
บ้านปางกิ่วเป็นชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนที่มีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นผ่านการรักษาขนบการประกอบพิธีกรรมศพและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เดิมบ้านวาวีหรือปางกิ่วมีชื่อเดิมว่า บ้านหวะวี เป็นภาษามูเซอ แปลว่าป่าของหนู
บ้านปางกิ่วเป็นชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนที่มีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นผ่านการรักษาขนบการประกอบพิธีกรรมศพและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
บ้านปางกิ่ว ตั้งอยู่ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงรายเป็นตำบลที่มีราษฎรหลายกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาอาศัย มีการตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2460 แต่เดิมบ้านวาวีมีชื่อเดิมว่า บ้านหวะวี เป็นภาษามูเซอ แปลว่าป่าของหนู เริ่มแรกเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งมีชาวเขาเผ่ามูเซอร์ และเผ่าเมี่ยนอาศัยอยู่ ซึ่งมีความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2490 นายนุ สุมา ซึ่งเป็นพ่อค้าวัว ได้เข้ามาบุกเบิกให้ชาวบ้าน ทำเมี่ยงและชาหมัก และได้มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อาข่า และจีนฮ่อ เริ่มทยอยเข้ามาอาศัยอยู่รวมกลุ่มกัน จนเป็นหมู่บ้านใหญ่ขึ้น ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2500 ได้มีบริษัทชาจาก กทม. (ใบชาตราสามม้า) เข้ามาชักจูงให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากการปลูกเมี่ยงมาเป็นการปลูกชาแทน ทำให้ชาวบ้านวาวีเจริญเป็นหมู่บ้านใหญ่จนถึงปัจจุบัน
ในหมู่บ้านมีกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยนตั้งถิ่นฐาน โดยมีการตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่มานานพอสมควร ไม่ทราบระยะเวลาที่แน่ชัด แต่ก่อนที่จะย้ายมาอยู่เมี่ยนนั้นมีถิ่นเดิมที่ประเทศจีน แต่ด้วยการถูกรุกรานจาก ชาวจีนจึงส่งผลให้บรรพบุรุษของเมี่ยนต้องอพยพเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้ของประเทศจีน โดยใช้เส้นทางประเทศพม่า ชาวเมี่ยนนั้นกระจายอยู่ตามภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แพร่ น่านเป็นต้น และเมี่ยนส่วนหนึ่งได้ตั้งถิ่นฐานอยู่หมู่บ้านปางกิ่ว ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกว่าเมี่ยนอพยพมาจากประเทศจีนนั้นคือ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีความคล้ายกับวัฒนธรรมจีน
กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในชุมชน ได้แก่ กลุ่มเมี่ยนหรืออิ้วเมี่ยน
อิ้วเมี่ยนวิถีชีวิตของเมี่ยนนั้นมีความเรียบง่าย อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่การใช้ชีวิตประจำวันของเมี่ยนก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วชาวเมี่ยนจะประกอบอาชีพทางการเกษตร การเกษตรกรรมที่ปลูกกันนั้นได้แก่ ชาพันธุ์อัสสัม ชาอู่หลงและชาชิงชิง กาแฟ สวนส้มสวนลิ้นจี่ ถั่วข้าวโพด นอกจากนี้ยังปลูกพืชผักต่าง ๆ เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี แตงฟักทอง บวบ มะเขือจีน เพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือน หากมีจำนวนมากก็นำไปขาย การปลูกผักดังกล่าวนี้นิยมปลูกบริเวณรอยต่อของตีนเขาเพราะเป็นที่ลุ่มน้ำและใกล้ร่องน้ำไหลดินชุ่มชื้นและมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกันพื้นที่ทำการเกษตรนั้นเป็นที่อยู่ของราษฎรยังไม่มีเอกสารสิทธ์ที่ดิน ส่วนการเลี้ยงสัตว์ ชาวเมี่ยนนิยมเลี้ยงหมูและไก่เพราะสัตว์ทั้งสองชนิดนี้นิยมใช้เป็นอาหารและนำมาใช้ในประเพณีพิธีกรรม เช่น การเลี้ยง แต่เดิมมีการเลี้ยงแบบปล่อย ปัจจุบันบางครัวเรือนเลี้ยงเป็นระเบียบมากขึ้น คือ ทำคอกหมูหรือเล้าไก่เพื่อลดปัญหาที่สัตว์เลี้ยงต้องไปคุ้ยเขี่ยพืชไร่ต่าง ๆ
นอกจากอาชีพทางการเกษตรแล้ว ชาวเมี่ยนยังมีอาชีพอื่น ๆ อีก เช่น ค้าขาย ในชุมชนเขตท่องเที่ยวชาวเมี่ยนจะประกอบอาชีพค้าขายมากกว่าในเขตชุมชนที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว สินค้าที่ขายได้แก่ เสื้อผ้า ลายปัก เครื่องประดับ ทั้งที่เป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองและรับมาจากหมู่บ้านอื่น ๆ ชาวเมี่ยนนิยมใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงินในหมู่ชนชาวเมี่ยนมีช่างทำเครื่องประดับตามวัฒนธรรมและค่านิยมของเมี่ยนเอง
พิธีกรรมและความเชื่อเรื่องศพของกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน
พิธีกรรมศพเมื่อญาติของผู้เสียชีวิตแน่ใจแล้วว่าผู้เสียชีวิตนั้นหมดลมหายใจก็จะมีการยิงปืนขึ้นบนฟ้า 3 นัด เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านทราบว่าตอนนี้มีคนตายไม่ว่าจะตายด้วยสาเหตุใดก็ตามจะต้องมีการจัดพิธีกรรมไว้ที่บ้านเท่านั้น และชาวบ้านจะหยุดการทำไร่ทำนาและจะส่งผู้ช่วยจัดงานบ้านละ 1 คนแล้วบรรดาญาติมิตรก็ประชุมกันเพื่อจัดงานศพเตรียมเงินกงเต็ก (เงินผีหรือกระดาษ) และคนในบ้านจะส่งผู้ใหญ่ 1 คนเพื่อหาผู้ประกอบพิธีกรรมมาประกอบพิธีกรรมศพ ซึ่งผู้ที่จะประกอบพิธีนั้นจะต้องอ่านภาษาจีนออก เมื่อหาผู้ประกอบพิธีกรรมได้แล้ว ผู้ประกอบพิธีก็จะหาคนมาทำโลงศพ แต่คนทำโลงศพจะต้องบอกผู้ตายให้ทราบว่าจะไปทำอะไร และขอให้ผีช่วยในการเลือกไม้มาโลงศพ แต่ก่อนที่จะบรรจุศพผู้ประกอบพิธีจะทำการไล่ผีป่าก่อน เชื่อกันว่าในไม้นั้นมีผีป่าอาศัยอยู่ และเมื่อทำการไล่ผีเสร็จก็ตัดกระดาษสีทำเป็นลวดลายมาติดกับโลงศพให้สวยงาม
พิธีบรรจุโลงศพ ชาวเมี่ยนจะถือว่าเอาศพไปไวในโลงก็เหมือนคนตายได้ย้ายเข้าบ้านใหม่แต่ก่อนจะย้ายคนตายเข้าโลงก็จะมีพิธีป้อนข้าว ป้อนน้ำ ศพก่อนที่จะแต่งตัวศพให้ดูดีใส่ชุดสีขาวให้เรียบร้อย เรื่องชุดที่ใส่ก็มีเคล็ดอีกคือจะไม่ให้มีกระเป๋าไปกับคนตาย คือต้องเย็บกระเป๋าทุกใบในเสื้อและกางเกงเพราะถือว่าถ้ามีไว้ก็จะเอาโชคลาภไปด้วยไม่เหลือให้ลูกหลาน จากนั้นก็ทำพิธีย้ายศพเข้าโลง ก่อนอื่นก็ต้องไหว้เจ้าที่ก่อน โดยทำการจุดธูปบอกเสร็จแล้วก็ไปทำพิธียกผู้ตาย ถ้าผู้ตายเป็นผู้อาวุโสก็ไปยืนตรงศีรษะของผู้คนตายแล้วเอามือช้อนไหล่พร้อมบอกว่าอุ้มเรามาแต่เล็กจนเติบโต เราอุ้มตอบแทนแล้วนะ ก็ให้ญาติทุกคนทำเรียงต่อกัน จากนั้นผู้ทำพิธีกรรมและญาติที่เป็นผู้ชายก็จะยกร่างลงบรรจุโลง จัดเรียงกระดาษเงิน กระดาษทอง เสื้อผ้าข้าวของจนเต็มโลง จากนั้นก็ปิดฝาโลง ผู้ทำพิธีก็จะกล่าวเป็นภาษาจีนพร้อมกับตอกตะปู จากนั้นพอบรรจุเสร็จก็จะเคลื่อนมาวางไว้ในบ้านของคนตาย ซึ่งในการวางโลงศพจะต้องวางให้ตรงกับหน้าประตู
การประกอบพิธีกรรมศพ
ทุกเช้าจะต้องมีการวางไก่ ข้าว สบู่ ผ้าขนหนูไว้หน้าโลงศพเหมือนให้ผู้ตายได้มาล้างหน้าแปรงฟันจากนั้นก็ต้องตั้งอาหารเช้าและอาหารเที่ยงไว้ที่หน้าโลงศพ ซึ่งจะทำแบบนี้ตลอดจนจบพิธีกรรมและช่วงกลางวันก็ช่วยกันพับกระดาษเงิน กระดาษทอง พอกลางคืนแขกเริ่มทยอยมา ทางเจ้าภาพก็จะใส่ชุดสีขาวและผ้าผูกหัว เพื่อแสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์และเป็นการชี้ว่านี้แหละคือญาติของผู้ตายต่อมาพิธีกรรมเริ่มจากผู้ประกอบพิธีจัดเตรียม โต๊ะ ข้าว ของเซ่นไหว้ญาติของผู้ตายจะใส่ผ้าขาวและผ้าผูกหัว ความหมายของชุดก็คือผ้าที่ถูกแสดงถึงการไว้ทุกข์ให้กับผู้ตาย พอผู้ตายไปแล้วชีวิตก็ขาดสีสัน บันเทิง จากนั้นพอลูกหลานพร้อมกับผู้ประกอบพิธีก็จะเริ่มสวดมนต์แล้วก็อัญเชิญเหล่าผีบรรพบุรุษ เทวดา มาสถิต มาเป็นสักขีพยานในการประกอบพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นผู้ประกอบพิธีก็จะอ่านชื่อคนตาย ชื่อสถานที่ ชื่อของญาติผู้ตายเป็นภาษาจีนในช่วงระหว่างพิธีสวดมนต์ หลังจากที่ผู้ประกอบพิธีอ่านเอกสารที่เรียกว่า “สือบุ่ง” (ฎีกา) ที่ระบุชื่อผู้ตาย ที่อยู่บ้านเลขที่ ซอย ถนน เวลาเกิด เวลาเสียชีวิตของผู้ตาย และชื่อของบรรดาลูกหลาน และระบุว่า ในขณะนี้กำลังจะประกอบพิธีที่ไหน เวลาไหนแล้วก็นำเอา “สือบุ่ง”นั้นมาใส่ที่กงเต็กพร้อมด้วยการทำพิธีที่กงเต็กผู้ประกอบพิธีจะเอาธูป 3 ดอกและเทียน 1 เล่มจากนั้นผู้ประกอบพิธีสั่งให้ญาติของผู้ตายยกกงเต็กขึ้นเพื่อนำไปเผา ระหว่างพิธีการนำกงเต็กไปเผานั้นผู้ประกอบพิธีก็ยังคงสวดมนต์อยู่การสวดมนต์ก็เหมือนส่งข่าวไปทางกงเต็ก ว่าคนชื่อนี้ นามสกุลนี้เสียชีวิตแล้ว หลังจากสวดมนต์เสร็จก็พาญาติของผู้ตายมายัง โต๊ะไหว้ผู้ตายเพื่อทำพิธีสวดมนต์อัญเชิญวิญญาณของผู้ตายให้มาร่วมพิธีในระหว่างที่สวดมนต์
หลังจากนั้น ญาติของผู้ตายก็จะนำบรรดาของไหว้มาไว้หน้าโลงศพ
- ข้าว 1 ถ้วยพร้อมตะเกียบ 1 คู่
- เหล้า 1 แก้ว
- น้ำชา 1 แก้ว
- กับข้าว 3 อย่าง
- ไก่และหมูอย่างละ 1 ตัว
การทำโลงศพและการเผาศพ เมี่ยนจะใช้ไม้ทั้งท่องเจาะเป็นโลงเสร็จแล้วก็ช่วยกันยกมาที่บ้านผู้ตายโดยห้ามผ่านหน้าบ้านคนอื่น ก่อนบรรจุศพ ผู้ประกอบพิธีจะทำการไล่ผีและตัดกระดาษสีทำเป็นลวดลายมาติดกับโลงให้สวยงาม จึงบรรจุศพลงไปและยิงปืนอีก 3 นัดก่อนปิดฝาโลง
จากนั้นชาวบ้านก็จะนำสิ่งของมาช่วย แล้วมีการแห่ศพด้วยดนตรีปี่ กลอง ฉาบ และฆ้อง เมื่อขบวนแห่เริ่มขึ้นก็จะยิงปืนขึ้น 3 นัด ผู้ประกอบพิธีจะมีรูปผีมาแขวนก่อนทำพิธีทั้งกลางวันและกลางคืน มีการร่ายรำต่อหน้ารูปผีโดยพวกที่รำจะเอาเครื่องแต่งตัวของหมอผีมาใส่ เมื่อถึงวันเผาศพ จะมีการผูกผ้าขาวกับปลายไม้ไผ่เอาไว้หน้าบ้านให้ส่วนปลายผ้าเข้าไปในบ้าน ตามความเชื่อที่ว่าให้วิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ตามผ้าขาวนั้นในวันเผาศพผู้ประกอบพิธีจะทำพิธีกรรมมากขึ้น และรดน้ำมนต์ให้กับคนที่จะไปเผาศพหากใครไม่ทำจะไปเผาศพไม่ได้ เพราะมีความเชื่อว่ารดน้ำมนต์แล้ว ผีจะมองไม่เห็นตัวและนำฟางที่หมอผีทำพิธีแล้วมาแจกให้ผูกติดข้อมือหรือข้อเท้าก็ได้ เพื่อมีให้ขวัญหนีไปกับคนตาย
ก่อนจะนำศพออกจากบ้านก็จะให้บรรดาลูกหลานลอดโลงศพเพื่อแสดงความเคารพรัก และอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อนำศพออกจากบ้านแล้ว หมอผีจะทำพิธีไล่ผีในบ้านโดยใช้มีดเคาะไปตามที่ ต่าง ๆ ของบ้านพวกแห่ก็จะแห่ตามหลังไป 3 รอบเมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จึงหามไปที่เตรียมไว้สำหรับเผาศพขณะที่ผู้ประกอบพิธีเดินนำหน้าขบวนศพชาวบ้านจะยิงปืนนำหน้าศพไปด้วยเมื่อวางศพ ลงบนที่เผาก็จะเปิดฝาโลง นำไก่ไปลอดฝาโลงให้ลูกหลานนำกลับไปบ้าน จากนั้นก็จะทำพิธีเผาศพ ในการเผาศพผู้ประกอบพิธีจะทำพิธีและจุดไฟเผาศพโดยหันหลังให้กับโลงศพ จุดไฟทางปลายเท้าของศพ เมื่อไฟลุกก็พากันกลับบ้าน
ขณะที่เดินกลับบ้าน ตลอดทางผู้ประกอบพิธีจะหักกิ่งไม้มาปักกลางทางเพื่อเป็นการสะกดไม่ให้วิญญาณผู้ตายกลับมาบ้านอีก เมื่อทุกคนที่ไปเผาศพแล้วจะต้องไปบ้านงานศพก่อน เพื่อล้างมือล้างเท้า ก่อนจะเข้าบ้านญาติผู้ตายจะฆ่าหมูเลี้ยงแขก เมื่อเสร็จพิธีแล้วทุกคนจะกินข้าวร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
การไว้ทุกข์ให้กับผู้ตาย ญาติและลูกหลานจะไว้ทุกข์จนกว่าจะหาวันทำบุญให้กับผู้ตายได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะนานถึง 1-3 เดือน เมื่อนำผ้าขาวที่ไว้ทุกข์ออก จะต้องให้ผู้ประกอบพิธีเอาออกให้ และห้ามลูก ๆ ยิงปืนประมาณ 1ปี หลังเผาศพ หรือแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบ้านว่าจะนานแค่ไหนชาวเมี่ยนมีความเชื่อว่าหากไปยิงปืนก่อนกำหนดก็จะทำให้ปลูกอะไรไม่ได้ผลเลยทุก ๆ ปี ดังนั้นพิธีกรรมความเชื่อต่าง ๆ ที่อยู่ในวิถีชีวิตของชาวเมี่ยนในปัจจุบันพวกเขาก็ยังยึดถือกันอย่างมั่นคงตลอดมา
ธรรมเนียมการกราบศพ
กราบศพแบบกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน (แบบจีน)
- กราบ 4 ครั้ง แบบแบมือ คือการกราบพ่อแม่ มีความเชื่อว่า