ชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะตอนปลาย เป็นชุมชนที่ตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัย (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย)
ชื่อของชุมชนได้มาจากวรรณกรรมท้องถิ่นหรือนิทานท้องถิ่นในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เกี่ยวกับเรื่องราวของปู่กับหลานพลัดหลงกันในทุ่งกุลาปู่จึงร้องไห้แบกจอบตามหาหลาน (ป๋าหลานหรือปะหลานหมายถึงทิ้งหลาน)
ชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะตอนปลาย เป็นชุมชนที่ตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัย (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย)
บ้านปะหลานเป็นพื้นที่แรกเริ่มในการตั้งเมืองพยัคภูมิพิสัย โดยพื้นที่บ้านปะหลานเป็นชุมชนโบราณในวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้หรืออยู่ในช่วงยุคโลหะตอนปลาย ลักษณะพื้นที่พบคูน้ำของเมืองโบราณรอบพื้นที่ หลักฐานทางโบราณคดีได้แสดงถึงร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ 4,000 - 1,500 ปีมาแล้ว หลักฐานที่เด่นชัดคือโคกเนินที่เป็นชุมชนโบราณหลายร้อยแห่ง และมีการขุดคูน้ำคันดินล้อมรอบชุมชน ปรากฏทั้งสิ้น 17 สระประกอบด้วย สระจาน สระยาว สระเพ สระสิม(สระวัด,สระบัว) สระอ่างเกลือ สระปู่ตา สระจันทร์ สระอาทิตย์ สระแก สระจอก สระยาง สระแสง สระหมู สระหว้า สระเกาะ(สระผือ) สระหญ้าคา และ สระกะลก มีกลุ่มคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ คือ กลุ่มคนกุยหรือกลุ่มคนส่วย คนกลุ่มนี้ดำเนินวิถีชีวิตตามธรรมชาติ เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยทวารวดี ก่อนการตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัยในพื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะตัวเมืองเป็นเนินสูงมีคูน้ำล้อมรอบและมีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเมืองทวารวดี ซึ่งร่องรอยของเมืองทวารวดีนั้นพบกระจายอยู่หลายภูมิภาคในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นแบ่งเป็นลุ่มน้ำใหญ่ๆ ได้แก่ ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำโขงแต่ละลุ่มน้ำก็จะสามารถพบอารยธรรมทวารวดีอยู่อย่างหนาแน่น โดยเมืองพยัคฆภูมิพิสัยนั้นอยู่ใกล้บริเวณลุ่มน้ำชี เช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองโบราณคันธาระวิชัย เมืองโบราณจัมปาศรี จังหวัดมหาสารคาม โบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบในจังหวัดมหาสารคามมีการค้นพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและการขุดค้นพบพระพิมพ์ดินเผาตลอดจนใบเสมาจำนวนมากในเขตเมืองนครจัมปาศรีครอบคลุมเมืองพยัคฆภูมิพิสัยด้วย อำเภอพยัคฆภูมิพิสัยมีการพบใบเสมาหินจำนวน 4 ใบ (ปัจจุบันเหลือแค่ 2ใบ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเกาะสวนพุทธ) และลักษณะมีบ้านเมืองที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมแบบทวารวดีคือเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองสุวรรณภูมิได้มีเจ้าเมืองปกครองกันมาจนถึงคนที่ 12 คือ พระรัตนวงศา (ท้าวคำสิงห์) ได้พิจารณาเห็นว่า พื้นที่เมืองสุวรรณภูมิมีอาณาเขตกว้างขวาง ครอบคลุมไปทั้งพื้นที่ภาคอีสานตอนกลาง ดูแลไม่ทั่วถึง ยากแก่การปกครอง จึงมีความคิดที่จะขยายเมืองออกจากสุวรรณภูมิเพื่อที่จะไปตั้งเมืองใหม่ เพราะจะได้สะดวกต่อการควบคุมดูแลและปกครองจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ขอยกบ้านเมืองเสือ ขึ้นเป็นเมืองโดยท้าวเทศและท้าวเดช ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ และเป็นหลานของพระยาขัติยวงศา (สีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด เป็นผู้ถือใบบอกกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อขอตั้งเมือง ท้าวขัตติยะ (เทศ) ในขณะนั้นทำราชการที่เมืองสุวรรณภูมิ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเจ้าเมืองว่า พระศรีสุวรรณวงศาและพระราชทานนามบ้านเมืองเสือว่า “เมืองพยัคฆภูมิพิสัย” โดยให้ท้าวขัตติยะ (เทศ) เป็นพระศรีสุวรรณวงศา เป็นเจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยคนแรกโดยมีสารตราตั้ง เวรนายรักดังต่อไปนี้ สารตรา มา ณ วันศุกร์ แรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ เอกศก 1240
ปี พ.ศ. 2422 หลังจาก ท้าวเทศ และ ท้าวเดช สองพี่น้องได้รับสารตราตั้งเมืองแล้ว จึงได้เดินทางกลับ ไปสู่ เมืองสุวรรณภูมิ เพื่อกราบทูลขอ ไพร่พล ช้าง ม้าวัว ควายเสบียงอาหาร และยุทธปัจจัย ในการสร้างเมืองใหม่ จากพระรัตนวงศา (คำสิงห์) หลังจากที่ได้ตามที่ขอแล้ว ท้าวเดชและท้าวเทศได้นำกำลังพลเดินทางไปที่จุดก่อสร้างเมืองคือ บ้านเมืองเสือ และก่อนที่จะสร้างเมืองได้สำรวจชัยภูมิที่จะสร้างเมือง พบว่าชัยภูมิที่บ้านเมืองเสือนั้น ไม่สะดวกต่อการตั้งเมือง เนื่องด้วยเมื่อถึงฤดูน้ำหลากน้ำก็จะหลากท่วมพื้นที่ทําการเกษตรและพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เมื่อถึงฤดูแล้งน้ำก็จะแห้งขอดทําให้ชาวบ้าน วัว ควาย เดือดร้อน การเกษตรเสียหายเป็นประจํา เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้ว พระศรีสุวรรณวงศา จึงย้ายขบวนไพร่พล ช้าง ม้า วัว ควาย เดินทางออกจากบ้านเมืองเสือ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จนมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ถือว่าเป็นที่อันควรแก่การตั้งเมืองใหม่ ณที่ดังกล่าวนั้นก็คือบ้านนาข่า อําเภอวาปีปทุมหลังจากที่สำรวจชัยภูมิบ้านนาข่าแล้ว เห็นว่ามีชัยภูมิดีกว่า จึงตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัยขึ้นที่บ้านนาข่า แต่ไม่ไปตั้งเมืองที่บ้านเมืองเสือตามที่โปรดเกล้าฯ
เรื่องที่พระศรีสุวรรณวงศา เจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านนาข่านั้น ทราบถึงพระพิทักษ์นรากร (ท้าวอุ่น) เจ้าเมืองวาปีปทุม เกิดความไม่พอใจ เพราะโดนบุกรุกเขตแดน ประกอบกับช่วงเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว โดยประทับที่เมืองอุบลราชธานี เจ้าเมืองวาปีปทุมก็ร้องเรียนไปถึงกรมหลวงพิชิตปรีชากร ว่า เจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยนั้น มาบุกรุกเขตแดนของเขตที่ตนปกครองอยู่ซึ่งก็คือบ้านนาข่าและไม่ไปตั้งเมืองที่บ้านเมืองเสือตามที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานให้ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะกรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับพระราชโองการให้เสด็จกลับพระนครก่อนต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นสรรพสิทธิ์ประสงค์ได้เสด็จมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ที่หัวเมืองลาวกาวแทนก็ได้รับการร้องเรียนเรื่องเขตแดนอีกครั้ง พระองค์จึงมีรับสั่งให้พระศรีสุวรรณวงศา (ท้าวเดช) ให้ย้ายจากบ้านนาข่าไปตั้งเมืองบ้านเมืองเสือ ตามที่รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ไว้ได้รับสั่งให้ท้าวเดช หรือ พระศรีสุวรรณวงศา ให้ย้ายกลับไปตั้งเมือง ณ จุดที่ได้ กราบทูลขอต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อไม่มีปัญหาที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง ของเมืองพยัคฆภูมิพิสัย กับ เมืองวาปีปทุม หลังจากที่ พระศรีสุวรรณวงศา (ท้าวเดช) ได้รับบัญชาจึง ยอมย้ายและได้นำไพร่พล ช้าง ม้า วัว ควาย มาตั้งเมืองใหม่อยู่ในเขตการปกครองของ ตน ณ บริเวณบ้านปะหลาน ตําบลปะหลาน อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบัน และได้ทําการก่อสร้างเมืองใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ได้ย้ายไปที่ใดอีก เมืองพยัคฆภูมิพิสัยภายหลังที่ย้ายมาอยู่ที่ทําการเมือง ณ บ้านปะหลาน ตําบลปะหลาน อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย
พระศรีสุวรรณวงศา(ท้าวเดช)จึงตัดสินใจสร้างเมืองโดยได้สร้างจวนเจ้าเมืองที่เกาะบ้านปะหลาน บริเวณต้นค้างคาว ด้วยเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีชัยภูมิที่ดีเหมาะแก่การสร้างบ้านแปลงเมือง และบริเวณแห่งนี้มีทำเลที่ดี มีสระน้ำล้อมรอบ และยังอยู่ไม่ห่างไกลจากบ้านเมืองเสืออีกด้วย แต่พื้นที่บริเวณนี้ได้มีชาวเขมรอาศัยอยู่ก่อนแล้วพระศรีสุวรรณวงศา(ท้าวเดช)จึงได้เจรจาให้ชาวเขมรย้ายไปอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านปะหลาน(ซึ่งปัจจุบันคือ บ้านโนนสูง) ด้วยอำนาจของเจ้าเมืองและจำนวนผู้คนที่มากกว่า จึงทำให้ชาวเขมรนั้นต้องยอมย้ายไปอย่างขัดไม่ได้
ปีพ.ศ. 2452 พระศรีสุวรรณวงศา (ท้าวเดช) จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอ ในวัย 62 ปี โดยอ้างว่ามีปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ด้วยที่ท้าวเดชเป็นคนคุณธรรมและมีคุณงามความดีพอลาออกจากตำแหน่งก็ยังได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งให้เป็น “กรมการเมืองพิเศษ”หลังจากที่ลาออกจากราชการแล้ว ท้าวเดชก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกและภรรยา(ญาแม่สุวรรณา) ที่พยัคฆภูมิพิสัยตามเดิม ในปี พ.ศ.2462 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่6 ท้าวเดชได้มีใบบอกขอพระราชทานนามสกุล ไปยังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว โดยอ้างนามบิดา คือ พระรัตนวงษามหาขันติราชเจ้า (ท้าวคำสิงห์) ขอพระราชทานนามสกุลว่า “รัตนะวงศะวัต” (เป็นต้นตระกูลแรกของอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย)ต่อมาในปีพ.ศ.2476 ท้าวเดชก็ได้ถึงแก่กรรม รวมอายุได้ 86 ปี และในช่วงปีพ.ศ.2452เดียวกันนี้ก็มีนายอำเภอคนที่2 คือ ร.อ.ท.หลวงไสยบัณฑิตย์ (ลิ วงกาไสย)ขึ้นเป็นนายอำเภอ และได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปยังบริเวณต้นโพธิ์ (ปัจจุบันคือ ศาลหลักเมืองอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย)
นายฮวด แซ่ตั้ง เป็นคนจีนกลุ่มแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย โดยอพยพมาจากเมืองพล มีแค่เสือผืนหมอนใบ มาเป็นลูกจ้างล้างขวดเหล้า ที่บริษัทสุราไทยเรื่องในเมืองมหาสารคาม ในอัตราค่าบริการรับจ้าง 3 ขวดต่อ 1สตางค์ ต่อมานายฮวดได้แต่งงานกับนางเภา พืชนอก และได้ย้ายมาทำมาหากินที่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย โดยประกอบอาชีพ ขายของป่า มี นุ่น ปอ ครั่ง และได้สร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่น มีคนจีนที่เป็นญาติตามมาอยู่ด้วย คือ นายชุน นายคิมฮอ นายเก็ย นายแหย่ และนายเซ่งงวน นายฮวดกับนางเภา มีบุตรด้วยกัน 6 คน แต่คนที่มีความสำสำคัญต่อการขยายตัวทางเศษฐกิจของอำเภพยัคฆภูมิพิสัยคือ นางทองใบ (แซ่ตัง) เฮงสวัสดิ์ และ นายสมบัติ (แซ่ตัง) ทองไกรรัตน์
พื้นที่ตั้งของตลาดนั้นจะตั้งอยู่ตรงบริเวณต้นโพธิ์ และร้านค้าก็จะตั้งเรียงรายอยู่ตามสองข้างทางของถนนสุวรรณวงศ์ลงมาถึงบริเวณที่ว่าการอำเภอ แต่ก่อนมีร้านค้าประมาณ 10 ร้าน เป็นร้านค้าเล็กๆ เป็นบ้านหลังคาไม้ บ้านไม้เตี้ยๆชั้นเดียว ร้านแรกจะเป็นบ้านหลังคาสีแดงสองชั้นสมัยโบราณ ส่วนมากก็จะขายของเบ็ดเตล็ด โดยที่ร้านค้านั้นเป็นของคนจีน ในช่วงนี้ก็มีแต่คนจีนที่รู้จักทำการค้าขาย คนจีนบางกลุ่มก็ทำการค้าขายแบบหาบเร่ จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวลงหลักปักฐานสร้างที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นคงถาวร ชาวบ้านบางคนที่ไม่มีเงิน ก็จะนำของกินมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่ชาวจีนนำมาขาย บางครั้งชาวบ้านก็จะนำผักที่ปลูกไว้ไปขายให้กับคนจีน เพราะความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังไม่มีการค้าขายอย่างจริงจัง เป็นเพียงแต่การแลกเปลี่ยนสิ่งของกันเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าในช่วงนี้หลังจากที่ย้ายที่ว่าการอำเภอมาตั้งในที่ใหม่แล้ว บริเวณพื้นที่โดยรอบนั้นยังเป็นทุ่งนากว้างขวาง ไม่มีชาวบ้านมาสร้างที่อยู่อาศัยมากนัก จึงทำให้เริ่มเกิดการขยายตัวของชุมชน มาตามที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ โดยมีบ้านเรือนและร้านค้าของผู้คนเกิดขึ้นตามสองฝั่งของถนนสุวรรณวงศ์ลงมาทางทิศใต้จนถึงที่ว่าการอำเภอ มีการสร้างโรงเรียนประจำอำเภอขึ้นเป็นแห่งแรกที่วัดทองนพคุณ ในช่วงนี้ก็เริ่มมีคนจีนเข้ามาทำการค้าขาย แต่ก็ยังเป็นการค้าขายแบบแลกเปลี่ยน ไม่ใช่การค้าขายแบบจริงจังเหมือนกับในสมัยนี้ การค้าของคนจีนในสมัยนั้นจะเป็นการค้าขายในรูปแบบของการหาบเร่จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นได้ และได้สร้างร้านค้าขึ้นเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างมั่นคงถาวร ชาวบ้านก็เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เช่น ชาวบ้านที่ไม่มีเงินก็จะนำผักที่ตนเองปลูกไว้ มาแลกกับสินค้าที่คนจีนนำมาขาย นั่นก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้คนในสมัยนั้นเริ่มจะรู้จักการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับชาวจีน แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านก็ยังทำอาชีพเกษตรกรรม ทำนาปลูกข้าว ไว้กินเหมือนเดิม คนในสมัยนั้นจะไม่นิยมขายข้าว เพราะเชื่อกันว่าบ้านหลังไหนหรือครอบครัวไหนมีข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉางนานถึงสามปีก็จะถือว่าเป็นคนมั่งคั่งมาก
ดังนั้นในยุคนี้จึงมีการขยายตัวของชุมชนมาตามที่ตั้งที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่และยังเห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคม คือ เริ่มรู้จักในเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะคนจีนเข้ามาทำการค้าขาย วิถีชีวิตของคนในชุมชนนั้นก็เปลี่ยนไปตามสภาพของสังคมในช่วงนั้นแต่ก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนักเหมือนกับว่าอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยหรือพื้นที่ชุมชนบ้านปะหลานกำลังจะเจริญเติบโตในด้านของเศรษฐกิจและรอรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต“คนในท้องถิ่นอยู่กันอย่างเรียบง่าย ทำอาชีพเกษตรกรรม ทำนา หาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง มีการแลกเปลี่ยนอาหารและสิ่งของกัน ยังไม่มีการทำการค้าขายที่จริงจังเหมือนในปัจจุบัน”
พื้นที่ของชุมชนบ้านปะหลานเป็นลักษณะเมืองโบราณที่ทีคูน้ำล้อมรอบ ลักษณะคล้ายเกาะ
- ทิศเหนือ ติดคูน้ำโบราณและถนนสายพยัคฆภูมิพิสัย-ยางสีสุราช
- ทิศใต้ ติดกับพื้นที่ของเทศบาลตำบลพยัคฆภูมิพิสัย
- ทิศตะวันออก ติดกับชุมชนโนนสูง
คนในชุมชนบ้านปะหลานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนในวัฒนธรรมลาวหากแต่พื้นที่ใกล้เคียงของชุมชนบ้านปะหลานคือชุมชนบ้านโนนสูงเป็นคนที่ในวัฒนธรรมเขมรหรือกูย
ชุมชนบ้านปะหลานมีงานบุญใหญ่คืองานบวงสรวงพระศรีสุวรรณวงศาเจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยจัดขึ้นทุกปีบริเวณศาลเจ้าเมือง ในช่วงเดือนเมษายน
- พระสุวรรณวงศา(เดช) เจ้าเมืองคนที่2 ของพยัคฆภูมิพิสัยเป็นคนที่เริ่มตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัยบริเวณบ้านปะหลานในปีพ.ศ.2436 ปกครองบ้านเมืองสงบร่มเย็นและสร้างคุณูปการต่างๆให้กับเมือง จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2476 ปัจจุบันชาวพยัคฆภูมิพิสัยสร้างศาลและอนุสาวรีย์เพื่อสักการบูชา
- อาจารย์ไพรัตน์ แย้มโกสุม อดีตคุณครูโรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร รวมทั้งเป็นลูกหลานของเจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัย เป็นปราชญ์ของเมืองด้านประวัติศาสตร์ได้เขียนประวัติของเมืองและเจ้าเมืองไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาจนถึงปัจจุบัน
- ชุมชนโบราณยุคโลหะตอนปลาย
- โบราณวัตถุในสมัยทวารวดี (ใบเสมาบริเวณสวนพุทธ)
- ย่านชุมชนโบราณเมืองพยัคฆภูมิพิสัย
- วัดทองนพคุณ
คนในชุมชนบ้านปะหลานใช้ภาษไทยเป็นภาษาราชการและใช้ภาษาอีสานในการสื่อสารรวมทั้งชุมชนข้างเคียงมีการใช้ภาษาเขมรในการสื่อสารด้วย
ตำนานปู่ปะหลาน ประพันธ์โดย นายบรรหาญ สุวรรณพันธ์
“เมืองปะหลาน ย่านนี้ มีคนกล่าว | เป็นเรื่องเล่า สืบต่อ แต่หนหลัง |
นิทานเก่า เก็บมาเล่น สู่กันฟัง | แต่ปางหลัง ก่อนกาล เนินนานมา |
ยังมีชาย แก่หนึ่ง นามว่าเต่า | เป็นผู้เฒ่า ถิ่นนี้ นานหนักหนา |
อาชีพนั้น ดักไซ ได้ปูปลา | เลี้ยงภรรยา กับหลาน จนผ่านวัย |
มาวันหนึ่ง ยายกุลา ไม่อยู่บ้าน | ปู่จูงหลาน แบกจอบ หอบข้องใหญ่ |
มุ่งเดินหน้า ทุ่งกว้าง ทางคู่ใจ | ถึงดอนใหญ่ น้ำหลาก ล้วนมากมี |
เหมอมองทุ่ง เห็นน้ำ จรดฟ้า | แล้วสั่งว่า หลานคอยปู่ อยู่อย่าหนี |
กูจะไป ดักไซ ไม่รอรี | อยู่ที่นี่ ไม่นาน นะหลานนา |
เมื่อดักไซ เสร็จสรรพ เดินกลับมา | ไม่เจอหลาน กู่ตะโกน เที่ยวค้นหา |
ปู่ลากจอบ ตะโกนก้อง ท้องทุ่งนา | จนนภา ภพค่ำ ต่ำลงดิน |
ตอนที่ปู่ ปะหลานทิ้ง ไว้ครานั้น | ได้แปลผัน เป็นหมู่บ้าน ย่านแถวถิ่น |
เรียกว่า บ้านปะหลาน เป็นอาจิณ | อยู่ ณ ถิ่น พยัคฆา มาช้านาน |
รอยปู่ลาก จอบไป เป็นสายน้ำ | เรียกว่าลำ คลองจอบรอบสถาน |
สายนที นี้ยัง เป็นฝั่งทาน | ให้ชาวบ้าน อาบกิน กันสืบมา |
ตำนานเรื่อง เมืองปะหลาน ยังไม่จบ | โปรดคอยพบ กันใหม่ ในคราวหน้า |
ว่าปะหลาน เปลี่ยนเป็น พยัคฆา | มีที่มา เรื่องเก่า เล่าอย่างไร |
พักนิทาน คำกลอน ก่อนแค่นี้ | โอกาสมี คราวหน้า มาเล่าใหม่ |
ปู่ชื่อเต่า ลากจอบไกล ให้เมื่อยล้า | เดินลัดป่า เข้าดงใหญ่ ไม่เห็นหลาน |
พบแต่เสือ กินเนื้อ อีกเก้งฟาน | หรือกินหลาน ของปู่ หารู้ไม่ |
จึงตั้งบ้าน ย่านนี้ ว่าเมืองเสือ | ด้วยความเชื่อ แต่เก่ามา แดนป่าใหญ่ |
เป็นนามเรียก กันมา แต่คราใด | คนรุ่นใหม่ ไม่รู้ ปู่เล่ามา |
ออกจากป่า ตะโกนร้อง ตามท้องทุ่ง | ด้วยหมายมุ่ง หาหลาน ดั้นด้นหา |
เดินลัดเลาะ คูน้ำ ตามเรื่อยมา | แสนเมื่อยล้า ทั้งกายใจ ให้อาวรณ์ |
แต่นั้นมา ชื่อคูน้ำ ตั้งตามชื่อ | นั่นแหละคือ “ผู้ท้าวเต่า” ผู้เฒ่าสอน |
คันครูใหญ่ กลางทุ่งนา ป่าสันดอน | แต่กาลก่อน ถึงเดี๋ยว นี้มีให้ดู |
กล่าวถึง ยายกุลา มาถึงบ้าน | ไม่พบหลาน ล้มทรุด แสนหดหู่ |
ออกตามหา ทุ่งกว้าง ทางคันคู | ร้องสุดกู่ ไปอยู่ไหน ไม่พบหลาน |
ยายกุลา เดินมา ถึงทุ่งกว้าง | แสนเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ อันไพศาล |
จึงเป็นลม ล้มไป ในเหตุการณ์ | ร้องไห้หาหลาน “ทุ่งกุลา” มาเป็นนาม |
อันนามว่า พยัคฆา นำมาตั้ง | เมื่อคราวครั้ง เสือใหญ่ ไม่เกรงขาม |
ราชาศัพท์ ปรับตั้ง ดังคำนาม | ทั่วเขตคาม มีชื่อเมือง เลื่องลือมา |
“ปู่ปะหลาน” จึงขอปลง ลงตรงนี้ | นิทานมี เล่าไว้ ให้ศึกษา |
จริงหรือเท็จ อย่างไร ให้พิจารณา | จึงขอลา จบลง ตรงนี้เลย” |
เฉลียว อรรถโยโค.(2540). ปัจจัยที่มีผลต่อการขยายตัวของสุขาภิบาลพยัคฆภูมิพิสัย. มหาสารคาม
วุฒิกร กะตะสีลา.(2561). ประวัติศาสตร์การขยายตัวเมืองพยัคฆภูมิพิสัย พ.ศ.2436-2560 ฉบับประวัติศาสตร์สร้างคนเยาวชนสร้างชาติ. ที่ระลึกงาน125ปี พยัคฆ์รำลึก, 9 เมษายน 2561
รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. (2558). ทวารวดีในอีสาน. (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน
เอกสารหอจดหมายเหตุสมัย ร.5 (ไมโครฟิล์ม) สารตรา ก.ร.5 มท (ล)/37 (เล่มที่ 37 หน้า 96 ลำดับที่ 45)
Google Map. (2566). พิกัดแผนที่ชุมชนบ้านปะหลาน. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2566. เข้าถึงได้จาก: https://www.google.com/maps