
หมู่บ้านลาหู่เฌเลที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา แวดล้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ทั้งถ้ำน้ำบ่อผี จุดชมวิว “หน่อฮอฝ่า” ฯลฯ ขณะเดียวกันชุมชนยังดำเนินการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนพื้นฐานความรู้ท้องถิ่นเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนภายนอก โดยเฉพาะกิจกรรมเรียนรู้ด้านงานผ้าและเครื่องแต่งกายลาหู่ซึ่งเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง
บ้านลุกข้าวหลามตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาซึ่งแต่เดิมมีสภาพเป็นป่าไผ่ข้าวหลามซึ่งคนท้องถิ่นเรียกพื้นที่ลักษณะนี้ว่า “ป่าลุกข้าวหลาม” ต่อมาเมื่อมีการโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านลุกข้าวหลาม” ตามชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกลักษณะสภาพแวดล้อมของพื้นที่บริเวณนี้มาแต่เดิม
หมู่บ้านลาหู่เฌเลที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา แวดล้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ทั้งถ้ำน้ำบ่อผี จุดชมวิว “หน่อฮอฝ่า” ฯลฯ ขณะเดียวกันชุมชนยังดำเนินการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนพื้นฐานความรู้ท้องถิ่นเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนภายนอก โดยเฉพาะกิจกรรมเรียนรู้ด้านงานผ้าและเครื่องแต่งกายลาหู่ซึ่งเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง
บ้านลุกข้าวหลามเป็นชุมชนชาติพันธุ์ลาหู่เฌเลที่มีประวัติการก่อตั้งหมู่บ้านมาตั้งแต่ราวทศวรรษ 2520 อย่างไรก็ตาม ก่อนการตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงถาวรดังเช่นปัจจุบัน ชาวบ้านลุกข้าวหลามได้ตั้งถิ่นฐานตามพื้นที่ต่าง ๆ มาแล้วหลายครั้ง เนื่องด้วยในอดีตชาวบ้านลุกข้าวหลามดำรงชีพด้วยการผลิตแบบไร่หมุนเวียนทำให้มีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ ประกอบกับด้วยชาวลาหู่ไม่มีภาษาเขียนของตนเองทำให้ขาดการบันทึกเรื่องราวการตั้งถิ่นฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ความเป็นมาของการก่อตั้งบ้านลุกข้าวหลามจึงต้องสืบค้นจากความทรงจำของคนในหมู่บ้านในปัจจุบัน ควบคู่กับข้อมูลจากงานศึกษาวิจัย บันทึก และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบกัน
ลาหู่เป็นกลุ่มชนที่เคยตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบสูงทิเบต - ชิงไห่ ต่อมาได้อพยพลงมายังมณฑลยูนนานบริเวณแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขงทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม ลาว เมียนมา และไทย ลาหู่ญีและลาหู่เฌเลอพยพจากประเทศเมียนมาเข้ามาในประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2418 ส่วนลาหู่นะอพยพมาจากเมียนมาประมาณปี พ.ศ. 2494 และลาหู่ซีเข้ามาในปี พ.ศ. 2507 ปัจจุบันปัจจุบันในประเทศไทยมีชุมชนลาหู่กระจายอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่ากว่า 800 หมู่บ้าน พื้นที่ที่มีชาวลาหู่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง และแม่ฮ่องสอน (ปนัดดา, 2568.)
ดังที่กล่าวถึงมาแล้วข้างต้นว่าชาวลาหู่ดำรงชีพด้วยกาวิถีการรผลิตแบบไร่หมุนเวียนซึ่งทำให้ชนกลุ่มนี้ต้องโยกย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอ เช่นเดียวกับชาวลาหู่บ้านลุกข้าวหลามที่ก่อนการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบันได้โยกย้ายถิ่นฐานไปตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านได้เล่าว่านับตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันได้โยกย้ายที่ตั้งหมู่บ้านมาแล้วถึง 9 ครั้ง (สัมภาษณ์ ทวี, 2568.) อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านลุกข้าวหลามสามารถสืบสาวเรื่องราวได้อย่างแน่ชัดตั้งแต่ราว พ.ศ. 2515 โดยชาวลาหู่กลุ่มหนึ่งได้เดินทางออกจากถิ่นฐานเดิมเพื่อแสวงหาพื้นที่ตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่ กระทั่งเดินทางมาถึงบริเวณ “ห้วยยาว” (พื้นที่ระหว่างบ้านจ่าโบ่และบ้านปางคามน้อยปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การเพาะปลูก ชาวลาหู่กลุ่มนี้จึงได้แผ้วถางบุกเบิกพื้นที่ทำกินและตั้งบ้านเรือนขึ้นรอบ ๆ พื้นที่ทำกินแห่งนั้น
ต่อมาใน พ.ศ. 2521 ชาวลาหู่กลุ่มนี้ได้โยกย้ายที่ตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง โดยได้แยกย้ายกันออกเดินทางจากห้วยยาวเพื่อแสวงหาพื้นที่ตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่อีกครั้ง ชาวลาหู่กลุ่มหนึ่งนำโดยนายจ่าบู่พร้อมกับคนในหมู่บ้านราว 10 ครอบครัวได้เดินทางแสวงหาพื้นที่ทำกินแห่งใหม่มาทางทิศใต้กระทั่งเดินทางมาถึงพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาที่มีสภาพเป็นป่าไผ่ข้าวหลาม หรือที่คนในท้องถิ่นเรียกพื้นที่ลักษณะนี้ว่า “ป่าลุกข้าวหลาม” ซึ่งมีสภาพพื้นที่เหมาะสมแก่การทำไร่ ชาวลาหู่กลุ่มนี้จึงได้เลือกพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่โดยมีนายจ่าบู่เป็นผู้นำหมู่บ้าน
ขณะที่ชาวลาหู่กลุ่มอื่น ๆ ที่โยกย้ายถิ่นฐานจากห้วยยาวในคราวเดียวกันได้กระจายกันตั้งถิ่นฐานตามที่ต่าง ๆ รอบพื้นที่ตั้งถิ่นฐานเดิมซึ่งหลายชุมชนได้พัฒนาเป็นหมู่บ้านที่ตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงถาวรสืบมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังเช่น บ้านบ่อไคร้ บ้านจ่าโบ่ บ้านปางคามน้อย เป็นต้น
บันทึกคำบอกเล่าถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านจ่าโบ่ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีเรื่องราวการโยกย้ายถิ่นฐานร่วมกับชาวบ้านลุกข้าวหลามได้กล่าวว่า ชาวบ้านจ่าโบ่ได้ย้ายถิ่นฐานครั้งแรกจากบ้านแม่ห้วยยี บ้านปาโหล และบ้านปุงยามบางส่วน เข้ามาตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณห้วยยาวซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ป่าลุกข้าวหลาม” (คนในพื้นที่จะเรียกบริเวณพื้นที่ที่มีต้นไผ่ข้าวหลามขึ้นอยู่หนาแน่นว่าป่าลุกข้าวหลาม โดยพื้นที่ห้วยยาวตั้งอยู่ทางทิศเหนือของชุมชนจ่าโบ่ ไม่ใช่พื้นที่ตั้งหมู่บ้านลุกข้าวหลามในปัจจุบัน) โดยสาเหตุของการย้ายถิ่นฐานในครั้งนั้นเนื่องจากประสบกับปัญหาการเจ็บป่วยจากการแพร่ระบาดของเชื้อมาลาเรีย เมื่อย้ายถิ่นฐานมายังห้วยยาวชาวบ้านยังคงประสบปัญหาดังกล่าว ปี พ.ศ. 2521 ชาวลาหู่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณห้วยยาวจึงได้โยกย้ายถิ่นฐานโดยได้กระจายตั้งถิ่นฐานไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ชุมชนจ่าโบ่ บ่อไคร้ น้ำโป่ง ตองผา และชุมชนลุกข้าวหลาม (สุภาวดี และคณะ, 2545: 35.)
เช่นเดียวกันกับงานศึกษาของรัศมี ชูทรงเดช (2556) ที่กล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวลาหู่ดำในพื้นที่ตำบลปางมะผ้าโดยกล่าวว่าชาวลาหู่ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตำบลปางมะผ้าได้เคลื่อนย้ายมาจากบ้านหัวแม่จี้ บ้านป่าโหล และบ้านปุงยาม (เขตพื้นที่ตำบลนาปู่ป้อม) โดยเข้ามาตั้งบ้านเรือนครั้งแรกบริเวณบ้านจ่าโบ่ หลังจากนั้นคนในหมู่บ้านประสบกับปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน และปัญหาฝูงวัวจำนวนมากของพ่อเฒ่าจ่าวะที่เข้าไปในพื้นที่ไร่ของชาวไทใหญ่บ้านแม่ละนาจนต้องชดใช้ค่าเสียหายของผลผลิตอยู่บ่อยครั้ง ชาวลาหู่กลุ่มนี้จึงตัดสินใจย้ายมาตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่โดยได้แยกย้ายกระจายกันตั้งหมู่บ้านในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นบ้านปางคามน้อย บ้านบ่อไคร้ และบ้านลุกข้าวหลาม (รัศมี และคณะ, 2556: 48.)
งานศึกษาของรัศมี ชูทรงเดช (2550) ได้กล่าวถึง “ชาวมูเซอดำ” ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตำบลปางมะผ้า โดยกล่าวว่าคนกลุ่มนี้โยกย้ายเข้าสู่พื้นที่ปางมะผ้าโดยอพยพมาจากบริเวณดอยสามหมื่น จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย หรือตั้งแต่ราว พ.ศ. 2470-2480 โดยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในบริเวณรัฐฉานทางตอนเหนือของปางมะผ้า บางส่วนได้ตั้งถิ่นฐานในเขตปางมะผ้าบริเวณหัวน้ำแม่ละนาใกล้กับหมู่บ้านไทใหญ่ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่บ้านปางคามและบ้านไม้ลัน และอีกบางส่วนที่ลงใต้ลึกเข้ามาใกล้กับบ้านแม่ละนาและเข้าสู่น้ำของอันเป็นเส้นทางลงไปสู่ลำน้ำปาย (รัศมี และคณะ, 2550: 51.)
จากหลักฐานที่กล่าวถึงข้างต้นจึงแสดงให้เห็นว่าชาวลาหู่ดำกลุ่มหลักในพื้นที่ปางมะผ้าเป็นกลุ่มคนที่มีถิ่นฐานเดิมร่วมกัน ก่อนจะอพยพเข้ามายังพื้นที่ปางมะผ้าและแยกย้ายกระจายกันตั้งถิ่นฐานในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง กระทั่งพัฒนาขึ้นเป็นหมู่บ้านอย่างมั่นคงถาวรในปัจจุบัน โดยปัจจุบันชาวลาหู่เฌเลหมู่บ้านต่าง ๆ ในพื้นที่ปางมะผ้ายังคงยึดโยงซึ่งกันและกันผ่านความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ และการรับรู้เรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่มีร่วมกัน
หลังจากตั้งถิ่นฐานได้ระยะหนึ่งชาวลาหู่กลุ่มนี้ได้ย้ายที่ตั้งหมู่บ้านขึ้นไปยังบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขาห่างจากป่าลุกข้าวหลามไปทางทิศใต้ราว 5 กิโลเมตร หรือที่ชาวบ้านปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่า “ถ้ำผักกูด” โดยในระยะนี้ชาวลาหู่จากห้วยขางได้เดินทางเข้ามาแสวงหาพื้นที่ทำกินและพบว่าชาวลาหู่บ้านลุกข้าวหลามตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว ชาวลาหู่บ้านห้วยขางจึงได้ตั้งถิ่นฐานร่วมกับชาวลาหู่กลุ่มนี้ โดยได้ยอมรับอำนาจปกครองของผู้นำหมู่บ้านและผู้นำการประกอบพิธีกรรมของชาวลาหู่บ้านลุกข้าวหลามที่มีอยู่แต่เดิม ปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) โครงการพัฒนาที่สูงไทย – เยอรมันได้เข้ามาดำเนินงานในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง (องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย, 2562.) โดยโครงการได้แนะนำให้ชาวลาหู่กลุ่มนี้ย้ายตั้งถิ่นฐานลงมายังบริเวณป่าข้าวหลามเพื่อสามารถเข้าถึงการพัฒนาของโครงการได้อย่างสะดวก ชาวลาหู่ที่ตั้งบ้านเรือนบริเวณถ้ำผักกูดทั้งหมดกว่า 25 ครัวเรือนจึงได้ย้ายถิ่นฐานลงมายังพื้นที่ราบบริเวณป่าไผ่ข้าวหลาม โดยโครงการได้จัดสรรพื้นที่ตั้งบ้านเรือน และนำไม้มาให้แก่ชาวบ้านเพื่อเป็นวัสดุในการก่อสร้างบ้าน นอกจากนั้นยังได้แนะนำให้ทำรั้วบ้าน และสร้างคอกหมูรวมเพื่อความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่บ้าน
ปีถัดมาโครงการ ฯ จึงได้เริ่มดำเนินงานพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ ของคนในพื้นที่ ตั้งแต่การส่งเสริมการเกษตรเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ดังเช่น ข้าวบาร์เลต์ ถั่วแดง ถั่วแขก ฯลฯ พืชผัก กาแฟ ดาวเรือง และการเพาะปลูกไม้ผลในระบบแปลงรวม การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ สุกร ไก่ และการสร้างบ่อเลี้ยงปลา (สัมภาษณ์ ทวี, 2568.) นอกจากนั้นยังดำเนินการพัฒนาสาธารณูปโภคโดยการสร้างถังกักเก็บน้ำซีเมนต์ การจัดตั้งหน่วยบริการด้านการสาธารณสุข และการจัดตั้งธนาคารข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค (สัมภาษณ์ นาโด๊ะ, 2568.)
ปี พ.ศ. 2529 นายจ่าบู่ ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านในขณะนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านทางการจากรัฐ โดยมีนายจ่าหวะ และนายจ่าลาเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โดยพ่อเฒ่าจาบู่ได้เล่าว่าเมื่อครั้งได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านครั้งแรกได้รับเงินเดือน 500 บาท (สัมภาษณ์ จ่าบู่, 2568.) การได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทางการจากหน่วยงานด้านการปกครองของรัฐในระยะนี้สอดคล้องกับการจัดการปกครองท้องที่ปางมะผ้า โดยหลังจากการจัดการเข้ามาแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทางการแล้ว พื้นที่ปางมะผ้าได้รับการแยกส่วนการปกครองท้องที่จากเดิมที่เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนตั้งเป็นกิ่งอำเภอปางมะผ้า อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อปี พ.ศ. 2530 (จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 2568.)
หลังจากการตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงถาวรแล้ว บ้านลุกข้าวหลามได้เป็นพื้นที่ที่หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาดำเนินงานพัฒนาในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การพัฒนาการศึกษา โดยปี พ.ศ. 2527 ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ดำเนินการจัดตั้ง “ศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนบ้านลุกข้าวหลาม” ปี พ.ศ. 2535 สำนักงานพัฒนาชุมชนได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และ พ.ศ. 2559 หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 ได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ศกร.ตชด.) บ้านลุกข้าวหลาม” การพัฒนาด้านการสาธารณสุขโดยการจัดตั้งศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) เมื่อปี พ.ศ. 2536 และก่อตั้งกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พร้อมกันนั้นหน่วยควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงที่ 9 ปางมะผ้า ได้เข้ามาดำเนินการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุงและตรวจหาเชื้อมาลาเรีย นอกจากนั้นยังบ้านลุกข้าวหลามยังได้รับการพัฒนาด้านระบบสาธารณูปโภคในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของคนในหมู่บ้าน ได้แก่ การสร้างถังกักเก็บน้ำซีเมนต์จากโครงการพัฒนาที่สูงไทย - เยอรมัน กรมชลประทาน หน่วยตำรวจตระเวนชายแดน เรื่อยมาจนถึงการตั้งถังเก็บน้ำไฟเบอร์กลาสโดยองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้า
ตลอดช่วงของการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ หมู่บ้านลุกข้าวหลามได้ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการขยายตัวของจำนวนประชากรในหมู่บ้าน รวมถึงการโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวลาหู่จากหมู่บ้านใกล้เคียง ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2541 เมื่อครั้งที่ชาวลาหู่จากบ้านน้ำของและบ้านห้วยผาโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ พบว่าพื้นที่อยู่อาศัยเริ่มมีการปลูกสร้างบ้านเรือนอย่างหนาแน่น ช่วงเวลานี้จึงเกิดการขยายพื้นที่ตั้งบ้านเรือนไปยังบริเวณเชิงเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้าน โดยปัจจุบันคนในหมู่บ้านเรียกพื้นที่ตั้งบ้านเรือนในบริเวณนี้ว่า “คะเซอ” หรือ “บ้านใหม่”
ปัจจุบัน บ้านลุกข้าวหลามได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่ที่ 9 ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนหมู่บ้านประกอบด้วยจำนวนครัวเรือน 164 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยการเพาะปลูกข้าวเพื่อการบริโภคในครัวเรือน และการเพาะปลูกข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นรายได้หลักของคนในหมู่บ้าน แม้ว่าสังคมลุกข้าวหลามจะปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมไทยในหลายมิติ หากแต่ชาวลุกข้าวหลามยังคงมีวิถีการดำเนินชีวิตภายใต้แบบแผนและระบบคิดชาติพันธุ์ที่เป็นปัจจัยของการดำรงอยู่และการขับเคลื่อนสังคมบ้านลุกข้าวหลามปัจจุบัน
บ้านลุกข้าวหลามตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอปางมะผ้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 16 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 50 กิโลเมตร การเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ตามทางหลวงสาย 1095 จากอำเภอปางมะผ้ามุ่งหน้าไปยังอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 14 กิโลเมตรจะพบทางแยกด้านซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านลุกข้าวหลามซึ่งเป็นถนนคอนกรีตระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านจ่าโบ่ ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านไร่ ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านบ่อไคร้ ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านน้ำของ และบ้านห้วยน้ำโป่ง ตำบลนาปู่ป้อม อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
บ้านลุกข้าวหลามตั้งอยู่ในพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ตัวหมู่บ้านโอบล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน ลักษณะป่าไม้รอบหมู่บ้านเป็นป่าเขาหินปูน ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย ดินลูกรัง และดินเหนียว (องค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้า, 2563.) บ้านลุกข้าวหลามสามารถแบ่งพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ดังนี้
พื้นที่อยู่อาศัย
บ้านลุกข้าวหลามเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในที่ราบซึ่งโอบล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนสูงชัน บ้านเรือนส่วนใหญ่จึงตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบอย่างหนาแน่น บางส่วนตั้งอยู่บริเวณที่ลาดเชิงเขา และบริเวณสันเขาเตี้ย ๆ ลักษณะครอบครัวของชาวบ้านลุกข้าวหลามมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อสมาชิกในครอบครัวแต่งงานมักจะแยกครอบครัวออกไปตั้งบ้านเรือนเป็นของตนเอง โดยมักจะตั้งบ้านเรือนในบริเวณพื้นที่บ้านเดิมของครอบครัว หรือบ้านของพ่อแม่ หรืออาจหาพื้นที่ตั้งบ้านแห่งใหม่ที่ไกลจากบ้านเดิมหากที่ดินของครอบครัวมีจำนวนน้อย ลักษณะบ้านเรือนของชาวบ้านลุกข้าวหลามจะเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ลักษณะเป็นเรือนแฝดประกอบด้วยห้องครัว 1 ห้อง และห้องนอน 1 ห้องมีชานเชื่อมต่อกัน บางครัวเรือนมีตู้ไฟสำหรับประกอบพิธีบูชาองื่อซาหรือ “บู่บา” บริเวณมุมห้องนอน ระยะหลังเริ่มปรากฏการสร้างบ้านลักษณะบ้านไม้ผสมปูน หรือบ้านปูนซีเมนต์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตั้งบ้านเรือนของชาวบ้านลุกข้าวหลามยังคงเป็นสิทธิตามประเพณีที่ได้รับสืบต่อมาจากครอบครัวโดยยังไม่มีการออกเอกสารรับรองสิทธิตามกฎหมาย
สาธารณูปโภคในหมู่บ้าน
บ้านลุกข้าวหลามทุกหลังคาเรือนใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปางมะผ้า ส่วนการใช้น้ำเป็นระบบน้ำแบบประปาภูเขา รวมถึงการใช้น้ำจากบ่อบาดาล อย่างไรก็ตาม บ้านลุกข้าวหลามมักจะขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูร้อน ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงคนในหมู่บ้านเข้ามาสร้างระบบการจัดการน้ำและแหล่งกักเก็บน้ำในหมู่บ้าน ตั้งแต่การสร้างฝายน้ำล้นโดยคนใหมู่บ้านร่วมกันก่อสร้าง ถังน้ำซีเมนต์โดยโครงการพัฒนาที่สูงไทย - เยอรมัน สืบเนื่องมาถึงถังกักเก็บน้ำซีเมนต์โดยกรมชลประทานที่ และถังน้ำไฟเบอร์กลาสโดยองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้า ส่วนการคมนาคมหมู่บ้านส่วนใหญ่ภายในหมู่บ้านเป็นถนนคอนกรีต บางส่วนภายในหมู่บ้านรวมถึงถนนเข้าสู่พื้นที่ไร่ยังคงเป็นถนนดินแดง
สถานศึกษา
บ้านลุกข้าวหลามปรากฏสถานศึกษาจำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย
1) ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) บ้านลุกข้าวหลาม: ปี พ.ศ. 2527 ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ดำเนินการจัดตั้ง “ศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนบ้านลุกข้าวหลาม” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 และได้จัดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยมีนายสุพร จ่าเก๊ะ เป็นครูผู้สอนคนแรก กระทั่งปี พ.ศ. 2540 จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) บ้านลุกข้าวหลาม” ปัจจุบันเปิดทำการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย (ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายพิเศษ. 2568.)
2) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านลุกข้าวหลาม: ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนโดยมีเจ้าหน้าที่คนแรก ได้แก่ นางลาวัลย์ งามดีเจริญทรัพย์ ชาวบ้านลุกข้าวหลาม ต่อมาจึงได้โอนย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้า เปิดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นก่อนอนุบาล (สัมภาษณ์ จันทรา, 2568)
3) ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนพลเอกอรชุน พิบูลนครินทร์: เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนการบินไทย อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับพลตำรวจโทอรรถชัย เกิดมงคล ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และพลตำรวจตรี เทพ อมรโสภิต รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ให้ตำรวจตระเวนชายแดนสำรวจพื้นที่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดารที่ยังไม่มีโรงเรียน หากพื้นที่ใดไม่มีโรงเรียนหรือเป็นพื้นที่ช่องว่างที่ยังไม่มีการจัดการศึกษาให้ตำรวจตระเวนชายแดนจัดตั้งโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชน (กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336, 2568.) ประกอบกับบ้านลุกข้าวหลามเป็นพื้นที่ที่หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 เข้ามาดำเนินการปราบปรามยาเสพติด รวมถึงดำเนินงานด้านการพัฒนาในหมู่บ้านตั้งแต่ราว พ.ศ. 2545 – 2546 ชาวบ้านลุกข้าวหลามจึงร้องขอให้หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนดำเนินการจัดตั้งสถานศึกษาในหมู่บ้าน โดยในขณะนั้นเด็กในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านจ่าโบ่ซึ่งการเดินค่อนข้างยากลำบาก
กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 จึงได้มอบหมายให้กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 จัดชุดปฏิบัติสำรวจพื้นที่และได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ศกร.ตชด.) บ้านลุกข้าวหลาม” เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ) นักเรียนที่เข้าศึกษาในครั้งแรก จำนวน 42 คน เป็นนักเรียนชาย จำนวน 20 คน และนักเรียนหญิง จำนวน 22 คน มีตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่ครูผู้สอน 3 นาย โดยมีร้อยตำรวจโท ยงยุทธ เก่งกล้า ทำหน้าที่ครูใหญ่ สิบตำรวจตรีวีระชัย สุข่า และสิบตำรวจตรีหญิง นภาพร ซูข่า ทำหน้าที่ครูผู้สอน ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระราชกระแสที่จะพัฒนาศูนย์การเรียนเป็นที่ระลึกแด่พลเอกอรชุน พิบูลนครินทร์จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนพลเอกอรชุน พิบูลนครินทร์” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 โดยปัจจุบันเปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 (กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336, 2568.)
สถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม
การตั้งหมู่บ้านตามระบบคิดของชาวลาหู่จะต้องประกอบด้วยสถานที่สำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ หอเจ้าที่ หรือ “แชหมื่อ” ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ป่าห่างจากหมู่บ้านไปทางทิศเหนือราว 20 – 30 เมตร เป็นสถานที่ต้องห้ามของคนในหมู่บ้าน เว้นแต่ผู้นำการประกอบพิธีกรรม หรือหมอผี ลานพิธีกรรม “จ่าคึกื่อ” และบ้านผู้นำทางศาสนา “แก่ลุป่า” (สายเมือง, 2529: 25.) โดยนอกจากสถานที่สำคัญสามแห่งที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ด้วยสังคมลุกข้าวหลามยังคงยึดถือวัฒนธรรมและจารีตแบบชาติพันธุ์ลาหู่อย่างเข้มข้นทำให้ปัจจุบันยังคงปรากฏสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวลุกข้าวหลามที่ยังคงสัมพันธ์กับระบบคิดและความสัมพันธ์แบบชาติพันธุ์อย่างแนบแน่น
สถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมบ้านลุกข้าวหลาม ประกอบด้วย
1) ประตูหมู่บ้าน หรือ “ปะต๊ะต่าถี่เว” เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงขอบเขตหมู่บ้าน ลักษณะเป็นเสาไม้ 2 ต้น ตั้งขนานกันสองข้างทางบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน โดยหลังจากประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์หมู่บ้านในช่วงปีใหม่แล้ว คนในหมู่บ้านจะนำเครื่องประกอบพิธีกรรมมาวางไว้บริเวณโคนเสาประตู ได้แก่ ตาแหลวใหญ่ หรือ “คะขะและ” กระทงเครื่องสักการะ หรือ “อะป่อพึ” และนำเชือกหญ้าคา หรือ “ซญื่อ” ผูกติดกับด้านบนของเสาประตูเชื่อมต่อกันทั้งสองด้านเพื่อเป็นเครื่องป้องกันสิ่งไม่ดีทั้งหลายเข้าสู่หมู่บ้านตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน
2) ลานพิธีกรรม หรือ “จ่าคึกื่อ” ลักษณะเป็นลานดินกลม ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ มีประตูทางเข้า 1 ทาง กลางลานเป็นแท่นดินยกสูงจากพื้นสำหรับวางเครื่องสักการะของผู้เข้าร่วมพิธีกรรม จ่าคึกื่อเป็นสถานที่สำหรับการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของคนในหมู่บ้าน ทั้งพิธีกรรมในระดับหมู่บ้าน ได้แก่ พิธีกรรมช่วงปีใหม่ (เขาะจ่าเว) รวมถึงพิธีระดับครัวเรือน ได้แก่ พิธีทำบุญ พิธีสะเดาะเคราะห์ครอบครัว ฯลฯ โดยหลังจากช่วงของการประกอบพิธีกรรมแล้ว ช่วงเวลากลางคืนคนในหมู่บ้านจะร่วมกันเต้นรำที่ลานประกอบพิธีกรรมเพื่อเป็นการสื่อสารถึง “อื่อซา” ซึ่งเป็นเสมือนพระเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของชาวลาหู่ให้ช่วยปกปักรักษาและคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้ดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ปัจจุบันบ้านลุกข้าวหลามปรากฏลานประกอบพิธีกรรม 2 แห่ง
3) หอเจ้าเมือง หรือหอผีบ้าน หรือ “ซือหมื่อกือ” หอเจ้าเมืองเป็นสถานที่สิงสถิตของจิตวิญญาณที่ปกปักรักษาหมู่บ้าน หอเจ้าเมืองจะตั้งอยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่นอกหมู่บ้าน โดยจะเรียกบริเวณนั้นว่า “ซือหมื่อแจ่” ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะประกอบพิธีบูชาเจ้าที่ประจำหมู่บ้านทุกครั้งที่มีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์หมู่บ้าน และทุกวันศีลใหญ่ (วันศีลของชาวลาหู่จะนับวัน 12 วันต่อครั้ง วันศีลครั้งที่ 3 จะถือเป็นวันศีลใหญ่) โดยการประกอบครัวเรือนที่มีตู้ไฟอื่อซาจะรวบรวมข้าวสารและเทียนขี้ผึ้งมาให้แก่ผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเพื่อสื่อสารกับเจ้าเมืองให้ช่วยคุ้มครองปกปักรักษาหมู่บ้าน โดยบริเวณซือหมื่อแจ่จะห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปในพื้นที่ รวมถึงห้ามตัดไม้บริเวณซือหมื่อแจ่เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากมีผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนจะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติแก่ผู้กระทำและคนในหมู่บ้าน (สารภี, 2555: 32.)
4) บ้านผู้นำด้านพิธีกรรม ถือเป็นสถานที่ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของหมู่บ้านลาหู่ ผู้นำด้านพิธีกรรมหรือ “แก่ลุป่า” จะทำหน้าที่เป็นผู้นำการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งพิธีกรรมระดับหมู่บ้าน รวมถึงพิธีกรรมในระดับครัวเรือน โดยหากมีการประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้าน แก่ลุจะเป็นผู้ทำพิธีกรรมที่บ้านเป็นอันดับแรก จากนั้นคนในหมู่บ้านจึงจะทำพิธีกรรมยังบ้านของตนเอง หลังจากนั้นจะมารวมกันที่บ้านของแก่ลุเพื่อทำพิธีร่วมกันจึงถือเป็นการสิ้นสุดพิธีกรรม หรือการประกอบพิธีกรรมในระดับครัวเรือน ครัวเรือนที่ประกอบพิธีกรรมจะต้องนำข้าวสุก เนื้อหมู เทียน ข้าวตอกจากการประกอบพิธีกรรมไปส่งยังบ้านของของแก่ลุ จากนั้นจึงกลับมาประกอบพิธีและรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ผู้นำการประกอบพิธีกรรมคนแรกของบ้านลุกข้าวหลาม ได้แก่ นายวิทยา ศิลป์มนตรี ปัจจุบันบ้านลุกข้าวหลามประกอบด้วยผู้นำทางวัฒนธรรม 2 คน ได้แก่ นายจ่าหวะ สุขเรือนทอง และนายสุรพงษ์ วราฤทธิ์อัครกุล นอกจากนั้น ยังมีตำแหน่งรองแก่ลุ ทำหน้าที่ช่วยแก่ลุประกอบพิธีกรรม แบ่งเป็น ลานพิธีกรรมที่หนึ่ง ได้แก่ นายสมบูรณ์ สิริโชติวดี และวรินทร์ งามดีเจริญทรัพย์ และลานพิธีกรรมที่สอง ได้แก่ นายจ่าลา คีรีสรานนท์
5) ลานตีมีด หรือ “ซูตีเก่อ” เป็นพื้นที่สำหรับการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน ปัจจุบันบ้านลุกข้าวหลามประกอบด้วยลานตีมีด 2 แห่ง โดยผู้ทำการตีมีดเรียกว่า “ซูเด๊าะป่า” หรือ “จ่าลิป่า” ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่จำเป็นสำหรับการก่อตั้งหมู่บ้านของชาวลาหู่ ซึ่งตามความเชื่อของชาวลาหู่การตั้งหมู่บ้านที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยบุคคลสำคัญ 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำทางวัฒนธรรม และคนตีมีด
พื้นที่ทำกิน
พื้นที่ทำกินของชาวบ้านลุกข้าวหลามตั้งอยู่บริเวณเชิงเขารอบ ๆ หมู่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวไร่เพื่อการบริโภคในครัวเรือน บางครัวเรือนเพาะปลูกพืชผักต่าง ๆ ในพื้นที่ไร่เพื่อเป็นแหล่งอาหาร เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ฟักทอง ผักกาด ผักชี แตงกว่า แตงไทย ถั่วไร่ ข้าวฟ่าง ข้าวโพดหวาน นอกจากนั้น ชาวลุกข้าวหลามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่ารอบ ๆ หมู่บ้านเป็นแหล่งเก็บหาอาหาร และเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตในต่าง ๆ ตั้งแต่การใช้ประโยชน์จากป่าไม้ เช่น การสร้างบ้าน ไม้ฟืน รวมถึงการเก็บหาพืชสมุนไพรสำหรับรักษาโรค
พื้นที่อนุรักษ์
พื้นที่อนุรักษ์บ้านลุกข้าวหลามมีลักษณะเป็นป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ขนาดประมาณ 2 - 3 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ภายในพื้นที่มีตาน้ำผุดที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญสำหรับการอุปโภคบริโภคของคนในหมู่บ้าน แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของคนในหมู่บ้านที่ใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก หากแต่ด้วยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ต้นน้ำสำคัญ คนในหมู่บ้านจึงสร้างข้อตกลงว่าจะไม่ใช้ประโยชน์ใด ๆ เพื่ออนุรักษ์เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำและเป็นแหล่งน้ำของคนในหมู่บ้าน
ข้อมูลประชากรจากองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้าระบุว่า บ้านลุกข้าวหลามประกอบด้วยจำนวนครัวเรือน 164 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 454 คน แบ่งเป็นชาย 222 คน หญิง 232 คน (องค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้า, 2563)
ครอบครัวของชาวบ้านลุกข้าวหลามมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว และมีระบบการสืบสายตระกูลฝ่ายมารดา หลังจากแต่งงานแล้วฝ่ายชายมักจะย้ายเข้าบ้านฝ่ายหญิง หรือแยกครอบครัวออกไปตั้งบ้านเรือนของตนเอง หรืออาจอยู่ร่วมกับครอบครัวพ่อแม่ระยะหนึ่งจากนั้นจึงแยกออกไปตั้งบ้านเรือน ส่วนลูกสาวคนเล็กจะมีหน้าที่ดูแลพ่อแม่และสืบทอดทรัพย์สินของครอบครัว
ชาวลุกข้าวหลามมักจะแต่งงานภายในหมู่บ้านทำให้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีความกี่ยวขั้องสัมพันธ์กันในเชิงเครือญาติ โดยจากการเก็บข้อมูลสายตระกูลของคนในหมู่บ้านพบว่าครอบครัวชาวบ้านลุกข้าวหลามส่วนใหญ่สืบสายตระกูลสืบเนื่องมาแล้ว 4 รุ่น ตระกูลสำคัญในหมู่บ้าน ได้แก่ ตระกูลสุขเรือนทองซึ่งเป็นตระกูลของผู้นำด้านพิธีกรรมของหมู่บ้าน ตระกูลสำเภาโอฬาร ซึ่งเป็นสายตระกูลของนายจ่าบู่ ผู้นำหมู่บ้านคนแรก สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันคนรุ่นลูกยังได้รับความไว้วางใจจากคนในหมู่บ้านให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านสืบต่อมา
ราว 15 ปีที่ผ่านมาบ้านลุกข้าวหลามจึงเริ่มปรากฏการแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้าน และมีแนวโน้มที่จะแต่งงานกับคนภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะการแต่งงานกับคนต่างชาติพันธุ์ ทั้งลาหู่แดง คนไทยวน (คนเมือง) ลิซู ไทใหญ่ ปกาเกอะญอ หากแต่ยังไม่ปรากฏชุมชนชาติพันธุ์อื่นในหมู่บ้าน
ไทยวน, ไทใหญ่, ลีซูกลุ่มการเมือง
ผู้นำทางการ
บ้านลุกข้าวหลามได้รับการจัดตั้งผู้นำด้านการปกครองจากรัฐอย่างเป็นทางการเมื่อ ปี พ.ศ. 2529 โดยผู้ใหญ่บ้านคนแรก ได้แก่ นายจ่าบู่ สำเภาโอฬาร โดยพ่อเฒ่าจ่าบู่ได้เล่าว่า ได้รับเงินเดือนจากการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านทางการครั้งแรก 500 บาท ปัจจุบันนายสมบัติ สำเภาโอฬารซึ่งเป็นบุตรชายของพ่อเฒ่าจาบู่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้แก่ นายอภิชาติ สุขเรือนทอง และนายพรชัย วราฤทธิ์อัครกุล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) ได้แก่ นายพิพัฒน์ ไพรทรายทอง นอกจากนั้นยังมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) 1 คน ได้แก่ นายอาวุธ กัมปนาทดิลกกุล
กลุ่มผู้นำทางวัฒนธรรม
ปัจจุบันบ้านลุกข้าวหลามประกอบด้วยผู้นำทางวัฒนธรรม 2 กลุ่ม แบ่งตามลานประกอบพิธีกรรม 2 แห่งภายในหมู่บ้าน ได้แก่ ลานพพิธีกรรมเดิม ผู้นำการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ นายจ่าวะ สุขเรือนทอง ผู้ช่วยประกอบพิธีกรรม ได้แก่ นายวรินทร์ งานดีเจริญ และนายสมบูรณ์ สิริโชติวดี และลานประกอบพิธีกรรมใหม่ ผู้นำการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ นายสรพงษ์ วราฤทธิ์อัครกุล ผู้ช่วยประกอบพิธีกรรม นายจ่าลา คีรีสรานนท์
กลุ่มสังคม
กลุ่มสังคมบ้านลุกข้าวหลามมีลักษะเป็นกลุ่มไม่เป็นทางการ โดยเกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกเพื่อดำเนินกิจกรรมร่วมกัน หรือรวมกลุ่มกันเพื่อดำเนินกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานหรือองค์กรภายนอก ประกอบด้วย กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รวมกลุ่มกันทำเครื่องจักสานเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม กลุ่มเยาวชน จัดการแข่งขันกีฬา และร่วมพัฒนาหมู่บ้านในวันสำคัญ และกลุ่มแม่บ้านที่ทำหน้าที่สนับสนุนงานหมู่บ้านในด้านต่าง ๆ เช่น ทำอาหารสำหรับแขกจากต่างหมู่บ้านที่เข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญในหมู่บ้าน
กลุ่มเศรษฐกิจ
กลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน: ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2562 จากการที่บ้านลุกข้าวหลามได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (D-HOPE) โดยสำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดแม่ฮ่องสอน กรมการพัฒนาชุมชน ภายใต้โครงการยกระดับการท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มเป้าหมายเฉพาะและประชาสัมพันธ์ภาคเหนือ เพื่อประชาสัมพันธ์หมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว กระทั่งได้ทำให้คนในหมู่บ้านส่วนหนึ่งพัฒนาเป็นกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อบริหารจัดการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า: ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2562 โดยเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มแม่บ้านที่เข้าร่วมกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยวของกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน ต่อมาได้จดทะเบียน OTOP ทำให้ได้มีโอกาสออกร้านจำหน่ายสินค้าตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ รวมถึงมีโอกาสส่งผลิตภัณฑ์เข้าประกวดกระทั่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดผ้าชาติพันธุ์ เมื่อปี พ.ศ. 2565
กลุ่มแม่บ้านเกษตร: ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2562 ประกอบด้วยสมาชิกเป็นกลุ่มแม่บ้านจำนวน 20 คน ดำเนินงานด้านการพัฒนาการเกษตรในระดับหมู่บ้านร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอปางมะผ้า เช่น จัดทำสวนเกษตรต้นแบบ การเข้าร่วมการอบรมแปรรูปอาหาร เป็นต้น
กลุ่มสตรี: กลุ่มสตรีหมู่บ้านลุกข้าวหลามได้รับการก่อตั้งและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานพัฒนาชุมชน สมาชิกประกอบด้วยหญิงในหมู่บ้าที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ดำเนินงานด้านการพัฒนาหมู่บ้านร่วมกับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอปางมะผ้า ดังเช่น การร่วมอบรมด้านการพัฒนาอาชีพ รวมถึงเป็นตัวแทนหมู่บ้านเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาสตรีในระดับอำเภอ
ปฏิทินทางเศรษฐกิจ
ชาวบ้านลุกข้าวหลามดำรงชีพด้วยวิถีการผลิตแบบการเกษตรเป็นหลัก คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังคงเพาะปลูกข้าวไร่เพื่อบริโภคในครัวเรือน ควบคู่กับการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน โดยพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด เมื่อว่างเว้นจากช่วงการเกษตรชาวบ้านลุกข้าวหลามบางส่วนยังประกอบอาชีพค้าขาย โดยมีตลาดบริเวณจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลามเป็นพื้นที่ขายสินค้าสำคัญของชุมชน
การเกษตร
ราวเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม: เป็นช่วงเตรียมพื้นที่เพาะปลูกโดยการถางหญ้าและเผา จากนั้นจะปล่อยให้หญ้าขึ้น และกำจัดหญ้าอ่อนอีกครั้ง โดยอดีตจะใช้จอบเป็นเครื่องมือถากถาง หากแต่ปัจจุบันคนในหมู่บ้านมักจะพ่นยาฆ่าหญ้าเพื่อความรวดเร็วราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม: เป็นช่วงการเพาะปลูก ชาวบ้านลุกข้าวหลามส่วนใหญ่ยังคงทำการเพาะปลูกโดยการใช้เสียมแทงพื้นดินและหยอดเมล็ดซึ่งเป็นวิธีการเพาะปลูกที่ไม่ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน อันแสดงให้เห็นถึงความรู้ของกลุ่มคนบนพื้นที่สูงในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นต้นทุนในการผลิตอย่างยั่งยืนเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน: ช่วงการบำรุงรักษา ได้แก่ การพ่นยากำจัดวัชพืชและศัตรูพืช การใส่ปุ๋ยบำรุงพืชเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม: ช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยชาวบ้านลุกข้าวหลามจะเก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม หลังจากนั้นจะเป็นช่วงที่คนในหมู่บ้านจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการประกอบพิธีกรรมช่วงปีใหม่ (เขาะจ่าเว) ซึ่งจะจัดขึ้นในราวเดือนกุมภาพันธ์
การค้าขาย
ชาวบ้านลุกข้าวหลามส่วนหนึ่งจะนำสินค้ามาจำหน่ายยังจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่ผลิตจากหมู่บ้าน ตั้งแต่ผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวสาร เผือก มัน ถั่ว ฟักทอง ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่เก็บหาจากป่า เช่น น้ำผึ้ง ไข่มดแดง ฯลฯ หัตถกรรมท้องถิ่น ได้แก่ งานผ้า งานจักสาน ฯลฯ โดยตลาดจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลามจะเปิดพื้นที่ให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านลุกข้าวหลามส่วนมากจะนำสินค้ามาจำหน่ายในราวปลายเดือนพฤศจิกายนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือราวเดือนมกราคมเนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงภาระการงานเริ่มเบาบาง
อาชีพนอกหมู่บ้าน
ชาวลุกชาวหลามส่วนหนึ่งจะประกอบอาชีพนอกหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนหนึ่งจะทำงานในหน่วยงานราชการ และออกไปศึกษาภายนอกหมู่บ้าน โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะกลับมายังหมู่บ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ลาหู่
ปฏิทินทางวัฒนธรรม
ประเพณีปีใหม่ (เขาะจ่าเว)
“เขาะจ่าเว”หรือประเพณีปีใหม่ของชาวลาหู่ (กินวอ) จัดขึ้นในราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม โดย “แก่ลุป่า” หรือผู้นำการประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้านจะเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาพิธีกรรม โดยเขาะจ่าเวแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ “ หรือวอผู้หญิง มีระยะเวลา 5 วัน เมื่อช่วงเวลาของวอผู้หญิงสิ้นสุดลง เมื่อครบรอบวันวันที่ตำข้าวปุกของช่วงวอผู้หญิง จะเป็นวันเริ่มต้นของ “ หรือ วอผู้ชาย โดยวอผู้ชายจะมีระยะเวลา 5 วันเช่นเดียวกับวอผู้หญิง หากแต่การทำบุญสามารถกระทำได้จนถึงช่วงของการสะเดาะเคราะห์หลังปีใหม่เมื่อทราบช่วงเวลาเทศกาลปีใหม่แล้ว บ้านลุกข้าวหลามจะประกอบพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์หมู่บ้าน โดยมักจะประกอบพิธีก่อนวันศีลสุดท้ายก่อนเข้าสู่ช่วงปีใหม่
ช่วงบ่ายของวันประกอบพิธีกรรม คนในหมู่บ้านจะมารวมกันที่ลานประกอบพิธี (จ่าคึกื่อ) เพื่อร่วมกันเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตาแหลวใหญ่พันด้วยสายสิญจน์จากบ้านของแก่ลุป่า กระทงเครื่องเซ่น ลักษณะเป็นกระทงทรงสี่เหลี่ยมหยวกกล้วยปักไม้ไผ่ทั้งสี่มุม ทุกครัวเรือนจะนำข้าวสุก ขี้เถ้า ใส่ลงในกระทง และนำเศษผ้าของแต่ละครัวเรือนเหน็บที่ไม้ไผ่บริเวณมุมกระทง รวมถึงนำกระดาษตัดเป็นรูปคนขี่ช้าง และคนขี่ม้าหนีบด้วยไม้ไผ่ปักลงในกระทง และเชือกหญ้าคาโดยการนำหญ้าคามาพันเป็นเกลียวเชือก 2 เส้น ยาวพอที่จะผูกโยงเสาประตูหมู่บ้าน จากนั้นนำตาแหลว 7 ชิ้น และภาชนะไม้ไผ่สานตาห่าง ๆ ลักษณะคล้ายชะลอมขนาดเล็กใส่ก้อนหินจากลานพิธีจำลองเป็นลูกระเบิด 7 ชิ้นผูกติดกับเชือกหญ้าคา โดยตาแหลวจะเป็นเครื่องป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้าสู่เข้าสู่หมู่บ้าน ส่วนลูกระเบิดจะช่วยให้สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เกิดความกลัว และขับไล่ให้สิ่งไม่ดีเหล่านั้นให้หนีออกไปจากหมู่บ้าน
ใกล้เวลาประกอบพิธีกรรมผู้เข้าร่วมพิธีจะเข้ามารวมกันยังลานพิธีและจะนำเครื่องประกอบพิธีกรรมที่ร่วมกันทำ ทั้งตาแหลวใหญ่ กระทงเครื่องเซ่น เชือกหญ้าคา รวมถึงตาแหลวพันด้วยสายสิญจน์ของแต่ละครัวเรือนมาวางรวมกันด้านหน้าประตูภายในลานพิธี เมื่อแก่ลุป่าเดินทางมาถึงลานประกอบพิธีจะพรมน้ำมนต์ลงบนเครื่องสักการะพร้อมกับบอกกล่าองื่อซาให้ช่วยคุ้มครองคนในหมู่บ้าน จากนั้นแก่ลุป่าและตัวแทนคนในหมู่บ้านที่ช่วยกันถือเครื่องสักการะจะเดินวนรอบลานพิธี 3 รอบ พร้อมกับประพรมน้ำมนต์ให้แก่ผู้ร่วมพิธี เมื่อครบ 3 รอบผู้เข้าร่วมพิธีกรรมจะนำตาแหลวของครอบครัวที่ผ่านการทำพิธีแล้วออกจากลานพิธี โดยแก่ลุป่าจะประพรมน้ำมนต์ให้แก่ผู้ร่วมพิธีกรรมอีกครั้งก่อนออกจากลานพิธีกรรม
เมื่อทำพิธีแล้วเสร็จ ผู้ร่วมพิธีจะมารวมกันที่บ้านของแก่ลุป่า โดยแก่ลุป่าจะกลับมาทำพิธีบอกกล่าวองื่อซาที่ตู้ไฟ (บู่บา) ที่บ้านของแก่ลุป่าอีกครั้ง หลังจากนั้นผู้ประกอบพิธีกรรมจะรับประทานอาหารร่วมกัน โดยอาหารมื้อนี้จะทำจากหมูที่แต่ละครอบครัวร่วมกันจ่ายเงิน โดยจะนำส่วนหัว ขา และไส้มาประกอบอาหาร ส่วนเนื้อที่เหลือจากการประกอบอาหารจะนำมาแบ่งผู้เข้าร่วมพิธีทุกครอบครัว เมื่อรับประทานอาหารแล้วเสร็จจึงจะแยกย้ายกับกลับบ้าน
ส่วนเครื่องสักการะที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ กระทงเครื่องสักการะ ตาแหลวใหญ่จะได้รับการนำไปวางไว้ที่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน ส่วนเชือกหญ้าคาจะนำไปผูกโยงที่เสาประตูทางเข้าหมู่บ้านเพื่อเป็นเครื่องลางในการป้องกันสิ่งไม่ดีเข้าสู่หมู่บ้านตามความเชื่อของชาวลาหู่ ส่วนตาแหลวของแต่ละครอบครัวที่ผ่านการประกอบพิธีกรรมแล้ว สมาชิกในครอบครัวที่เข้าร่วมพิธีกรรมจะนำกลับไปประดับบริเวณเหนือประตูห้องนอนเพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีเข้าสู่บ้านเรือน
ก่อนเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ 1 วัน สมาชิกในครอบครัวแต่ละหลังคาเรือนจะร่วมกันเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรม ประกอบด้วย เทียนขี้ผึ้ง ข้าวปุก ข้าวตอก ขิง ใบชา และยาเส้นอย่างละ 1 คู่ รวมถึงฟืนไม้แห้งไปให้แก่ลุป่าและบ้านอื่น ๆ ที่มีตู้ไฟอื่อซาประกอบพิธีกรรมเมื่อวันแรกของเทศกาลปีใหม่มาถึง ส่วนบ้านที่ไม่มีตู้ไฟอื่อซาจะเข้าร่วมพิธีกับบ้านที่มีตู้ไฟอื่อซาซึ่งมักจะเป็นบ้านของญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือพ่อแม่ที่ครอบครัวแยกตัวออกมา
หลังจากการประกอบพิธีกรรมของบ้านที่มีตู้ไฟอื่อซาแล้วจะถือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเทศกาลปีใหม่ซึ่งครัวเรือนต่าง ๆ จะเริ่มประกอบพิธีกรรมเพือ่เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวจนกว่าจะสิ้นสุดช่วงเวลาเทศกาล
วันที่สองของเทศกาลเขาะจ่าเว ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะช่วยกันเตรียมลานประกอบพิธีกรรม โดยการถางหญ้า ปรับพื้นดิน ซ่อมแซมรั้วและม้านั่ง รวมถึงการซ่อมแซมแท่นวางเครื่องสักการะเพื่อเตรียมสำหรับการเต้นจ่าคึที่จะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน
การเต้นจ่าคึเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวลาหู่ และสื่อสารต่อพระเจ้าอื่อซาให้ช่วยคุ้มตรองชาวลาหู่ให้ดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข การเต้นจ่าคึเป็นองค์ประกอบสำคัญของพิธีกรรมต่าง ๆ โดยนอกจากพิธีกรรมปีใหม่แล้ว ชาวลาหู่บ้านลุกข้าวหลามยังเต้นจ่าคึประกอบในพิธีกรรมกินข้าวใหม่ หรือพิธีกรรมการเรียกขวัญ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การเต้นจ่าคึจะเป็นโอกาสที่คนในหมู่บ้านได้แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายชาติพันธุ์มาร่วมเต้นจ่าคึแล้ว กิจกรรมการเต้นจ่าคึในช่วงเทศกาลปีใหม่ยังเป็นโอกาสของการพบปะญาติพี่น้องจากต่างหมู่บ้าน รวมถึงเพื่อฝูงและคนต่างชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่จะเข้าร่วมการเต้นจาคึกันอย่างสนุกสนาน
ขณะเดียวกัน การเต้นจ่าคึจะเป็นโอกาสที่คนในหมู่บ้านได้แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายชาติพันธุ์มาร่วมเต้นจ่าคึแล้ว กิจกรรมการเต้นจ่าคึในช่วงเทศกาลปีใหม่ยังเป็นโอกาสของการพบปะญาติพี่น้องจากต่างหมู่บ้าน รวมถึงเพื่อฝูงและคนต่างชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่จะเข้าร่วมการเต้นจาคึกันอย่างสนุกสนาน
การเต้นจาคึในคืนแรกของเทศกาลเขาะจ่าเวจะเต้นรำจนถึงช่วงเช้าของอีกวัน โดยเมื่อเข้าสู่วันใหม่ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะประกอบพิธีขอขมาแก่ญาติผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน โดยชาวบ้านลุกข้าวหลามจะนำเครื่องประกอบพิธีขอขมาประกอบด้วย เทียน ข้าวปุก เนื้อหมู ใบบชา ยาสูบ และข้าวตอก ไปให้แก่ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน รวมถึงจะนำน้ำสะอาดรดมือผู้อาวุโสเพื่อเป็นการขอขมาที่อาจล่วงเกินหรือกระทำสิ่งไม่ดีกับผู้อาวุโสในปีที่ผ่านมา จากนั้นในช่วงเย็นผู้อาวุโสจะนำเครื่องประกอบพิธีทั้งหมดที่คนในหมู่บ้านนำมาขอขมามารวมกันและประกอบพิธีกรรมที่ตู้ไฟอื่อซาเพื่อบอกกล่าวอื่อซาให้ปกปักรักษาคุ้มครองลูกหลานให้อยู่ดีมีสุขในปีใหม่นี้
วันที่สามของเทศกาลเขาะจ่าเว ชาวลาหู่ถือว่าเป็นวันที่หากทำบุญในวันนี้จะได้บุญมาก ชาวบ้านลุกข้าวหลามจึงนิยมประกอบพิธีทำบุญในวันนี้ หรือครัวเรือนที่มีตู้ไฟอื่อซาจะนำสายสิญจน์มาไว้ที่หน้าบ้านเพื่อให้คนในหมู่บ้านนำไปเก็บไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลซึ่งถือเป็นการทำบุญประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน
หลังจากสิ้นสุดเทศกาลเขาะจ่าเวแล้ว ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง โดยการสะเดาะเคราะห์ช่วงหลังปีใหม่จะประกอบพิธีกรรมก่อนวันศีลแรกหลังช่วงเวลาปีใหม่ การประกอบพิธีรรมสะเดาะเคราะห์ช่วงหลังปีใหม่มีขั้นตอนและรายละเอียดคล้ายกับการสะเดาะเคราะห์ก่อนเข้าสู่ช่วงปีใหม่ หากแต่การสะเดาะเคราะห์หลังปีใหม่จะกระทำบริเวณท้ายหมู่บ้านนอกขอบเขตหมู่บ้านแล้วจึงเข้ามาประกอบพิธีกรรมที่ลานจ่าคึ
พิธีกินข้าวใหม่ (จ่าซึจ่า)
พิธีกินข้าวใหม่หรือ “จ่าซึจ่า” เป็นพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวอื่อซา พระเจ้าสูงสุดของชาวลาหู่ให้ช่วยดูแลรักษาพืชพันธุ์ที่เพาะปลูกให้เจริญงอกงาม ให้ผลผลิตดี พิธีกินข้าวใหม่จะประกอบพิธีในช่วงที่พืชพันธุ์เริ่มออกผลผลิตโดยชาวบ้านลุกข้าวหลามจะเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรม ประกอบด้วย ต้นข้าวอ่อน (ข้าวกำลังตั้งท้อง) ข้าวโพดฟักอ่อน เทียนขี้ผึ้ง ข้าวตอก ข้าวสาร นำไปให้บ้านที่มีตู้ไฟอื่อซา วันรุ่งขึ้นเจ้าของบ้านที่มีตู้ไฟอื่อซาจะรวบรวมเครื่องประกอบพิธีกรรมทั้งหมดไปประกอบพิธีกรรมที่บ้านของแก่ลุป่า หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมพิธีจะรับประทานอาหารที่ปรุงจากหมูที่ร่วมกันซื้อ กินข้าว และแบ่งเนื้อหมูที่ใช้ในพิธีกรรมให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมกลับไปทำพิธีที่บ้าน
การใช้เครื่องประกอบพิธีกรรมเป็นต้นข้าวอ่อน และข้าวโพดฝักอ่อนเพื่อเป็นเสมือนการ “แก้เคล็ด” โดยคนได้กินผผลผลิตก่อนพวกนก หนู หรือแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ จะได้กัดกินผลผลิตซึ่งจะส่งผลไปถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตซึ่งคนจะได้เก็บเกี่ยวหรือกินผลผลิตมากกว่าที่สัตว์ต่าง ๆ กัดกิน
ปฏิทินระบบนิเวศ
ฤดูร้อน ราวเดือนมีนาคมถึงราวเดือนพฤษภาคม: ช่วงรอการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ช่วงเวลานี้ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะทำการเก็บหาอาหารจากป่า พืชพันธุ์และแหล่งอาหารที่พบในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ผักหวาน ผักกูด ชะอมป่า ยอดสะบ้า ไข่มดแดง และการหาปลาในลำน้ำใกล้หมู่บ้าน เช่น ลำน้ำของ หรือบริเวณน้ำตกซู่ซ่า เป็นต้น โดยช่วงนี้สภาพอากาศจะแห้งแล้ง ส่งผลให้หมู่บ้านต้องประสบกับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ คนในหมู่บ้านจะต้องออกไปตักน้ำจากลำน้ำนอกหมู่บ้านเพื่อนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้มักจะเกิดไฟป่ารอบ ๆ หมู่บ้านซึ่งคนในหมู่บ้านจะร่วมกันทำแนวกันไฟ รวมถึงจัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่าตามจุดเฝ้าระวังไฟป่าตามมาตรการของสถานีควบคุมไฟป่าปางมะผ้า
ฤดูฝน ราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน: เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ชาวบ้านลุกข้าวหลามจะเริ่มเตรียมพื้นที่เพาะปลูกตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม และเริ่มเพาะปลูกข้าวโพดสำหรับบริโภค และเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เดือนมิถุนายนจึงเริ่มเพาะปลูกข้าวเพื่อการบริโภคในครัวเรือน หรือการจำหน่าย นอกจากนั้นชาวลุกข้าวหลามยังเพาะปลูกข้าวลืมผัว (ข้าวเหนียวดำ) และข้าวเหนียวขาวสำหรับการทำขนมข้าวปุกสำหรับประกอบพิธีกรรม พร้อมกับปลูกข้าวโพดเพื่อการค้า โดยราวเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนเป็นช่วงของการบำรุงรักษาพืชพันธุ์ที่เพาะปลูก พ่นยากำจัดวัชพืช ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ราวเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนจึงเริ่มเก็บเกี่ยวข้าว พืชพันธุ์ในป่าที่เป็นอาหารมีความหลากหลาย เช่น ชะอมป่า ยอดสะบ้า ผักนางนอง มะเขือพวง หน่อไม้ ด้วยฝนตกหนักและต่อเนื่องทำให้ในบางปีชาวบ้านลุกข้าวหลามต้องประสบกับน้ำป่าไหลหลากในราวเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนที่ทำให้พืชพันธุ์ที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย
ฤดูหนาว ราวเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์: ช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วเสร็จ ชาวบ้านลุกข้าวหลามส่วนหนึ่งจะนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาจำหน่ายยังจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม ตั้งแต่ผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวเหนียวดำ ฟักทอง พืชผัก และสินค้าประเภทหัตถกรรมผ้า เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยือนพื้นที่อย่างคึกคัก ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพด และเมื่อว่างเว้นจากทำงานชาวลุกข้าวหลามที่เป็นผู้หญิงจะปักผ้า ทำเครื่องแต่งกายสำหรับพิธีปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ภาษาลาหู่จัดอยู่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต – พม่า (Tibeto - Burman) ซึ่งแตกแขนงมาจากเชื้อสายโลโล ภาษาลาหู่ไม่มีภาษาเขียน ตำนานท้องถิ่นเล่าว่า ชาวลาหู่และคนชาติพันธุ์อื่น ๆ ได้เดินทางไปรับตัวอักษรจากพระเจ้าอื่อซา เมื่อได้รับตัวอักษรจากพระเจ้าอื่อซาแล้ว บางชาติพันธุ์บันทึกตัวอักษรใส่ใบไม้ บางชาติพันธุ์บันทึกลงบนก้อนหิน บางชาติพันธุ์บันทึกลงบนกระดาษ ส่วนชาวลาหู่หลังจากได้รับตัวอักษรแล้วได้บันทึกอักษรลงบนแผ่นข้าวปุก ระหว่างการเดินทางกลับชาวลาหู่เกิดความหิวขึ้นจึงได้นำข้าวปุกที่บันทึกตัวอักษรไว้มารับประทานจนหมด ภาษาเขียนของชาวลาหู่จึงสูญหายไปนับตั้งแต่นั้น
กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336. “ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน พลเอกอรชุน พิบูลนครินทร์”. เข้าถึงจาก https://bpp336.com/ลุกข้าวหลาม.html.
จังหวัดแม่ฮ่องสอน. (2568). ประวัติความเป็นมาจังหวัดแม่ฮ่องสอน. เข้าถึงจาก https://www.maehongson.go.th/new/history/.
ปนัดดา บุณยสาระนัย. (2568). “ลาหู่”. เข้าถึงจาก https://ethnicity.sac.or.th/database-ethnic/206/
รัศมี ชูทรงเดช และคณะ. (2550). โครงการสืบค้นและจัดการมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในอำเภอปาย-ปางมะผ้า-ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 2 (เล่มที่ 6: ด้าน). (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
รัศมี ชูทรงเดช และคณะ. (2556). โครงการสืบค้นและจัดการมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในอำเภอปาย-ปางมะผ้า-ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 3 (เล่มที่ 5: ด้านประวัติศาสตร์). (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายพิเศษ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ “ศศช.บ้านลุกข้าวหลาม”. เข้าถึงจาก https://www.xn--b3c3da.com/home/clc_detail/494/
สารภี ศิลา. (2555). “มูเซอเฌเล” 16 – 34. ใน สุดาวดี เตชานันต์ และคนอื่น ๆ (บรรณาธิการ). มูเซอ กรุงเทพฯ : กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ.
สุภาวดี มีสิทธิ์และคณะ. (2545). การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถองค์กรชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน. (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานภาค)
องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย (2562) โครงการพัฒนาที่สูงไทย – เยอรมัน. เข้าถึงจาก https://www.thai-german-cooperation.info/th/history_rural_6/.
สัมภาษณ์จ่าบู่ สำเภาโอฬาร. อดีตผู้นำหมู่บ้านบ้านลุกข้าวหลาม ทวี โอภาสนิยม. อายุ 64 ปี. ช่างตีมีด และผู้รู้ด้านการจักสาน บ้านลุกข้าวหลามนาโด๊ะ สำเภาโอฬาร อายุ 93 ปี. บ้านลุกข้าวหลาม