
แหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ควบคู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
ชื่อบ้านนามเมืองของตำบลมะม่วงสองต้นมีประวัติความเป็นมาเริ่มต้นมาตั้งแต่ในสมัยเจ้าพระยานครนครศรีธรรมราช เป็นเจ้าเมืองสมัยนั้นได้ขยายอาณาจักรการปกครองแบ่งออกเป็น 4 เมืองใหญ่ หรืออาณาจักร คือ ตามพรลิงค์ ลังกาสุกะ ศรีวิชัย และศรีธรรมราชนคร (หรือศรีธรรมราชมหานครหรือเมือง 12 นักษัตรซึ่งเป็นเมืองที่อยู่รวมกันปกครองจำนวน 12 เมือง ได้แก่ กลันตัน ปาหัง ไทรบุรี สายบุรี ปัตตานี พัทลุง ตรัง บันทายสมอ (บันทายสมา) สระอุเลา ตะกั่วถลาง ชุมพร และกระบุรี มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครศรีธรรมราชปัจจุบัน)
ครั้นในสมัยนั้นพระยานครได้ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี (กรณีกบฏไทรบุรี) ที่อยู่ภาคใต้ตอนล่างจนชนะสงครามจึงได้นำกำลังพลเชลยศึกที่สมัครใจย้ายถิ่นฐานบ้านเดิมจากไทรบุรี (รัฐเกอดะฮ์) เดินทางเข้ามาอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช โดยมอบที่ดินแปลงนา พร้อมมอบหมายหน้าที่ให้จัดการทำนา ทำไร่ ในบริเวณพื้นที่นาพุทธภูมิ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ส่วนนี้เป็นอาณาเขตการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น โดยเรียกพื้นที่แห่งนี้ว่า “ชุมชนบ้านในฉาง” (คำว่าฉางมาจากคำว่า ยุ้งฉางเก็บข้าว) ประชากรที่อาศัยในพื้นที่นี้มีอาชีพเกษตรกรทำนาเพาะปลูกเป็นอาชีพเดิมตั้งแต่ยุคโบราณกาล โดยมีขุนนางจากกรมนาได้รับมอบอำนาจเป็นผู้ดูแลการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกในแต่ละปี (พันธุ์ข้าวเล็บนก หอมดง สังข์หยด ไข่มดริ้น) โดยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ชุมชนชาวนาที่มีความเพียร อุตสาหะดูแลผลผลิตในไร่นาเป็นอย่างดี ท่านเจ้าเมืองพระยานครนครศรีธรรมราช จึงได้พระราชทานต้นมะม่วงให้จำนวนสองต้น ตามคติความเชื่อที่ว่า “ต้นมะม่วงเป็นต้นไม้ที่พระพรหมจะใช้ประทับที่โคนต้นเมื่อเสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ความรักที่สุกงอมหอมหวานนั่นเอง”
ปัจจุบันยังมีต้นมะม่วงปรากฎอยู่ในบริเวณที่ตั้งของสถานีรถไฟมะม่วงสองต้นหนึ่งต้น และอีกต้นหนึ่งยังคงมีอยู่บริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของชุมชนบ้านในฉาง ตำบลม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเป็นพื้นที่เป็นอู่ข้าว อู่น้ำของบริเวณนาพุทธภูมิเมืองนครศรีธรรมราช
แหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ควบคู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
การอพยพของกลุ่มชนและปัจจัยทางภูมิศาสตร์
การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในบริเวณตำบลมะม่วงสองต้น โดยเฉพาะพื้นที่ "นาพุทธภูมิ" มีรากฐานย้อนไปถึงหลายร้อยปี โดยได้รับอิทธิพลจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนจากหลายภูมิภาคของคาบสมุทรภาคใต้ เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกและดำรงชีวิต อีกทั้งยังอยู่ในระยะที่ไม่ห่างจากเขตเมืองมากนัก ทำให้เอื้อต่อการตั้งถิ่นฐานแบบกึ่งเกษตรกรรม-กึ่งพาณิชยกรรม กลุ่มชนที่อพยพเข้ามาในระยะแรก ได้แก่ ชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวพื้นเมืองนคร และกลุ่มชาวไทยภาคกลางที่เดินทางเข้ามาเพื่อแสวงหาที่ดินทำกินใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลส่งเสริมการตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ในสมัยรัชกาลที่ 5 พื้นที่นาพุทธภูมิซึ่งอุดมสมบูรณ์และอยู่ห่างจากชายฝั่งพอสมควร จึงกลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของหลายครอบครัว นอกจากนี้ ความอุดมของดินและระบบน้ำธรรมชาติยังส่งเสริมให้เกิดการตั้งถิ่นฐานแบบถาวรและการขยายตัวของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานและการจัดโครงสร้างชุมชนดั้งเดิม
ในช่วงแรกของการตั้งถิ่นฐาน ชาวบ้านที่เข้ามาในพื้นที่นาพุทธภูมิมักจะสร้างบ้านเรือนแบบกระจายตัวตามแนวคูคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยมีการเว้นพื้นที่ไว้สำหรับการทำนา การปลูกพืชสวน และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นรูปแบบของชุมชนกึ่งกระจาย (dispersed settlement) ที่เน้นการพึ่งพาธรรมชาติและการดำรงชีวิตแบบพอเพียง โครงสร้างของชุมชนในยุคเริ่มต้นเน้นระบบเครือญาติและกลุ่มครอบครัวขยายซึ่งช่วยเหลือกันในการเพาะปลูกและสร้างบ้านเรือน เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามามากขึ้น พื้นที่ก็เริ่มจัดสรรอย่างเป็นระบบ มีการขุดคูคลองเพิ่มเพื่อระบายน้ำและใช้ในการชลประทาน เกิดถนนเส้นเล็ก ๆ เชื่อมบ้านเรือนเข้าหากัน จากนั้นมีการสร้างศูนย์กลางของชุมชน เช่น ศาลาเอนกประสงค์ วัด โรงเรียน และตลาดขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในระดับท้องถิ่น ชุมชนจึงเริ่มมีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น และมีบทบาทในการผลักดันให้ตำบลมะม่วงสองต้นเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามองด้านการเกษตรและความเข้มแข็งของชุมชน
การเปลี่ยนแปลงหลังยุคพัฒนา และการรักษารากเหง้าของชุมชน
เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคพัฒนาทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในช่วงทศวรรษ 2500 – 2520 พื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้นรวมถึงบริเวณนาพุทธภูมิก็ได้รับอิทธิพลจากนโยบายของรัฐ เช่น การขยายเส้นทางคมนาคม การจัดสรรที่ดิน และการส่งเสริมการเกษตรแบบใหม่ ทำให้มีประชากรจากพื้นที่ใกล้เคียงอพยพเข้ามาเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดินและโอกาสทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและเศรษฐกิจ ชาวบ้านดั้งเดิมในพื้นที่ยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม เช่น พิธีทำขวัญข้าว การลงแขกเกี่ยวข้าว และการจัดงานบุญประจำปีของวัดในชุมชน การมีศูนย์วัฒนธรรมชุมชนขนาดย่อมในพื้นที่ และการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้กับเยาวชนผ่านโรงเรียนหรือกิจกรรมกลุ่มเยาวชน ทำให้รากเหง้าทางวัฒนธรรมของกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานยังคงได้รับการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง พื้นที่นาพุทธภูมิจึงกลายเป็นต้นแบบของการผสมผสานระหว่าง “การตั้งถิ่นฐานใหม่” และ “การธำรงอัตลักษณ์ดั้งเดิม” ได้อย่างสมดุลในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสังคมสมัยใหม่
บริบทพื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้น มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งมีความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและภูมิใจในรากเหง้าของชุมชน การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ของชุมชนมาพัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนจะช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ รวมทั้งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จึงควรแก่การจัดเก็บองค์ความรู้ รวมถึงการความรู้เพื่อพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ท้องถิ่นจากอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชนจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็กนักเรียนเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชุมชนและความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงในชุมชนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า หรือการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ เช่น งานฝีมือและประเพณีท้องถิ่น นอกจากนี้การบูรณาการวิถีชีวิตชุมชนเข้าไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนยังสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยการนำความรู้จากท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาการศึกษา จะทำให้การเรียนการสอนเป็นไปตามลักษณะของการเรียนรู้ที่มาจากประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจในมิติของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์วัฒนธรรมให้เกิดความยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้นมีจำนวน 6 หมู่บ้าน คือ ตำบลมะม่วงสองต้นแบ่งออกเป็น 6 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1 บ้านในฉาง หมู่ที่ 2 บ้านนาสำโรง หมู่ที่ 3 บ้านต้นยาง หมู่ที่ 4 บ้านสมอชัย หมู่ที่ 5 บ้านสามดอน หมู่ที่ 6 บ้านคลองลาว ดังต่อไปนี้
- หมู่ที่ 1 บ้านในฉาง ได้มาจากสภาพการใช้พื้นที่ของหมู่บ้านเป็นที่ทำนาและเก็บข้าวเปลือก ไว้ในฉาง เพื่อเป็นคลังหรือเสบียงอาหารของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ช่วงรัชกาลที่ 2-3)
- หมู่ที่ 2 บ้านนาสำโรง ภูมิประเทศของบ้านนาสำโรงเป็นที่ราบลุ่มซึ่งในสมัยโบราณก่อนจะเกิดสันดอนทรายเหมาะสำหรับการทำนาจึงเรียกว่า นาสำโรง
- หมู่ที่ 3 บ้านต้นยาง เป็นหมู่บ้านที่ 3 ของตำบลมะม่วงสองต้น เป็นหมู่บ้านที่มีต้นยางนาชุกชุม จึงเรียกว่า บ้านต้นยาง
- หมู่ที่ 4 บ้านสมอชัย พื้นที่ในอดีตเป็นลานทุ่งกว้าง จึงใช้เป็นที่เฉลิมฉลองสมรภูมิชัยชนะจากศึกสงคราม ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่เรียกเสียงเพี้ยนสั้นลงจากคำว่า สมรภูมิชัยชนะ จึงเรียกว่า สมอชัย
- หมู่ที่ 5 บ้านสามดอน ภูมิประเทศของบ้านสามดอนเป็นที่ลุ่มริมสันทราย ซึ่งแต่เดิมพื้นที่ในหมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง มีลักษณะเป็นพรุ มีเพียงบางแห่งซึ่งเป็นที่ดอนอยู่สามแห่ง จึงเรียกว่า บ้านสามดอน
- หมู่ที่ 6 บ้านคลองลาว ในหมู่บ้านมีลำน้ำสองสาย สายหนึ่งเป็นลำน้ำธรรมชาติ คือ คลองท่าดีซึ่งไหลมาจากบ้านคีรีวงอำเภอลานสกา ผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน และกลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างบ้านคลองลาวกับบ้านต้นยาง ส่วนอีกสายหนึ่งคือคลองส่งน้ำชลประทานของโครงการชลประทานคลองท่าดี ทำให้หมู่บ้านมีคลองไหลผ่าน จึงเรียกหมู่บ้านว่า บ้านคลองยาว
อาณาเขตและขนาดพื้นที่ชุมชน
ตำบลมะม่วงสองต้นตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ครอบคลุมหลายหมู่บ้าน โดยมีเขตติดต่อกับตำบลใกล้เคียงทั้งทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก พื้นที่โดยรวมมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ เหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวและไม้ผล พื้นที่เกษตรกรรมยังคงครอบคลุมเป็นสัดส่วนที่มากของตำบล
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลโพธิ์เสด็จ (ติดกับเขตเทศบาลตำบลโพธิ์เสด็จ) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลนาสาร อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ในเมือง (ติดกับเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลไชยมนตรี อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
เนื้อที่
ข้อมูลเนื้อที่ของแต่ละหมู่บ้าน ในตำบลมะม่วงสองต้น
- หมู่ที่ 1 มีพื้นที่ 2.866 ตารางกิโลเมตร
- หมู่ที่ 2 มีพื้นที่ 4.203 ตารางกิโลเมตร
- หมู่ที่ 3 มีพื้นที่ 2.674 ตารางกิโลเมตร
- หมู่ที่ 4 มีพื้นที่ 3.820 ตารางกิโลเมตร
- หมู่ที่ 5 มีพื้นที่ 3.057 ตารางกิโลเมตร
- หมู่ที่ 6 มีพื้นที่ 2.485 ตารางกิโลเมตรรวมข้อมูลพื้นที่ตำบล 19.105 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศ
เป็นพื้นที่ราบสภาพดินทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย เหมาะแก่การทำการเกษตร มีคลองธรรมชาติไหลผ่าน คือ คลองท่าดี
สภาพพื้นที่ทางกายภาพ
ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบสภาพดินทั่วไปเป็นดินร่วนปนทราย เหมาะแก่การทำการเกษตร มีคลองธรรมชาติไหลผ่าน คือ คลองท่าดีไหลผ่านใจกลางตำบล ทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงการเกษตรและการอุปโภคบริโภค บางส่วนของพื้นที่ถูกพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย ถนนสายหลักเชื่อมโยงหมู่บ้านต่าง ๆ เข้ากับเขตเมือง ทำให้การสัญจรคมนาคมสะดวก
พื้นที่สาธารณะและสาธารณูปโภคในชุมชน
ในชุมชนมีโรงเรียน วัด สนามกีฬา ลานกิจกรรมกลางแจ้ง และศูนย์เด็กเล็กซึ่งใช้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการเรียนรู้และกิจกรรมส่วนรวม ระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ถนนลาดยาง และระบบสื่อสารโทรคมนาคม ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุงด้านน้ำเพื่อการเกษตรและการป้องกันน้ำท่วม
สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
ชุมชนยังคงมีพื้นที่สีเขียวจากนาข้าว สวนผลไม้ และคูคลอง การเพาะปลูกส่วนใหญ่ยังคงใช้วิถีดั้งเดิมผสมผสานกับเกษตรสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือการใช้สารเคมีทางการเกษตรและการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไปสู่การก่อสร้างบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน
จำนวนครัวเรือนและครอบครัว
ในตำบลมะม่วงสองต้นมีครัวเรือนหลายร้อยครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยายที่อาศัยอยู่ร่วมกันหลายรุ่นในบ้านเดียวกันหรือในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะการตั้งถิ่นฐานเป็นแบบชุมชนเกษตรกรรม กระจายตัวตามแนวคลองและพื้นที่นา ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงยึดอาชีพการเกษตร เช่น การทำนา และเลี้ยงสัตว์
ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น มี 6 หมู่บ้าน 1,206 ครัวเรือน ประชากร 4,456 คน
- หมู่ที่ 1 บ้านในฉาง 217 ครัวเรือน ประชากร 1,004 คน
- หมู่ที่ 2 บ้านนาสำโรง 178 ครัวเรือน ประชากร 751 คน
- หมู่ที่ 3 บ้านต้นยาง 218 ครัวเรือน ประชากร 768 คน
- หมู่ที่ 4 บ้านสมอชัย 114 ครัวเรือน ประชากร 464 คน
- หมู่ที่ 5 บ้านสามดอน 274 ครัวเรือน ประชากร 681 คน
- หมู่ที่ 6 บ้านคลองยาว 205 ครัวเรือน ประชากร 788 คน
ระบบเครือญาติและแผนผังเครือญาติ ตำบลมะม่วงสองต้น
ระบบเครือญาติในชุมชนตำบลมะม่วงสองต้นยังคงมีความสำคัญและเหนียวแน่น ตระกูลดั้งเดิมหลายตระกูลสืบทอดอาชีพเกษตรกรรมต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยการนับลำดับญาติเป็นไปตามขนบธรรมเนียมของชาวใต้ที่ให้ความสำคัญกับการเคารพผู้ใหญ่และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การสืบทอดมรดกส่วนใหญ่มักถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกหลาน ทั้งในรูปของที่ดินทำกิน บ้านเรือน และภูมิปัญญาเรื่องการเพาะปลูก ขณะเดียวกัน การแต่งงานในอดีตมักเกิดขึ้นภายในชุมชนหรือกับหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในเครือญาติ แต่ในปัจจุบันเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น มีการแต่งงานกับบุคคลนอกพื้นที่ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวต่อสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
แผนผังเครือญาติของตำบลมะม่วงสองต้น โดยเฉพาะในพื้นที่นาพุทธภูมิ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช แสดงให้เห็นโครงสร้างความสัมพันธ์ของครอบครัวและเครือญาติที่ยังคงมีความแน่นแฟ้นและเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิต วิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ยังคงผูกพันกับระบบเครือญาติทั้งในด้านการเกื้อกูล การทำมาหากิน ตลอดจนการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น เครือญาติไม่เพียงแต่เป็นสายสัมพันธ์ทางครอบครัว แต่ยังเป็นพลังทางสังคมที่ช่วยสร้างความมั่นคง ความสามัคคี และความยั่งยืนให้กับชุมชนตำบลมะม่วงสองต้น
กลุ่มชาติพันธุ์และภาษา
ชุมชนตำบลมะม่วงสองต้นประกอบด้วยประชากรกลุ่มใหญ่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายภาคใต้ ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีชาวไทยเชื้อสายจีนที่ตั้งรกรากมาหลายชั่วอายุคน และมีอิทธิพลต่อการค้าขายและการประกอบอาชีพเสริมในท้องถิ่น ส่วนภาษาอื่น ๆ ที่พบ เช่น ภาษาไทยมาตรฐานซึ่งใช้ในโรงเรียนและในราชการ
ตำบลมะม่วงสองต้น เป็นตำบลที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีจำนวนหมู่บ้านทั้งสิ้น 6 หมู่บ้าน ได้แก่
1. บ้านในฉาง ได้มาจากสภาพการใช้พื้นที่ของหมู่บ้านเป็นที่ทำนาและเก็บข้าวเปลือก ไว้ในฉางเพื่อเป็นคลังหรือเสบียงอาหารของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ช่วงรัชกาลที่ 2-3)
2. บ้านนาสำโรง เป็นหมู่บ้านที่ 2 ของตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มบ้าน 6 กลุ่ม คือ บ้านนาสำโรง บ้านนาจูด บ้านปากด่าน บ้านทุ่งแย้ บ้านภูเขายี่ และบ้านห้วยขามภูมิประเทศของบ้านนาสำโรงเป็นที่ราบลุ่มซึ่งในสมัยโบราณก่อนจะเกิดสันดอนทราย (อันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองนครศรีธรรมราชปัจจุบัน) เคยเป็นที่ราบน้ำทะเลเคยท่วมถึง มีลำน้ำธรรมชาติ (คลองท่าดี) ไหลผ่าน กระแสน้ำพัดพาเอาตะกอนขนาดต่าง ๆ มาทับถมสองฝั่งคลอง ซึ่งแผ่ขยายกว้างออกไปตามกาลเวลา สภาพพื้นที่จึงประกอบด้วยดินเนื้อละเอียด การระบายน้ำเลว จึงเหมาะแก่การปลูกข้าวและปลูกผักหรือพืชไร่
3. บ้านต้นยาง เป็นหมู่บ้านที่ 3 ของตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มบ้าน 3 กลุ่ม คือบ้านต้นยาง บ้านฉางบน และบ้านป่ากล้วย อาชีพหลักของชาวบ้านต้นยางคือ อาชีพรับจ้าง และรับราชการ รองลงมาคือ การทำนาและค้าขายของเบ็ดเตล็ด หลายครอบครัวมีอาชีพค้าขายควบคู่กับเกษตรกรรม
4. บ้านสมอชัย เป็นหมู่บ้านที่ 4 ของตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 6 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มบ้าน 4 กลุ่ม คือ บ้านเสมาชัย บ้านดอนไอ้แขวน บ้านนาสน และบ้านตาขุนลก ภูมิประเทศของบ้านสมอชัยเป็นพื้นที่ราบลุ่มต่ำมีน้ำท่วมในฤดูฝน ดินส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อละเอียดหรือดินเหนียว บางแห่งพบดินเนื้อหยาบ ขึ้นอยู่กับแหล่งวัตถุต้นกำเนิดดิน และลักษณะตะกอนที่ถูกน้ำจากคลองท่าดีพัดมาทับถม การระบายน้ำเลว จึงเหมาะสำหรับปลูกข้าวและข้าวโพดได้ทั่วไป และสามารถปลูกผักหรือพืชไร้ในฤดูแล้ว ส่วนพืชยืนต้นอื่น ๆ ไม่อาจจะปลูกได้
5. บ้านสามดอน เป็นหมู่บ้านที่ 5 ของตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ้ประมาณ 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มหมู่บ้าน 4 กลุ่ม คือ บ้านสามดอน บ้านหนองกก บ้านทองปูน และบ้านหินเลื่อน ภูมิประเทศของบ้านสามดอนเป็นที่ลุ่มริมสันทราย ซึ่งแต่เดิมพื้นที่ในหมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง มีลักษณะเป็นพรุ มีเพียงบางแห่งซึ่งเป็นที่ดอน แต่โดยทั่วไปสภาพภูมิประเทศทั้งสองลักษณะกระจัดกระจายและปะปนกันจนมองไม่ค่อยเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน
6. บ้านคลองยาว เป็นหมู่บ้านที่ 6 ของตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มบ้าน 6 กลุ่ม คือ บ้านคลองลาว บ้านเกาะขี้ บ้านเกาะจิ้งจ่าย บ้านคลองขาว บ้านเพิงหลวง และบ้านอินทร์วาเรศ ในหมู่บ้านมีลำน้ำสองสาย สายหนึ่งเป็นลำน้ำธรรมชาติ คือ คลองท่าดีซึ่งไหลมาจากบ้านคีรีวงอำเภอลานสกา ผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน และกลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างบ้านคลองลาวกับบ้านต้นยาง ส่วนอีกสายหนึ่งคือคลองส่งน้ำชลประทานของโครงการชลประทานคลองท่าดีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง
ชุมชนตำบลมะม่วงสองต้นมีการรวมกลุ่มกันในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ปรากฏในรูปแบบ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ กองทุนหมู่บ้าน และสหกรณ์การเกษตร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการจัดการทุนและสร้างรายได้ ด้านสังคมและวัฒนธรรมมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดกิจกรรมประเพณี เช่น งานสารทเดือนสิบ งานบุญข้าวใหม่ และกิจกรรมประจำวัด ส่วนด้านการเมืองมีการเข้าร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านและแผนพัฒนาท้องถิ่น ทำให้การตัดสินใจของชุมชนมีความโปร่งใสและสะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
อาชีพและการรวมกลุ่มประกอบอาชีพในชุมชน
อาชีพหลักของคนในชุมชนคือ การทำนา ทำสวนผลไม้ และเลี้ยงสัตว์พื้นบ้าน ขณะที่อาชีพเสริม ได้แก่ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร งานหัตถกรรม และการค้าขายรายย่อย การรวมกลุ่มประกอบอาชีพเกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มแปรรูปผลไม้และกลุ่มเลี้ยงสัตว์
เครือข่ายการค้าขาย/แลกเปลี่ยนภายใน-ภายนอกชุมชน
สินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าว พืชผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูป จะถูกจำหน่ายทั้งในตลาดท้องถิ่นและตลาดกลางในเขตเมืองนครศรีธรรมราช รวมถึงการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างครัวเรือนในชุมชน ทำให้เกิดเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงทั้งภายในและภายนอก
การออกไปทำงานนอกชุมชน
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งเลือกที่จะออกไปทำงานนอกพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และงานบริการในตัวเมืองหรือจังหวัดใกล้เคียง การทำงานนอกชุมชนถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยแบ่งเบาภาระครัวเรือน
การเข้ามาทำงานในชุมชนของคนต่างถิ่น
ในทางกลับกัน ชุมชนก็มีการต้อนรับแรงงานต่างถิ่นที่เข้ามาช่วยในงานเกษตรกรรม เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิต การทำสวนผลไม้ และงานก่อสร้าง การมีแรงงานเหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการแรงงานเสริมและการเชื่อมโยงของเศรษฐกิจชุมชนกับบุคคลภายนอก
องค์กรภายนอกที่เข้ามาทำงานในชุมชน
หลายองค์กรภายนอกได้เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ เช่น หน่วยงานภาครัฐ องค์การบริหารส่วนตำบล มหาวิทยาลัย และองค์กรพัฒนาเอกชน โดยทำหน้าที่สนับสนุนด้านการเกษตร การศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมขององค์กรเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสและสร้างแนวทางพัฒนาที่สอดคล้องกับศักยภาพของชุมชน
ปฏิทินด้านประเพณีวัฒนธรรมตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการรวบรวมกิจกรรมสำคัญที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และความเชื่อของคนในชุมชน โดยจัดเรียงตามช่วงเวลาตลอดทั้งปี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
กิจกรรมด้านประเพณีวัฒนธรรม ในพื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
1. ประเพณีการให้ทานไฟ ชาวบ้านในพื้นที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงสิ้นปี จนกระทั่งถึงเดือนมกราคม-เดือนมีนาคมของในปีถัดไป โดยชาวบ้านจะช่วยกันก่อกองไฟตั้งแต่ตอนรุ่งเข้า เพื่อจัดทำอาหารและขนมพื้นบ้าน ถวายพระภิกษุสงฆ์และแบ่งปันอาหารที่จัดทำขึ้น ดังนี้ ข้าวต้ม ปลาทอดต่าง ๆ ผัดหมี่กะทิ ข้าวหลาม ข้าวเหนียวปิ้ง ขนมเบื้อง ขนมครก ขนมจาก หรืออาหารคาวหวานเฉพาะในท้องถิ่นนั้น
2. ประเพณีการกวนข้าวมธุปายาสยาคู ตามประวัติความเป็นมาของประเพณีกวนนมธุปยาสยาคู นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลอันมีสตรีผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนานามว่า นางสุชาดา ซึ่งเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสก่อนอภิสัมโพธิกาล ดังหลักฐานที่ปรากฏในพระพุทธประวัติเล่ม 1 ปุริมกาล ปริจเฉทที่ 5 ตอนหนึ่งว่า "ในเช้าวันนั้นนางสุชาดาบุตรีกุฎมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ณ ตำบลอุรุ เวลาปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดา หุงข้าวมธุปายาสด้วยนมโค "หลังจากพระพุทธเจ้าทรงเสวยข้าวมธุปายาสทรงบรรลุอภิสัมโพธญาณในคือนั้น เหตุนี้ชาวนครเชื่อกันว่า ข้าวมธุปายาสนี้เองที่ส่งผลให้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
จึงเป็นจุดกำเนิดประเพณีกวนนมธุปยาสยาคู เชื่อกันว่าแต่เดิมเป็นพิธีของศาสนาพราหมณ์ พุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางอิทธิพลพราหมณ์ซึ่งเจริญมาก่อนเมื่อมีพราหมณ์จำนวนมากเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา จึงนำเอาพิธีต่าง ๆ ที่ตนเคยทำมาปฏิบัติต่อไปด้วยความเคยชิน พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าพิธีทางศาสนาพราหมณ์บางพิธีนั้นไม่ทำให้เสียหายแก่ผู้ปฏิบัติ กลับทำให้เกิดความศรัทธาในความดีงามและบำรุงกำลังใจ ก็ไม่ทรงห้ามการปฏิบัติเหล่านั้นแต่ประการใด
การกำหนดกิจกรรมในพิธี ดังนี้ วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ชาวเมืองต่างนำข้าวของต่าง ๆ ไว้สำหรับกวนในวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 3 จนกระทั่งในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 3 พร้อมจัดเตรียมไว้สำหรับทำบุญวันมาฆบูชา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 และแจกจ่ายให้พุทธศาสนิกชนทุกท่าน
วัตถุดิบที่ใช้ผสมส่วนใหญ่เป็นไปผลผลิตที่มีตามฤดูกาล ในสภาพท้องถิ่นที่มีพืชผลเป็นสำคัญ เข่น น้ำนมข้าว (ได้จากข้าวที่รวงยังไม่แก่ ตำทั้งเมล็ด คั้นเอาน้ำ เป็นเครื่องปรุงสำคัญที่สุด) ทุเรียนสด นม ขนุน องุ่น น้ำตาลทราย น้ำผึ้งรวง กล้วย เผือก มัน มะตูม ขนมพอง มังคุด ละมุด ฟักทอง ข้าวโพด อินทผลัม มะละกอ ทุเรียนกวน หอม กระเทียมเจียว น้ำมะพร้าว แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว น้ำมันบัว กะทิ พริกไทย ผักชี สาคูวิลาด น้ำตาลกรวด พุทรา ส้มแป้น ข้าวโพดอ่อน ( เอาเฉพาะเมล็ดมาหั่นละเอียด) ราทั้งห้า (ยกเว้นราดำเพราะมีกลิ่นฉุนมาก) น้ำบัวบก ถั่วลิสงคั่ว ลูกจัน ดอกจัน พริกไทยอ่อน (เมล็ดสีขาว) ลูกกระวาน กานพลู ข้าวฟ่าง เป็นต้น
3. ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นการนำผ้าผืนยาวขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ในวันสำคัญทางศาสนา ชาวนครได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาคเงินตามกำลังศรัทธานำเงินที่ได้ไปซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเป็นแถวยาวนับพันหลา แล้วจัดเป็นขบวนแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ผ้าที่ขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เรียกว่า “ผ้าพระบฎ” (หรือ พระบต) นิยมใช้สีขาว สีเหลือง สีแดง สำหรับผ้าสีขาวนิยมเขียนภาพเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ เสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นเอกลักษณ์ประจำเมืองนครศรีธรรมราช แก่นแท้อยู่ที่การบูชาพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด โดยใช้องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นตัวแทน
ตามตำนานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุมีว่า ในสมัยที่พระเจ้าสามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระเจ้าจันทรภาณุ และพระเจ้าพงษาสุระ กำลังดำเนินการสมโภชพระบรมธาตุอยู่นั้น คลื่นได้ซัดผ้าแถบยาวชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีลายเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ (เรียกว่า พระบฎ หรือ พระบต) ขึ้นที่ชายหาดปากพนัง จึงนำผ้าผืนนั้นไปถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระองค์จึงรับสั่งให้ซักจนสะอาด แต่ลายเขียนพุทธประวัติก็ไม่ลบเลือนยังคงสมบูรณ์ดีทุกประการ จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความว่าชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง จะเดินทางไปลังกา เพื่อนำพระบฎไปถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุ คือ พระเขี้ยวแก้ว แต่เรือถูกมรสุมซัดแตกที่ชายฝั่งเมืองนครมีรอดชีวิต 10 คน ส่วนพระบฏถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งปากพนัง พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงพิจารณาเห็นว่าควรจะนำขึ้นไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ เจ้าของพระบฎที่รอดชีวิตก็ยินดีด้วย จึงโปรดให้ชาวเมืองนครจัดเครื่องประโคมแห่แหนผ้าห่มโอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์ จึงเป็นประเพณีประจำเมืองนครสืบมาจนทุกวันนี้
4. วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติไทย (ปกติจะตกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่สำคัญให้แก่พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าและทั้งหมดมาในวันเดียวกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ เวฬุวัน ป่าไผ่ใกล้เมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในชีวิตของพระพุทธเจ้า
5.ประเพณีสงกรานต์ สงกรานต์เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า "สงกรานต์" เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า การเคลื่อนที่ หรือการเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งสู่ราศีหนึ่ง ช่วงเวลาสงกรานต์ของไทย เป็นช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนสู่ราศีเมษ ดังนั้น จึงเป็นประเพณีการฉลองขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติ โดยทั่วไปมีกำหนด 3 วัน คือ วันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันมหาสงกรานต์ เป็นวันที่พระอาทิตย์ก้าวเข้าสู่ราศีเมษ และเป็นวันสิ้นปีเก่า วันที่ 14 เมษายน เป็นวันเนา ซึ่งเป็นวันที่เชื่อมต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ และวันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศก หรือวันขึ้นปีใหม่
6. ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ถือเป็นประเพณีประจำปีที่สำคัญที่สุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช และถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเชื่อว่าในช่วงเดือน 10 ตามปฏิทินจันทรคติ ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เปรตที่มีกรรมหนักตกอยู่ในนรกภูมิ จะได้รับการปล่อยตัวจากยมโลกมายังโลกมนุษย์เพื่อพบลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า “วันรับตายาย” และจะต้องกลับสู่นรกภูมิในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า “วันส่งตายาย” พุทธศาสนิกชนจะจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับในสองวันนี้ แต่มีวิธีถือปฏิบัติยิ่งหย่อนต่างกัน โดยจะให้ความสำคัญกับการทำบุญวันส่งตายายมากว่าวันรับตายาย
7. ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีที่สำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 12 (เดือนพฤศจิกายน) ตามปฏิทินจันทรคติไทย โดยมีการลอยกระทงในแม่น้ำหรือแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อเป็นการขอขมาพระแม่คงคาและแสดงความขอบคุณสำหรับน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค รวมถึงการขอพรให้ชีวิตมีความสุขและความเจริญ
8. ประเพณีถือศีลอดในเดือนรอมฎอน การถือศีลอดตามความหมายทางศาสนาของอิสลาม คือการงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพ และการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกตลอดทั้งเดือนรอมฎอนของทุกปีซึ่งอาจจะมีระยะเวลา 29 หรือ 30 วัน โดยมีเจตนาว่าทำเพื่ออัลลอฮฺ
9. ประเพณีเมาลิดินบี เป็นวันแห่งการยกย่องวันเกิดท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) คำว่า “เมาลิด” เป็นภาษาอาหรับแปลว่า “เกิด ที่เกิด หรือวันเกิด” ซึ่งหมายถึงวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบิอุลเอาวัล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอิสลาม ชาวมุสลิมสามารถเลือกวันใดวันหนึ่งในเดือน 3 จัดงานบุญเพื่อระลึกถึงท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) กิจกรรมในงานเมาลิดได้แก่ การอัญเชิญคัมภีร์อัล-กุรอาน การกล่าวสรรเสริญ (อ่านซางี) เพื่อระลึกถึงท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ประกวดเพลงอนาซีด (เพลงสรรเสริญคุณธรรม) แข่งขันตอบปัญหาของนักเรียน การแสดงนิทรรศการ การออกร้าน เป็นต้น สำหรับสถานที่จัดงานก็เลือกเอาบริเวณที่กว้างขวางจุคนได้มาก มีการประดับตกแต่งซุ้มประตู และบริเวณด้วยแสงสีสวยงาม ส่วนงานเมาลิดระดับท้องถิ่น ก็มีการจัดกันตามปอเนาะบ้าง มัสยิดบ้าง ซึ่งก็จัดฉลองกันทั่วไป ในงานนอกจากมีกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ยังมีการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่ไปร่วมงานด้วย ทั้งงานเมาลิดกลางและงานย่อย จะมีมุสลิมไปเที่ยวพบปะสังสรรค์ ฟังบรรยายธรรม และร่วมรำลึก ถึงท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) กันอย่างล้นหลาม
10. ฮารีรายอ อีดิลฟิตรี วันฮารีรายอ อีดิลฟิตรีหรือมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วันตรุษอีด (Eid) เป็นเทศกาลแห่งความสุขในสิงคโปร์และเป็นเครื่องหมายการสิ้นสุดของเดือนรอมฎอน ชาวมุสลิมประกอบกิจกรรมที่แสดงความเมตตา ถือศีลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และประกอบศาสนกิจในช่วงเดือนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ในวันฮารีรายอ สมาชิกในครอบครัวต่างสวมเสื้อผ้าใหม่ เข้าเยี่ยมชมมัสยิดเพื่อสวดมนต์ ขอขมาผู้อาวุโส และรับประทานอาหารมาเลย์รสเลิศที่ปรุงขึ้นเองที่บ้าน เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม เช่น บาจูกูรุง ช่วยเพิ่มสีสันและแสดงออกถึงวัฒนธรรมอันงดงามให้กับงานเฉลิมฉลอง วันฮารีรายอ อีดิลฟิตรี เป็นช่วงเวลาแห่งการทำสมาธิ การเฉลิมฉลอง และการเสริมสร้างความผูกพันระหว่างเพื่อนและครอบครัว
11. ฮารีรายอ อีดิ้ลอัฎฮา หรือที่รู้จักกันในชื่อ เทศกาลอีดอัฮฺซา เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวมุสลิมที่จัดขึ้นในวันที่ 10 ของเดือน ซุลฮิจญะห์ ตามปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองการเสียสละของ ท่านอิบราฮิม (อับราฮัม) ที่ยอมเสียสละบุตรชายของตน คือ ท่านอิสมาอีล ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงแทนที่บุตรชายของท่านด้วยแกะหนึ่งตัวในช่วงเวลานั้น
ในช่วงเทศกาลนี้ ชาวมุสลิมจะทำการ สวดละหมาดอีด ที่มัสยิด และมีการ สังเวยสัตว์ เช่น แกะ, แพะ, วัว หรืออูฐ เพื่อเป็นการถวายแด่พระเจ้า ซึ่งการสังเวยนี้ถือเป็นการแสดงความขอบคุณและการสำนึกในความเมตตาของพระเจ้านอกจากนี้ การเฉลิมฉลองยังรวมถึงการเยี่ยมเยียนครอบครัวและเพื่อนฝูง การให้ทานแก่ผู้ยากไร้ (ซึ่งอาจเป็นการแจกจ่ายเนื้อสัตว์ที่สังเวยไป) และการทำกิจกรรมทางศาสนาและสังคมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชนถือเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญในแง่ของการเสียสละและการแสดงออกถึงความเชื่อและความศรัทธาต่อพระเจ้าในศาสนาอิสลาม
12. ประเพณีกวนข้าวอาซูรอ เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่า อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือการนำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิดคาวและหวาน การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของสังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทานกัน เจ้าภาพจะเชิญบุคคลที่นับถือของชุมชนขึ้นมากล่าวขอพร (ดูอา) ก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน
13. วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง เป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน
14. วันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ใช้ในการเฉลิมฉลองการเริ่มต้นของปีใหม่ตามปฏิทินกริกอเรียน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 1 มกราคมของทุกปี วันปีใหม่เป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลกและมักจะเป็นวันที่ผู้คนมักจะเฉลิมฉลองด้วยการจัดงานสังสรรค์ การตั้งปณิธานปีใหม่หรือการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง
ปฏิทินการผลิต
ปฏิทินการผลิตเป็นเครื่องมือที่ช่วยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการของชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรหรือการแปรรูปผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ซึ่งมักมีความสัมพันธ์กับฤดูกาล ทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ การจัดทำปฏิทินการผลิตช่วยให้ชุมชนสามารถวางแผนการใช้แรงงาน วัตถุดิบ และงบประมาณได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกได้อย่างมีประสิทธิผล
- พืชมะนาว ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม
- มันสำปะหลัง ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนเมษายน-สิงหาคม
- พืชผักบุ้ง ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายนและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม
- พืชนาข้าว ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนมีนาคม-ตุลาคม
- พืชสวนยาง ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนพฤษภาคม-เดือนกันยายน
- พืชพริก ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม -มีนาคมและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือนเมษายน-กันยายน
- พืชปาล์ม ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือน พฤษภาคม-เดือนกันยายน
- พืชมะพร้าว ตามปฏิทินฤดูกาลผลิตเริ่มการปลูกและให้น้ำในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ออกดอกและออกผล ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากการปลูก ในระยะประมาณ เดือน พฤษภาคม-เดือนกันยายน
ประวัติผู้นำชุมชน
1. นาย สมพงค์ สมทอง ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ชุมชนบ้านในฉาง ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 7 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2561 มีการสร้างโรงน้ำดื่ม 2 โรง
ปี พ.ศ. 2562 มีการทำถนนคอนกรีต 2 สาย
ปี พ.ศ. 2563 มีการสร้างกำแพงสุสาน
ปี พ.ศ. 2564 มีการบุกเบิกถนน 2 สาย
ปี พ.ศ. 2565 มีการต่อเติมอาคารมัสยิดในชุมชน
ปี พ.ศ. 2566 มีการขุดลอกคลอง
ปี พ.ศ. 2567 มีการสร้างประปาหมู่บ้าน
2. นาย สุรชัย สมทอง ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ชุมชนบ้านนาสำโรง ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 5 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2563 มีการเข้ารับดำรงตำแหน่งและมีการบริหารจัดการเกี่ยวกับโรคโควิด – 19 ในหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2564 มีการลงพื้นที่สำรวจผู้ที่เสี่ยงและโรคโควิด – 19 ในหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2565 มีการเริ่มทำโคกหนองนาโมเดลของหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2566 มีการบริหารจัดการเกี่ยวอุทกภัยในหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2567 มีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยน้ำท่วม
3. นาย ประเสริฐ ตรีเพ็ญมาร ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ชุมชนบ้านต้นยาง ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 12 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2556 - 2558 มีการทำโครงการทำถนนประชารัฐ 200,000
ปี พ.ศ. 2560 มีการทำโครงการตำบล 5,000,000
ปี พ.ศ. 2562 มีการทำโครงการแข่งขันกีฬาด้านยาเสพติด
ปี พ.ศ. 2564 - 2565 มีการทำโครงการบุกเบิกถนนซอยต้นยางผกาอุทิศ
ปี พ.ศ. 2566 มีการทำโครงการก่อสร้างลานกีฬาแบบมีหลังคาพร้อมติดตั้งเครื่องออกกำลังกาย
ปี พ.ศ. 2567 มีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยน้ำท่วมในหมู่บ้าน
4. นาย วรวิทย์ เวทวิทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ชุมชนบ้านสมอชัย ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 10 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2558 - 2559 มีการจัดโครงการแข่งขันกีฬาด้านยาเสพติด
ปี พ.ศ. 2560 - 2562 มีการทำจัดทำโครงการก่อสร้างซุ้มโครงสร้างเหล็กคล่อมถนนในหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2563 มีการจัดทำโครงการบุกเบิกถนนสายเลียบรถไฟ - บ้านนางแดง
ปี พ.ศ. 2564 มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับโรคโควิด – 19 ในหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2565 มีการสร้างประปาหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2566 มีการจัดทำโครงการอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก
ปี พ.ศ. 2567 มีการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในหมู่บ้าน
5. นางวราภรณ์ ปานจันทร์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ชุมชนบ้านสามดอน ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 16 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2552 มีการเข้ารับดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
ปี พ.ศ. 2553 มีการทำแบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียงของหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2554 - 2557 มีการจัดทำโครงการตัวอย่าง 0191
ปี พ.ศ. 2558 - 2559 มีการจัดทำโครงการแผนดีเด่นประจำปี 2558
ปี พ.ศ. 2560 - 2564 มีการจัดทำอยู่เย็นเป็นสุข
ปี พ.ศ. 2565 - 2566 มีการจัดทำโครงการน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ
ปี พ.ศ. 2567 มีการจัดทำโครงการอาชีพส่งเสริมบทบาทสตรี
6. นายสายันห์ มณีพฤกษ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ชุมชนบ้านคลองลาว ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มาจำนวน 15 ปี โดยมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะช่วงเวลาดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. 2553 - 2555 มีการปรับปรุงฝ่ายกั้นน้ำ
ปี พ.ศ. 2556 - 2558 มีการกำจัดขยะมูลฝอย
ปี พ.ศ. 2559 - 2560 มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
ปี พ.ศ. 2561- 2562 มีการจัดทำศาลาประชาคม
ปี พ.ศ. 2563 - 2564 มีการจัดทำการออกกำลังกายของประชาชนในพื้นที่
ปี พ.ศ. 2565 มีการส่งเสริมการออมในชุมชน
ปี พ.ศ. 2567 มีการแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน
ฐานข้อมูลปราชญ์ชาวบ้านหรือปราชญ์ท้องถิ่น
ด้านศาสนา ประเพณี และ พิธีกรรม |
1. นายศิริ บูมะลายู อิหม่ามประจำมัสยิดนูรุสอาด๊ะ (บ้านหน้ารายณ์) ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2496 อายุ 72 ปี ที่อยู่ : 127/1 ม.1 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ศาสนา ประเพณี และ พิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม |
2. นายอาซีด เพอสะและ อิหม่ามประจำมัสยิดนูรุลฮูดา (บ้านในฉาง) ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2507 อายุ 61 ปี ที่อยู่ : 71/4 ม.1 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ศาสนา ประเพณี และ พิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม |
3. นายล้อม สมทอง ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2476 อายุ 91 ปี ที่อยู่ : 46 ม.2 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ศาสนา ประเพณี และ พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ |
4. นายไสว ชูสวัสดิ์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ ที่อยู่ : 9 ม.3 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ศาสนา ประเพณี และ พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ |
ด้านเกษตรกรรม |
1. นายสุอีบ บูมะลายู ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2504 อายุ 63 ปี ที่อยู่ : 67/3 ม.1 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ทำนา และ เลี้ยงสัตว์ |
2. นายอาภาโส บุญรักษ์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ ที่อยู่ : 47/1 ม.4 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : หมอดิน |
3. ร.ต. ถวิล อักษรรัตน์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2486 อายุ 82 ปี ที่อยู่ : 8/15 ม.5 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : หมอดิน |
4. ร.ต. สมาน ไทรทอง ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2499 อายุ 69 ปี ที่อยู่ : 20/11 ม.6 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : หมอดิน |
ด้านการแพทย์แผนไทย |
1. นายประภาส เทพบรรทม ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ - - 2487 อายุ 81 ปี ที่อยู่ : 67 ม.2 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : พืชสมุนไพร ยาสมุนไพร |
2. นายอุเสน รอดยอด ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2504 อายุ 63 ปี ที่อยู่ : 29/5 ม.3 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : นวดแผนไทย |
ด้านหัตถกรรม |
1. นายประกอบ สุตนพัฒน์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2503 อายุ 64 ปี ที่อยู่ : 49 ม.2 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : จักรสาน |
2. นายวุ่น กาญจนดำรงค์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2478 อายุ 89 ปี ที่อยู่ : 27 ม.3 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : จักรสาน |
ด้านอาหารและโภชนาการ |
1. นางไสว สวนประพัฒน์ ประวัติส่วนตัว : เกิดเมื่อวันที่ - - 2480 อายุ 88 ปี ที่อยู่ : 74 ม.1 ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ความเชี่ยวชาญ : ผลไม้แช่อิ่ม |
1. ทุนกายภาพ
-
ลักษณะภูมิประเทศ: ที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การทำนา การเกษตรกรรม และการอยู่อาศัย
-
ทรัพยากรธรรมชาติ: มีคลองท่าดีไหลผ่าน ใช้เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
-
พันธุ์พืชสำคัญ: ข้าวพันธุ์พื้นเมือง เช่น เล็บนก หอมดง สังข์หยด ไข่มดริ้น รวมทั้งผลไม้ท้องถิ่น เช่น มะม่วง มังคุด เงาะ ทุเรียน
-
พันธุ์สัตว์: การเลี้ยงสัตว์พื้นบ้าน เช่น วัว ควาย ไก่พื้นเมือง
คุณค่าและความหมาย: พื้นที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเมืองนครฯ ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารและเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจสถานภาพปัจจุบัน: ยังมีพื้นที่นาและเกษตรกรรมจำนวนมาก แต่บางส่วนถูกปรับใช้เพื่อที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานการสืบทอด/ความยั่งยืน: มีการส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์และการจัดการทรัพยากรน้ำให้คงอยู่ยั่งยืน
2. ทุนมนุษย์
-
บุคคลสำคัญ/ปราชญ์ชาวบ้าน: ผู้นำชุมชนที่สืบทอดภูมิปัญญาด้านการทำนาและการจัดการน้ำ
-
เยาวชนในชุมชน: เป็นพลังขับเคลื่อนในการเรียนรู้และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น
คุณค่าและความหมาย: สะท้อนถึงการพึ่งพาตนเองและความเข้มแข็งของชุมชนสถานภาพปัจจุบัน: มีการจัดกิจกรรมเสริมความรู้แก่เยาวชนผ่านโรงเรียนและโครงการเยาวชนจิตอาสาการสืบทอด/ความยั่งยืน: การเรียนการสอนหลักสูตรท้องถิ่นที่นำภูมิปัญญามาบูรณาการในโรงเรียน
3. ทุนวัฒนธรรม/ภูมิปัญญาท้องถิ่น
-
การเกษตรดั้งเดิม: การทำนาแบบพื้นบ้าน การเพาะพันธุ์ข้าวพื้นเมือง
-
ประเพณีท้องถิ่น: งานบุญประเพณี เช่น บุญข้าวใหม่ ประเพณีสารทเดือนสิบ
-
วัตถุทางวัฒนธรรม: ต้นมะม่วงสองต้นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำบล
คุณค่าและความหมาย: ช่วยสร้างความภูมิใจในรากเหง้า และเชื่อมโยงคนในชุมชนเข้ากับวิถีเกษตรกรรมดั้งเดิมสถานภาพปัจจุบัน: ยังคงจัดกิจกรรมสืบสานประเพณีร่วมกับโรงเรียนและวัดในพื้นที่การสืบทอด/ความยั่งยืน: บูรณาการภูมิปัญญาเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการเรียนการสอน
4. ทุนเศรษฐกิจ
-
กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลัก: เกษตรกรรม เช่น การทำนา ทำสวนผลไม้ และการเลี้ยงสัตว์
-
กลไกสนับสนุน: มีสหกรณ์การเกษตร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกองทุนหมู่บ้าน
-
อุปกรณ์การผลิต: เครื่องจักรกลการเกษตรและระบบชลประทาน
คุณค่าและความหมาย: ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือนสถานภาพปัจจุบัน: มีการพัฒนาเกษตรแปรรูปและการตลาดออนไลน์การสืบทอด/ความยั่งยืน: ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และการรวมกลุ่มแปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า
5. ทุนสังคม/การเมือง
-
การมีส่วนร่วม: ชุมชนเข้าร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมวัฒนธรรม
-
ภาคีเครือข่าย: มีความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล โรงเรียน วัด หน่วยงานรัฐ และภาคีภายนอก
-
การเมืองท้องถิ่น: มีการมีส่วนร่วมเลือกตั้งและการแสดงความคิดเห็นในกิจการชุมชน
คุณค่าและความหมาย: สร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งในการจัดการตนเองสถานภาพปัจจุบัน: เครือข่ายเข้มแข็ง มีการจัดเวทีประชาคมหมู่บ้านการสืบทอด/ความยั่งยืน: การปลูกฝังการมีส่วนร่วมแก่เยาวชนและกลุ่มใหม่ ๆ ในชุมชน
6. สถานที่/ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง
-
สถานที่สำคัญ: ต้นมะม่วงสองต้น (ที่สถานีรถไฟมะม่วงสองต้นและในพื้นที่ชุมชนบ้านในฉาง)
-
ช่วงเวลา: สมัยเจ้าพระยานครนครศรีธรรมราช (สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น) จนถึงปัจจุบัน
7. คุณค่าและความหมายที่มีต่อชุมชน
ตำบลมะม่วงสองต้นสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม และความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชน ช่วยสร้างความภูมิใจแก่คนรุ่นใหม่และเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน
8. สถานภาพปัจจุบัน
ปัจจุบันตำบลมะม่วงสองต้นยังคงมีฐานเศรษฐกิจหลักจากเกษตรกรรม ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีการบูรณาการภูมิปัญญาชุมชนกับการศึกษาและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
9. การสืบทอดและความยั่งยืน
-
การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านหลักสูตรโรงเรียน
-
การจัดกิจกรรมสืบสานประเพณีในระดับชุมชน
-
การอนุรักษ์ต้นมะม่วงสองต้นและพื้นที่เกษตรกรรม
-
การรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อสร้างรายได้และพัฒนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ภาษาที่ใช้พูด
ประชาชนในตำบลมะม่วงสองต้นส่วนใหญ่ใช้ ภาษาไทยถิ่นใต้ (สำเนียงนครศรีธรรมราช) เป็นภาษาหลักในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มีเอกลักษณ์เฉพาะด้านน้ำเสียงและคำศัพท์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน เช่น คำท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับวิถีเกษตรกรรมและประเพณี นอกจากนี้ยังมีการใช้ ภาษาไทยกลาง ในการติดต่อราชการ การศึกษา และสื่อสารกับบุคคลภายนอก
ภาษาหรือตัวอักษรที่ใช้เขียน
ปัจจุบันใช้ อักษรไทย เป็นตัวอักษรหลักในการเขียน ทั้งในระบบการศึกษา เอกสารทางราชการ และการติดต่อสื่อสารทั่วไป ส่วนในอดีตมีการใช้ อักษรไทยแบบโบราณ (เช่น การบันทึกในสมุดไทยหรือใบลาน) ในการจดจำตำราและบทสวดต่าง ๆ
สถานการณ์การใช้ภาษาของผู้คนในชุมชน
-
ภาษาไทยถิ่นใต้ ใช้ในครอบครัว การพูดคุยในชีวิตประจำวัน และกิจกรรมชุมชน สร้างความผูกพันและความใกล้ชิดระหว่างคนในท้องถิ่น
-
ภาษาไทยกลาง ใช้ในโรงเรียน การประชุม การสื่อสารกับหน่วยงานราชการ และสื่อสมัยใหม่ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์
-
ภาษาถิ่นและภาษาไทยกลาง จึงดำรงอยู่ร่วมกัน โดยมีการปรับใช้ตามบริบทและผู้ฟัง
ชุมชนมีการปกครองท้องถิ่นโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา มีเวทีประชาคมหมู่บ้านที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมสมัยใหม่ทำให้ความสนใจด้านการเมืองท้องถิ่นของคนรุ่นใหม่ลดลง ความท้าทายคือการสร้างแรงจูงใจและการปลูกฝังความตระหนักรู้ให้เยาวชนมีส่วนร่วมกับกิจการท้องถิ่นมากขึ้น
เศรษฐกิจหลักยังคงเป็นการเกษตร เช่น การทำนา ทำสวนผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ มีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อแปรรูปสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่ม ปัจจุบันมีการนำการตลาดออนไลน์เข้ามาช่วยขยายตลาด แต่ก็เผชิญความท้าทายจากต้นทุนการผลิตสูง ราคาพืชผลไม่แน่นอน และแรงงานวัยหนุ่มสาวที่ย้ายถิ่นไปทำงานนอกพื้นที่ การมีส่วนร่วมของชุมชนอยู่ที่การรวมกลุ่มเกษตรกรและการสร้างเครือข่ายตลาดในระดับตำบลและจังหวัด
สังคมยังคงมีความเข้มแข็งจากความสัมพันธ์แบบเครือญาติและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงจากการที่เยาวชนย้ายถิ่นเพื่อการศึกษาและการทำงาน ส่งผลให้โครงสร้างประชากรมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ความท้าทายคือการดูแลผู้สูงอายุและการสร้างกิจกรรมที่ทำให้คนรุ่นใหม่กลับมามีบทบาทในชุมชน
ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิพลเมืองครบถ้วนและสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ก็ยังมีความท้าทายในการทำให้ชาวบ้านเข้าใจสิทธิของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง สิทธิทางสังคม และสิทธิในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น
ระบบไฟฟ้า ถนน น้ำประปา และการสื่อสารได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีบางพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต โดยเฉพาะระบบน้ำเพื่อการเกษตรในหน้าแล้ง ชุมชนมีส่วนร่วมโดยการร่วมแรงงานและการจัดทำแผนโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ อบต.
มีสถานีอนามัยและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเผชิญกับโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุและโรคใหม่ ๆ เช่น โรคอ้วน ความดัน เบาหวาน ความท้าทายคือการสร้างระบบดูแลผู้สูงวัยและส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก การมีส่วนร่วมเกิดจากเครือข่าย อสม. และการร่วมมือของวัด โรงเรียน และองค์กรท้องถิ่น
มีโรงเรียนประถมและมัธยมที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของเยาวชนในพื้นที่ ปัจจุบันการศึกษาได้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การเรียนรู้เรื่องข้าวพื้นเมืองและประเพณีท้องถิ่น ความท้าทายคือการปรับการเรียนการสอนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ขณะเดียวกันก็ยังต้องรักษาเอกลักษณ์ชุมชน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่นช่วยสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ในโรงเรียน
ยังคงมีการสืบสานประเพณีสำคัญ เช่น ประเพณีสารทเดือนสิบ ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อสร้างรายได้ ความท้าทายคือการทำให้คนรุ่นใหม่สนใจและเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังมากขึ้น รวมทั้งการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากขึ้นโดยไม่สูญเสียรากเหง้า
ชุมชนมีพื้นที่เกษตรอุดมสมบูรณ์ มีคลองท่าดีที่เป็นแหล่งน้ำสำคัญ แต่กำลังเผชิญปัญหาการใช้สารเคมีทางการเกษตรและการเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเป็นที่อยู่อาศัย ความท้าทายคือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นจากโครงการเกษตรอินทรีย์ กลุ่มอนุรักษ์น้ำ และการรณรงค์ปลูกต้นไม้
1. วัตถุดิบหลักจากนาและแหล่งธรรมชาติในตำบลมะม่วงสองต้น (บริเวณนาพุทธภูมิ)
วัตถุดิบหลักจากนาและแหล่งธรรมชาติในพื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้น โดยเฉพาะบริเวณนาพุทธภูมิ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวบ้านมายาวนาน ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่นาและสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพที่สะท้อนผ่านอาหารการกินและภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ข้าวพื้นเมือง ถือเป็นหัวใจสำคัญและเป็นวัตถุดิบหลักอันดับหนึ่ง ที่ชาวนาพุทธภูมิปลูกและสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวเหลืองปะทิว และ ข้าวหอมพื้นบ้าน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพดินและน้ำในท้องถิ่นได้อย่างดีเยี่ยม การปลูกข้าวเหล่านี้มักจะทำในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำหล่อเลี้ยงนาอุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ข้าวที่ได้มีลักษณะเด่นคือ เมล็ดเรียวยาว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และเมื่อหุงแล้วจะมีรสชาติที่นุ่มอร่อย ทำให้เป็นอาหารหลักของทุกครัวเรือน นอกจากนี้ บางครัวเรือนยังคงเก็บรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองหายากอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างกันไป เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนและรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวในพื้นที่เอาไว้ การทำนาของชาวพุทธภูมิไม่ได้เป็นเพียงการผลิตอาหาร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่สืบทอดภูมิปัญญาการดูแลดิน น้ำ และเมล็ดพันธุ์ข้าวให้คงความอุดมสมบูรณ์ เพื่อส่งต่อทรัพยากรเหล่านี้ให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างยั่งยืน โดยตระหนักถึงความสำคัญของการพึ่งพิงธรรมชาติและวงจรชีวิตของพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างถ่องแท้
นอกเหนือจากข้าวแล้ว พืชผักพื้นบ้าน หลากหลายชนิดยังคงเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญและหาได้ง่ายจากธรรมชาติรอบคันนาและแหล่งน้ำในบริเวณนาพุทธภูมิ พืชผักเหล่านี้ไม่ได้มาจากการเพาะปลูกอย่างตั้งใจ แต่เป็นสิ่งที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในพื้นที่ อาทิ ผักกูด ที่มักจะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีความชื้นสูงและร่มเงา, ผักบุ้งนา ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งหรือบริเวณที่มีน้ำขัง, ผักเหลียง ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และนิยมนำมาผัด หรือแกง, และ ผักติ้ว ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมฝาด นิยมใช้เป็นผักแกล้มหรือนำไปประกอบอาหาร ผักเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ซึ่งสามารถเก็บมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นแกงเลียง ผัดผัก หรือกินกับน้ำพริก นอกจากนี้ การเก็บผักจากธรรมชาติยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และยังส่งเสริมให้ชาวบ้านได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และเรียนรู้ถึงวงจรชีวิตของพืชผักเหล่านี้ ความรู้ในการเลือกเก็บพืชผักที่เหมาะสมในแต่ละฤดูกาล และวิธีการนำมาปรุงอาหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้พืชผักพื้นบ้านเหล่านี้ไม่เป็นเพียงแค่วัตถุดิบ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันระหว่างคนกับธรรมชาติในนาพุทธภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์น้ำจากธรรมชาติ ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนเติมเต็มความสมบูรณ์ของสำรับอาหารชาวนาพุทธภูมิ สัตว์น้ำเหล่านี้ไม่ได้มาจากการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ แต่จับได้ตามฤดูกาลจากคลอง หนองน้ำ หรือจากน้ำที่หล่อเลี้ยงนา ซึ่งเป็นผลมาจากระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ อาทิ ปูนา ที่มักจะอาศัยอยู่ในดินโคลนบริเวณคันนาและนิยมนำมาทำหลนปูนา หรือแกงปู, กุ้งฝอย ซึ่งเป็นกุ้งตัวเล็ก ๆ ที่พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งและนำมาทำทอดมันหรือยำกุ้งฝอย, ปลาดุกนา และ ปลาไหล ซึ่งสามารถจับได้จากน้ำในนาเมื่อถึงฤดูที่เหมาะสม และนิยมนำมาปรุงเป็นแกงส้ม แกงป่า หรือย่าง นอกจากสัตว์น้ำแล้ว
สมุนไพรท้องถิ่น ก็เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้ในครัวเรือนของชาวพุทธภูมิ โดยมักจะปลูกไว้รอบบ้านหรือพบตามชายทุ่ง เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด ขมิ้น และ ขิง สมุนไพรเหล่านี้ไม่เพียงแต่ใช้เป็นเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับอาหารเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาโรคตามภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา การพึ่งพิงวัตถุดิบจากนาและแหล่งธรรมชาติเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียง แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และความพยายามของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่คู่กับนาพุทธภูมิอย่างยั่งยืนต่อไป
2. เมนูอาหารคาวพื้นบ้าน เมนูอาหารคาวพื้นบ้าน: ชาวนาแห่งนาพุทธภูมิ
เมนูอาหารคาวพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้น โดยเฉพาะบริเวณนาพุทธภูมิ สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย การพึ่งพาวัตถุดิบจากท้องถิ่น และภูมิปัญญาการปรุงอาหารที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน รสชาติของอาหารมักจะจัดจ้านและกลมกล่อมตามแบบฉบับอาหารปักษ์ใต้ โดยมีวัตถุดิบหลักคือข้าว ปลา ผักพื้นบ้าน และเครื่องแกงที่เป็นเอกลักษณ์ นี่คือเมนูเด่น ๆ ที่คุณจะพบนอกจากสำรับของชาวนาพุทธภูมิ:
- แกงเหลือง (แกงส้มใต้ผักรวม)
ลักษณะ เป็นแกงรสจัดจ้าน เปรี้ยวนำ เค็มตาม และเผ็ดร้อน มีสีเหลืองส้มจากขมิ้นและพริกแกง
วัตถุดิบหลัก ปลาสด นิยมใช้ปลาน้ำจืดที่หาได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ เช่น ปลาดุกนา, ปลาช่อน, ปลากระพง, ปลาเนื้ออ่อน หรือบางครั้งอาจใช้ปลาทะเลหากหาได้ง่ายขึ้นในปัจจุบัน
ผักพื้นบ้าน หลากหลายชนิดตามฤดูกาลและความชอบ เช่น ยอดมะพร้าวอ่อน, หน่อไม้, มะละกอดิบ, ถั่วฝักยาว, อ้อดิบ (คูน), กะหล่ำปลี, หรือผักกูด *
พริกแกงเหลือง โขลกเองจาก พริกขี้หนูสด (สีเหลืองหรือเขียว), ขมิ้นสด (ใส่เยอะให้สีสวย), กระเทียม, หอมแดง, ตะไคร้, เกลือ, และกะปิ (กะปิอย่างดีจากแหล่งใกล้เคียง)
วิธีการปรุง โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด ละลายพริกแกงลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก (ให้รสเปรี้ยวนำ), น้ำปลา และเกลือ เมื่อน้ำแกงเดือด ใส่ผักลงไปรอจนผักสุก ใส่เนื้อปลาสดตามลงไป รอจนปลาสุก ไม่คนบ่อยเพื่อไม่ให้เนื้อปลาเละ ชิมรสให้ถูกใจ
- คั่วกลิ้งหมู/ไก่
ลักษณะ เป็นอาหารแห้งที่เน้นความหอมของเครื่องแกงและความเผ็ดร้อนจัดจ้าน นิยมทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ และผักสด
วัตถุดิบหลัก เนื้อหมูสับ หรือเนื้อไก่สับ: นิยมใช้หมูสามชั้นสับละเอียด หรือเนื้อหมู/ไก่ที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
พริกแกงคั่วกลิ้ง ประกอบด้วย พริกขี้หนูแห้ง (เผ็ดมาก), ตะไคร้ (เยอะหน่อย), ขมิ้น, หอมแดง, กระเทียม, พริกไทยเม็ด, เกลือ, และกะปิ (บางสูตรอาจใส่ข่าหรือผิวมะกรูดเพิ่มความหอม) ใบมะกรูดซอย และ พริกไทยอ่อน
วิธีการปรุง ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่เนื้อสัตว์ลงไปรวนพอสุก ใส่พริกแกงที่โขลกละเอียดลงไปผัดคลุกเคล้ากับเนื้อสัตว์จนหอมและเข้ากันดี ผัดไปเรื่อย ๆ จนแห้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลาเล็กน้อย โรยหน้าด้วยใบมะกรูดซอย และพริกไทยอ่อน (ถ้ามี) ผัดต่ออีกเล็กน้อย ยกลง
- น้ำพริกกะปิ (ตำพริกหยวก หรือน้ำชุบ)
ลักษณะ: น้ำพริกคู่สำรับอาหารใต้ ที่มีรสชาติเข้มข้น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หอมกลิ่นกะปิ นิยมทานคู่กับผักสดและผักลวกนานาชนิด
วัตถุดิบหลัก กะปิอย่างดี เป็นหัวใจสำคัญของน้ำพริก ควรเลือกกะปิจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ พริกขี้หนูสด/พริกหยวก ตามความชอบในระดับความเผ็ด กระเทียม, หอมแดง, น้ำมะนาวสด (หรือน้ำมะกรูด), น้ำปลา, น้ำตาลปี๊บ
ผักสดพื้นบ้าน เช่น แตงกวา, ถั่วฝักยาว, มะเขือเปราะ, ยอดมะกอก, ผักเหลียงสด, สะตอ และ ผักลวก: เช่น ถั่วฝักยาวลวก, ผักบุ้งลวก, บรอกโคลี
วิธีการปรุง โขลกพริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง ให้พอหยาบ ใส่กะปิลงไปโขลกรวมกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และบีบน้ำมะนาวสด คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟกับผักนานาชนิด
- ปลาทอดขมิ้น
ลักษณะ เมนูปลาทอดที่เรียบง่าย แต่มีกลิ่นหอมของขมิ้นและรสเค็มอ่อนๆ นิยมทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือน้ำพริก
วัตถุดิบหลัก ปลาสด นิยมใช้ปลาที่มีเนื้อแน่น เช่น ปลาทู, ปลาโอ, ปลานิล, ปลาดุก หรือปลาอื่น ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น ขมิ้นสดหั่นเป็นแว่น หรือทุบพอแตก กระเทียม ทุบพอแตก เกลือ
วิธีการปรุง ล้างปลาให้สะอาด บั้งปลาเล็กน้อยเพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ คลุกเคล้าปลาด้วยเกลือ ขมิ้น และกระเทียมที่ทุบพอแตก หมักทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อนจัด เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ ใส่ปลาลงไปทอดด้วยไฟปานกลางจนเหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ
3. เมนูอาหารหวานและขนมพื้นบ้าน : ชาวนาแห่งนาพุทธภูมิ
อาหารหวานและขนมพื้นบ้านในพื้นที่ตำบลมะม่วงสองต้น (บริเวณนาพุทธภูมิ) เป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้าว (โดยเฉพาะข้าวเหนียว) มะพร้าว น้ำตาลโตนด หรือผลไม้ตามฤดูกาล ขนมเหล่านี้มักจะทำขึ้นเพื่อบริโภคในครัวเรือน ต้อนรับแขก หรือใช้ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงความเรียบง่าย ความประณีต และภูมิปัญญาการแปรรูปวัตถุดิบจากธรรมชาติ
- ปะดาหน้ากุ้ง และปะดาใส้กุ้ง (กุ้งนา) หนมปะดา ขนมบาดา (بادا) หรือ Kuih Cucur Badak ขนมพื้นเมืองของชาวมลายู สันนิษฐานว่าเข้ามาในนครศรีธรรมราชพร้อมกับการอพยพเข้ามาของมุสลิมเชื้อสายมลายู นานไปเรียกชื่อสั้นลง ปะดา บาดา ปาดา ป้าดา แล้วแต่จะเรียกตามท้องที่ มีให้เห็นมากในจังหวัดนครศรีธรรมราช และยังมีให้เห็นในจังหวัดอื่น ๆ ของภาคใต้ด้วย แป้งห่อไส้ เจาะรู แล้วทอดในน้ำมัน อร่อยและมีคุณค่าสารอาหาร เป็นขนม อาหารว่าง กินได้ทั้งวัน ถ้าเช้าหน่อยก็กินกับชาร้อน ชาอ้อ (ชาร้อนไม่ใส่นม) เที่ยงกินกับชาเย็น ตอนเย็นกินกับอะไรก็ได้เลือกเอาตามใจชอบ “หนมปะดา” แป้งทำจากกล้วยน้ำว้าผสมแป้งข้าวเจ้า มีไส้ ไส้ขนมอาจจะแตกต่างกันตามพื้นถิ่น บางที่อาจจะเผ็ด บางที่อาจจะมีแอบหวานหรือใส่กุ้งเข้าไปด้วย (ถ้าเป็นขนมบาดักของมาเลย์ไส้จะมีกุ้ง หรือบางทีจะเห็นวางกุ้งไว้บนขนมด้วย แต่ไม่เจาะรูตรงกลาง ส่วนผสมของแป้งก็อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง บ้านเราถ้ามีกุ้งวางไว้เจาะรูตรงกลางไม่มีไส้ จะเรียกว่า ปะดากุ้งอร่อยเหมือนต่างกันที่แป้ง) โดยรวมรสชาติไม่แตกต่างกันมาก ภาพลักษณ์ของขนมอาจจะมีให้เห็นแตกต่างกัน บางที่ไม่เจาะรู บางที่ลูกเล็ก บางที่ลูกใหญ่ แต่ภาพลักษณ์ ดั้งเดิมของ หนมปะดา คือ แป้งห่อไส้ เจาะรู แล้วทอด พลิกด้าน ยกสะเด็ดน้ำมัน รอนิด กินได้ ที่ต้องมีขั้นตอนรอ เพราะว่า ร้อนนั่นเอง ส่วนประกอบหลักของขนมจึงเป็นส่วนแป้ง
- ข้าวยาโค (ข้าวมธุปายาสยาคู) "ชาวนครศรีธรรมราชมีความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่า ข้าวยาโคเป็นข้าวทิพย์ที่วิเศษ หากได้รับประทานจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สมบูรณ์พร้อมไปด้วยปัญญา ทำมาหากินบังเกิดผล และเป็นโอสถขนานเอกช่วยขจัดโรคภัยร้ายทุกชนิดและทำให้อายุยืนยาว
- ขนมต้มใบพ้อ (พุทธศานิกชน) เกอตูปัต (ชาวมุสลิม) "ขนมต้มใบพ้อ" และ "เกอตูปัต" คือขนมโบราณที่ทำจากข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพ้อ ซึ่งเป็นขนมที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมทางภาคใต้ของไทยมายาวนาน โดยชาวพุทธเรียกขนมชนิดนี้ว่า "ขนมต้มใบพ้อ" และมักทำขึ้นในงานบุญประเพณีสำคัญ ขณะที่ชาวมุสลิมจะเรียกว่า "เกอตูปัต" และทำขึ้นเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลฮารีรายอ เพื่อเฉลิมฉลองและรับประทานคู่กับแกงต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในพื้นที่เดียวกัน
องค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น. (ม.ป.ป.). เว็บไซต์องค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น. สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2568 จาก https://www.mamungsongton.go.th
องค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น. (ม.ป.ป.). องค์การบริหารส่วนตำบลมะม่วงสองต้น. Facebook. สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2568 จาก https://www.facebook.com/mamungsongton06
วิกิพีเดีย. (ม.ป.ป.). ตำบลมะม่วงสองต้น. ใน วิกิพีเดีย. สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2568 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ตำบลมะม่วงสองต้น
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. (ม.ป.ป.). ฐานข้อมูล 3 หมอ ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช. กระทรวงสาธารณสุข. สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2568 จาก https://3doctor.hss.moph.go.th