เคยติดอันดับ 1 ใน 3 อาคารเก่าแก่ในกรุงเทพฯ อีกทั้งอาคารหลังนี้ยังยืนหยัดสง่างามผ่านร้อนผ่านหนาว รอดพ้นระเบิดจากสงครามจนมีเรื่องเล่าจากชาวบ้านร่ำลือกันว่าเห็นพญาครุฑ 2 ตนที่อยู่หน้าตึกบินไปปัดลูกระเบิด และยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ กรมศิลปากรยังได้ประกาศให้หนึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก จึงถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของย่านบางรักที่ผู้คนจะนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อกล่าวถีงย่านบางรัก
เชิญพร คงมา และ ธีรพรรณ ลีลาวรรณสุข. (14 สิงหาคม 2562). ไปรษณีย์กลาง ณ บางรัก ประวัติศาสตร์ของอาคารอายุรุ่นคุณปู่ อดีตตึกใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และที่ทำการไปรษณีย์ที่สวยและพิเศษกว่าแห่งใดในประเทศไทย. The Cloud. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://readthecloud.co/
บริษัทบัตรกรุงไทยจำกัด (มหาชน). (17 มกราคม 2568). 11 จุดเช็คอินเดินเที่ยวแบบคลาสสิก เจริญกรุง - บางรัก - สีลม (Best Places to Visit Charoenkrung). สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.ktc.co.th/
ไปรษณีย์ไทย. (ม.ป.ป.). ข้อมูลอาคารไปรษณีย์กลาง แลนด์มาร์คบนถนนเจริญกรุง เปิดให้เช่าพื้นที่แล้ว.... สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.thailandpost.co.th/
ศิลปวัฒนธรรม. (11 มกราคม 2568). “บางรัก” ทำเลทองนอกกำแพงพระนคร ที่ฝรั่งต่างชาตินิยม. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/
ศิลปวัฒนธรรม. (14 กุมภาพันธ์ 2568). ถ้าคำว่ารัก ใน “บางรัก” ไม่เกี่ยวกับ “ความรัก” แล้วชื่อย่านบางรัก มาจากไหน. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/
สรวิศ รุ่งโรจนารักษ์. (2562). สัณฐานเมืองเพื่อการพัฒนาย่านสร้างสรรค์บางรัก กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สำนักงานเขตบางรัก. (ม.ป.ป.). ข้อมูลทั่วไป. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://webportal.bangkok.go.th/
ฮุยเฟน อึง (2559). การศึกษาตัวชี้วัดความสำเร็จของย่านสร้างสรรค์: กรณีศึกษาโครงการสร้างสรรค์เจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Foto_momo. (30 มีนาคม 2563). Bangkok General Post Office อาคารไปรษณีย์กลางบางรัก. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
Nickktwf. (8 พฤษภาคม 2568). รีวิว ไปรษณีย์บางรัก. Wongnai. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://www.wongnai.com/
Thestandard. (21 มิถุนายน 2564). เสา 6 ต้น 2 ปีก หน้าตึกไปรษณีย์กลาง บางรัก สถาปัตยกรรมแฝงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร. สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://thestandard.co/
Urbancreature. (9 พฤศจิกายนต์ 2560). Hidden Gem in Old Town : หลงเสน่ห์เมืองเก่าเพราะ "ที่นี่...บางรัก". สืบค้น 8 มิถุนายน 2568, จาก https://urbancreature.co/