Advance search

วิถีชีวิตลักษณะเฉพาะตัวของชาติพันธุ์ลาวครั่ง ผ้าทอลาวครั่ง ประเพณียกธงหลังสงกรานต์

บ้านหนองมะคัง
ทับยายเชียง
พรหมพิราม
พิษณุโลก
อบต. ทับยายเชียง โทร. 0 5500 9506
กมเลศ โพธิกนิษฐ
1 พ.ค. 2025
ศุภสิทธิ์ ต๊ะนา
30 มิ.ย. 2025
กมเลศ โพธิกนิษฐ
16 ก.ค. 2025
บ้านหนองมะคัง

ชื่อ “บ้านหนองมะคัง” มีที่มาจากการย้ายถิ่นฐานของชาวบ้านจาก “บ้านยางโทน” ซึ่งเดิมตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ ในปี พ.ศ. 2491 ชาวบ้านจึงย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่สูงทางทิศตะวันออกประมาณ 4 กิโลเมตร โดยเลือกตั้งถิ่นฐานใกล้หนองน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่หนาแน่น ชื่อว่า ต้นมะคัง” ซึ่งเป็นไม้มีหนาม ทำให้สัตว์ไม่กล้าลงเล่นน้ำ น้ำจึงใสสะอาดอยู่เสมอ

ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า หนองมะคัง” โดยใช้ลักษณะภูมิประเทศและพืชพรรณธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาและการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างลึกซึ้ง


ชุมชนชาติพันธุ์

วิถีชีวิตลักษณะเฉพาะตัวของชาติพันธุ์ลาวครั่ง ผ้าทอลาวครั่ง ประเพณียกธงหลังสงกรานต์

บ้านหนองมะคัง
ทับยายเชียง
พรหมพิราม
พิษณุโลก
65150
17.1044940
100.2887120
องค์การบริหารส่วนตำบลทับยายเชียง

การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของบ้านหนองมะคัง แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านของชุมชนจากพื้นที่ป่าดงดิบไร้ผู้คน สู่การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แสวงหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้คนจากหมู่บ้านท่าสุ่ม ตำบลหัวถนน อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2470 ได้อพยพมายังพื้นที่ป่าในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากปัญหาภัยธรรมชาติและความยากจน

การเดินทางของกลุ่มประชาชนดังกล่าวเริ่มต้นจากการลงรถที่อำเภอพรหมพิราม และเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตร มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยพักชั่วคราวที่บริเวณต้นหว้า ก่อนจะย้ายไปอยู่ชายป่าด้านเหนือ ซึ่งมีต้นยางขนาดใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ต่อมาได้เรียกสถานที่นั้นว่า “บ้านยางโทน” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ทำการนิคมทุ่งสานประมาณ 2 กิโลเมตร

บ้านยางโทนได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นชุมชนอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2480 โดยมีนายแคล้ว สิงห์โฉม ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ขึ้นตรงกับตำบลมะต้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ชุมชนในระยะแรกดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย มีความสัมพันธ์แบบพี่น้องช่วยเหลือกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเครื่องมือทำกิน ที่ดิน หรือทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

ในระยะแรกมีการจัดตั้งโรงเรียนโดยใช้วัดเป็นสถานที่เรียน ครูคนแรกคือ ครูโปรย อย่างไรก็ตาม วัดแห่งนั้นเกิดไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้นักเรียนต้องเดินทางไปเรียนที่วัดทับยายเชียง ซึ่งในขณะนั้นตั้งอยู่บริเวณป่าดงตาล และห่างจากบ้านยางโทนราว 3 กิโลเมตร

ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 เนื่องจากพื้นที่บ้านยางโทนเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ชาวบ้านจึงปรึกษาหารือกัน และตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปทางทิศตะวันออกอีกประมาณ 4 กิโลเมตร สู่พื้นที่ที่มีหนองน้ำซึ่งมีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า “ต้นมะคัง” ขึ้นอยู่มาก ต้นมะคังเป็นพืชที่มีหนามทั้งต้น ทำให้สัตว์ไม่กล้าลงไปเล่นน้ำ ส่งผลให้น้ำในหนองสะอาด ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า “บ้านหนองมะคัง” และถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการทางกายภาพและสังคมของชุมชนอย่างจริงจัง

เมื่อปี พ.ศ. 2493 นายอ่อน เทพภูตา ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน และในปี พ.ศ. 2498 ชาวบ้านได้ร่วมกันก่อสร้างวัดหนองมะคัง โดยมีพระอาจารย์สายหยุดเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาได้มีการแต่งตั้งพระอาจารย์สีดาเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อ การศึกษายังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2500 ได้จัดตั้งโรงเรียนวัดหนองมะคังโดยอาศัยศาลาวัดเป็นสถานที่เรียน ครูใหญ่คนแรกคือ ครูสงัด กระต่ายน้อย ระบบการเรียนการสอนในยุคแรกปิด-เปิดเรียนตามวันโกนและวันพระ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาน้ำท่วมยังคงดำรงอยู่ ชาวบ้านจึงย้ายวัดขึ้นไปยังพื้นที่ที่สูงกว่าในปี พ.ศ. 2505 มีพระอาจารย์สมนึกเป็นเจ้าอาวาส และประชาชนย้ายตามขึ้นไปตั้งถิ่นฐานตามไร่ของตนเอง การตั้งถิ่นฐานแบบกระจัดกระจายนี้ก่อให้เกิดปัญหาในการติดต่อภายในหมู่บ้าน จึงมีการขุดถนนเพื่อการเดินทางภายในหมู่บ้าน ซึ่งในช่วงฤดูฝนต้องอาศัยเรือเป็นพาหนะ

ในปี พ.ศ. 2516 นายอินทร์ จันตูม ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน และได้ดำเนินการตัดถนนเชื่อมต่อหมู่บ้านกับอำเภอพรหมพิราม โดยประสานกับนิคมสร้างตนเองทุ่งสาน และต่อยอดเส้นทางเชื่อมกับหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น หมู่ที่ 5 ตำบลทับยายเชียง และเขาน้ำสุด โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ

ในปี พ.ศ. 2521 ได้มีการแยกหมู่บ้านบ้านไร่ (หมู่ที่ 3) และบ้านเขาน้ำสุด (หมู่ที่ 6) ออกจากบ้านหนองมะคัง และในปี พ.ศ. 2522 ตำบลทับยายเชียงแยกออกจากตำบลดงประคำ โดยนายอินทร์ จันตูม ได้รับเลือกเป็นกำนันคนแรกของตำบล และจัดตั้งสภาตำบลขึ้นในพื้นที่หมู่ที่ 4 บ้านหนองมะคัง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ขยายถนนสายหลัก และตัดถนนสายหลังวัดหนองมะคังเชื่อมต่อกับถนนสายพิษณุโลก–อุตรดิตถ์

เมื่อปี พ.ศ. 2538 มีพระราชบัญญัติยกฐานะสภาตำบลให้เป็นองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทับยายเชียง โดยให้แต่ละหมู่บ้านเลือกสมาชิก อบต. เข้ามาดำเนินงานหมู่บ้านละ 2 คน สมาชิก อบต. ชุดแรกของหมู่บ้านหนองมะคัง ได้แก่ นายชวน จันตูม และนายปัญญา แสนรัก ขณะนั้นนายลำดวน จันตูม ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน

ในปี พ.ศ. 2539 นายชวน จันตูม ได้เสนอของบประมาณผ่านสำนักงานเร่งรัดพัฒนาจังหวัดพิษณุโลก (ร.พ.ช.) โดยได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. ยิ่งพันธ์ มนะสิการ ทำให้มีการพัฒนาถนนลาดยางภายในหมู่บ้านจนแล้วเสร็จในปีเดียวกัน และมีการก่อสร้างเมรุด้วยเงินบริจาคจาก ส.ส. 3 คน คนละ 100,000 บาท รวม 300,000 บาท เสริมด้วยเงินจากสมาชิกสภาจังหวัดอีก 5,000 บาท ทำให้สามารถสร้างเมรุได้แล้วเสร็จในปีงบประมาณนั้น

ในปี พ.ศ. 2544 มีการขอรับบริจาคเพิ่มอีก 34,000 บาท เพื่อนำไปเทคอนกรีตรอบเมรุเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบพิธีกรรม

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา นายชวน จันตูม ได้ผลักดันการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น โดยเฉพาะ “ประเพณียกธงหลังสงกรานต์” ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านหนองมะคัง โดยร่วมกับชาวบ้านจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบต. ทับยายเชียงเป็นประจำทุกปี เพื่อรักษาและส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนี้ไว้

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของบ้านหนองมะคังจึงมิใช่เพียงการบันทึกเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของความพยายามของชุมชนในการฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยพลังของความร่วมแรงร่วมใจ การพึ่งตนเอง และการยึดโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

แผนที่เดินดิน

ชุมชนบ้านหนองมะคัง หมู่ที่ 4 ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก

แผนที่เดินดินเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และโครงสร้างของชุมชนหนึ่ง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง จากภาพแผนที่เดินดินของหมู่บ้านหนองมะคัง หมู่ที่ 4 จะเห็นว่าชุมชนแห่งนี้มีองค์ประกอบพื้นฐานที่ครบถ้วนต่อการดำรงชีวิตของคนในหมู่บ้าน และสะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรม วิถีชีวิตพื้นบ้าน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การสัญจรและโครงสร้างถนน

ถนนสายหลักในแผนที่เป็นถนนตัดผ่านกลางชุมชนในแนวตะวันตก-ตะวันออก โดยมีทิศทางการเดินทาง “ไปตำบลพรหมพิราม” ทางด้านซ้าย (ตะวันตก) และ “ไปตำบลดงประคำ” ทางด้านขวา (ตะวันออก) ถนนสายนี้เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่ชาวบ้านใช้ในการเดินทางไปยังตำบลใกล้เคียง รวมถึงใช้ในการขนส่งสินค้า การเข้าถึงสถานที่ราชการ และการเชื่อมโยงกับชุมชนรอบข้าง

พื้นที่ฝั่งซ้ายของถนน (ทิศเหนือ-ตะวันตก)

1. พื้นที่สีเขียวและทุ่งนาบริเวณด้านซ้ายบนของแผนที่จะเห็นว่ามีพื้นที่ว่างสีเขียว ซึ่งแสดงถึงทุ่งนา หรือพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านในชุมชน ที่นี่เป็นแหล่งทำมาหากินหลักของชาวบ้าน เนื่องจากวิถีชีวิตส่วนใหญ่ยังยึดโยงกับเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม เช่น การทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เป็นอาชีพเสริมที่ยังคงมีบทบาทอยู่ในปัจจุบัน

2. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)ตั้งอยู่ริมถนนฝั่งทิศตะวันตก เป็นสถานที่ให้บริการด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานแก่คนในชุมชน ทั้งการตรวจสุขภาพ การฉีดวัคซีน การรักษาเบื้องต้น และให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็ก และผู้หญิงตั้งครรภ์

3. บ้านเรือนของชาวบ้านบริเวณนี้จะเห็นบ้านหลายหลังตั้งอยู่กระจายตัวแสดงถึงลักษณะชุมชนแบบกระชับ แต่ไม่แออัด แต่ละบ้านจะอยู่ใกล้กัน ช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาและช่วยเหลือกันได้ง่าย บางบ้านอาจประกอบกิจการค้าขายหรือเกษตรกรรมควบคู่ไปด้วย

4. ร้านอาหารตามสั่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนในชุมชน เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ตอบสนองความต้องการด้านอาหารของคนในหมู่บ้าน ทั้งในช่วงกลางวันและเย็น ร้านนี้มีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและเพิ่มโอกาสทางอาชีพให้กับคนในพื้นที่

5. ชุมชน ม.4 บ้านหนองมะคังเป็นจุดศูนย์กลางของการใช้ชีวิตในพื้นที่นี้ สะท้อนถึงการจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง โดยมีบ้านเรือนล้อมรอบแหล่งสาธารณูปโภคสำคัญ

พื้นที่ฝั่งขวาของถนน (ทิศเหนือ-ตะวันออก)

6. มินิมาร์ทตั้งอยู่ด้านขวาบน เป็นร้านสะดวกซื้อที่จำหน่ายของใช้ประจำวัน ของกินของใช้ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นแหล่งซื้อของที่สะดวกสบายมากขึ้นโดยเฉพาะในปัจจุบันที่ความต้องการในการใช้สินค้าหลากหลายเพิ่มขึ้น

7. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองมะคังตั้งอยู่ถัดจากมินิมาร์ทลงมา เป็นสถานที่สำหรับดูแลเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กในชุมชนตั้งแต่วัยเยาว์ ถือเป็นการลงทุนทางสังคมที่สำคัญของชุมชน

8. โรงเรียนวัดหนองมะคังเป็นโรงเรียนประถมศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในการให้การศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ภายในบริเวณโรงเรียนยังมี ลานอเนกประสงค์ ซึ่งใช้เป็นสนามกีฬา พื้นที่ทำกิจกรรมนันทนาการ และการจัดงานของชุมชน เช่น งานปีใหม่ วันเด็ก หรือวันสำคัญทางศาสนา

9. วัดหนองมะคังตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของแผนที่ฝั่งขวา เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ที่นี่ใช้จัดงานประเพณีต่าง ๆ เช่น งานบุญ ประเพณีสงกรานต์ เข้าพรรษา ออกพรรษา และงานศพ ภายในวัดมี ศาลาวัด ที่ใช้ประชุมหรือจัดพิธีกรรม และยังมี กุฏิพระ ซึ่งเป็นที่พำนักของพระสงฆ์ในวัด

10. พิพิธภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองลาวครั่งวัดหนองมะคังเป็นแหล่งอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สำคัญของท้องถิ่น ที่นี่เก็บรวบรวมผ้าทอมือจากกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้คนรุ่นหลังเรียนรู้และสืบทอดต่อไป

แผนที่เดินดินของบ้านหนองมะคังสะท้อนให้เห็นถึงการวางผังชุมชนที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนในท้องถิ่น โดยมีความสมดุลระหว่างพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทางศาสนา การศึกษา สาธารณสุข และพื้นที่เศรษฐกิจขนาดย่อม ชุมชนแห่งนี้ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เช่น ผ้าทอลาวครั่ง ไว้ได้อย่างกลมกลืนกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยใหม่ ถือเป็นต้นแบบของชุมชนที่พัฒนาอย่างยั่งยืนและไม่ทิ้งรากเหง้าเดิมของตนเอง

ผังเครือญาติ – บทบาทตระกูลจำปาศักดิ์และจันตูมในการพัฒนาหมู่บ้าน

ผังเครือญาติของตระกูลจำปาศักดิ์และจันตูม ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผนภาพที่แสดงความสัมพันธ์ทางสายเลือดของสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นบันทึกแห่งคุณูปการของบุคคลในตระกูล ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาและรักษาวัฒนธรรมของชุมชน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ตำบลทับยายเชียง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

ต้นตระกูลกับการตั้งรกราก

ตระกูลนี้มีจุดเริ่มต้นจากสองพี่น้อง คือ ปั่น จำปาศักดิ์ และ นวน จำปาศักดิ์ ที่อพยพมาจากนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว มายังประเทศไทย พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกและตั้งรกรากในพื้นที่ จนก่อกำเนิดเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีลูกหลานหลายรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา สมาชิกของตระกูลนี้ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารและพัฒนาหมู่บ้านในเชิงนโยบายและวัฒนธรรม

กลุ่มผู้นำชุมชนที่เป็นทางการ

โครงสร้างผู้นำทางการในชุมชนบ้านหนองมะคังไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำแหน่งบริหารในระดับหมู่บ้านหรือองค์การบริหารส่วนตำบลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของคนในพื้นที่ที่มีต่อบุคคลจาก ตระกูลจำปาศักดิ์ และ ตระกูลจันตูม ซึ่งมีบทบาทอย่างต่อเนื่องในฐานะแกนนำหลักของการพัฒนาหมู่บ้านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หนึ่งในบุคคลสำคัญคือ ดำเนิน จำปาศักดิ์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลทับยายเชียง และอดีตรองนายก อบต.ทับยายเชียง ผู้เป็นผู้ริเริ่มการประสานของบประมาณสนับสนุนกิจกรรมชุมชนจาก อบต.ทับยายเชียง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ประเพณี “ยกธงหลังสงกรานต์” ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมประจำปีของหมู่บ้าน

ในขณะเดียวกัน อินทร์ จันตูม อดีตผู้ใหญ่บ้านในปี พ.ศ. 2516 และอดีตกำนันในปี พ.ศ. 2522 ถือเป็นบุคคลสำคัญในยุคบุกเบิกที่สร้างรากฐานการบริหารชุมชนด้วยความเสียสละ และวางแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้าน

ในรุ่นปัจจุบัน ความต่อเนื่องของการนำก็ยังปรากฏชัด ได้แก่:

  • พรวน จันตูมรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทับยายเชียง
  • นุชจนาท จำปาศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านที่มีบทบาททั้งด้านการบริหารและการสื่อสารชุมชน (ประธานกลุ่มข่าวชุมชน)
  • ลำดวน จันตูมอดีตผู้ใหญ่บ้านในปี พ.ศ. 2538
  • ชวน จันตูมสมาชิก อบต. ทับยายเชียงในช่วงเดียวกัน

บุคคลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมอาชีพ หรือการจัดสวัสดิการแก่ประชาชน ทั้งในเชิงนโยบายและการลงมือปฏิบัติจริง

ผู้ริเริ่มอนุรักษ์ประเพณี "ยกธงหลังสงกรานต์"

หนึ่งในผลงานสำคัญของตระกูลนี้ คือการเป็นผู้ริเริ่มเสนอของบประมาณสนับสนุนจาก อบต.ทับยายเชียง เพื่ออนุรักษ์ประเพณีพื้นบ้านสำคัญของหมู่บ้าน คือ "ยกธงหลังสงกรานต์" ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเพณีนี้เริ่มจะเลือนหายไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่

โดย นายชวน จันตูม (สมาชิกอบต.(พ.ศ.2538) ได้เป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดันให้องค์การบริหารส่วนตำบลจัดงบประมาณสนับสนุนประเพณีนี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และได้รับการร่วมมืออย่างดีจากครูในชุมชน เช่น วันเพ็ญ ยศปัญญา และ บุรัสกร จำปาศักดิ์ (ครูชำนาญการพิเศษ) ที่มีส่วนในการจัดกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรมร่วมกับนักเรียนในท้องถิ่น

ความสำคัญของผังเครือญาติในบริบทชุมชน

ผังเครือญาตินี้จึงมีคุณค่ามากกว่าการบอกว่าใครเป็นลูกหลานของใคร แต่มันสะท้อนถึง "รากเหง้าแห่งความรับผิดชอบต่อชุมชน" ของตระกูลจำปาศักดิ์และจันตูม ที่ลูกหลานของพวกเขาไม่ได้เพียงสืบทอดนามสกุล แต่ยังสืบทอดจิตวิญญาณแห่งความเสียสละ รับใช้ส่วนรวม และเคารพในวัฒนธรรมท้องถิ่น

ผังเครือญาติของตระกูลจำปาศักดิ์และจันตูมจึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ในฐานะเอกสารทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ไม่ใช่เพียงเพราะจำนวนสมาชิกที่มากมาย แต่เพราะทุกคนมีบทบาทร่วมกันในการพัฒนา รักษา และสืบสานชุมชนทับยายเชียงอย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนถึงพลังของครอบครัวที่เข้มแข็งซึ่งสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมรอบตัวได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลโครงสร้างองค์กรชุมชน

โครงสร้างองค์กรชุมชนบ้านหนองมะคัง เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของการบริหารจัดการในระดับชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยเกิดจากความร่วมมือของผู้นำหลายมิติ ทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำที่เป็นทางการ และเครือข่ายองค์กรชุมชนที่หลากหลาย ซึ่งร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

ผู้นำทางจิตวิญญาณ (ศาสนา)

บทบาทด้านจิตวิญญาณของชุมชนได้รับการดูแลและชี้นำโดย พระครูสุภกิจยากรณ์ (ศุภชัย) เจ้าอาวาสวัดหนองมะคัง และเจ้าคณะตำบลทับยายเชียง ท่านถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนทางศาสนาอย่างต่อเนื่อง โดยมี มณี สนเผดิม ในฐานะมัคนายก เป็นผู้ช่วยดำเนินกิจกรรมและประสานงานกับชุมชนในหลายด้าน

ผู้นำที่เป็นทางการ

ชุมชนมีผู้นำที่ดำรงตำแหน่งในระดับองค์กรปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ได้แก่

  • พรวน จันตูม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทับยายเชียง
  • นุชจนาท จำปาศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านทั้งสองท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำทางการที่มีประสบการณ์สูงและได้รับความไว้วางใจจากคนในชุมชนในการขับเคลื่อนนโยบายและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

เครือข่ายกลุ่มองค์กรชุมชน

องค์กรชุมชนในพื้นที่บ้านหนองมะคังมีความหลากหลาย และเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการอนุรักษ์วัฒนธรรม โดยแต่ละกลุ่มมีผู้นำที่รับผิดชอบชัดเจน ได้แก่:

  1. กลุ่มข้าวชุมชนมี นุชจนาท จำปาศักดิ์ เป็นประธาน ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้และเย็บผ้านำโดย วรัญญา แสนรักษ์ ส่งเสริมอาชีพและรายได้
  3. กลุ่มเกษตรปลอดภัยมี พะเยาว์ พิลึก เป็นประธาน สนับสนุนแนวคิดเกษตรอินทรีย์
  4. กลุ่มเกษตรหนองมะคังผักในมุ้งดำเนินการโดย ศิริพร กลึงเยี่ยม เน้นการปลูกผักปลอดสารเคมี
  5. กลุ่มแตงโม บ้านหนองมะคัง– มี ณัฐสุดา ดวงชื่น เป็นผู้นำส่งเสริมแตงโมและเมล่อนในช่วงเว้นว่างจากการทำนา
  6. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนไม้ปิ้งไก่บ้านหนองมะคัง– ดำเนินการโดย ประสาท จันตูม
  7. กลุ่มอสม. และกลุ่มสตรีบ้านหนองมะคัง – มี จิรภิญญา ชาญชิต เป็นประธาน ดูแลด้านสุขภาพและส่งเสริมบทบาทสตรี
  8. กลุ่มเครือข่ายผู้สูงอายุ – โดย มณี สนเผดิม เป็นประธาน สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างรุ่น
  9. กลุ่มสภาวัฒนธรรมตำบลฯ – มี ไพฑูรย์ ชาญชิต เป็นผู้นำ ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม
  10. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกร – นำโดย จรัญ ชาญชิต สร้างรายได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
  11. กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ – มี ประสิทธิ์ สอนสุภาพ เป็นประธาน ดูแลสมาชิกในด้านสวัสดิการ

โครงสร้างองค์กรชุมชนบ้านหนองมะคังแสดงให้เห็นถึงระบบการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น โดยมีผู้นำจากหลากหลายภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งในมิติของจิตวิญญาณ การบริหารราชการ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้วยความร่วมมือของกลุ่มองค์กรชุมชนที่เชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น ทำให้บ้านหนองมะคังก้าวไปสู่การเป็นชุมชนที่เข้มแข็งและยั่งยืน

ปฏิทินชุมชน

ปฏิทินชุมชนสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านหนองมะคัง ที่มีการจัดกิจกรรมทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมตลอดทั้งปีอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่ล้วนเป็นผลจากความร่วมมือของครอบครัว ชุมชน และองค์กรท้องถิ่นที่เข้มแข็ง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิตและอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

ปฏิทินเศรษฐกิจ

ในด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ผสมผสานระหว่างเกษตรกรรม การค้าขาย และอาชีพฝีมือในครัวเรือนอย่างหลากหลายตลอดปี

  • การทำนา เป็นกิจกรรมหลักในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นฤดูฝนและเหมาะสมกับการเพาะปลูกข้าว อาชีพนี้ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของครอบครัวในพื้นที่
  • การปลูกพืชผักสวนครัว โดยเฉพาะในรูปแบบ “ผักในมุ้ง” และ “เกษตรปลอดภัย” ถือเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ตลอดทั้งปี (มกราคมถึงธันวาคม) เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารและรายได้เสริมที่มั่นคงและดูแลง่าย
  • ผลไม้ในครัวเรือน เช่น มะยงชิด ขนุน มะม่วง และมะปราง จะให้ผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งชาวบ้านสามารถนำไปบริโภคและจำหน่ายได้
  • แตงโมและเมล่อน เป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลผลิตมีคุณภาพดีและตลาดมีความต้องการสูง
  • อาชีพค้าขายและรับจ้างทั่วไป เป็นอาชีพที่พบได้ตลอดทั้งปี สะท้อนถึงความขยันขันแข็งของชาวบ้านที่มองหาโอกาสสร้างรายได้อย่างไม่หยุดนิ่ง
  • การผลิตไม้ปิ้งไก่และการเย็บผ้าโหล เป็นอาชีพเสริมในครัวเรือนที่สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องทั้งปี ช่วยสร้างรายได้ประจำให้กับครอบครัวในยามว่างจากฤดูเกษตร

ปฏิทินวัฒนธรรม

ชาวบ้านหนองมะคังยังมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาอย่างแน่นแฟ้น โดยตลอดทั้งปีจะมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่มีความหมายและแฝงไว้ด้วยคุณค่าทางจิตใจ

  • ประเพณีทำขวัญข้าวและบวชพระฤดูร้อน มักจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม เป็นการแสดงความเคารพต่อธรรมชาติและเตรียมพร้อมสำหรับฤดูเพาะปลูก
  • ประเพณีสงกรานต์และยกธงหลังสงกรานต์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ จัดในเดือนเมษายน ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ไทย แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะ ประเพณียกธงหลังสงกรานต์ ที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่ได้รับการอนุรักษ์และส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่องด้วยการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบล
  • ประเพณีเข้าพรรษาและออกพรรษา ในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม ตามลำดับ เป็นกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ส่งเสริมคุณธรรมในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน
  • ประเพณีลอยกระทง ในเดือนพฤศจิกายน เป็นโอกาสสำคัญในการแสดงความขอบคุณต่อธรรมชาติและร่วมกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานให้กับคนทุกเพศทุกวัยในชุมชน

จากปฏิทินกิจกรรมทั้งสองด้านนี้ จะเห็นได้ว่า ชุมชนบ้านหนองมะคังมีวิถีชีวิตที่สมดุลระหว่าง “การดำรงชีพ” กับ “การธำรงวัฒนธรรม” เป็นรูปแบบของชุมชนที่ใช้ความรู้ ภูมิปัญญา และพลังร่วมของคนในพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในวิถีชีวิตของตนเอง

ประวัติชีวิตบุคคล: พระครูสุภกิจชยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหนองมะคัง และเจ้าคณะตำบลทับยายเชียง ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนบ้านหนองมะคัง

พระครูสุภกิจชยาภรณ์ เป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาชุมชนบ้านหนองมะคังทั้งในด้านศาสนา การศึกษา และสังคม โดยท่านเกิดในปี พ.ศ. 2521 ณ จังหวัดพิษณุโลก จบการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับxระถมศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลพิษณุโลก (ป.1-6)  ระดับมัธยมฯ ต้น (ม.1-3) ที่ โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา และระดับ ปวช.1-3: ณ วิทยาลัยพณิชยการบึงพระพิษณุโลก (จบ พ.ศ. 2540)จากนั้นได้ศึกษาต่อในสายธรรมะและวิชาการจนสำเร็จระดับอุดมศึกษา

จุดเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้และปูพื้นฐานการพัฒนา

ในช่วงวัยเด็ก ท่านพระครูมีความสนใจในธรรมะและช่วยเหลืองานในครอบครัวอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2541 ที่ท่านช่วยแม่ขายอาหารที่ Topland Plaza และได้มีประสบการณ์การทำงานกับแบรนด์ ELLE HOMME ซึ่งส่งผลให้ท่านเรียนรู้ และได้ประสบการณ์งานเอกสาร/ เช็คสต๊อก/สโตร์/ความคิดสร้างสรรค์/ออกแบบบูท/ บุคลิกภาพ

เมื่ออายุ 22 ปี ท่านตัดสินใจบวชและเริ่มต้นเส้นทางแห่งศาสนาอย่างมั่นคง และได้เดินทางไปศึกษาธรรมและแนวคิดการพัฒนาชุมชน โดยในปี พ.ศ.2545 ย้ายไปจำวัดที่ วัดสระบ่อแก้ว จ.แพร่ และเข้าเรียนต่อปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ (การเมืองการปกครอง) มจร. แพร่ เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้สู่การพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง โดยที่ มจร.นี้เองที่ท่านได้แนวคิดจากระบบพี่สอนน้อง/ แบ่งงานกันทำ/ปิดเทอมต้องมีงานด้านการพัฒนา 1 โครงการ/ เริ่มโครงงานด้านพัฒนาชุมชน

ยุคแห่งการพัฒนาชุมชนผ่านศาสนา

พระครูสุภกิจชยาภรณ์ เป็นพระนักพัฒนาที่มีบทบาทสำคัญในการสืบสานวัฒนธรรม และพัฒนาชุมชนบ้านหนองมะคัง จังหวัดพิษณุโลก ท่านเริ่มต้นเส้นทางแห่งการพัฒนาในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2545-2549 ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดสระบ่อแก้ว จังหวัดแพร่ และศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ (การเมืองการปกครอง) ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) จังหวัดแพร่ โดยในระหว่างเรียน ท่านได้ฝึกฝนการทำโครงการพัฒนาชุมชนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการผ้าป่าขยะ พาหุ พนาล และโครงการธรรมะสัญจร ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดถึง 5,000 บาท

ช่วงเวลานี้เองที่ท่านเริ่มสนใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา มีการริเริ่มฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่น เช่น ประเพณีนางกูลโลน และงานบวชลูกแก้ว (ปอยส่างลอง) โดยได้รับแรงบันดาลใจจากงานตักบาตรเที่ยงคืน (วันเป็งปุ๊ด) ณ วัดอุปคุต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งโครงการบวชลูกแก้วได้รับงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 150,000 บาท และได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากชุมชนและจังหวัด จนสามารถถอดแบบเป็น Model พัฒนาชุมชนในเวลาต่อมา

ยุคแห่งการขยายผลและเชื่อมโยงกับภายนอก

เมื่อถึงปี พ.ศ. 2550 ท่านได้กลับมายังจังหวัดพิษณุโลกตามคำชักชวนของพระอุปัชฌาย์และคำแนะนำจากโยมพ่อโยมแม่ ท่านได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองมะคัง และเจ้าคณะตำบลทับยายเชียง พร้อมทั้งเริ่มศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ (นโยบายสาธารณะ) ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร

ในช่วง พ.ศ. 2551-2553 ท่านเริ่มศึกษาและเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีของชาวลาวครั่งในพื้นที่หนองมะคัง โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ การสืบค้นข้อมูลทางวิชาการ การดูงานพิพิธภัณฑ์ เช่น พิพิธภัณฑ์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์ผ้า มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงการเก็บรวบรวมผ้าทอ เครื่องใช้พื้นบ้าน ภาพถ่ายโบราณ และข้อมูลเครือญาติของชาวลาวครั่งในจังหวัดอื่น ๆ เช่น สุพรรณบุรี ชัยนาท อุทัยธานี และพิจิตร

ผลจากกระบวนการศึกษานี้ นำไปสู่การก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวครั่ง ณ วัดหนองมะคัง ในปี พ.ศ. 2553 โดยได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ดล มหาวิทยาลัยนเรศวร ท่านยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ เพื่อผลักดันกิจกรรมวัฒนธรรม อาทิ การส่งเสริมผ้าขาวม้าเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น และการส่งเสริม “ไส้กรอก” เป็นอาหารพื้นถิ่นของลาวครั่ง

สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้และชุมชนต้นแบบ

ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2567-2568 พระครูสุภกิจชยาภรณ์ ได้เชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานหลายภาคส่วน ทั้งด้านวิชาการและภาคเอกชน เพื่อยกระดับและต่อยอดกิจกรรมวัฒนธรรมของชาวลาวครั่ง โดยได้รับงบสนับสนุนจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ และความร่วมมือทางวิชาการจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รวมถึงนักวิชาการ อาทิ ดร.ศุภสิทธิ์ ต๊ะนา, ผศ.ดร. กมเลศ โพธิกนิษฐ และ รศ.ดร. พนิดา จงสุขสมสกุล จากมหาวิทยาลัยนเรศวร

ในช่วงเวลานี้ ได้มีการส่งเสริมและสื่อสารเรื่องอัตลักษณ์ของลาวครั่ง ผ่านการจัดทำคลิปประชาสัมพันธ์ (PR) โดยเน้นการสืบสานและยกระดับเอกลักษณ์ท้องถิ่นใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ประเพณี เช่น ประเพณียกธงหลังสงกรานต์ 2) เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะผ้าขาวม้า 3) อาหารพื้นถิ่น เช่น ไส้กรอกลาวครั่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สะท้อนตัวตนของชุมชนอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ ยังได้รับคำแนะนำจากสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรม อำเภอพรหมพิราม ให้ส่งเสริม "ประเพณียกธงหลังสงกรานต์" ให้เป็นประเพณีท้องถิ่นที่โดดเด่นของชาวลาวครั่งในพื้นที่

ท่านได้ตั้งเป้าหมายให้วัดหนองมะคังเป็นต้นแบบของการพัฒนาชุมชนเชิงบูรณาการ โดยมีการเตรียมแผนต่อยอดในระยะปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะเน้นการสร้างเครือข่ายกับบริษัทและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับชุมชน

พระครูสุภกิจชยาภรณ์ยังคงมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้ประเพณียกธงหลังสงกรานต์ของชาวลาวครั่งบ้านหนองมะคัง สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยชุมชนเอง ผ่านการระดมทุน การสื่อสารสร้างจิตสำนึกรักบ้านเกิด และการเชื่อมโยงข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อการเรียนรู้รากเหง้าและอัตลักษณ์ของชาวลาวครั่งอย่างแท้จริง

ทุนและความท้าทายของชุมชนลาวครั่ง บ้านหนองมะคัง

ชุมชนลาวครั่ง บ้านหนองมะคัง เป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งด้านทุนทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางทุนเหล่านี้ ชุมชนยังเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้านที่ต้องเผชิญและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

1. ทุนทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองชุมชนมีทุนทางสังคมที่เข้มแข็ง เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มองค์กรชุมชนที่มีส่วนร่วมในการจัดการตนเอง และเครือข่ายสภาวัฒนธรรมตำบลที่คอยสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกันยังมีการยกระดับองค์กรการเกษตรซึ่งช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

2. ทุนทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชาวบ้านหนองมะคังมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมายาวนาน เช่น ภูมิปัญญาด้านประเพณี อาหาร ศิลปะ และการแสดง ตลอดจนการผลิตสินค้าชุมชนที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชาวลาวครั่ง เช่น การทำไก่ลาวครั่ง ดนตรีโทนลาว และการฟ้อนรำแบบดั้งเดิม

3. ทุนทางศาสนาและประวัติศาสตร์วัดหนองมะคังและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาติพันธุ์ลาวครั่งเป็นศูนย์กลางสำคัญที่หล่อหลอมความเชื่อ ความศรัทธา และการถ่ายทอดคุณค่าทางวัฒนธรรม ทั้งในมิติศาสนาและประวัติศาสตร์ของชุมชน

ทุนของชุมชนลาวครั่ง บ้านหนองมะคัง มิได้จำกัดอยู่เพียงวัตถุหรือทรัพยากรทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่รวมถึงทุนทางสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และศรัทธา ซึ่งเป็นรากฐานที่หล่อหลอมชุมชนให้มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว 

ภาษาลาวครั่งของคนลาวครั่ง เป็นภาษาที่จะจัดอยู่ในตระกูลไท-กะได (Tai-Kadai Language Family) คล้ายคลึงกับภาษาลาวในแถบภาคเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น แขวงหลวงพระบาง แขวงไชยบุรี รวมทั้งภาษาพูดที่พูดในจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดเลย ซึ่งอยู่ใกล้กับแขวงดังกล่าว นอกจากนี้ยังคล้ายคลึงกับภาษานครไทย ภาษาที่พูดเป็นส่วนใหญ่ในอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก (มยุรี ถาวรพัฒน์, 2548, หน้า 10-11) ทั้งนี้ภาษาลาวครั่งมีเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และวรรณยุกต์สูง กลาง ต่ำ เหมือนกับภาษาไทย และภาษาอื่น ๆ ทั่วไป แต่ลักษณะเด่นของภาษาลาวของชาวลาวครั่ง ที่แตกต่างจากภาษาลาวของกลุ่มอื่น ๆ นั้นก็คือ เสียง สำเนียง คำลงท้าย ก็เป็นลักษณะเด่นและเฉพาะตัวของชาวลาวครั่งเป็นเอกลักษณ์ทางภาษาของกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น ภาษาไทยจะพูดว่าอะไรนะ ลาวครั่งจะพูดว่าอิหญังเก๊าะ คำว่าดูซินั่นในภาษาไทย ในภาษาลาวครั่งจะพูดว่าเพิ่งติ๊ล่ะ เป็นต้น (มยุรี ถาวรพัฒน์ และเอมอร เชาว์สวน, 2548)


    • ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองแม้จะมีความเข้มแข็งของทุนสังคม แต่ชุมชนยังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากร ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในพื้นที่ และข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรของกลุ่มเปราะบาง การจัดสรรทรัพยากรยังต้องอาศัยความเป็นธรรมและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ปรากฏในด้านต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์และบูรณาการ เพื่อรักษาทุนเดิมไว้ และต่อยอดสู่การพัฒนาที่มั่นคง ยั่งยืน และยึดโยงกับชุมชนอย่างแท้จริง


  • ความท้าทายด้านเศรษฐกิจชุมชนต้องพัฒนาแผนการตลาดให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยเฉพาะการสร้างรายได้จากสินค้าที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นผนวกกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวครั่งสามารถเป็นจุดดึงดูดที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยื

  • ความท้าทายด้านการศึกษาและการส่งต่อภูมิปัญญามีความจำเป็นต้องส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ การจัดเวทีถ่ายทอดความรู้ และการผลิตสื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่าย เพื่อส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง
  • ความท้าทายด้านการพัฒนาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิม เช่น งานบุญ งานประเพณี หรือวัตถุทางวัฒนธรรม ต้องมีการบูรณาการร่วมกับเยาวชน เพื่อปลูกฝังความรู้สึกเป็นเจ้าของและรักษาอัตลักษณ์ของตนในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

  • ความท้าทายด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ป่าไม้ และที่ทำกิน จำเป็นต้องอยู่บนหลักการพึ่งพาอย่างยั่งยืน การส่งเสริมเกษตรกรรมที่เคารพระบบนิเวศ และการพัฒนาเครือข่ายการจัดการร่วมกับชุมชนอื่น ๆ คือหัวใจของการพัฒนาอย่างมีดุลยภาพ
  • ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน: สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ความทรงจำ และรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตำบลทับยายเชียง

ในโครงสร้างสังคมชนบทไทยที่ยังคงยึดโยงอยู่กับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและพลังศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ศาลเจ้าพ่อขุนด่านแห่งตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จึงมีสถานะสำคัญในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณของชุมชน และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของความศรัทธาร่วมที่มีการธำรงสืบต่อมาหลายชั่วรุ่น

ศาลเจ้าพ่อขุนด่านไม่ได้เป็นเพียงอาคารไม้ยกพื้นหลังเล็ก หากแต่เป็น “พื้นที่ความทรงจำ” ที่สะท้อนปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับอดีต ชื่อของ “เจ้าพ่อขุนด่าน” ปรากฏอยู่ในคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า เป็นผู้นำชุมชนยุคบุกเบิก หรือในบางสำนวนท้องถิ่น เชื่อว่าเป็นขุนศึกคนสำคัญในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้มีบทบาทในการควบคุมด่านและเส้นทางยุทธศาสตร์ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ความเชื่อนี้นำไปสู่การจัดตั้งศาลเพื่อเป็นสถานที่เคารพบูชา และเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อประสบเคราะห์กรรมหรือภาวะไม่มั่นคงในชีวิต

ศาลแห่งนี้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญประจำปี โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝน ชาวบ้านจะพร้อมใจกันจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อขุนด่าน โดยเครื่องเซ่นประกอบด้วยอาหารพื้นบ้าน เช่น หัวหมู ข้าวปลาอาหาร ผลไม้ ธูปเทียน และผ้าขาวม้า ซึ่งถือเป็นวัตถุแทนศรัทธา พิธีกรรมดำเนินไปในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มีเสียงสวดและการตีกลองสะท้อนจังหวะแห่งการเชื่อมโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดฝนตกตามฤดูกาล นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็น และการปกปักรักษาชุมชนจากภัยต่าง ๆ

นอกเหนือจากความหมายทางจิตวิญญาณแล้ว ศาลเจ้าพ่อขุนด่านยังเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนในชุมชน ครูในโรงเรียนท้องถิ่นได้นำศาลแห่งนี้มาใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ภาคสนามในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ศาสนา และความเชื่อพื้นบ้าน เด็กนักเรียนได้สัมผัสกับพิธีกรรมจริง ได้สอบถามผู้สูงวัยเกี่ยวกับตำนานท้องถิ่น และได้ตระหนักถึงบทบาทของศรัทธาในการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นแนวทางการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างทฤษฎีกับชีวิตจริง

ในมิติทางมานุษยวิทยา ศาลเจ้าพ่อขุนด่านสามารถอธิบายได้ว่าเป็น “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” (sacred space) ที่มีบทบาทในการธำรงโครงสร้างทางสังคมผ่านความเชื่อร่วมและพิธีกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การดำรงอยู่ของศาลจึงมิใช่เพียงผลผลิตของความเชื่อเชิงศาสนา หากแต่เป็นเครื่องมือในการธำรงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มลาวครั่ง ซึ่งมีรากเหง้าความเชื่อเกี่ยวกับ “ผีฟ้า” และ “ผีเจ้าที่” ที่หลอมรวมกับพุทธศาสนาอย่างกลมกลืน ศาลจึงเป็นพื้นที่ต่อรองทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชุมชนในการปรับตัวและธำรงคุณค่าดั้งเดิมท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม

กล่าวโดยสรุป ศาลเจ้าพ่อขุนด่านมิได้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างหรือตำนาน หากแต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่จับต้องได้ เป็นแหล่งรวมของความเชื่อ ความทรงจำ และอัตลักษณ์ของชุมชนที่มีพลังในการธำรงอดีต เชื่อมโยงกับปัจจุบัน และส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมสู่อนาคต

  • พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวครั่ง วัดหนองมะคัง: พื้นที่แห่งความทรงจำ อัตลักษณ์ และการเรียนรู้ของชุมชน

ภายในบริเวณวัดหนองมะคัง บ้านหนองมะคัง หมู่ที่ 4 ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก มีอาคารไม้หลังหนึ่งที่ภายนอกอาจดูเรียบง่าย หากแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยวัตถุ สิ่งของ และเรื่องเล่าที่สะท้อนประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นี้มายาวนาน อาคารแห่งนี้คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวครั่ง วัดหนองมะคัง ซึ่งถือเป็น “พื้นที่แห่งความทรงจำ” และ “ห้องเรียนทางวัฒนธรรม” ของชุมชนอย่างแท้จริง

การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มิได้เกิดจากนโยบายส่วนกลางหรือหน่วยงานรัฐ หากแต่เกิดจากพลังร่วมของชุมชน โดยเฉพาะผู้นำวัด ผู้นำท้องถิ่น และผู้สูงวัยในหมู่บ้าน ที่เห็นพ้องกันว่าความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมลาวครั่งที่เคยถ่ายทอดกันแบบปากเปล่าและผ่านการปฏิบัติกำลังจะเลือนหายไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม การรวมรวมวัตถุ เครื่องใช้ และสิ่งของที่เคยใช้ในชีวิตประจำวัน จึงไม่ใช่เพียงการเก็บของเก่า หากคือการเก็บรักษาอัตลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และความทรงจำร่วมของคนในชุมชน

ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยวัตถุพื้นบ้านหลากหลายประเภท ทั้งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ไปจนถึงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม วัตถุเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนภูมิปัญญาในการใช้วัสดุธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์ แต่ยังเชื่อมโยงกับระบบคุณค่าของสังคมลาวครั่ง เช่น ความกตัญญู การอยู่อย่างพอเพียง และการเคารพผีบรรพชน ทั้งนี้ องค์ประกอบหลักของพิพิธภัณฑ์ สามรถแบ่งออกได้เป็น

1. กลุ่มวัตถุเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น หม้อดิน หวดนึ่งข้าวเหนียว กระบุง ฟืมทอผ้า ครกกระเดื่อง โม่หิน ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้วัสดุพื้นถิ่นอย่างไม้ไผ่ ดินเหนียว หรือเส้นใยจากต้นปอ

2. ผ้าทอพื้นบ้านและเครื่องแต่งกายลาวครั่ง โดยเฉพาะ ผ้าขาวม้า และ ผ้าจกตีนซิ่น ที่แสดงให้เห็นถึงรหัสวัฒนธรรมเรื่องเพศ วัย สถานภาพ และพิธีกรรม ผ้าขาวม้าเป็นวัตถุพหุวัตถุประสงค์ที่ใช้ตั้งแต่เกิดจนตาย และมีรูปแบบลวดลายที่สื่อถึงสถานภาพของผู้ใช้ เช่น ตาถี่สำหรับวัยหนุ่มสาว ตาห่างสำหรับผู้มีครอบครัว

3. ภาพถ่ายประวัติศาสตร์และเอกสารท้องถิ่นแสดงภาพบุคคลสำคัญของหมู่บ้าน งานบุญต่างๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นที่ในช่วง 70–80 ปีที่ผ่านมา

4. มุมแสดงเครื่องมือทางพิธีกรรมและความเชื่อเช่น พานบายศรี เครื่องเซ่นบูชา เครื่องเขียนชื่อบรรพชน ฯลฯ ซึ่งบอกเล่าความเชื่อเรื่องผีฟ้า ผีปู่ย่า และการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับพุทธศาสนาในบริบทของลาวครั่ง

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งนี้ยังเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชน ที่มีชีวิต (Living Museum) แก่โรงเรียนและเยาวชนในพื้นที่ โดยครูท้องถิ่นได้นำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงบูรณาการ เช่น การให้เด็กศึกษาวัตถุแต่ละชิ้นแล้วเขียนเล่าเรื่อง การสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่เกี่ยวกับการใช้สิ่งของในอดีต หรือการจำลองพิธีกรรมเพื่อให้เข้าใจรากวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง กิจกรรมเหล่านี้เป็นการเรียนรู้แบบประสบการณ์ตรง (experiential learning) ที่ช่วยปลูกฝังความภาคภูมิใจในท้องถิ่น และกระตุ้นการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์ในระดับชุมชน

ในเชิงมานุษยวิทยา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดของ James Clifford เรื่อง “museums as contact zones” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ผู้คนจากกลุ่มต่าง ๆ มาเจอกัน เรียนรู้ อธิบาย และต่อรองความหมายของวัตถุทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน พิพิธภัณฑ์ยังทำหน้าที่เป็น “พื้นที่สร้างอัตลักษณ์” (Identity Space) ที่มิใช่เพียงเก็บของเก่า แต่เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านมีบทบาทในการนิยามตัวตนของตนเองในฐานะ “ลาวครั่ง” ท่ามกลางบริบทโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พิพิธภัณฑ์จึงมิใช่เพียงสถานที่จัดแสดงของเก่า แต่เป็นเวทีสำหรับการสนทนา การตีความ และการส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต (living heritage)

กล่าวโดยสรุป พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวครั่ง วัดหนองมะคัง คือรากฐานของการธำรงอัตลักษณ์ชุมชนผ่านวัตถุ ความทรงจำ และความรู้ท้องถิ่น เป็นพื้นที่ที่หลอมรวมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เป็นแหล่งเรียนรู้ระหว่างรุ่นสู่รุ่น และเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าชุมชนสามารถจัดการมรดกของตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ

  • วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น: ไส้กรอกพริกแกงลาวครั่ง: อัตลักษณ์ในรสชาติและวัฒนธรรมการกินของกลุ่มชาติพันธุ์

ในวิถีชีวิตของชาวลาวครั่งซึ่งตั้งรกรากในภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยมาแต่โบราณ อาหารไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานเพื่อยังชีพ แต่ยังเป็นเครื่องมือสื่อสารอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ความเชื่อ ความทรงจำ และระบบคุณค่าทางสังคม อาหารพื้นบ้านอย่าง “ไส้กรอกพริกแกงลาวครั่ง” จึงมิได้มีความหมายเฉพาะด้านรสชาติเท่านั้น หากยังเป็น “วัตถุวัฒนธรรม” (material culture) ที่สะท้อนโลกทัศน์ของชุมชน

ไส้กรอกพริกแกงลาวครั่งมีลักษณะพิเศษ คือเป็นไส้กรอกหมูยัดไส้ด้วยพริกแกงโขลกสด ซึ่งมีเครื่องสมุนไพรท้องถิ่น เช่น ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง พริกแห้ง และใบมะกรูด จุดเด่นอยู่ที่การใช้เนื้อหมูสามชั้นสับหยาบผสมกับมันหมู และไม่มีการใช้วัตถุกันเสียหรือสารแต่งกลิ่นใดๆ ทั้งสิ้น โดยพริกแกงที่ใช้มักเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละครัวเรือน และจะมีรสเผ็ดร้อนจัดจ้านตามแบบฉบับของอาหารกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำไร่ทำนา

ไส้กรอกชนิดนี้มักทำในช่วงเทศกาล หรือในงานบุญ โดยเฉพาะช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว เช่น ประเพณียกธงหลังสงกรานต์ ซึ่งผู้หญิงในครอบครัวจะรวมกลุ่มกันโขลกพริกแกง ยัดไส้ ตากลม และย่างด้วยเตาถ่านอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของเครื่องแกงที่ไหม้นิดๆ กับมันหมูที่เยิ้มออกจากไส้กรอกขณะย่าง เป็นภาพที่ฝังแน่นในความทรงจำของหลายครอบครัวในชุมชน

ในเชิงมานุษยวิทยา ไส้กรอกพริกแกงสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็น “cultural text” ที่ผู้คนเขียนเรื่องราวของตนผ่านการเลือกวัตถุดิบ วิธีการปรุง และการกินร่วมกันบนวงข้าว การปรุงไส้กรอกนี้ยังสะท้อนโครงสร้างทางเพศภายในครัวเรือน เพราะเป็นงานที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญ และแสดงถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ข้ามรุ่นแบบไม่เป็นทางการ (informal learning) ในครัว

ปัจจุบัน ไส้กรอกพริกแกงลาวครั่งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น และบางชุมชนได้นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านหนองมะคัง ที่มีการแปรรูปบรรจุสูญญากาศ ติดฉลากยี่ห้อ พร้อมเล่าเรื่องวัฒนธรรมผ่านบรรจุภัณฑ์ กลายเป็น “soft power” ท้องถิ่นที่สะท้อนความภาคภูมิใจในรากเหง้า

1. วัตถุดิบ (ตามสูตรพื้นบ้านของลาวครั่งบ้านหนองมะคัง)

(1) ส่วนผสมสำหรับตัวไส้กรอก

·       เนื้อหมูสามชั้นสับหยาบ

·       มันหมูแข็ง (หั่นเต๋าเล็ก)

·       พริกแกงลาวครั่ง

·       เกลือ

·       น้ำปลา

·       ผงปรุงรส

·       ข้าวสุก

·       ไส้หมู

(2) เครื่องพริกแกงพื้นบ้านลาวครั่ง

·       พริกแห้งเม็ดใหญ่

·       ข่าอ่อนซอย

·       ตะไคร้ซอย

·       หอมแดง

·       กระเทียมไทย

·       ผิวมะกรูดซอย

·       รากผักชี

·       เกลือเม็ด (ตำรวมกันให้ละเอียดในครก)

2. วิธีการทำ (ลำดับขั้นตอนตามภูมิปัญญาชาวบ้าน)

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมไส้หมู

·       ล้างไส้หมูให้สะอาดโดยกลับด้านในออก

·       ขยำด้วยแป้งมันหรือเกลือแล้วล้างหลายรอบจนหมดกลิ่น

·       แช่ไส้ในน้ำสะอาดหรือน้ำมะนาวเจือจางประมาณ 10–15 นาที แล้วพักไว้

ขั้นตอนที่ 2: โขลกพริกแกง

·       โขลกเครื่องพริกแกงทั้งหมดในครกให้ละเอียดตามลำดับ: พริกแห้ง เกลือ ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ผิวมะกรูด รากผักชี

·       เมื่อเนื้อพริกแกงละเอียดและเข้ากันดี พักไว้

ขั้นตอนที่ 3: ผสมไส้กรอก

·       นำเนื้อหมูสามชั้น มันหมู และพริกแกงมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน

·       เติมเกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส (หากใช้) และข้าวสุก

·       ใช้มือ (สวมถุงมือ) นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ 30 นาที

ขั้นตอนที่ 4: ยัดไส้

·       ใช้กรวยหรือขวดพลาสติกตัดครึ่งสำหรับยัดไส้

·       นำไส้หมูที่เตรียมไว้สวมกับปากกรวย แล้วใช้มือกดไส้กรอกพริกแกงลงไปให้แน่นพอประมาณ

·       มัดปลายด้วยเชือกหรือแบ่งเป็นท่อนๆ ตามความยาวที่ต้องการ

ขั้นตอนที่ 5: ตากลมหรืออบแห้ง (ถ้าต้องการเก็บไว้)

·       นำไส้กรอกที่ยัดเรียบร้อยไปแขวนตากลมในที่มีลมพัดผ่านดี ประมาณ 4–6 ชั่วโมง

·       หรือใช้เครื่องอบลมร้อนเพื่อเร่งให้ไส้กรอกแห้งเล็กน้อยก่อนนำไปย่าง

ขั้นตอนที่ 6: ย่าง

·       ใช้เตาถ่านไฟอ่อน–ปานกลาง ย่างไส้กรอกให้สุกโดยกลับด้านบ่อยๆ จนหนังไส้กรอกตึงและแตกมัน

·       กลิ่นหอมของพริกแกงและสมุนไพรจะโชยออกมาอย่างชัดเจน

·       เสิร์ฟคู่กับข้าวเหนียว ผักสด หรือพริกทอดตามแบบฉบับลาวครั่ง

หมายเหตุทางวัฒนธรรม ในบางบ้านจะทำไส้กรอกพริกแกง โดยเฉพาะ ประเพณียกธงหลังสงกรานต์เพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ และแสดงออกถึงการรวมญาติในครัวเดียวกัน นอกจากนี้ การทำไส้กรอกพริกแกงนี้ยังถือเป็นกุศโลบาย ในงาน “ลงแขก” ในอดีต ที่ต้องใช้แรงหลายคน โดยเฉพาะผู้หญิงจะทำหน้าที่โขลกพริก ยัดไส้ และย่างอย่างพร้อมเพรียง

  • ประเพณียกธงหลังสงกรานต์: พิธีกรรมแห่งศรัทธา อัตลักษณ์ และความสามัคคีของชุมชนบ้านหนองมะคัง ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม

ประเพณียกธงหลังสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมพื้นบ้านสำคัญที่สะท้อนถึงความศรัทธา ความเชื่อ และความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านหนองมะคัง หมู่ที่ 4 ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 18 เมษายน หรือวันสุดท้ายของการเล่นสงกรานต์ของตำบล โดยมีเป้าหมายเพื่อขอพรจากเทวดา ฟ้าฝน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ค้าขาย และส่งเสริมความสงบสุขในชีวิตของประชาชน

เสาธง หรือ “ต้นธง” ที่ใช้ในพิธี มีลักษณะเป็นเสาไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้จากชุมชน โดยตกแต่งด้วยธงหลากสี ผ้าป่า ผ้าขาวม้า ตุง และของถวายวัดอื่น ๆ ตลอดจนการประดับประดาอย่างวิจิตร ชาวบ้านจากทั้ง 6 หมู่บ้านในตำบลจะช่วยกันจัดทำและตกแต่งเสาธงที่บ้านตนเองก่อนจะจัดขบวนแห่เข้าวัดหนองมะคัง โดยในขบวนแห่จะมีการร้องรำทำเพลง การละเล่นพื้นบ้าน เช่น รำวง เพลงฉ่อย หรือการละเล่นของเด็กและผู้สูงวัย เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความรื่นเริงและความสามัคคีของชุมชน

นอกจากพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังมีการประกอบพิธีตานก๋วยสลาก หรือการถวายของแบบสุ่ม การฟังเทศน์ ฟังธรรม การอธิษฐานจิต และกิจกรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความเชื่อในระบบบุญ-บาปและความสัมพันธ์กับโลกวิญญาณ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์ และอุตรดิตถ์ พิธีนี้ยังเชื่อมโยงกับความเชื่อในการบูชาผีฟ้า ผีบ้าน ผีเมือง และการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปกปักรักษาหมู่บ้านจากภยันตรายและภัยพิบัติ

การเปลี่ยนแปลงของหางธง: ภูมิปัญญาวัฒนธรรมผ่านกาลเวลา

งานประเพณียกธงหลังสงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ ที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่ชาวบ้านตำบลทับยายเชียง ได้ร่วมกันอนุรักษ์เอาไว้  ทั้งนี้ตามประวัติความเป็นมาของประเพณียกธงหลังวันสงกรานต์นั้น จะจัดขึ้นหลังจากการสิ้นสุดการเล่นน้ำสงกรานต์ในแต่ละปี และวันสุดท้ายของการเล่นสงกรานต์ ก็จะมีการทำธงที่บ้าน ชาวบ้านทั้ง 6 หมู่บ้าน ช่วยกันตกแต่งประดับประดาขึ้น โดยใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่ที่สุดเท่าที่หามาได้ ผูกด้วยสิ่งของที่จะนำมาถวายวัด พร้อมทั้งตกแต่งอย่างสวยงาม การตกแต่งหางธงนั้นมีการปริวัฒน์ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค  ดังนี้

ยุคที่หนึ่ง การนำต้นฉบับหลวงพระบางเวียงจันทน์(ประเทศลาว) การติดผ้าหางธงเป็นผ้าตีนจก เพียงอย่างเดียว และนำผ้าจกเหล่านั้นมาเย็บต่อกันเป็นผ้าประดับต่างๆใช้ในวัด

ยุคที่สอง การสืบทอดจากบรรพบุรุษ การผูกหางธงโดยใช้ ผ้าสีสันต่าง ๆ เพื่อให้ทางวัดนำมาตัดผ้าม่าน ปลอกหมอน หรืออื่น ๆ ติดของใช้สอยของพระสงฆ์และของใช้เครื่องครัวให้แก่ทางวัด เนื่องจากการสัญจรการเข้าไปซื้อของต่าง ๆในเมืองค่อนข้างลำบาก

ยุคที่สาม ซึ่งเป็นยุคปัจจุบันประเพณีการยกธง ของกลุ่มชนชาติพันธ์ลาวครั่ง บ้านหนองมะคัง ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญยิ่งขึ้นไป การติดหางธงเป็น “ตุง” และผูกด้วยผ้าขาวม้า สำหรับ “ผ้าขาวม้า”เป็นผ้าประเพณีดั่งเดิมของลาวครั่ง ที่ใช้ตั้งแต่เกิดจนถึงเสียชีวิต โดยมีลักษณะการใช้งานของบุคคลนั้นว่ามีครอบครัวหรือยัง ยังไม่มีครอบครัวใช้ตาถี่ มีครอบครัวแล้วใช้ตาห่าง

ปัจจัยในการใส่ตุงนั้น ทางวัดจะได้นำไปสร้าง ซ่อมแซม เสนาสนะภายในวัดสืบต่อไป จากนั้นชาวบ้านจะจัดขบวนแห่มารวมกัน ณ วัดหนองมะคัง เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่า การยกธงเป็นการขอพรจากเทวดา และการขอฟ้าขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เพื่อจะได้ประกอบอาชีพการเกษตร ทำไร่ ทำนา และเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ส่งผลให้การค้าขาย เจริญรุ่งเรือง มีแต่ความสุขความเจริญในชีวิต

และที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ของคนในหมู่บ้านอีกด้วย และประการสำคัญ คือการสร้างการมีส่วนร่วม ของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนผู้นำชุมชน ได้เข้ามาร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามของตำบลทับยายเชียง และวัดหนองมะคัง ให้คงอยู่สืบไป (พระครูสุภกิจชยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหนองมะคัง และเจ้าคณะตำบลทับยายเชียง: ผู้ให้ข้อมูล)

ความหมายทางสังคมและวัฒนธรรม

ประเพณียกธงหลังสงกรานต์มิใช่เพียงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือสร้าง “ทุนทางสังคม” (social capital) ของชุมชน โดย:

1) เสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

2) ส่งเสริมการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น

3) เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และผู้นำชุมชน ได้มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์

จากข้อมูลของชาวบ้านและเอกสารชุมชน พบว่าประเพณียกธงหลังสงกรานต์ได้รับการฟื้นฟูและจัดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในยุคของนายชวน จันตูม ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลทับยายเชียง ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณและส่งเสริมให้ประเพณีนี้เป็นประเพณีประจำหมู่บ้านอย่างแท้จริง

ประเพณียกธงหลังสงกรานต์นี้จึงเป็นภาพสะท้อนของพลวัตทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ศรัทธา และความภาคภูมิใจในรากเหง้าของชุมชนบ้านหนองมะคัง ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับชาติพันธุ์ลาวครั่ง และแนวคิดเรื่อง “ชุมชนวัฒนธรรม” ในบริบทของมานุษยวิทยา

  • ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งในพื้นที่บ้านหนองมะคัง หมู่ที่ 4 ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก

สามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระรัชกาลที่ 3 ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ได้สืบทอดกันมาว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือกลุ่มลาวครั่ง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่หลวงพระบาง ประเทศลาว ก่อนที่จะอพยพมายังพื้นที่ภาคกลางตอนบนของประเทศไทยในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ด้วยเหตุนี้ วิถีชีวิตของชาวบ้านบ้านหนองมะคังจึงยังคงสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่มีความโดดเด่น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของชาติพันธุ์ลาวครั่ง

ความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนนี้ คือ ผ้าทอลาวครั่ง ซึ่งมีการแบ่งประเภทตามการใช้งานและวิถีชีวิตของชาวบ้าน ได้แก่ 1) ผ้าทอสำหรับส่วนเฮ็ดทาน ซึ่งเป็นผ้าที่ใช้ในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญ เช่น ผ้าสำหรับปกหัวนาค ผ้าห่อพระคัมภีร์ และตุงที่ใช้ในประเพณียกธงหลังสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในชุมชน และ 2) ผ้าทอสำหรับส่วนเฮ็ดกิ๋น ซึ่งเป็นผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้าซิ่นตีนจกหรือผ้าซิ่นตีนแดง จุดเด่นของผ้าทอลาวครั่งในชุมชนคือ การเลือกใช้สีสันที่สดใสและมีความตัดกันอย่างลงตัว โดยเน้นการใช้สีแดงครั่งคู่กับสีเหลือง สีส้มหมากสุกและสีคราม ทำให้ผ้ามีความสวยงามและมีความสดใสเป็นเอกลักษณ์

ในด้านเทศกาลและประเพณี พื้นที่บ้านหนองมะคังมีความโดดเด่นไม่น้อยไปกว่าที่อื่น โดยเฉพาะประเพณียกธงหลังสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งที่อพยพมาจากที่อื่นเพื่อทำการเกษตร การจัดงานประเพณีนี้จึงมีความสำคัญในการรักษาความเชื่อที่ว่า เมื่อสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน จะต้องยกธงบอกเลิกการเฉลิมฉลองในวันที่ 19 เมษายน หรืออีก 7 วันหลังจากวันสงกรานต์ ชาวบ้านจะประดับธงและผูกธงกับไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 4-5 เมตร แล้วพากันแห่ธงจากหมู่บ้านมายังวัดหนองมะคัง พร้อมทั้งร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังร่วมกันทำธงขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า "ธงกลาง" หรือ "ธงเอก" เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ชาวบ้านจะช่วยกันยกธง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์

กระทรวงวัฒนธรรม. (2565). งานประเพณียกธง อำเภอ พรหมพิราม. สืบค้นจาก http://mculture.in.th/album

บังอร ปิยะพันธุ์. (2541). ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.

มยุรี ถาวรพัฒน์ และเอมอร เชาว์สวน. (2548). สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ลาวครั่ง. กรุงเทพฯ: เอกพิมพ์ไท.

มยุรี ถาวรพัฒน์. (2548). สารานุกรมกลุ่มชาติพันธ์ในประเทศไทยลาวครั่ง. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัย

สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ. (2547). แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาพลาดพร้าว.

อรณิชา ภมรเวชวรรณ. (2560). อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชาวลาวครั่ง : กรณีศึกษาชุมชนลาวครั่งหมู่บ้านกุด  จอก จังหวัดชัยนาท. มหาวิทยาลัยศิลปากร.

อบต. ทับยายเชียง โทร. 0 5500 9506