Advance search

บ้านกู่เต้า, บ้านกู่เต้าช้างเผือก

บ้านกู่เต้า ชุมชนวัฒนธรรมแหล่งเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อารยธรรมชาวไทลื้อและชาวล้านนา ซึ่งถูกถ่ายทอดและบอกเล่าผ่านปูชนียสถานเจดีย์บรรจุอัฐิทรงน้ำเต้าคว่ำภายในวัดบ้านกปู่เต้า 

ศรีภูมิ
เมืองเชียงใหม่
เชียงใหม่
เทศบาลนครเชียงใหม่ โทร. 0-5325-9000
จรรยา ลอย
2 ก.พ. 2023
พิสุทธิลักษณ์ บุญโต
28 พ.ค. 2023
พิสุทธิลักษณ์ บุญโต
28 เม.ย. 2023
พัฒนาบ้านกู่เต้า
บ้านกู่เต้า, บ้านกู่เต้าช้างเผือก

"บ้านกู่เต้า" เป็นชื่อเรียกหมู่บ้านที่เรียกตามชื่อวัดประจำชุมชนที่สร้างมาก่อน คือ วัดกู่เต้า คำว่า "กู่" แปลว่า ที่บรรจุกระดูกหรือขี้เถ้าที่เผาศพ ส่วนคำว่า "เต้า" นั้นแปลได้ 2 ควายหมาย หนึ่งแปลว่า ผลแตงโม อีกหนึ่งแปลว่าขี้เถ้า รวมความว่าเป็นที่บรรจุกระดูกและเถ้าถ่านที่เผาศพ ตามเจตจำนงค์การสร้างวัดเพื่อบรรจุอัฐิเจ้านายพม่า อดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในขณะนั้น โดยสร้างเจดีย์ทรงน้ำเต้าคว่ำ หรือบาตรคว่ำ 5 ใบ แต่บ้างก็ว่าเป็นทรงแตงโมคว่ำ 5 ชั้น เป็นเจดีย์สำหรับบรรจุอัฐิ 


ชุมชนชนบท

บ้านกู่เต้า ชุมชนวัฒนธรรมแหล่งเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อารยธรรมชาวไทลื้อและชาวล้านนา ซึ่งถูกถ่ายทอดและบอกเล่าผ่านปูชนียสถานเจดีย์บรรจุอัฐิทรงน้ำเต้าคว่ำภายในวัดบ้านกปู่เต้า 

ศรีภูมิ
เมืองเชียงใหม่
เชียงใหม่
50200
18.802366
98.988744
องค์การบริหารส่วนตำบลศรีภูมิ

ชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้า ตั้งอยู่ในตำบลศรีภูมิ ควบตำบลช้างเผือกบางส่วน แขวงนครพิงค์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ในอดีตชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้าเรียกโดยทั่วไปว่าบ้านกู่เต้าช้างเผือกควบกันไป เนื่องจากชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้ามีอนุสาวรีย์เจ้าพ่อช้างเผือกอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพบูชา ยึดเหนี่ยวจิตใจ และถือเป็นเสื้อบ้านเสื้อเมืองของประชาชนในหมู่บ้านกู่เต้า ชาวบ้านจึงนำคำว่า ช้างเผือกเข้ามาผนวกในชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านกู่เต้าช้างเผือก”

แต่เดิมเขตบ้านกู่เต้าช้างเผือกมีคุ้มเจ้าเจ้านายฝ่ายเหนือที่อยู่อาศัยในเขตบ้านกู่เต้าช้างเผือก คือ คุ้มของพระพิจิตรโอสถ หมอหลวงประจำองค์เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่หลายพระองค์ ได้แก่ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่ องค์ที่ 8 (พ.ศ. 2444-2452) เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ องค์ที่ 9 (พ.ศ. 2454-2482) และพระราชชายาเจ้าดารารัศมี (พ.ศ. 2416-2476) ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนประสิทธิ์เวชสาตร (พ.ศ. 2449)

ชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้า หรือบ้านกู่เต้า ตั้งอยู่บริเวณวัดกู่เต้า ตำบลสรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยปี เรื่องราวประวัติความเป็นมาของบ้านกู่เต้าเริ่มจากการก่อสร้างวัดกู่เต้าหรือวัดเวฬุวนาราม เพื่อสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้านายชาวพม่าซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ในสมัยที่เชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นของพม่า ลักษณะเจดีย์เป็นรูปน้ำเต้าคว่ำ หรือรูปแตงโมซ้อนกัน 5 ลูก จึงได้ชื่อว่า กู่เต้า ซึ่งหมายถึง น้ำเต้าหรือแตงโม ประชาชนเป็นคนพื้นเมืองและชาวพม่าบางส่วน แต่ถูกกลืนแต่ภายหลังถูกกลืนสัญชาติเป็นชาวไทยภาคเหนือทั้งหมด หรือที่เรียกว่าชาวไทใหญ่ในปัจจุบัน กระทั่งปี พ.ศ. 2543 เทศบาลนครเชียงใหม่ได้มีประกาศยกฐานะพื้นที่วัดกู่เต้าและบริเวณโดยรอบเป็นเป็นชุมชนบ้านกู่เต้า ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้าในเวลาต่อมา 

อาณาเขต

  • ทิศเหนือ เริ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผ่านแนวบ้านพักอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ไปตามถนนพัฒนาช้างเผือก ไปจนถึงโกดังกระเทียม
  • ทิศใต้ เริ่มตั้งแต่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ตามแนวถนนสนามกีฬาไปจนถึงอนุสาวรีย์ช้างเผือก
  • ทิศตะวันออก บริเวณตลอดแนวคลองแม่ข่า (คลองเงิน)
  • ทิศตะวันตก บริเวณตลอดแนวถนนช้างเผือกฝั่งตะวันออกจนถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่เรื่อยไปจนถึงตึกแถวติดสวนหย่อมอนุสาวรีย์ช้างเผือก

สถานที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

วัดกู่เต้า

วัดกู่เต้าหรือวัดเวฬุวันวนารามวิหาร ศาสนสถานประจำชุมชนบ้านกู่เต้า สำหรับชื่อเรียก กู่เต้า นั้น เป็นภาษาไทยยวนหรือภาษาของคนไทยดั้งเดิมที่อยู่ในดินแดนลานนาไทย ชื่อหลังของวัดนี้มี 2 พยางค์ คำหน้า คือ กู่ แปลว่าที่บรรจุกระดูกหรือขี้เถ้าที่เผาศพ ส่วนคำว่า เต้า นั้นแปลได้ 2 ควายหมาย หนึ่งแปลว่า ผลแตงโม อีกหนึ่งแปลว่าขี้เถ้า รวมความว่าเป็นที่บรรจุกระดูกและเถ้าถ่านที่เผาศพเจ้านายชาวพม่าตามรูปร่างของบาตรคว่ำแบบ 5 ใบเถา คือ ใหญ่ที่สุดอยู่ชั้นล่าง ใบเล็กที่สุดอยู่ข้างบน ส่วนยอดมีฉัตรอันเป็นสัญญาลักษณ์ของเจดีย์แบบพม่าซึ่งปรากฏอยู่ตามเจดีย์ของวัดในนครเชียงใหม่หลายแห่ง บางวัดแม้มิใช่ความสวยงามกว่ายอดเจดีย์โล้น จึงถือเป็นธรรมเนียมในการสร้างเจดีย์

ชื่อวัดเวฬุวันวิหารกู่เต้านี้ปรากฏในพงศาวดารโยนกในรัชกาลของพระเจ้ายอดเชียงรายระหว่าง พ.ศ. 2030–2036 เนื้อความว่า ในแผ่นดินพระเจ้าเชียงใหม่พระมหาราชมังชวยเทามีพระราชบุตรพระยาเมืองใต้คนหนึ่งชื่อสุริยวงศ์ บวชเป็นภิกษุขึ้นมาอยู่วัดเวฬุวันวิหารกู่เต้า หัวเวียงเชียงใหม่

บ้านกู่เต้ามีประชากรจำนวน 1,095 คน แยกเป็นประชากรชายชาย 506 คน และประชากรหญิง 589 คน ครัวเรือนในหมู่บ้านมีจำนวนทั้งหมด 425 ครัวเรือน ชาวบ้านในหมู่บ้าน คือ ชาวพื้นเมืองภาคเหนือ และมีบางส่วนเป็นชาวไทใหญ่ 

ไทยวน, ไทใหญ่

ชาวบ้านกู่เต้าส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ทั้งการทำสวน ทำนา บางส่วนเป็นลูกจ้างรับจ้างในโรงเลื่อยไม้ โรงคัดยาสูบ อีกทั้งยังมีการค้าขายสินค้าพื้นบ้าน เช่น หนังปอง ปั้นหม้อดินเผา และบางส่วนประกอบอาชีพรับราชการ

กิจกรรมทางสังคม ประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ

บ้านกู่เต้ามีประเพณีและเทศกาลสำคัญที่ปฏิบัติต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ได้แก่ ประเพณีเข้าพรรษาประเพณีออกพรรษา ประเพณีงานทำบุญข้าวใหม่ ประเพณีบวชลูกแก้ว (ปอยส่างลอง) รวมถึงประเพณีพิธีกรรมตามแนวทางของศาสนาพุทธ และชาวไทใหญ่

ประเพณีบวชลูกแก้ว (ปอยส่างลอง)

ทุกวันที่ 23 - 24 เดือนมีนาคมของทุกปี ในหมู่บ้านจะมีงานประเพณีบวชลูกแก้ว (ปอยส่างลอง) ภาคฤดูร้อนของวัดกู่เต้า การบวชลูกแก้วปอยส่างลอง เป็นประเพณีการบรรพชาสามเณรตามแบบล้านนาไทใหญ่ แต่ปกติแล้วจะมีการจัดงานอยู่ประมาณสามวัน เหตุผลที่ต้องจัดประเพณีนี้ในช่วงเดือนมีนาคม หรือเดือนเมษายน เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ และเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็ก ๆ ด้วย ซึ่งแต่ละวันจะมีการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ตามประเพณี ดังนี้

  • วันที่ 1 นำบรรดาเด็กชายมาเข้าพิธีโกนผมแต่ไม่โกนคิ้ว (พระพม่าไม่โกนคิ้ว) แต่งหน้าทาปาก สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม และโผกผ้าแบบพม่า ประดับด้วยมวยผมของบรรพบุรุษที่เก็บรักษาไว้ แล้วตกแต่งด้วยดอกไม้ เสร็จแล้วนำเด็กน้อยเรียกว่า "ส่างลอย หรือลูกแก้ว" ไปขอขมา และรับศีลรับพรตามบ้านญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ
  • วันที่ 2 มีการแห่ส่างลองหรือลูกแก้วกับขบวนเครื่องไทยทานไปตามถนนสายต่าง ๆ ในวันนี้จะมีผู้มาร่วมขบวนมากมาย โดยให้ส่างลองหรือลูกแก้วขี่ม้า หรือถ้าไม่มีม้าก็จะขี่คอคน เรียกว่า "พี่เลี้ยง" หรือ "ตะแปส่างลอง"
  • วันที่ 3 จะแห่ส่างลองหรือลูกแก้วไปตามถนนอีกครั้ง จากนั้นก็ไปรวมกันที่วัดเพื่อทำพิธีบวชเป็นสามเณรที่วัด

การแต่งกาย เด็กและเยาวชนในหมู่บ้านจะแต่งกายเหมือนกับเด็กทั่วไปที่ใส่เสื้อยึดกางเกงขาสั้น ผู้สูงอายุจะนุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อกล้าม ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ หากเป็นวันสำคัญทางศาสนา กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่จะแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองไทใหญ่ ผู้ชายสวมเสื้อคอกลมแขนยาว ผ่าหน้า ติดกระดุมผ้าคล้ายไส้ไก่ขมวดเป็นปมพร้อมตกแต่งลวดลาย สวมกางเกงขาก๊วยเป้าต่ำ ผู้หญิงสวมเสื้อผ่าหน้าหรือเสื้อป้าย แขนกระบอก เอวสั้น ตกแต่งลวดลายสวยงามด้วยการปักหรือฉลุผ้าตามขอบกระดุม ที่กลัดเสื้ออาจจะใช้กระดุมผ้าหรือพลอยกลัดกับหูกระดุม ซิ่นที่นุ่งนั้นมีการต่อหัวซิ่นด้วยผ้าเนื้อนิ่มสีดำพับทับแล้วเหน็บที่หัวซิ่น ใช้เข็มขัดเงินคาดทับการโผกหัวพันผ้าห้อย แต่สำหรับการโพกหัวนั้นเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายที่ชาวไทใหญ่สวมใส่ตามปกติในชีวิตประจำวัน 

1. นายวชิรา วชิรนคร  อายุ 68 ปี ประธานชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้าคนปัจจุบัน ผู้ที่มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ ดูแล ประสานงาน ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ให้กับคนในชุมชน 

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นภาษาหลักที่ใช้สื่อสารกันในชุมชน

ภาษาไทใหญ่ หรือ ภาษาไต หรือบ้างก็เรียก ภาษาฉาน เป็นภาษาตระกูลขร้า-ไท เป็นภาษาตระกูลเดียวกับภาษาไทย ถูกใช้โดยคนไทใหญ่ในหมู่บ้าน โดยลักษณะของภาษานี้จะใกล้เคียงกับคำเมืองและภาษาอีสานในประเทศไทย 


ตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้านมาจนปัจจุบัน ชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้าได้มีพัฒนาการความเจริญมากขึ้นเรื่อย ๆ มีสถานศึกษา มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยทั้งแบบถาวร และแบบชั่วคราว หรือเรียกว่าประชากรแฝง มีการก่อสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยใหญ่โต ปัจจุบันนี้ บ้านกู่เต้าจึงกลายเป็นชุมชนเมืองที่มีประชากรจำนวนมาก

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้า. (ม.ป.ป.). [ออนไลน์]สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ภุมภาพันธ์ 2566. จาก: https://www.google.com/maps

มติชน. (2565). วัดกู่เต้า ล้านนาคำเมือง. [ออนไลน์]สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ภุมภาพันธ์ 2566. จาก: https://www.matichonweekly.com/

วชิรา วชิรนคร. ประธานชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้า. (15 กุมภาพันธ์ 2566). สัมภาษณ์.

สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2559). ศูนย์เรียนรู้ชาติพันธุ์ไทในล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. [ออนไลน์]สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ภุมภาพันธ์ 2566. จาก: http://site.sri.cmu.ac.th/

สนิท สัตโยภาส. (2556). ภาษากับความมั่นคงในชีวิต: กรณีศึกษาแรงงานพม่าในแขวงนครพิงค์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (รายงานการวิจัย). สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ.

TTM พาเที่ยว. (2555). วัดกู่เต้า หรือ วัดเวฬุวนาราม เชียงใหม่. [ออนไลน์]สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ภุมภาพันธ์ 2566. จาก: https://event.thaiticketmajor.com/

เทศบาลนครเชียงใหม่ โทร. 0-5325-9000