Advance search

บ้านโคกล่ามชุมชนทอผ้าที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ผ้าย้อมสีธรรมชาติจากไม้มงคลได้รับรางวัลพระราชทาน จากวิถีชีวิตประจำของผู้หญิงอีสานสู่ผ้าทอที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ

หมู่ที่ 10 หมู่ที่ 12
โคกล่าม
หนองบัว
พยัคฆภูมิพิสัย
มหาสารคาม
ผญบ.โคกล่ามหมู่ที่ 10 โทร. 08 7217 5761
วุฒิกร กะตะสีลา
21 มี.ค. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
28 เม.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
28 เม.ย. 2023
บ้านโคกล่าม

โคกล่ามมาจากพื้นที่บริเวณตั้งหมู่บ้านเป็นป่าโคกขนาดใหญ่และยาวไปตลอด อีกทั้งพื้นที่เป็นที่ราบลงที่ต่ำ โคกล่าม จึงหมายถึงป่าโคกที่มีลักษณะราบต่ำและทอดตัวยาว


บ้านโคกล่ามชุมชนทอผ้าที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ผ้าย้อมสีธรรมชาติจากไม้มงคลได้รับรางวัลพระราชทาน จากวิถีชีวิตประจำของผู้หญิงอีสานสู่ผ้าทอที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ

โคกล่าม
หมู่ที่ 10 หมู่ที่ 12
หนองบัว
พยัคฆภูมิพิสัย
มหาสารคาม
44110
15.60937042
103.064222
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว

ชุมชนบ้านโคกล่ามเป็นชุมชนชนบทที่มีการตั้งบ้านมาตั้งแต่พ.ศ. 2435 โดยมีการตั้งที่อยู่อาศัยประมาณ 4-5 หลังคาเรือน พื้นที่บริเวณรอบชุมชนเป็นพื้นที่ป่าโคกที่มีเห็ดเป็นจำนวนมาก ป่าโคกบริเวณดังกล่าวส่วนใหญ่มีไม้จิก ไม้รัง ไม้พะยอม บ้านชาด ไม่ประดู่ ทรัพยากรของชุมชน เช่น ลำพังชู หนองละคร หนองขามเรียนซึ่งเป็นที่ตั้งศาลปู่ตาของชุมชน คนกลุ่มแรกที่เข้ามาใช้พื้นดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยคือ นายสมบัติ นายอ้น ยายหอย นายลี มูลไธสง ซึ่งเป็นกลุ่มคนจากบ้านเป่ง บ้านมะฮุ่ง พื้นที่ในการตั้งชุมชนแรกเริ่มอยู่บริเวณคุ้มไผ่เงินในปัจจุบัน ผู้คนในชุมชนทำนาเป็นอาชีพหลักและมีการทอผ้า จักสานในยามว่างจากงานเกษตรกรรมผู้คนเริ่มอพยพเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นรวมทั้งมีชาวญวณเข้ามาทำงานชุมชนคือ นายบุญ ปัตสานะ เป็นช่างในชุมชนทั้งสร้างวัดและซ่อมอุปกรณ์ในครัวเรือน คนในหมู่บ้านโคกล่ามต้องว่าจ้างนายบุญเป็นประจำเนื่องจากมีฝีมืองานช่าง ชีวิตผู้คนตั้งแต่ พ.ศ. 2435-2503 เป็นไปอย่างเรียบง่ายพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลักและอยู่กันเป็นคุ้มพื้นที่อยู่อาศัยยังไม่มีการขยายตัวเท่าใดนัก ส่วนใหญ่กระจุกตัวกันอยู่บริเวณคุ้มไผ่เงินหรือพื้นที่ตั้งชุมชนในช่วงแรกเริ่ม 

ในระหว่าง พ.ศ. 2503-2537 ช่วงการตั้งชุมชนในระบบราชการ ช่วงก่อนหน้า พ.ศ. 2503 ถึงแม้บ้านโคกล่ามจะมีผู้คนอาศัยอยู่ก่อนแล้วแต่ยังไม่มีการตั้งชุมชนตามระบบราชการ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2503 มีการตั้งชุมชนบ้านโคกล่ามขึ้น โดยมี นายคง แสนแก้ว เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีการสร้างโรงเรียนบ้านโคกล่ามขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2506 ซึ่งแต่เดิมผู้คนในชุมชนใช้วัดเป็นโรงเรียนและเรียนกับพระสงฆ์ ในช่วงปี พ.ศ.2510 มีการตัดถนนสายเม็กดำ-ยางสีสุราช ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงเส้นทางเกวียนส่งผลให้ผู้คนในชุมชนบ้านโคกล่ามเริ่มขยายตัวและตั้งที่อยู่อาศัยออกไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเนื่องจากมีถนนตัดผ่าน พ.ศ.2522 ชุมชนบ้านโคกล่ามมีรถโดยสารจากบ้านโคกล่ามเข้าไปตัวอำเภอพยัคฆ์คันแรกของหมู่บ้านเป็นของนายบุญจันทร์ ซึ่งเป็นพ่อค้าและร้านค้าร้านแรกของหมู่บ้านโคกล่าม อีกทั้งในช่วงปี พ.ศ. 2526 ไฟฟ้าเข้ามาในชุมชนส่งผลให้ผู้คนเริ่มมีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น พ.ศ. 2531 บ้านโคกล่ามได้ย้ายการปกครองจากแต่เดิมสังกัด ตำบลเม็กดำ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ไปขึ้นกับตำบลขามเรียน อำเภอยางสีสุราช แต่ในปี พ.ศ. 2535 มีการเรียกร้องให้บ้านโคกล่ามกลับมาสังกัดอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยอีกครั้งเนื่องจากการติดต่อราชการและการค้าขายสะดวกกว่าจึงได้ย้ายมาสังกัดตำบลหนองบัว อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ชีวิตของผู้คนบ้านโคกล่ามในช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503-2537 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชุมชนซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการส่วนใหญ่เป็นนโยบายรัฐที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่เช่นการตั้งชุมชนตามระบบราชการทำให้มีการติดต่อราชการอีกทั้งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนบ้านโคกล่ามที่สุดคือการตัดถนนทางฝั่งทิศตะวันออกของชุมชนคือถนนสายเม็กดำ-ยางสีสุราช ทำให้ชุมชนขยายตัวและตั้งที่อยู่อาศัยออกมาทางฝั่งทิศตะวันออกมาขึ้น มีโรงเรียนบ้านโคกตั้งขึ้นติดถนนแห่งใหม่นี้และมีการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้า การขนส่งคมนาคมที่ดีขึ้น

ในระหว่าง พ.ศ. 2538-2549 ช่วงการพัฒนาหมู่บ้านโดยการกำกับของรัฐ พ.ศ. 2538 ชุมชนบ้านโคกล่ามมีความหนาแน่นขึ้นและยากต่อการปกครองจึงได้แยกชุมชนออกเป็น2 หมู่ คือหมู่ที่10 หมู่ที่12 เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารราชการ ผู้คนขยายตัวออกไปทางทิศตะวันออกอย่างต่อเนื่องตามปัจจัยคือถนนเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ พ.ศ. 2540 มีการสร้างถนนคอนกรีตในชุมชนและถนนเส้นเม็กดำ-ยางสีสุราชได้ถูกพัฒนาเป็นถนนลาดยาง ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น แต่ในช่วงดังกล่าวนี้ผู้คนในชุมชนเริ่มออกไปทำงานในกรุงเทพฯทั้งเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมและส่วนใหญ่เป็นแรงงานก่อสร้าง มีการชักชวนกันของชาวบ้านในการเข้าไปทำงานกรุงเทพฯ จนปัจจุบันสภาพของชุมชนบ้านโคกล่ามเป็นชุมชนที่ขาดแคลนแรงงานหรือคนวัยทำงาน การทำเกษตรกรรมในช่วงหลังของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปผู้คนหาเงินส่งกลับมาบ้านเพื่อจ้างแรงงานในภาคเกษตรกร ส่วนใหญ่คนที่อยู่ในชุมชนจะเป็นผู้สูงอายุและเด็ก ประมาณปีพ.ศ. 2533 มีการตั้งกลุ่มทอผ้าของชุมชนบ้านโคกล่ามและเป็นอาชีพหลักอีกอย่างหนึ่งของผู้สูงอายุในชุมชนบ้านโคกล่ามและผ้าไหมยังเป็นของดีของชุมนบ้านโคกล่ามจนถึงปัจจุบัน

ในระหว่าง พ.ศ. 2550-2565 การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนผ่านการทอผ้า กลุ่มทอผ้าตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2533 เป็นต้นมามีการสร้างรูปแบบการจัดการและการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างมีระบบ แต่ผ้าทอในชุมชนยังไม่มีความโดดเด่นเท่าใดนัก จนกระทั่ง พ.ศ. 2550 การทอผ้าของชุมชนบ้านโคกล่ามเริ่มมีชื่อเสียงจากการย้อมศรีธรรมชาติ โดยการนำของนางสมเพียร จรรยาศิริ ประธานกลุ่มทอผ้าไหมไม้มงคล และต่อมาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดลายผ้าของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวรรณวรีฯ และสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับสมาชิกในกลุ่ม ผู้คนในชุมชนบ้านโคกล่ามที่ทอผ้ากันเป็นอาชีพหลักอยู่แล้วจักปรับเปลี่ยนรูปแบบการย้อมสีเป็นสีธรรมชาติมากขึ้น

ชุมชนบ้านโคกล่ามเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณเขตแดนของจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดบุรีรัมย์มีลำพังชูเป็นลำน้ำสายสำคัญทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน มีทรัพยากรป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีเห็ดป่าจำนวนมาก แหล่งน้ำสำคัญของชุมชนนอกจากลำพังชูยังมีหนองละครและหนองขามเรียน

มีอาณาเขตติดกับชุมชนอื่น ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดกับ บ้านแวงดง ตำบลแวงดง อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม
  • ทิศใต้ ติดกับ บ้านหนองไผ่ ตำบลเม็กดำ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
  • ทิศตะวันออก ติดกับ บ้านโคกเลื่อน ตำบลหนองบัว อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
  • ทิศตะวักตก ติดกับ บ้านเป่ง ตำบลแวงดง อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม

นอกจากนี้ การจัดทำแผนที่เดินดินยังสามารถระบุพื้นที่ทางสังคมโดยเฉพาะการรวมกลุ่มของคนในชุมชน ทั้งกลุ่มทอผ้าในชุมชนทั้ง 3 กลุ่มที่แบ่งหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรม เช่น บ้านที่ทอผ้า บ้านที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม บ้านที่สาวไหมทำเส้นไหม และเห็นความเชื่อมโยงกันของคนในกลุ่ม ทั้งพื้นที่รวมกลุ่มหรือบ้านของหัวหน้ากลุ่ม พื้นที่ในการจัดกิจกรรมของชุมชน ความสัมพันธ์ของกลุ่มอาชีพในชุมชนที่มีความเชื่อมโยงกันไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มทอผ้าทั้ง 3 กลุ่มเท่านั้นยังมีกลุ่มอาชีพรับจ้างเจียระไนพลอยที่มีความสัมพันธ์กันทั้งการช่วยเหลือกันด้านการรับงาน การช่วยเหลือกันด้านอุปกรณ์ จะเห็นได้ว่าพื้นที่ในชุมชนที่มีการรวมกลุ่มและกิจกรรมทางสังคมส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับอาชีพและการสร้างรายได้ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องและเป็นพื้นที่ของเอกชนหรือของชาวบ้าน ด้านความเชื่อนั้นการใช้พื้นที่เป็นพื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ เช่น วัด ดอนปู่ตา จะมีกิจกรรมทางสังคมด้านความเชื่อและศาสนาเป็นประจำทุกปี เช่น การจำศีลของผู้สูงอายุในช่วงเข้าพรรษา การบนบานศาลกล่าวผีปู่ตาซึ่งต้องใช้กลุ่มเฒ่าจ้ำ

ประชากรของหมู่บ้านโคกล่าม มีทั้งหมด 447 คน มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 88 ครัวเรือน แบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่ ระบบเครือญาติส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมู่บ้านซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากบ้านเป่ง บ้านมะฮุ่ง ส่วนใหญ่คนในชุมชนแต่งงานกันตามสายตระกูลและมีคนนอกชุมชนเข้ามาอาศัยในชุมชนบางส่วน

เครือญาติสายตระกูลที่มีความสำคัญและกลุ่มนักเรียนยุววิจัยได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและจัดทำข้อมูลไว้เป็นต้นแบบคือ ตระกูลของแม่สมเพียร จรรยาศิริ ปราชญ์ชุมชนด้านการทอผ้าซึ่งได้รับการสืบทอดภูมิปัญญาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและการย้อมสีธรรมชาติชาติจากแม่อำคาและนำเอามรดกภูมิปัญญามาต่อยอดและสร้างเป็นกลุ่มอาชีพจนทำให้มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ตระกูลที่2 คือตระกูลของพ่อจันทา วรรณวิจิตร ปราชญ์ชุมชนด้านการจักสานและหมอยาสมุนไพรที่ยังคงใช้รักษาโรคในครอบครัวจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำข้อมูลผังเครือญาติมาศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจชุมชนจะเห็นได้ว่าในช่วงอายุของคนในสายตระกูลช่วงต้นตระกูลนั้นคนในชุมชนยังไม่รู้จักการออกไปทำงานนอกภาคเกษตรกรรมการเป็นอยู่จึงเป็นลักษณะของการทำนาในพื้นที่หมู่บ้าน ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมาเริ่มมีการเคลื่อนย้ายแรงงานออกไปข้างนอกชุมชน ทั้งการทำงานในกรุงเทพฯและการทำงานในต่างประเทศทำให้ครอบครัวมีรายได้มากขึ้นส่งผลต่อคนในครอบครัวรุ่นถัดมา เริ่มมีการศึกษาที่สูงขึ้นและมีฐานะที่ดีขึ้น รวมทั้งเกิดเครือข่ายจากระบบเครือญาติที่ชักชวนให้ออกจากหมู่บ้านเพื่อทำงานนอกชุมชนมากขึ้น

การตั้งกลุ่มองค์กรของชุมชนบ้านโคกล่ามส่วนใหญ่เป็นกลุ่มองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของคนในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มทอผ้าที่เป็นอาชีพเสริมในช่วงหลังการทำนา กลุ่มทอผ้าชุมชนบ้านโคกล่ามมีทั้งหมด 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทอผ้าไหมไม้มงคลและกลุ่มทอผ้าไหมบ้านโคกล่าม ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีการจัดการกลุ่มอย่างมีระบบ เช่นมีการแบ่งหน้าที่ของแต่ละขั้นตอนการทอผ้าตามความถนัดและสภาพร่างกายรวมทั้งสุขภาพของสมาชิกในกลุ่ม ทั้งนี้แบ่งหน้าที่ต่างๆออกเป็น ผู้เลี้ยงไหม ผู้สาวไหม ผู้กวักไหม ผู้ย้อมไหม ผู้มัดหมี่ ผู้ทอ และส่งมายังกลุ่มเพื่อจำหน่าย สมาชิกทุกคนจะเป็นการใช้แรงงานและรับจ้างจากกลุ่มหรือการทำเส้นไหมขายให้กับกลุ่มก็ได้ กลุ่มทอผ้าสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุในชุมชนต่อเดือนเฉลี่ยคนละ 1,000-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับผลผลิตที่ได้

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนซึ่งดำเนินการมาเพื่อช่วยให้คนในชุมชนมีเงินเก็บและมีเงินก้อนใช้ในเวลาจำเป็นเช่นการรักษาพยาบาล ทุนการศึกษาของลูกหลาน กลุ่มผู้นำชุมชนตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานต่างๆ ในชุมชนอำนวยความสะดวกให้กับการบริหารงานชุมชน อีกทั้งยังมีกลุ่มสัมมาชีพและกลุ่มเยาวชนต้านยาเสพติด

ปฏิทินชุมชนบ้านโคกล่ามแบ่งเป็น 2 ปฏิทิน คือ ปฏิทินเศรษฐกิจชุมชนและปฏิทินกิจกรรมด้านวัฒนธรรม สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 

ปฏิทินชุมชนกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ ชุมชนบ้านโคกล่าม ตำบลหนองบัว อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ส่วนใหญ่อาชีพของคนในชุมชนคือการทำนาและเลี้ยงสัตว์เพราะพื้นที่บริเวณชุมชนไม่สามารถทำไร่หรือพืชเศรษฐกิจอื่นได้ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา ฯลฯ เหมือนกับชุมชนในอีสานอื่นๆโดยทั่วไป อีกทั้งการทำนาของคนในชุมชนสามารถทำได้ครั้งเดียวต่อปีเนื่องจากขาดแคลนน้ำในการเกษตร ส่งผลให้คนในชุมชนทำนาในช่วงตั้งแต่ เดือนเมษายน-พฤศจิกายน ด้านการปศุสัตว์คนในชุมชนเลี้ยงโคจำนวนมากซึ่งเป็นการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมคือการนำฝูงสัตว์ออกไปปล่อยตามทุ่งนาและนำกลับเข้าคอกช่วงเย็น การเลี้ยงสัตว์ของคนในชุมชนโดยเฉพาะการเลี้ยงโคนั้นจะใช้เวลาตลอดปี นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์อื่นๆเช่น เป็ด ไก่ อาชีพเสริมอื่นที่มีในชุมชน

การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและการทอผ้ามีการตั้งกลุ่มทอผ้าในชุมชนทั้งหมด 3 กลุ่ม คือกลุ่มทอผ้าไหมไม้มงคลย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มทอผ้าไหมแม่ยุพิณและกลุ่มทอผ้าไหมแม่สุภิรัตน์ โดยการทอผ้าคนในชุมชนมีการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวทั้งปีเป็นการสร้างรายได้ให้ครัวเรือนนอกเหนือจากการเกษตรกรรมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากกลุ่มทอผ้าแล้วยังมีผู้สูงอายุที่ยังจักสานงานไม้ไผ่ เช่น การสานตระกร้า ข้อง ไซดักปลา เครื่องใช้ในครัวเรือนซึ่งมีการทำกิจกรรมจักสานตลอดทั้งปีในช่วงเวลาว่างส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อีกทั้งยังมีผู้คนบางส่วนที่ยึดอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ค้าขายและรับจ้างเจียระไนพลอยซึ่งเป็นอาชีพที่ทำกันตลอดทั้งปี 

ชุมชนบ้านโคกล่ามโดยเฉพาะวัยทำงานส่วนใหญ่ออกไปใช้แรงงานข้างนอกทั้งในภาคอุตสาหกรรม แรงงานก่อสร้าง ช่างรับเหมาก่อสร้าง มีการเคลื่อนย้ายแรงงานทั้งในกรุงเทพมหานครรวมไปถึงการทำงานในต่างประเทศซึ่งคนในชุมชนนิยมกันเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมา มีการชักชวนกันไปตำงานต่างประเทศจากคนในชุมชนที่เคยเดินทางไปรวมทั้งเกิดเครือข่ายการทำงานของคนในชุมชนจึงทำให้สภาพปัจจุบันของชุมชนบ้านโคกล่ามมีคนวัยทำงานอาศัยในชุมชนค่อนข้างน้อยเนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานของคนในชุมชน

ด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติคนในชุมชนบ้านโคกล่ามยังคงพึ่งพาทรัพยากรป่าในชุมชน เช่นป่าโคกล่าม โคกเลื่อน ป่าขามเรียน มีการเก็บของป่า เช่น เห็ดในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม สมุนไพรช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ไข่มดแดงในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ทรัพยากรธรรมชาติในป่าโคกของชุมชนช่วยสร้างรายได้และลดต้นทุนด้านอาหารของคนในชุมชนบ้านโคกล่ามเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้คนในชุมชนยังนิยมออกไปหาเก็บของป่าโดยเฉพาะเห็ดป่าในฤดูกาล “เห็ดออก” เช่น เห็ดตะไคร เห็ดปลวก เห็ดแดงและอื่นๆ ป่าโคกชุมชนจึงเป็นเสมือนแหล่งอาหารของคนในท้องถิ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ปฏิทินชุมชนด้านกิจกรรมทางวัฒนธรรม กิจกรรมทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านโคกล่ามคล้ายคลึงกับชุมชนอีสานโดยทั่วไปโดยเฉพาะส่วนของประเพณีที่เกี่ยวข้องกับฮีต12 เดือนตามความเชื่อทางพุทธศาสนาของคนอีสาน ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มทำบุญของคนในชุมชนทุกๆเดือนส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุในชุมชนที่ยังยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยฮีต12 เดือนมีดังนี้

  • เดือนอ้าย (เดือน 1)  บุญเข้ากรรม (บุญจำศีลภาวนา)
  • เดือนยี่ (เดือน 2)  บุญคูนลาน
  • เดือน 3 บุญข้าวจี่
  • เดือน 4  บุญผะเหวด/บุญสรงน้ำพระธาตุ
  • เดือน 5  บุญบั้งไฟ
  • เดือน 6  บุญซำฮะ (ทำความสะอาดบ้านวัด เมือง)
  • เดือน 7 บุญเข้าพรรษา
  • เดือน 8 บุญเข้าพรรษา (ถวายเทียนพรรษา)
  • เดือน 9 บุญข้าวประดับดิน (ทำบุญให้ญาติที่ล่วงลับ)
  • เดือน 10 บุญข้าวสาก
  • เดือน 11 บุญออกพรรษา
  • เดือน 12 บุญกฐิน

หากแต่ในช่วงเดือน 5 หรือบุญบั้งไฟชุมชนบ้านโคกล่ามมีการเลี้ยงผีปู่ตาและการตักบาตรหนองขามเรียนเพื่อเป็นศิริมงคลแก่คนในชุมชน อีกทั้งยังมีการเสี่ยงทายฟ้าฝนโดยการใช้บั้งไฟในการเสี่ยงทาย กิจกรรมทางวัฒนธรรมของคนในชุมชนบ้านโคกมีความสัมพันธ์กับความเชื่อเกี่ยวพุทธศาสนารวมทั้งความเชื่อดั้งเดิมคือการนับถือผี หากแต่ในปัจจุบันกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่ต้องออกไปทำงานต่างถิ่นต่างกลับมาหมู่บ้านในช่วงบุญปีใหม่และบุญสงกรานต์ทำให้กิจกรรมทางวัฒนธรรมในช่วงดังกล่าวค่อนข้างคึกคัก

ประวัติชีวิตของ นางสมเพียร จรรยาศิรินางสมเพียร จรรยาศิริ ลูกสาวคนสุดท้อง คุณยายอำคา และคุณพ่อแก้ว ปุริโส คุณพ่อแก้วเสียชีวิตแล้ว ส่วนคุณยายอำคา ปัจจุบันอายุ 98 ปี อาศัยอยู่บ้านกับแม่สมเพียร และลูกๆ ทุกคนแวะมาดูแลคุณแม่ช่วยกันเพราะตอนนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง แม่สมเพียร เรียนหนังสือจบ ป. 6 ที่โรงเรียนโคกล่ามวิทยา ออกมา ทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหมช่วยคุณแม่ เพราะเป็นลูกคนเล็กแม่คิดว่าจะให้อยู่กับแม่ ไม่ต้องเรียนหนังสือ แม่สมเพียรเป็นคนขยันทำงาน เรียนรู้เร็ว มีความละเอีอดประณีต พอได้เรียนการทอผ้ากับแม่ก็ชอบ และทำออกมาได้สวยงาม ประกอบกับเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ จึงทำให้มีความสุขกับการอยู่กับแม่ ไม่คิดที่เรียนต่อในช่วงนั้น

เมื่ออายุ 20 แม่สมเพียรแต่งงานกับพ่อบุญ จรรยาศิริ ต่อมาอายุ 21 ปี มีลูกชาย 1 คน ชื่อ นายหรรสา จรรยาศิริ ไม่มีครอบครัว ทำงานบริษัทไฟฟ้าสยามเดนกิ จ.ชลบุรี อายุ 38 ปี ลูกสาว อายุ 35 ปี นางสาวธิภาพร จรรยาศิริ รับราชการครู แต่งงานกับนายบุญสม พวงทอง อาศัยอยู่บ้านกับแม่ ครูบุ๋มลูกสาวก่อนหน้าไม่คิดที่จะทำผ้าไหมกับแม่ เมื่อครูและนักเรียนไป ทำกิจกรรมที่บ้านก็เริ่มมาเรียนรู้และลงมือทำ ปัจจุบันก็ทำแทนแม่สมเพียรได้ทุกอย่าง คงเป็นผู้ที่จะสืบทอดภูมิปัญญาทอผ้าจากแม่สมเพียรต่อไป ต่อมาครู กศน.ได้ออกมาหานักเรียนศึกษาที่จะเรียนต่อ แม่สมเพียรเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจและสมัครเรียน กศน. จนจบ ม. 6  (อายุ 30 ปี) สมัยนั้นเรียนอยู่ศาลาวัดบ้านโคกล่าม มีนักเรียนรุ่นเดียวกันประมาณ 7 คน ต่างวัย เรียนจบทุกคน ควบคู่กับการทำงานที่บ้าน เป็นสมาชิกกลุ่มทอผ้าบ้านโคกล่าม ในวัย 34 ปี

แม่สมเพียรได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อการผลิต ของเกษตรอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ที่อายุน้อย กิจกรรมของกลุ่มจะมีการทอเป็นการย้อมผ้าด้วยสีเคมี มีสมาชิกในกลุ่ม 50 คน เป็นแม่บ้านในชุมชน เมื่ออายุ 35ปี (2543) แม่สมเพียรเป็นวัณโรคปอด หมอให้หลีกเลี่ยงสารเคมีทุกชนิดรวมทั้งการย้อมผ้า หยุดการทอผ้า ลาออกจากประธานกลุ่ม แต่ยังคงเป็นสมาชิกกลุ่ม เพื่อรักษาตัว ประมาณ 4-5 ปีที่ป่วย เมื่อทอผ้าไม่ได้แม่สมเพียรก็ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และด้วยความรักในทอผ้า ประกอบเส้นไหมมีจำนวนมาก จึงคิดอยากกลับมาทอผ้า และได้ทดลองใช้สีธรรมชาติย้อมแทนสีเคมี โดยมีคุณยายอำคา คุณแม่เป็นคนคอยบอกและสอนวิธีการย้อมแบบโบราณ ทำมัดย้อมเส้นไหม ทอเป็นผ้าขาวม้า และผ้าถุงลายซิ่นตาลอง ผ้าคลุ่มไหล่ นำไปจำหน่วยที่งาน OTOP อำเภอ พยัคฆภูมิพิสัย จำหน่ายจนหมดเป็นที่นิยม 2548 พช ได้แนะนำให้ไปจดทะเบียน OTOP ผู้ประกอบการรายเดี่ยว ได้รับการอบรมเพิ่มเติมจากหน่วยงานภาครัฐในการย้อมสีธรรมชาติ  2552 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นเวลา 10 ปี ร่วมกิจกรรมเป็นวิทยากรลูกเสือชาวบ้าน 

ปี พ.ศ.2560 ได้รับรางวัลชนะเลิศการทอผ้าขาวม้า ในงานประเพณีสงกรานต์  รับรางวัลจากผู้ว่าราชการจังหวัด  2562 โรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคารเข้ามาเพื่อพัฒนากลุ่มทอผ้าให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียน และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกลุ่มทอผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ บ้านโคกล่าม มีการทำกิจกรรมร่วมเรียนรู้ร่วมกัน 2563 เป็นประธานกลุ่ม OTOP อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย และปี พ.ศ.2564 และ พ.ศ. 2566 เข้ารับพระราชทานลายผ้าของจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้มีการจัดอบรมเพื่อเรียนรู้วิธีการการทำผ้ามัดหมี่ย้อมสีธรรมชาติครั้งแรก ส่งผ้าเข้าประกวดได้รับรางวัล เหรียญทองชนะเลิศ ประเภทผ้าหมัดหมี่ 2 ตะกอ ระดับประเทศ จากสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริวัณวลี  เป็นวิทยากรการมัดหมี่และย้อมสีธรรมชาติให้กับกลุ่มทอผ้าทั้งในจังหวัดและระดับประเทศ ปัจจุบันแม่สมเพียร มีความสุขกับการพัฒนากลุ่มทอผ้าไหมไม้มงคลบ้านโคกล่ามเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อให้บุคคลที่สนใจและนักเรียน นักศึกษาเข้ามาเรียนรู้ภูมิปัญญาทอผ้าย้อมสีธรรมชาติเพื่อสืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้  คงอยู่สืบไป

ประวัติชีวิต นายอัษฎา แก้วบุตรสานายอัษฎา แก้วบุตรสา เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 เป็นบุตรของนาย ชาย แก้ว บุตรสา เสียชีวิตแล้วกับนางสุก แก้วบุตรสา เสียชีวิตแล้ว มีพี่น้องร่วมกันทั้งหมด 9 คน ผู้ชาย 6 คน ผู้หญิง 3 คน เสียชีวิตแล้ว 3 คน ยังมีชีวิตอยู่ 6 คน ตอนอายุ 7 ปี พ.ศ. 2517 เข้าโรงเรียนในระดับประถมศึกษาโรงเรียนบ้านโคกล่ามไตรคามราษฎ์คุรุวิทย์ ปัจจุบันคือโรงเรียนบ้านโคกล่ามวิทยา จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อปีพ.ศ.2523 ไม่ได้รับการศึกษาต่อเนื่องด้วยฐานะทางครอบครัวยากจน สมัยเรียนหนังสือมีความไฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นครูและเป็นทหาร ตำรวจ เมื่ออายุ 16 ปี พ.ศ.2526 ออกจากหมู่บ้านเพื่อไปทำงานรับจ้างเจียระไนพลอย จังหวัดจันทบุรีทำงานอยู่ได้ไม่ถึงปีได้ย้ายไปทำงานในกรุงเทพฯเกี่ยวกับการเจียระไรพลอย และช่วงอายุ 18-19 ปี ช่วงปีพ.ศ.2528-2529 เปิดร้านรับเจียระไนพลอยส่งไปยังจังหวัดจันทบุรี ต่อมาในช่วงอายุ 21 ปี พ.ศ.2531 เข้ารับเกณฑ์ทหารและได้อุปสมบทที่วัดโคกล่ามได้ 3 เดือน จึงได้ลาสิกขาออกมาเพื่อเดินทางไปทำงานต่างประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำงานต่างประเทศได้ 1 ปี หมดสัญญาและกลับมาอยู่ที่บ้านโคกล่าม

สมรสกับนางบุญเพ็ง หามมาลา ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2534 ช่วงอายุ 24 ปี และได้ยึดเอาอาชีพรับจ้างเจียระไนพลอยซึ่งทำในหมู่บ้านแล้วส่งไปยังจันทบุรี ต่อมามีการเรียนต่อในระบบการศึกษานอกโรงเรียน กศน.ในอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจนจบในระดับมัธยมปลาย มีบุตรชาย 2 คน คนแรก นายปราโมทย์ แก้วบุตรสา ปัจจุบันรับราชการครูที่จังหวัดบุรีรัมย์ คนที่ 2 กำลังศึกษาที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดชลบุรีประเภทตะกร้อ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ชีวิตของนายอัษฎา แก้วบุตรสา ในช่วงอายุ 30-50 ปี ประกอบอาชีพทำนาและเกษตรกรรมทั่วไปรวมไปถึงการรับจ้างก่อสร้างในพื้นที่ พ.ศ. 2560 ได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศประเทศเกาหลีใต้เป็นการทำงานเกี่ยวกับการเกษตร งานทำสวน เพื่อเก็บเงินส่งลูกชายเรียนหนังสือในระดับที่สูงขึ้นปละได้รับเงินเดือนในการทำงานมากที่สุดคือ 80,000-90,000 บาท การทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ยุติลงเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพจึงกลับมาอยู่บ้านโคกล่ามอีกครั้ง ปี พ.ศ.2563 ได้ซื้อรถขุดน้ำบาดาลเพื่อรับจ้างขุดเจาะน้ำบาดาลในพื้นที่ต่างๆทั้งใกล้และไกลเพื่อเป็นรายได้เสริมของครอบครัวในช่วงหลังการทำนา ได้รับความนิยมและถูกว่าจ้างให้ขุดเจาะน้ำบาดาลในหลายพื้นที่ในต่างจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง กระทั่งในปี พ.ศ. 2564 ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านโคกล่ามหมู่ที่ 10 ตำบลหนองบัว อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ร่วมพัฒนาหมู่บ้านร่วมกับพี่น้องประชาชนสมาชิกกลุ่มต่างๆในหมู่บ้าน

ความภาคภูมิใจในชีวิตคือการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อหารายได้ให้กับครอบครัวจนกระทั่งลูกชายได้เรียนจบในระดับสูงและสามารถสอบเข้ารับราชการครูได้ในที่สุด และอีกความภาคภูมิใจอย่างสุดท้ายคือได้รับหน้าที่ในการเป็นผู้ใหญ่บ้านและได้ร่วมพัฒนาให้ชุมชนบ้านโคกล่ามมีความสุขและเป็นชุมชนเข้มแข็งมีเครือข่ายการทำงานจากทั้งภาครัฐและเอกชนกระทั่งชุมชนมีชื่อเสียงในระดับจังหวัดเป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคารและมหาวิทยาลัยมหาสารคามรวมทั้งมีนักศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นเข้าศึกษาดูงานในชุมชนทำให้คนในชุมชนมีความสุขและมีชีวิตที่ดี

  • ผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติจากไม้มงคล
  • ป่าโคกที่เป็นแหล่งอาหารของชุมชน
  • ภูมิปัญญาการจักสาน
  • หมอยาสมุนไพร

คนในชุมชนบ้านโคกล่ามใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการและใช้ภาษาท้องถิ่นอีสานในการสื่อสาร

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

นางสมเพียร จรรยาศิริ.(2565). สมเพียร จรรยาศิริ.( ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/sm.pheiyr.crrya.siri/

ผญบ.โคกล่ามหมู่ที่ 10 โทร. 08 7217 5761