Advance search

ท่าแร่

บ้านท่าแฮ่

ชุมชนที่มีนับถือศาสนาคริสต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

หมู่ 1
ชุมชนท่าเเร่
ท่าแร่
เมืองสกลนคร
สกลนคร
เกริกกฤษณ์ โชคชัยรัชดา
10 เม.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
17 เม.ย. 2023
เกริกกฤษณ์ โชคชัยรัชดา
29 เม.ย. 2023
ท่าแร่
บ้านท่าแฮ่

คำว่า “ท่าแร่” ที่ปรากฏขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรพบในบันทึก “สำเนาหนังสือออกและคดีความ” เลขที่ 10 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2444 ที่บาทหลวงกอมบูริเออ เขียนถึงพระวิชิตพลหาร ผู้ช่วยเมืองสกลนคร จึงได้ใช้ชื่อว่า “บ้านท่าแร่”โดยเขียนต้นหนังสือฉบับนั้นว่า “ที่สำนักท่านบาทหลวง บ้านท่าแร่" ส่วนสำเนียงการออกเสียงของภาษาผู้คนท้องถิ่น จะออกเสียงว่า "บ้านท่าแฮ่" 


ชุมชนที่มีนับถือศาสนาคริสต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ชุมชนท่าเเร่
หมู่ 1
ท่าแร่
เมืองสกลนคร
สกลนคร
47230
วิสาหกิจชุมชน โทร. 06-3980-7197, เทศบาลท่าแร่ โทร. 0-4275-1440
17.25578549
104.1872884
เทศบาลตำบลท่าเเร่

ท่าแร่เป็นชุมชนศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอาสนวิหารอัครเทวดา มีคาแอล บ้านโบราณ เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานมากถึง 136 ปี  ชุมชนท่าแร่สร้างบ้านเรือที่อยู่อาศัยเมื่อ พ.ศ.2427 ด้วยสาเหตุจากการเบียดเบียนทางศาสนาที่เกิดขึ้นภายในเมืองสกลนครจึงทำให้บาทหลวงซาเวียร์ เกโก เคลื่อนย้ายผู้คนที่เป็นชาวคริสตังออกจากพื้นที่ด้วยแรงอธิษฐานต่อเทวดามิคาแอล ขอให้พบดินแดนใหม่ในการเผยแพร่คริสต์ศาสนา การเดินทางในครั้งนั้นกระแสลมได้พัดพาเรือใบที่ชาวคริสตังช่วยกันสร้างขึ้นลอยมายังทางทิศเหนือของหนองหาร คือชุมชนท่าแร่ 

หลังจากนั้นบาทหลวงโปรดม ได้ให้บาทหลวงยอร์ช ดาแบง เดินทางมาเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่สกลนคร และตามมาถึงท่าแร่ พบว่ามีบ้าน 2-3 หลังกับโรงเรือนที่ใช้เป็นวัดเท่านั้นที่สร้างเสร็จ ส่วนผู้คนประมาณ 150 คน พักนอนในเพิงที่มุงด้วยหญ้าแฝกอยู่กับพื้นดิน ขณะนั้นมีคริสตังสำรองชาวญวณ 10 ครอบครัว และคริสตังสำรองชาวไทยอีสาน (เชื้อสายลาว) 10 ครอบครัว กลุ่มคริสตชนท่าแร่เจริญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีครอบครัวใหม่มาตั้งหลักแหล่งเพิ่มขึ้นวัดหลังแรกที่สร้างขึ้นเป็นโรงเรือนชั่วคราวตั้งชื่อว่า“วัดมหาพรหมมีคาแอล หนองหาร”

ต่อมาภายใต้การดูแลของบาทหลวง ยอแซฟ กอมบูริเออ ได้จัดการวางผังหมู่บ้านและการตั้งบ้านเรือนตามหลักวิชาสมัยใหม่ (แนวคิดแบบตะวันตก) โดยได้ร่วมแรงร่วมใจกับผู้คนในชุมชนตัดถนนตรงแนวเป็นตารางหมากรุก และแบ่งเขตพื้นที่ใช้สอยอย่างชัดเจน ได้แก่บริเวณวัด (โบสถ์) เป็นศูนย์กลางของชุมชน อารามแม่ชีสุสาน และมีเขตพื้นที่อาศัยของชาวคริสตชนตั้งอยู่โดยรอบ โดยจัดให้สัตบุรุษตั้งบ้านอยู่ 2 ฟาก คือทิศตะวันออกและทิศตะวันตกอยู่ร่วมกันอย่างเป็นหมวดคุ้ม ดังนี้ ด้านตะวันออกของวัดจัดให้เป็นคนกลุ่มไทยเหนืออาศัย มีขุนบรรจง (บิดาของนายห้อยแสง) เป็นหัวหน้า ซึ่งเรียกคุ้มนี้ว่า “คุ้มกลาง” ถัดไปคือ“คุ้มท่าแร่” โดยผู้คนที่อาศัยอยู่ที่คุ้มนี้ส่วนมากเป็นคนที่เคลื่อนย้ายมากจากเมืองสกลนครอาศัยอยู่ โดยมีขุนพิทักษ์ (บิดากำนันอิ้ม) เป็นหัวหน้า ซึ่งในปัจจุบันได้แก่ผู้ที่ใช้นามสกุล เสมอพิทักษ์ และยงบรรทม ทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาวเวียดนาม เรียกว่า “คุ้มแกว” มีหลวงประเทศ และหมื่นเดช เป็นหัวหน้า บริเวณคุ้มนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มตระกูล โสรินทร์, อุดมเดช, กายราช, สกนธวัฒน์ และศรีวรกุล 

ในช่วงหลัง พ.ศ.2463 คือ การที่ชาวเวียดนามกลุ่มใหม่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจำนวนมากทางด้านทิศตะวันตก เรียกว่า“คุ้มบ้านใหม่”สาเหตุที่ชาวเวียดนามเคลื่อนย้ายอพยพเข้ามาจังหวัดสกลนคร เพราะ สงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2457-2461 ทำให้เกิดภาวะที่ทำให้ผู้คนเหล่านี้ต้องดิ้นรน เพื่อหนีภัยทางสงคราม ประกอบกับในขณะนั้นประเทศเวียดนามเกิดความแห้งแล้ง อดยาก และการอพยพในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482-2484 กลุ่มชาวเวียดนามที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใหม่ “คุ้มบ้านใหม่” ทางชุมชนเลือกให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทางบ้านเณร ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ไกลออกไปจากตัวชุมชน โดยสภาพของพื้นที่เป็นป่าทึบ ซึ่งคนในชุมชน เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “ญวนอพยพ” ส่วนชาวเวียดนามที่เคลื่อนย้ายเข้ามาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คนในชุมชนเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “ญวนใหม่”

เมื่อ พ.ศ. 2484-2488 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป.พิบูลสงครามได้นำพาประเทศไทยเข้าสู่สงครามโดยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ที่เป็นคู่ตรงข้ามกับประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ได้สร้างบรรยากาศขุ่นมัวทางการเมืองในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2483 รัฐบาลไทยได้เสนอให้รัฐบาลฝรั่งเศสสำรวจเขตแนวดินแดนไทย อินโดจีน โดยอ้างว่าดินแดนที่ไทยเสียไปตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังปักแนวเขตแดนไม่เรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธและนำไปสู่การใช้กำลังเข้าตัดสินปัญหาที่เรียกว่า “กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน” และประกาศออกมาการสร้างนโยบายชาตินิยม ซึ่งนโยบายมุ่งเน้นการทำนุบำรุงประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทยให้คนไทยเป็นผู้มีวัฒนธรรม และประกอบอาชีพสุจริต และเพื่อให้คนไทยไม่ว่าเชื้อชาติใด ศาสนาใดต้องมีความสำนึกถึงความเป็นไทยด้วย ตามข้อกำหนดของรัฐนิยม ซึ่งรัฐนิยมในที่นี้หมายถึง ประเพณีนิยมที่คณะรัฐมนตรีได้ประกาศในรูปแบบของคณะสำนักรัฐมนตรี มีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนปฏิบัติตามเพื่อความเจริญของประเทศชาติ รัฐนิยมประกาศใช้เป็นทางการตั้งแต่ พ.ศ.2482-2485 รวมทั้งหมด 12 ฉบับ เป็นเครื่องมือสนับสนุนรัฐบาล แต่ที่น่าสนใจ คือ รัฐนิยม 12 ฉบับนี้ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการถือศาสนาของคนชนชาติใด       

ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484 ประเทศไทยได้ประกาศสงครามอินโดจีนกับประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การประกาศสงคราม การเบียดเบียนทางศาสนาได้เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะมีแนวความคิดที่ว่ากลุ่มคนที่เป็นคนไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนคร นครพนม หนองคาย และอุดรธานี ที่นับถือศาสนาคริสต์ นั้นเป็นแนวร่วมของประเทศฝรั่งเศส วัดอารามถูกปิด บ้านพักสงฆ์ของมีค่าต่าง ๆ ถูกริบและทำลาย และห้ามไม่ให้คริสตชนปฏิบัติศาสนกิจ ถูกข่มขู่และถูกบังคับให้เลิกศาสนาใครที่ไม่ปฏิบัติตามได้รับโทษด้วยการจับติดคุก หรือถูกสังหาร เช่น กรณีที่บ้านสองคอน อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม  ส่วนกรณีที่จังหวัดสกลนคร บาทหลวงเปาโลศรีนวล ศรีวรกุล และบาทหลวงอันตนคำผง กายราช ถูกจับกุมขังที่เรือนจำสกลนครเป็นเวลา 2 เดือน ภายหลังบาทหลวงศรีนวล ศรีวรกุล ถูกปล่อยตัวได้ออกเยี่ยมและให้กำลังใจชาวคริสตชนตามวัดต่าง ๆ ให้ต่อสู้กับความลำบากอย่างอดทน

เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในชุมชนท่าแร่ ในความทรงจำของผู้คนที่มีต่อเหตุการณ์ ในครั้งนี้ได้สะท้อนถึงการเบียดเบียนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ในกรณีที่ผู้คนที่ศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาถูกข่มขู่เอาชีวิตด้วยอาวุธปืนว่าต้องเปลี่ยนศาสนา แต่ด้วยกล้าหาญแรงศรัทธาในความเชื่อต่อพระผู้เป็นเจ้า “เขาประกาศว่ายังไงก็ไม่เปลี่ยนศาสนา ถึงแม้ตัวตายก็ยอม ส่วนบางคนที่ยอมเปลี่ยนศาสนา เพื่อรักษาชีวิตของตนเองไว้ก็มี ถ้าผู้ใดยอมสละชีวิตของตนเองที่มีต่อความเชื่อ เราเรียกคนเหล่านั้นว่า Maratyr” สัมภาษณ์) จนกระทั้ง พ.ศ. 2488 สิ้นสุดการเบียดเบียนทางศาสนาผู้คนที่เคยเปลี่ยนใจหันไปนับถือศาสนาพุทธได้เปลี่ยนศาสนากลับมานับถือ ศาสนาคริสต์ อีกครั้ง ด้านการฟื้นฟูจิตใจและพลังศรัทธาคริสต์ศาสนาของชุมชนท่าแร่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา หลังจากสถานการณ์ความตึงเครียดได้คลายตัวลง บาทหลวงศรีนวล อุปสังฆราชได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เพื่อขอคืนทรัพย์สินของวัดที่ถูกทางการยึดไป โดยมอบให้คุณพ่อคำผง กายราช และคุณพ่อวิกเตอร์ ถิ่นวัลย์ เป็นผู้แทนเดินทางไปรับสิ่งของ แต่ผู้ว่าราชการในขณะนั้นได้ปฏิเสธ จึงทำให้บาทหลวงศรีนวล เดินทางไปพบพระสังฆราชซอตตี รักษาการผู้ปกครองมิสซังราชบุรี โดยปรึกษากันและร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2487 โดยมีความต้องการที่ขอคืนทรัพย์สินที่ยึดไป และขอคืนอาคารสถานที่ที่ทางการที่เข้าครอบครอง พร้อมเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ ในสมัยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และคืนทรัพย์สินให้วัด และมิสซัง โดยมีคุณพ่อซามูแอล สมุห์ พาณิชเกษม เป็นผู้ไปรับมอบ แต่ทรัพย์สินส่วนใหญ่สูญหาย และบางอย่างชำรุดใช้การไม่ได้  

ความโดดเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชนท่าแร่ คือ ประเพณีแห่ดาว เป็นการจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองกันเองของคนภายในชุมชนที่มีความเชื่อและได้ปฏิบัติประเพณีนี้มานานตั้งแต่ในช่วงตั้งชุมชน การแห่ดาวที่ท่าแร่มีประวัติยาวนานไม่น้อยกว่า 100 ปีมาแล้ว โดยคุณพ่อยอแซฟ กอมบูริเออเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดเป็นผู้ริเริ่ม ณ ชุมชนท่าแร่ ความเชื่อในประเพณีแห่ดาวเป็นสิ่งที่ชาวคริสต์จัดขึ้นในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวคริสต์ทั่วโลกปฏิบัติกันสืบทอดมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีการจัดงานจัดขึ้นในกลางคืนของที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่บรรดาโหราจารย์ (พญา 3 องค์) ได้ติดตามดาวดวงหนึ่งที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นดาวประจำพระองค์ของผู้ที่ประสูติมาเพื่อเป็นกษัตริย์ของชาวยิวจึงต้องการไปนมัสการพระองค์ ดาวดวงนั้นได้นำพวกเขาไปที่เมืองเบธเลเฮมพบพระกุมารเยซูที่กำลังบรรทมอยู่ในรางหญ้า ดังนั้นการแห่ดาวจึงถือว่าเป็นกิจกรรมเพื่อระลึกถึงการประสูติของพระเยซูเจ้านั่นเอง สถานที่ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อที่ถือปฏิบัติในวันคริสต์มาส เพื่อรำลึกถึงวันประสูติของพระเยซู ผู้ที่ถือว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้าของชาวคริสต์ คือบริเวณโบสถ์และรอบชุมชน

พ.ศ.2525 พระอัครสังฆราชลอเรนซ์ คายน์ แสนพลอ่อน ประมุขของอัครสังฆมณฑล ท่าแร่-หนองแสง สร้างสำนักมิสซังแห่งใหม่ที่สกลนครและย้ายที่ทำการมาแห่งใหม่ โดยได้มอบหมายให้ชุมชนท่าแร่ ที่มีสถานภาพที่เป็นชุมชนคริตส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการเผยแพร่ศาสนาให้เป็นที่รู้จักมายิ่งขึ้นและสร้างความสามัคคีระหว่างผู้คนต่างศาสนา ที่สอดคล้องกับนโยบายของกรุงโรม ท่านเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกและนำในการแห่ดาวและประดับดาวบนรถบุษบก ถ้ำพระกุมารดาวที่ใช้ในขบวนแห่งโดยแห่จากศาลากลางจังหวัดสกลนครไปยัง โรงเรียนเซนต์ยอแซฟ สกลนคร โดยพัฒนารูปแบบการแห่ดาว ส่วนการแห่ดาวในชุมชนได้มีการพัฒนารูปแบบจากเดิม กล่าวคือจากการเดินแห่มาใช้ยานพาหนะแทน เช่น สามล้อปั่น จำนวน 20 คัน รถจักรยานยนต์ 4-5 คันและรถยนต์จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่มากนัก เพิ่มสีสันด้วยการประดับดาว ตกแต่งพระกุมาร ตกแต่งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ให้สวยงามขึ้นด้วยไฟ แสง สี เสียงในระดับหนึ่ง

การแห่ดาวที่สกลนครค่อย ๆ พัฒนาขึ้นโดยพระอัครสังฆราชลอเรนซ์ คายน์ แสนพลอ่อน ได้เชิญขบวนรถดาวจากวัดหรือหมู่บ้านคาทอลิกอื่น ๆ มาร่วมแห่และประกวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปีจากจำนวน 20-30 ดวง เพิ่มเป็น 150-200 ดวง ตามลำดับ ด้วยการประดับ ประดาด้วยความประณีตยิ่งขึ้นนอกนั้นมีการประกวดร้องเพลงคริสต์มาส ประกวดซานตาคลอส ร้องเพลงคริสต์มาสประสานเสียง การแสดงบนเวที ละครเทวดาเล่าประวัติการประสูติของพระเยซูเจ้า มีพิธีเปิดงานแห่ดาวและอวยพรคริสต์มาสอย่างสง่าและมีแบบแผนมากขึ้นด้วย และที่สำคัญรูปแบบของการจัดงานได้มีการจักกิจกรรมประเพณีแห่ดาว เป็น 2 วันกล่าวคือ วันที่ 24 ธันวาคม เป็นการจัดขึ้นภายในชุมชนท่าแร่ และในวันที่ 25 ธันวาคม เป็นการนำขบวนแห่ที่ตัวเมืองจังหวัดสกลนคร ซึ่งเมื่อนำขบวนเข้ามาแห่ภายในเมืองเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นในการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มชาวคริสต์เป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจต่างๆที่อยู่ในเมืองเข้ามามีส่วนร่วมนำรถที่ประดับประดาอย่างสวยงามร่วมในประเพณีแห่ดาว ที่นำมาสู่เหตุการณ์ครั้งสำคัญโดยเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างรัฐกับ (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท.) ผู้นำของรัฐ คือนายปรานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร (ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) ที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ชุมชนท่าแร่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2546 ที่ต้องปรับตัวจากนโยบายที่เกิดขึ้น โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีการบริหารจัดการและประกวดเข้ามา แม้ว่าในปัจจุบันประเพณีแห่ดาว    ถูกยกระดับจากท้องถิ่นสู่งานระดับประเทศ ที่ได้รับความสนใจจากชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียงที่ยืนรอชมขบวนรถแห่ดาว เป็นอย่างมาก จากเดิมที่แห่ภายในชุมชน ต่อมาได้แห่ขบวนเข้าเมืองสกลนคร นี้อาจเป็นนัยยะหนึ่งที่ศาสนจักรใช้ประเพณีนี้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ศาสนาให้พวกผู้คนได้รู้จัก “ชาวคริสต์ท่าแร่”  

ชุมชนท่าแร่ ตั้งอยู่ที่ ถนนนิตโย (ทางหลวงหมายเลข 22 อุดรธานี-นครพนม ) ตำบลท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นชุมชนคริสต์ศาสนา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พื้นที่ของชุมชนท่าแร่ เป็นชุมชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเทศบาลตำบลท่าแร่ มีอาณาเขตพื้นที่ 2.193 ตารางกิโลเมตร

อาณาเขต

  • ทิศเหนือ  ติดกับ ตำบลอุ่มจาน อำเภอกุสุมาลย์และตำบลนาแก้ว อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร

  • ทิศใต้  ติดกับ หนองหาร แหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ของจังหวัดสกลนคร

  • ทิศตะวันออก  ติดกับ ตำบลนาแก้ว อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร
  • ทิศตะวันตก  ติดกับ ตำบลเชียงเครือ จังหวัดสกลนคร

ประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์ประมาณ 12,000 คน ซึ่งประชากรจำนวนเหล่านี้กระจายตัวอยู่ใน 7 หมู่บ้าน จากทั้ง 12 หมู่บ้านภายใต้การปกครองของเทศบาลตำบลท่าแร่ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในชุมชนประกอบด้วยกลุ่มคนไทยเชื้อสายเวียดนามและกลุ่มชาติพันธุ์ไทญ้อ กลุ่มสายตระกูลที่มีความเก่าแก่ของชุมชนประกอบด้วย โสรินทร์ อุดมเดช ศรีวรกุล เสมอพิทักษ์ กายราช 

ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกอัครสังฆมณฑลท่าเเร่-หนองแสง เป็นชมรมที่บริการเรื่องการรักษาพยาบาล ที่ออกหน่วยไปยังชุมชนต่างๆ

วิถีชีวิตของผู้คนมีส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ค้าขาย และรับราชการ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามหน้าที่ของแต่ละบุคคล แต่สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อวิถีชีวิต คือ คริสต์ศาสนา โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ทุกคนต้องเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อมเพียงกัน ส่วนด้านปฏิทินชุมชนนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ประเพณีแห่ดาวเป็นสิ่งที่ชาวคริสต์จัดขึ้นในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวคริสต์ทั่วโลกปฏิบัติกันสืบทอดมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีการจัดงานจัดขึ้นในกลางคืนของที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ประเพณีการแห่ศีลมหาสนิท ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นต้น

  • นายสุรพล ศรีวรกุล  ข้าราชการบำนาญ เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้และอธิบายเรื่องของประวัติศาสตร์ของชุมชนท่าแร่ 
อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล มิสซังท่าแร่ - หนองแสง

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชุมชน เพราะรูปแบบมีการสร้างให้คล้ายกับรูปเรือ ที่เคลื่อนย้ายพาผู้คนออกจากเมืองสกลนครมาตั้งถิ่นฐาน ณ ชุมชนท่าแร่ ความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนท่าแร่ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ที่ตั้งอยู่กลางชุมชน นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ให้ผู้คนเข้ามาศึกษาเรื่องราว ความเชื่อ คำสอนของศาสนาคริสต์ และได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนท่าแร่

ผู้คนในชุมชน ใช้ภาษาไทยและภาษาท้องถิ่นในการสื่อสาร ส่วนภาษาท้องถิ่นมีสำเนียงการพูดของกลุ่มชาติพันธุ์ไทญ้อ 


ด้านทรัพยากรที่เป็นมรดกของชุมชน เช่นบ้านโบราณ ที่ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและได้รับความนิยม

จากบุคคลภายนอก จึงทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดทำข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ของบ้านโบราณ และชุมชนท่าแร่ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว

  • อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล  มิสซังท่าแร่-หนองแสง 

  • อนุสาวรีย์ อัครเทวดามีคาแอล  (อาคารเซนต์ไมเคิล) สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงอัครเทวดามิคาแอล

  • อนุสาวรีย์บาทหลวงกอมบูริเออ

  • หอระฆังโบราณ ใช้เป็นที่ตีระฆังให้สัญญาณปลุกเรียกให้ชาวท่าแร่ที่นับถือคริสต์ เข้าโบสถ์เพื่อฟังมิสซาในตอนเช้าและ ทุกวันอาทิตย์ซึ่งถือว่าเป็นวันพระเจ้า เหตุที่สร้างสูง ๆ  ก็เพื่อเวลาตีจะส่งสัญญาณให้ชาวบ้านที่อยู่ไกล ๆ ตื่นได้ยิน  และมาฟังมิสซาพร้อมกัน  

  • สุสานศักดิ์สิทธิ์ ใช้เป็นที่ฝังศพของชาวท่าแร่ที่นับถือคริสต์ศาสนา  นิกายโรมันคาทอลิก  เพราะมีความเชื่อว่าสักวันหนึ่งทุกคน  คือทั้งคนเป็นและคนตาย   ได้รับการพิพากษาความดีและความชอบที่ตนได้กระทำเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในโลกนี้  เรียกอีกอย่างว่าวันพิพากษาประมวลพร้อม  ในวันสิ้นโลก

  • อารามรักกางเขนแห่งท่าแร่  เป็นสถานที่พำนักของนักบวชหญิงนิกายโรมันคาทอลิกที่เรียกว่า  ซิสเตอร์  และเป็นสถานที่ฝึกเตรี่ยมตัวที่จะเป็นนักบวชในคณะนี้ เริ่มเข้าฝึกแต่จบชั้นประถมศึกษา 6 ถึง มัธยมศึกษา 6

  • บ้านเณรแม่พระฟาติมาท่าแร่  เป็นสถานที่ฝึกของคณะนักบวชที่จะเป็นพระสงฆ์เริ่มจากการเข้าฝึกที่บ้านเณรแห่งนี้ ตั้งแต่จบ ประถมศึกษา 6 ถึง มัธยมศึกษา 6 เพื่อเตรียมการเป็นพระสงฆ์         ในอนาคตข้างหน้า

  • อารามชีลับ  เป็นสถานที่พำนักของนักบวชหญิงนิกายโรมันคาทอลิก  คณะฟังซิส  หรือเรียกอีกอย่างว่า  อารามชีมืด  เป็นอารามเฉพาะนักบวชหญิง  ที่เฝ้าบำเพ็ญเพียรภาวนาและทำงานอยู่แต่ภายในสำนักไม่ได้ไปไหนตลอดชีวิต   ตามคำปฏิญาณที่ว่า  “ภาวนาและทำงาน”

  • โรงเรียนเซนต์โยเซฟท่าแร่  เหตุที่ใช้ชื่อเซนต์โยเซฟ  เนื่องมาจากความต้องการให้   โรงเรียนเป็นอนุสรณ์แด่บาทหลวงโยเซฟ  กอมบูรีเออร์  บาทหลวงชาวผรั่งเศส  ผู้นำคริสต์ศาสนามาเผยแผ่ที่ท่าแร่  ซึ่งท่านเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านท่าแร่ด้วย  อีกทั้งเพื่อต้องการถวายเกียรติแด่ท่านนักบุญโยเซฟ  นักบุญ  องค์อุปถัมภ์ของโรงเรียนเซนต์โยเซฟท่าแร่  ปัจจุบันนี้โรงเรียนเซนต์โยเซฟท่าแร่  ตั้งอยู่เลขที่  31  หมู่ที่  6 ตำบลท่าแร่  อำเภอเมือง  จังหวัดสกลนคร

กัณฐิกา กล่อมสุวรรณ.(2564) ข้างหลังภาพ ... ท่าแร่ : ชุมชนโบราณบนแผ่นดินอีสาน.วารสารเมืองโบราณ,ปีที่47.ฉบับวันที่ 1 มกราคม-มีนาคม

ขวัญ ถิ่นวัลย์ บรรณาธิการ. (2563). สืบสานพันธกิจและตามรอยธรรมทูต สกลนคร,สมศักดิ์การพิมพ์.

นิทัศน์  เสมอพิทักษ์และคณะ.(2561).รอยแผลแห่งความเชื่อในอดีตของชาวท่าแร่.สกลนคร,สมศักดิ์การพิมพ์

ปฐม หงษ์สุวรรณ.(2555 )ประเพณีแห่ดาว : เวทีการต่อรองเพื่อนิยามตัวตนความเป็นพลเมืองทางวัฒนธรรม.วารสารศิลปวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่1 ฉบับที่1 ประจำเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม.

ปริญญา เสมอพิทักษ์ บรรณาธิกา.(2556) หนังสืออนุสรณ์ 125 ปี ท่าแร่ จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 125 ปี ของการก่อตั้งคริสตชนท่าแร่ ค.ศ.2009.สกลนคร,สมศักดิ์การพิมพ์.