
บ้านหนองหลวง ชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่ยังคงรักษาวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี และภาษาไว้ได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะวัฒนธรรมการอยู่อาศัย การแต่งกาย อาหารท้องถิ่น และประเพณีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาและจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคารพโลกธรรมชาติ
บ้านหนองหลวง ชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่ยังคงรักษาวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี และภาษาไว้ได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะวัฒนธรรมการอยู่อาศัย การแต่งกาย อาหารท้องถิ่น และประเพณีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาและจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคารพโลกธรรมชาติ
บ้านหนองหลวง ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก เป็นชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หมู่บ้านตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่ระมาดประมาณ 23 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชุมชนใกล้เคียงราว 3-5 กิโลเมตร ลักษณะที่ตั้งเช่นนี้ส่งผลให้ชาวบ้านยังคงสามารถดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน เป็นทั้งวิถีการยังชีพและรูปแบบการเกษตรที่สอดคล้องกับธรรมชาติและระบบนิเวศ
จากระยะทางที่ใกล้กับตัวอำเภอทำให้บ้านหนองหลวงได้รับอิทธิพลจากกระแสการพัฒนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงองค์กรศาสนา ได้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ การบริหารจัดการท้องถิ่น หรือศาสนา แม้การดำเนินงานเหล่านี้จะตั้งอยู่บนเจตนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน แต่ในหลายกรณีกลับไม่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เกี่ยวข้องขาดความเข้าใจในจารีต ข้อห้าม และขนบธรรมเนียมพื้นถิ่น ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต ค่านิยม และระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมที่เคยเกื้อกูลกับธรรมชาติ กลายเป็นความไม่มั่นคงทางวัฒนธรรม และอาจค่อย ๆ นำไปสู่การเลือนหายของอัตลักษณ์ชุมชนในด้านข้อมูลประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการก่อตั้งบ้านหนองหลวง เช่น ปีที่เริ่มตั้งถิ่นฐาน บุคคลผู้ก่อตั้ง หรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลที่ชัดเจนปรากฏ
หมู่บ้านหนองหลวง เป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 3 ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 350-700 เมตร ความสูงเฉลี่ย 500 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 53.761 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 33,601 ไร่ โดยชุมชนบ้านหนองหลวง มีอาณาเขตติด ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลขะเนจื้ด อำเภอแม่ระมาด
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลแม่ระมาด และ ตำบลพระธาตุ อำเภอแม่ระมาด
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
บ้านหนองหลวง โดยสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากร หมู่ที่ 3 บ้านหนองหลวง ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 942 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 484 คน ประชากรหญิง 454 คน จำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 319 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนเมษายน 2568)
ปกาเกอะญอทุนวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น
ความเชื่อ
ก่อนที่ชาวปาเกอะญอ จะมานับถือพุทธศาสนา หรือคริสต์ศาสนา ดังเช่นปัจจุบัน เดิมทีนั้น ชาวปกาเกอะญอมีการนับถือ "เก่อจ่ายวา" หรือ "ต่าที ต่า เตอะ" แปลว่าเทพหรือเทวาอาษ์และวิญญาณบรรพบุรุษ โดยมีฐานความเชื่อว่า เชื่อกันว่าทุกสรรพสิ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่เรียกรวม ๆ ว่ายวา หรือ "ต่าที่ ต่า เตอะ" ดูแลรักษาอยู่ทำให้ชาวปกาเถอะญอไม่กล้าล่วงละเมิด ชาวปกาเกอะมูอมีความเคารพธรรมชาติมากเพราะ เป็นแหล่งบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ สิ่งที่ปกาเกอะญอถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือลึกลับควรยำเกรง เพราะเป็นเทพหรือเทวาอารักษ์เป็นวิญญาณที่ดี ส่วนวิญญาณที่ชั่วร้ายนั้นคนปกาเกอะญอจะเรียก "ตา หมื่อ ฆา"หรือผีเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง มีอยู่หลายอย่าง เช่น
1) เทพเจ้าแห่งสัจธรรมหรือที่เรียกว่า "ด่าที ต่าเตอะ" แปลว่า สิ่งสูงสุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ส่วน "ยวา" แปลว่า พลัง อำนาจ ที่เคลื่อนไหว ตลอดเวลา สถิตอยู่ทุกหน ทุกแห่ง ทั้งในน้ำ อากาศ ดิน ไฟ ป่า พืชพันธุ์ สัตว์ และคนบางความเข้าใจมองว่า "ต่าที ต่าเตอะ" = "ยวา"หรือ "ยวา" = "ยวา"
2) ที่เกี่ยวกับครอบครัว เครือญาติคือ "ชิโข่ หมื่อ คกา" หรือ "เก่อลา" คือ วิญญาณบรรพบุรุษ
3) เทพหรือเทวาอารักษ์ที่สถิตอยู่ในที่ต่าง ๆ เรียกว่า "ทีเก่อจ่า ก่อเก่อจ่า" ซึ่งจะให้คุณแก่มนุษย์ในเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติเช่น เทพแห่งต้นน้ำเทพแห่งขุนห้วย เทพแห่งป้า เทพแห่งภูเขา เทพพญาปลวก เป็นต้นต้น
4) ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี หรือผี เช่น ผีกะ ผีหลวงช้าง ผีม้า ผีก็องกอย ผีคนตายโหง เป็นต้น
พิธีกรรมที่สำคัญของชนเผ่าปกาเกอะญอ
พิธีกรรมมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชนปกาเกอะญอ เป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรม เพื่อกำหนดบรรทัดฐานและควบคุมพฤติกรรมทางสังคม ตลอดจนแสดงถึงความสัมพันธ์ของชนปกาเกอะญอ กับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติที่มีผลต่อการดำรงชีพในกระบวนการผลิตและความสัมพันธ์กับระบบความเชื่อของ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ มีดังนี้
1.พิธีกรรมหลักในรอบชีวิต
1) การเกิด (ดึ ต่า เบล)
เมื่อทารกเกิดสายรกที่ตัดออกแล้วก็จะไปแล้วผู้เป็นบิดาของทารกก็จะบรรจุลงกระบอกไม้ไม้ไผ่ปิดฝาด้วยเศษผ้าแล้วนำไปผูกไว้ตามต้นไม้ในป่ารอบหมู่บ้านพร้อมกับอธิษฐานให้เด็กน้อยโต แข็งแรงดังต้นไม้ยืนต้นนี้ ต้นไม้ ตันนั้นเรียกชื่อว่า "เด ปอ ทู่" แปลว่าตันสายรก และต้นไม้ต้นนี้จะห้ามตัดโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าขวัญของทารก จะอาศัยอยู่ที่นั่น หากตัดทิ้งจะทำให้ขวัญของทารกหนีไปและทำให้ทารกล้มป่วยลง หากว่าผู้ใดตัดไม้ต้นนี้โดย เจตนาหรือไม่เจตนาจะต้องถูกปรับด้วยไก่หนึ่งตัว พ่อแม่ก็จะนำไก่ตัวนี้ไปทำพิธีเรียกขวัญทารกกลับคืนมาวันที่ไปผูกสายรกของทารกติดกับต้นไม้นั้นเพื่อนบ้านทุกคนจะไม่ออกไปทำงาน ซึ่งถือเป็นข้อห้าม เรียกข้อห้ามนี้ว่า "ดี ต่า เบล" เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต เมื่อถึงเวลาขั้วสายทารกหลุดออกไปผู้เป็นพ่อก็จะไปทำพิธีผูกมือเรียกขวัญทารก โดยไปทำพิธีที่ธีที่ได้ต้นไม้ที่ผูกติดสายรกต้นนั้น ๆ เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่ที่บ้านเรียกว่า "กี่เบลจือ" คือพิธีผูกขวัญครั้งแรกของบุคคลผู้นี้ที่เกิดมาลืมตาอยู่บนโลก ชนปกาเกอะญอเชื่อว่าขวัญของคนมีอยู่ 37 ขวัญ
2) การแต่งงาน (ดึ เทาะ โค่ เบล)
เมื่อเป็นที่รับรู้แล้วว่าชายหญิงชอบพอกัน พ่อแม่และญาติพี่น้อง (ญาติผู้ใหญ่) ของฝ่ายหญิงก็จะส่งคนไปหาฝ้ายชายเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรักและยินดีที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจริง ๆ หรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอและยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ้ายหญิงก็จะมีการนัดหมายวันเวลาทำพิธีแต่งงานกันในเวลานั้น (ประเพณีปกาเกอะญอฝ่ายหญิงจะไปสู่ขอฝ่ายชาย)
2.1) การหมั้น (อ้อ-เค) เมื่อฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอนแล้วฝ่ายชายก็ส่งเถ้าแก่ไปทำพิธีหมั้นหมายฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงาน ในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่หนึ่ง คู่ทำอาหารเพื่อเลี้ยงรับเถ้าแก่ฝ่ายชาย วันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชายและเพื่อน ๆ จะมาหาฝ้าฝ้ายหญิงเพื่อทำพิธีแต่งงานต่อไป
2.2) หมูแรกทำพิธี (เทาะเตาะ) เทาะเตาะคือหมูตัวแรกที่ฆ่าในพิธีแต่งงาน เนื้อหมูตัวนี้จะเอาไว้ เป็นเครื่องบูชาเพื่อขอเทพยดามาอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวและผู้มาร่วมงานทุกคน เมื่อถึงเวลาออกเดินทางไปสู่ หมู่บ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวจะลงไปอยู่พร้อมกันที่พิงพักหน้าบ้านที่สร้างไว้ชั่วคราว เถ้าแก่จะทำพิธีรินหัวเหล้าและอธิษฐานขอพร เสร็จพิธีก็จะออกเดินทางโดยมีเจ้าบ่าวและเพื่อน ๆ ร่วมเดินทางอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวและเพื่อนบ้านก็จะคอยต้อนรับโดยจะไปพักที่เพิ่งพัก ชั่วคราวหน้าบ้านเพื่อทำพิธีดื่มหัวเหล้า (เคะ ซิ โข) เสร็จพิธีดื่มหัวเหล้าก็จะขึ้นไปสู่บ้านเจ้าสาว เพื่อพักผ่อนและมีการเลี้ยงสังสรรค์กัน ดื่มเหล้าพร้อมกับขับลำนำโต้ตอบกันระหว่างกลุ่มเถ้าแก่ เพื่อนเจ้าบ่าวที่เป็นคนต่างถิ่นและกลุ่มเถ้าแก่ เพื่อนเจ้าสาวที่เป็นคนในถิ่น เวลาเดียวกันนี้ญาติพี่น้องเจ้าสาวก็จะฆ่าหมูทำอาหารสำหรับเลี้ยงแขกที่มางาน เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วเขาก็จะให้เถ้าแก่ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวทำพิธีถวายข้าวแด่เทพยดาเพื่อขอพรจากนั้นก็เรียกแขกทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนเจ้าบ่าวที่มาจากแดนไกลมารับประทานอาหาร เสร็จแล้วก็จะเป็นเวลาส่วนตัวของแต่ละคนที่จะพักผ่อนนอนหลับหรือเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านอื่น ๆ และขับลำนำโต้ตอบกัน ซึ่งบางคนบางหมู่บ้านก็จะเที่ยวขับลำนำตลอดทั้งคืน
2.3) ไก่เริ่มต้นพิธีบก๊ะ (ชอเก๊าะเก) ช่วงหนึ่งของพิธีแต่งงานจะมีการฆ่าไก่ 2 ตัวต้มให้สุกโดยไม่ปรุงอะไรลงไปทั้งสิ้น ผู้เฒ่าผู้แก่จะเลือกเด็กหญิงและเด็กชายฝ่ายละคน โดยที่เด็กทั้งสองคนต้องเป็นเด็กที่มีครอบครัวครบสมบูรณ์คือทั้งพ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่ เด็กทั้งสองคนนี้จะมีหน้าที่จัดคำข้าวและเนื้อไก่ 2 ตัวนั้นแล้วมอบให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวรับประทาน โดยเด็กหญิงจะจัดให้เจ้าสาวและเด็กชายจะจัดให้เจ้าบ่าว ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็จะให้สร้อยลูกปัดหนึ่งสายและเงินหนึ่งบาทแก่เด็กหญิงและชายตามลำดับ เป็นการตอบแทนน้ำใจที่มาช่วยเหลือ
2.4) ขันหมาก (เกอะเนอ) ชนปกาเกอะญอมีวัฒนธรรมขันหมากเป็นของผู้หญิงหรือผู้หญิงมีขันหมาก ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายนำขันหมากมาให้ ขันหมากของชนปกาเกอะญอประกอบด้วยผ้าซิ่นทอ 1 ผืน เสื้อทอผู้ชาย 1 ตัวผ้าโพกศีรษะ 1 ผืน เสียม 1 ด้าม เสื้อแม่บ้าน (เซ โหม่ ซู) 1 ตัว และเกลือ 1 ท่อ แต่ผู้หญิงบางคนอาจจะมีขันหมากมากกว่านี้ก็ได้ ในวันที่เจ้าบ่าวและเพื่อน ๆ เดินทางมาที่บ้านเจ้าสาวนั้น จะมีแม่บ้านคนหนึ่งถือขันหมากมาด้วย แม่บ้านคนนี้ต้องเป็นแม่บ้านที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์คือสามียังมีชีวิตอยู่ วันรุ่งขึ้นขึ้นก็จะมีการทำพิธีขอขันหมาก การทำพิธีจะทำโดยเถ้าแก่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ขอ ส่วนฝ่ายชายจะเป็นผู้ให้ โดยที่การขอจะต้องขอด้วยการขับลำนำโต้ตอบกันทั้งสิ้น การทำพิธีขอขันหมากใช้เวลามาก เพราะต้องขับลำนำผ่านขั้นตอนและมีลีลาของการอ้อยอิ่ง เบี่ยงบ่ายเป็นพิธี
2.5) ไก่ขอพรระหว่างเดินทางกลับ (ชอโจ่ลอ) การเดินทางกลับของเถ้าแก่และเพื่อนเจ้าบ่าว ฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 2 ตัวต้มให้สุกแล้วห่อให้เพื่อนเจ้าบ่าวนำกลับไปด้วยเพื่อเป็นอาหารระหว่างเดินทาง เมื่อถึงเวลาอาหารก่อนรับประทานเถ้าแก่จะทำพิธีถวายหัวอาหารแต่เทพยดาเพื่ออวยพรผู้ร่วมเดินทางให้ได้รับความปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายและกลับถึงบ้านด้วยความสวัสดิภาพ พอกลับถึงบ้านแล้วทุกคนก็จะมารวมกันที่เพิงพักหน้าบ้านเจ้าบ่าวก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านของตน และที่เพิงพักนี้เถ้าแก่ก็จะทำพิธีดื่มหัวเหล้าอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย วันรุ่งขึ้นวันหนึ่งเพื่อนบ้านทุกคนจะหยุดงาน ซึ่งถือเป็นข้อห้าม เรียกข้อห้ามนี้ว่า "ดี เทาะโค่เบล" แปลว่า "ข้อห้ามหัวหมู"
3.) การตาย
การเตรียมศพ ในหมู่บ้านหากผู้หนึ่งเสียชีวิตลง เพื่อนบ้านทุกคนจะหยุดงานเพราะถือเป็นข้อห้ามซึ่งเรียกว่า "ดี ปกา ชะ ลอ หม่า" หมายความว่า ข้อห้ามสำหรับวิญญาณที่หลุดหายไป แม้แต่คำข้าวซึ่งปกติจะทำกันทุกวันเช้าและเย็นก็จะงดทำทั้งสิ้น ขั้นแรกญาติพี่น้องก็จะอาบน้ำศพ นำเสื้อผ้าใหม่ ๆ มาสวมใส่ให้ เสร็จแล้วก็จะห่อศพด้วยเสื่อตีข้าวการเตรียมสัมภาระให้ศพ หลังจากห่อศพแล้วจะหาไม้ไผ่ท่อนหนึ่งยาวประมาณ 5 ศอก ผ่าออกเป็น 4 ชีกเท่า ๆ กันครึ่งท่อนแล้วง่ามลงบนศพเพื่อยึดศพให้มั่น เรียกไม้ไผ่ท่อนนี้ว่า "ไม้ง่ามศพ" จากนั้นจะนำเสื้อผ้าของศพที่ญาติพี่น้องมอบให้แขวนไว้ที่ปลายท่อนไม้ไผ่ เสื้อผ้าและข้าวของศพนี้เรียกว่า "ต่า ชี อะ จกึ่อ" มีความหมายว่า "สัมภาระศพ" เป้าหมายการเตรียมสัมภาระของศพเพื่อทำความร่มรื่น อยู่เย็นเป็นสุข ให้ผู้ตายได้ใช้ขณะเดินทางกลับไปยังโลกหน้าการขับลำนำ ตกเย็นจะเป็นเวลาแห่งการขับลำนำส่งวิญญาณศพ โดยชายหนุ่มและพ่อบ้านจะขึ้นมาขับลำนำ ลำนำที่ขับในช่วงแรกนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนตาย ลำนำสำสำหรับศพนี้ผู้ขับจะจำกัดเฉพาะแต่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงจะขับลำนำนี้ไม่ได้ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องและเสียชีวิตลงจะมีการขับลำน่าส่งวิญ ญาณเช่นเดียวกัน แต่ผู้มาขับลำนำจะเป็นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ลำนำที่ขับมีชื่อว่า "ทา โหร่ ควา" มีความหมายว่า "บทลำนำรวบรวมชาย" หรือ "บทลำลำลำน้ำน้ำ ชุมชุมชาย"ผู้เสียชีวิตที่เป็นหนุ่มสาวจะมีการไปสร้างกระต๊อบหลังเล็กที่กิ่วดอยแห่งใดแห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้านและเป็นทางเดินที่ผู้เสียชีวิตเคยเดินไปมา และนำเสื้อผ้าและข้าวของต่าง ๆ ไปวางไว้ให้ในกระตีอบหลังนั้น สิ่งนี้เรียกว่า "เสอะ เล" ผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้มีลำนำส่งวิญญาณโดยเฉพาะเช่นกันซึ่งเรียกว่า "ทา เยอ ลอ" แปลว่า ลำนำคนึงหา หรือลำนำอาลัยอาวรณ์ ข้อห้ามหลังปลงศพ คือจะไม่ให้คนในหมู่บ้านออกไปทำมาหากินนอกบ้าน ส่วนจะห้ามกี่วันนั้นขึ้นขึ้นอยู่กับว่าศพนั้นมีการเก็บไว้กี่วัน หากเก็บไว้ 1 วันก็จะห้ามออกไปทำงาน 1 วัน เป็นต้น ข้อห้ามนี้เรียกว่า "ดี นา เกอะ เกราะ" หมายความว่า ข้อห้ามมีผู้ตาย เพราะปกาเกอะญอเชื่อว่าหลังจากปลงศพผีของผู้ตายยังเดินไปมาภายในบริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านอยู่จนกว่าจะพ้นจำนวนวันที่เก็บศพไว้ เพราะฉะนั้นหากผู้ใดออกนอกหมู่บ้านในช่วงนี้มีผู้ตายอาจจะเห็นเข้าและจับขวัญของผู้นั้นแล้วจะทำให้ล้มป่วยลงได้พืชผักของผู้ตาย หากมีผู้เสียชีวิตลงในกลางปีและผู้เสียชีวิตไม่มีโอกาสได้รับประทานพืชผักที่ตนปลูกไว้ ในกรณีหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้วญาติพี่น้องก็จะนำผลผลิตของพืชผักต่าง ๆ ในรอบปีนั้นไปฝากไว้ที่ไร่หรือใต้ต้นไม้บริเวณของผู้ตาย ทั้งนี้เพื่อให้วิญญาณผู้ตายจะได้กลับมารับประทานผลผลิตของพืชผักเหล่านั้นแล้วจะได้กลับไปสู่สุคติด้วยความสงบสุข จะได้ไม่กลับมารบกวนขอญาติพี่น้องอีกต่อไป
2.พิธีกรรมระดับครอบครัว
1) เลี้ยงหมูแรกไก่แรก (เทาะ โข่ ทิ ชิ โข่ ทิ) ชนปกาเกอะญอจะมีสัตว์เลี้ยง 2 ชนิดที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในระดับครอบครัวเสมอคือไก่และหมู ไก่และหมูคู่แรกที่เลี้ยงเรียกว่า "เทาะ โข่ ทิ ชอ โข่ ที" มีความหมายว่า หมูแรกไก่แรก หมูคู่แรกและไก่คู่แรกนี้ก็จะทำลงไปหลังจากการออกเหย้าออกเรือนแล้วไม่นานการทำพิธีกรรมเลี้ยงหมูและไก่คู่แรกนี้เรียกว่า "ปี โถ่ ต่า" หมายความการเลี้ยงให้สงบราบรื่น หรือเลี้ยงให้ยั่งยืน
2) การขึ้นบ้านใหม่ (ถ่อ เดอะ ซอ) หลังจากปลูกบ้านเสร็จแล้วก็จะถึงเวลาทำพิธีขึ้นบ้านใหม่เจ้าของบ้านต้องเตรียมเหล้า 1 คู่ และไก่ 1 คู่ (หรือหมู 1 ตัว) และเชิญผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในหมู่บ้านมาทำพิธีเรียกขวัญเจ้าของบ้าน เสร็จพิธีเรียกขวัญก็จะฆ่าไก่หรือหมู ทำอาหาร จากนั้นก็จะเรียกญาติพี่น้องทุกคนมาที่บ้านมาผูกข้อมือเรียกขวัญเจ้าของบ้าน การผูกข้อมือเรียกขวัญนี้จะมีการอวยพรให้ครอบครัวเจ้าของบ้านมีความสุขในชีวิตที่จะอยู่อาศัยบ้านใหม่หลังนี้ จากนั้นก็จะร่วมรับประทานอาหารอย่างพร้อมเพรียงกัน
3) พิธีกินเชื่อมความสัมพันธ์ (เอาะ บก๊ะ) พิธีจะเริ่มต้นด้วยสามีภรรยาจะฆ่าไก่คู่แรกที่เลี้ยงไว้ เรียกพ่อแม่ของตน (ฝ้ายหญิง) มาขอพรให้ เนื้อไก่นั้นสามีภรรยาจะรับประทานเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อน จากนั้นพ่อแม่จะนำสำรับเนื้อไก่และข้าวาวางลงบนพื้นบ้านและเริ่มอธิษฐานขอพร โดยเรียกขานชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้มาร่วมรับประทานอาหารที่ลูกหลานได้เตรียมให้นี่เสร็จการอธิษฐานก็จะร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน วันรุ่งขึ้นอีกหนึ่งวันก็จะเป็นการทำพิธีกรรมของฝ่ายชายซึ่งมีขั้นตอนเหมือนกับฝ่ายหญิงทุกประการ
4) พิธีผูกขวัญ (กี่ จือ) ผูกขวัญนี้ในพิธีจะใช้หมูหรือไก่ก็ได้ พ่อแม่จะเรียกบุตรหลานทุกคนทั้งยังโสดและแต่งงานแล้ว หากแต่งงานแล้วที่เป็นผู้หญิงก็จะเรียกมาพร้อมกับลูกทุกทุกคน แต่หากเป็นผู้ชายก็จะมาตัวคนเดียวเท่านั้น ห้ามพาลูกมาด้วย จากนั้นก็จะผูกขวัญให้และอวยพรให้อยู่ดีมีสุข พ้นจากโรคภัยใช้เจ็บทั้งปวงและขั้นสุดท้ายก็จะคั่วข้าวเปลือแล้วไปโปรยลงใต้ต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง
3.พิธีกรรมระดับหมู่บ้าน
1) พิธีผูกข้อมือเรียกขวัญขึ้นปีใหม่ (กี่ จือ นี่ ชอ โค่)
เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไร่เสร็จราวตันเดือนมกราคม ผู้นำหมู่บ้านหรือฮีโข่จะแจ้งให้ลูกบ้านทราบว่าถึงเวลาที่จะต้องทำพิธีขึ้นปีใหม่แล้ว ลูกบ้านทุกครอบครัวจะต้มเหล้าสำหรับทำพิธี ก่อนทำพิธีหนึ่งวันชาวข้าวบ้านจะทำขนมและของขบเคี้ยวซึ่งประกอบด้วย ข้าวปิก(ข้าวเหนียวตำคลุก) ข้าวต้มและข้าวหลามเพื่อเป็นของถวายแต่เทพเจ้าและเป็นอาหาร ขนมกินเล่นในวันทำพิธีขึ้นปีใหม่นี้ วันรุ่งขึ้นทุกครอบครัวจะทำพิธีผูกมือเรียกขวัญ และวันนั้นจะไม่มีผู้ใดออกนอกบ้าน ทุกคนต้องอยู่ร่วมงานปีใหม่ ถือเป็นวันพักผ่อนประจำปี หลังจากพิธีผูกขวัญของแต่ละครอบครัวและรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ผู้นำหมู่บ้านก็จะออกตระเวนไปตามบ้านของลูกบ้านแต่ละครอบครัวเพื่อทำพิธีรินหัวเหล้าเพื่ออธิษฐานและอวยพรให้ครอบครัวทุกคนมีความสุข ความเจริญ พิธีกรรมวันขึ้นขึ้นปีใหม่นี้เรียกว่า "กี่ จือ นี่ ขอ โค่" แปลว่า ผูกข้อมือเรียกขวัญวันขึ้นปีใหม่นั่นเอง
4.ภูมิปัญญาในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ความเชื่อแนวคิดของชุมชนทำให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามของชุมชนทำให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติต่อชุมชนตลอดไป
1) การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
1.1) ป่าหวงห้ามที่มีวิญญาณชั่วสิงสถิตป้าหวงห้ามประเภทนี้เชื่อว่ามีจิตชั่วสิ่งสถิตหรือเป็นทางเดินผ่านของภูตผี ลักษณะป้าจะมีต้นไม้ที่ขนาดเท่า ๆ กันจำนวนมากและเป็นต้นไม้ที่โตเต็มที่แล้วไม่ใหญ่ขึ้นและเล็กลง คงขนาดไว้เท่านั้น มักเป็นป่าต้นน้ำลำธาร สัตว์เลี้ยงเช่นวัวและควายมักไม่เดินเข้าไป บริเวณป้านี้จะไม่มีใครกล้าเข้าไปทำไร่หรือแม้แต่ตัดต้นไม้สร้างประโยชน์อื่น หากหมู่บ้านใดเคารพยำเกรงป้าประเภทนี้อย่างเคร่งครัดเชื่อกันว่าจะทำให้หมู่บ้านนั้นมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่หากหมู่บ้านใดที่ฝ่าฝืนข้อห้าม เข้าไปทำไร่หรือตัดต้นไม้เพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นก็จะทำให้หมู่บ้านนั้นได้รับความทุกข์ร้อน หรือครอบครัวใดที่มีสมาชิกฝ่าฝืนก็จะทำให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งของครอบครัวนั้นเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตลง
1.2) ป่าเขาน้ำล้อม (เดะ หมื่อ เบอ) ป่าเขาน้ำล้อมเป็นป่าที่อยู่บนเนินเขาที่มีลำห้วยสองสายไหลล้อมรอบและบรรจบกัน เชื่อกันว่าบนเนินเขาที่เป็นป่าประเภทนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของภูตผี ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้และเข้าไปทำประโยชน์ในบริเวณนี้ บางหมู่บ้านจะมีป่าประเภทนี้หลายแห่ง แต่บางหมู่บ้านไม่มีเลย มีข้อห้ามว่าห้ามเข้าไปทำประโยชน์และใช้สอยใด ๆ ทั้งสิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งหมู่บ้านจะไม่สามารถทำได้เลยถือเป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาด
1.3) ป่าที่ราบเขาล้อม (เดะ หมื่อ วอ) ป่าต้นน้ำลำธารก็ดี ป้าที่ราบลุ่ม ลำห้วยที่มีเขาล้อมรอบก็ดีชนปกาเกอะญอถือเป็นเขตป้าหวงห้ามด้วยเช่นกัน เป็นป่าที่มีภูตผีเป็นเจ้าของ ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง จึงมีการห้ามเข้าไปทำกิจกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ห้ามทำไร่ ห้ามสร้างหมู่บ้าน ห้ามเบิกนาและห้ามอนค้างคืน เป็นต้น
1.4) ต้นโพธิ์ ต้นไทร ชนปกาเกอะญอ เชื่อว่าต้นโพธิ์ต้นไทรเป็นต้นไม้ของภูตผี โดยเฉพาะต้นโพธิ์ต้นไทรที่มีขนาดใหญ่และมี โพรง เพราะมักจะมีการนำศพหารกไปเก็บไว้ในโพรงโดยเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษคอยอยู่ที่นี่ ต้นโพธิ์ต้นไทรเป็นต้นไม้ที่ไม่เคยตายเลย เพราะก่อนต้นแม่จะตายก็จะลงรากบนดินและแตกหน่อใหม่เสียก่อน ต่อเมื่อหน่อเจริญเติบโตได้เองแล้ว ต้นแม่จะเหี่ยวเฉาและตายไป เชื่อกันว่าหากต้นโพธิ์ต้นไทรโค่นลงจะยังความวิเวกวังเวงแก่ลูกหลานยิ่งนัก ลูกหลานทั้งที่เป็นภูตผีและสัตว์ป่านานาพันธุ์ เพราะสัตว์ป่าเหล่านี้อาศัยตันโพธิ์ต้นไทรเป็นแหล่งอาหารและความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ชนปกาเกอะญอจะห้ามตัดต้นโพธิ์ต้นไทรอย่างเด็ดขาดเพราะหากตัดจะถือว่าได้ทำบาปต่อลูกหลานผู้อาศัย เชื่อกันว่าผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามจะไม่มีลูกหลานสืบตระกูลต่อไป
2) การอนุรักษ์สัตว์ป่า สัตว์ป่าทุกชนิดเชื่อว่ามีเจ้าของคอยติดตามตัวและคอยคุ้มครองดูแล เจ้าของสัตว์ป่าเหล่านี้จะมีทั้งร้าย และไม่ดุร้ายทั้งที่ตระหนี่และใจดี โดยเฉพาะสัตว์ป่าขนาดใหญ่เจ้าของจะดูแลคุ้มครองเป็นพิเศษไม่ให้มนุษย์ล่าเนื้อ เช่น ยิงไม่ออกแม้ยิงออกแต่ไม่ถูก เชื่อกันว่าเจ้าของคือภูตผีที่ขี่หลังติดตามตัวตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน สัตว์ป่าเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หมู่ป่าตัวผู้ หมี เสือ แรด ช้างป่า เก้ง กวาง เลียงผาและหมี เป็นต้น เจ้าของสัตว์ป่าเหล่านี้ชนปกาเกอะญอเชื่อว่ามนุษย์เคารพท่านและท่านก็จะเคารพมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน
5.ภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรม
ศิลปวัฒนธรรมและวรรณกรรมเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าซึ่งมีคุณค่าและมีความสำคัญต่อวิถีชีวิต ควรมีการอนุรักษ์ไว้สืบไป ในที่นี้จะกล่าวถึง ภาษา การแต่งกายและดนตรี
1) ภาษา ชนเผ่าปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชนเผ่าที่มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองนอกจากนี้แล้วยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเองซึงได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษในอดีตในรูปแบบของการเล่าขานกันมา และจากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับการจดบันทึกประวัติศาสตร์หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ชนปกาเกอะญอใช้ตัวอักษรตระกูลเดียวกับตัวหนังสือพม่า โดยเรียกตัวหนังสือประเภทนี้ว่า "ลิ วา" ส่วนในประเทศไทยมีมิสชันนารีชาวฝรั่งเศสได้พัฒนารูปแบบภาษาเขียนจากตัวอักษรโรมันประเภทนี้เรียกว่า "ลิ โร เหม่"
2) การแต่งกายชนเผ่าปกาเกอะญอ ในแต่ละกลุ่มจะมีเครื่องแต่งกายที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวในด้านสีสัน แต่รูปแบบลักษณะการแต่งกายจะเหมือนกันคือผู้ชายจะนิยมใส่เสื้อทอสีแดงเรียกว่า "เซ กอ" ใส่กางเกงขาทรงกระบอก ส่วนผู้หญิงที่เป็นโสดจะใส่เสื้อทอทรงกระบอกสีขาวเรียกว่า "เช ว่า" ชนปกาเกอะญอ ทางฝั่งเมียนมาจะมีหลากสีมากกว่า จะมีทั้งสีขาวและสีแดง ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่ผ้าชินทอใส่เสื้อทอสีดำหรือสีแดง ซึ่งจะใส่สีที่กลมกลืนกัน บนเสื้อจะมีการประดับด้วย ลูกเดือยหรือปักด้วยด้ายหลากสีในลวดลายชนิดต่าง ๆ ซึ่งแต่ละชนิดจะเลียนแบบจากธรรมชาติ ซึ่งมีการเรียกชื่อเฉพาะโดยจะให้ความรู้สึกและอารมณ์ที่แตกต่างกันไป
บ้านหนองหลวง ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ใช้ภาษาไทยในการติดต่อราชการ และยังคงอัตลักษณ์ของตนเอง โดยการใช้ภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าที่มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง นอกจากนี้แล้วยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเองซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษในอดีตในรูปแบบของการเล่าขานกันมา และจากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับการจดบันทึกประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ชนปกาเกอะญอใช้ตัวอักษรตระกูลเดียวกับตัวหนังสือพม่า โดยเรียกตัวหนังสือประเภทนี้ว่า "ลิ วา" ส่วนในประเทศไทยมีมิสชันนารีชาวฝรั่งเศสได้พัฒนารูปแบบภาษาเขียนจากตัวอักษรโรมันประเภทนี้เรียกว่า "ลิ โร เหม่"
บ้านหนองหลวง ตั้งอยู่ หมู่ที่ 3 ตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก เป็นชุมชนปกาเกอะญอที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตลอดจน องค์กรศาสนา ได้เข้าไปส่งเสริมพัฒนาในด้านต่าง ๆ การศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจการเมืองการปกครอง การเผยแผ่ศาสนา ส่งผลต่อการดำรงวิถีชีวิตอย่างมาก อันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ข้อห้ามข้อปฏิบัติตามจารีตประเพณีของคนในพื้นพื้นที่ จนนำไปสู่การทำลายฐานวัฒนธรรมโดยไม่ตั้งใจ ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมที่ผิดไปจากวิถีเติม ทั้งการประกอบอาชีพที่ยึดการทำไร่หมุนเวียนที่สั่งสมองค์ความรู้ในการทำมาหากินที่เกื้อกูลต่อธรรมชาติ
ปัญญา ไวยบุญญา, สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์, นฤมล แดนพงพี และลิขิต พิมานพนา. (2562). การเสริมสร้างศักยภาพการวิจัยให้แก่เยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่อําเภอชายแดนจังหวัดตาก (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์). สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น.
กรมการปกครอง. (2567). ระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2568. https://stat.bora.dopa.go.th