Advance search

ชุมชนที่มีความโดดเด่นทางด้านการท่องเที่ยวชุมชน การรวมกลุ่มทำกิจกรรม เช่น การปลูกผักปลอดสารพิษ การแปรรูปผ้า การทอเสื่อกก ขนมไทย ฯลฯ

หมู่ที่ 4
บ้านหัวขัว
แกดำ
แกดำ
มหาสารคาม
คุณอาทิตย์ ภูมิแกดำ (ผู้ใหญ่บ้าน) โทร. 08 3339 3470
เกริกกฤษณ์ โชคชัยรัชดา, ณัฐพล นาทันตอง
25 ก.ค. 2023
ณัฐพล นาทันตอง
31 ส.ค. 2025
เกริกกฤษณ์ โชคชัยรัชดา
30 เม.ย. 2023
บ้านหัวขัว

บ้านหัวขัว สาเหตุการตั้งชื่อมาจากคำว่า "ขัว" แปลว่า สะพาน และการสร้างสะพานไม้แกดำเรียกฝั่งทางบ้านหัวขัวเป็นจุดเริ่มต้นจึงเรียกหัวสะพานจึง จึงแปลมาเป็น "หัวขัว"


ชุมชนชนบท

ชุมชนที่มีความโดดเด่นทางด้านการท่องเที่ยวชุมชน การรวมกลุ่มทำกิจกรรม เช่น การปลูกผักปลอดสารพิษ การแปรรูปผ้า การทอเสื่อกก ขนมไทย ฯลฯ

บ้านหัวขัว
หมู่ที่ 4
แกดำ
แกดำ
มหาสารคาม
44190
16.02256886
103.396761
เทศบาลตำบลแกดำ

บ้านหัวขัวก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 2420 โดยในอดีตชุมชนตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดดาวดึงส์ (วัดแกดำ) หมู่บ้านตั้งอยู่ริมหนองแกดำ หนองหัวลิง ลำห้วยหนองไผ่กับลำห้วยมะค่า แต่เดิมมาจำนวนครัวเรือน 3 ครัวเรือนมาตั้งอยู่บริเวณริมหนองหัวลิง และได้ตั้งชื่อว่า บ้านหนองหัวลิง และได้มีจำนวนครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น เริ่มขยับขยายครัวเรือนไปทางทิศตะวันออกซึ่งมีลักษณะเป็นเนินดินสูง ต่อมาชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์ป่า คือ เสือ จึงทำให้อพยพกลับไปอยู่ฝั่งแกดาเหมือนเดิม ในเวลาต่อมากลุ่มชาวบ้านจึงได้ชักชวนชาวบ้านภายในหมู่บ้านกลับมาตั้งถิ่นฐานมาอยู่ที่บริเวณดังกล่าว โดยการชักชวนจากพ่อขุนอักษร บุญยะเพ็ญ กับ นายศิลา โพธิละเดา จำนวน 7 หลังคาเรือน

ในหมู่บ้านมีศูนย์กลางได้แก่วัดและโรงเรียน ด้านหลังโรงเรียนติดกับหนองน้ำและสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อเดินข้ามลำห้วยไปสู่อำเภอแกดา คำว่า "ขัว" เป็นภาษาอีสาน แปลว่า สะพาน โดยหมู่บ้านตั้งอยู่ฝั่งต้นของสะพาน (หัวขัว) ส่วนปลายสะพานเป็นทางเดินไปสู่ที่ว่าการอำเภอแกดา ผู้ที่เป็นผู้นาในการตั้งหมู่บ้าน ได้แก่ พ่อใหญ่ขุนอักษร บุญยะเพ็ญ พ่อใหญ่โม้ โพธิละดา พ่อกา-แม่มา ภูมิแกดำ ขุนอุดม นางเลาและพ่อใหญ่ศิลา

ที่ตั้งหมู่บ้านมีลักษณะเป็นเนินดินน้ำท่วมไม่ถึงอยู่ติดลำห้วย มีถนนผ่านกลางหมู่บ้านไปสิ้นสุดที่สะพานไม้แกดำ มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ พื้นที่โดยรอบเนินดินเป็นที่ลุ่มตั้งอยู่ริมหนองน้ำชื่อว่า "หนองหัวลิง" ถัดมาเป็นป่าละเมาะเรียกว่า "ดงแกดำ" มีพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวตามแนวสันดอนริมฝั่งที่น้ำท่วมไม่ถึง คนที่เป็นผู้พิจารณาเลือกพื้นที่ในการตั้งหมู่บ้านคือ พ่อใหญ่ขุนอักษร บุญยะเพ็ญ พ่อใหญ่ศิลา โพธิละเดา พ่อใหญ่ขุนศรีหล่ม พ่อใหญ่ขุนอุดม พ่อใหญ่ทิดเลา พ่อใหญ่กา ภูมิแกดำ หลวงปู่จ้อย ยายบัว ยายป้อ ยายชู ยายปัด จันทะกล (มะระตัง) ยายพวงและแม่ใหญ่มีอพยพรวมกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มคนเชื้อสายไทย-ลาวและชักชวนญาติพี่น้องมาจากเมืองสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดและหลวงปู่จ้อยเชื้อสายไทใหญ่มาจากประเทศจีนตอนใต้แถบมณฑลยูนนาน 

ช่วงแรกของการตั้งชุมชนมีการสร้างสะพานไม้บริเวณลำห้วยเพราะเป็นลำห้วยบริเวณนั้นเป็นที่น้ำลึก เมื่อ พ.ศ. 2460 ชาวบ้านได้ร่วมมือกันสร้างวัดและโรงเรียนอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านได้ไปทำบุญตลอดจนใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและใช้ในการศึกษาของเยาวชนประจำหมู่บ้านโดยมีความเชื่อว่าชุมชนจะมีความเจริญรุ่งเรืองและทำการขุดบ่อน้ำ(ส่างแส่ง) จำนวน 2 บ่อ 1 บ่อ อยู่ทางทิศใต้ มีชื่อว่า ส่างแส่ง มีลักษณะเป็นบ่อขุดสี่เหลี่ยมกรุด้วยไม้เพื่อใช้ในการอุปโภค และบริโภคและเลี้ยงช้าง อีก 1 บ่อ อยู่ทางทิศตะวันตก เรียกว่า ส่างก๊อก เป็นทรงกกกลมก่อด้วยอิฐแดง เอาไว้ใช้ทั้งอุปโภค-บริโภค ของชาวบ้าน ติดกับหนองหัวลิงเพื่อเป็นแหล่งน้ำประจำหมู่บ้านให้ชาวบ้านใช้เพื่ออุปโภค-บริโภครวมถึงสร้างศาลากลางหมู่บ้านใช้เป็นสถานที่ประชุมและแจ้งข่าวสารแก่คนในชุมชน

พ.ศ. 2496 กรมชลประทานได้มาขุดลอกหนองแกดำ เพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถกักเก็บน้ำได้ปริมาณมากขึ้น ซึ่งในช่วงนี้เองมีการเวนคืนที่ดินของชาวบ้านบางส่วนที่อยู่ริมหนองน้ำเพื่อทำการขยายพื้นที่หนองน้ำให้มีความกว้างขวางและสามารถใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น ในช่วงนี้ชาวบ้านส่วนมากอาศัยธรรมชาติในการดำเนินชีวิตไม่มีการใช้เงินตราใช้การแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนมาก

พ.ศ. 2502 การสร้างโรงเรียนแกดำอนุสรณ์และสะพานก็เริ่มมีการพัฒนาให้ดีมากขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เดินข้ามสะพานมาเรียนที่โรงเรียนราษฎร์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านหัวขัว ผู้อำนวยการโรงเรียนก็มีการซ่อมแซมปรับปรุงสะพานเรื่อยมาเพื่อให้นักเรียนสามารถเดินทางมาเรียนได้อย่างสะดวก ทำให้เป็นที่เข้าใจของคนในชุมชนบ้านหัวขัวและบ้านแกดำว่า สะพานไม้พัฒนาควบคู่กันกับโรงเรียนราษฎร์แห่งนี้

พ.ศ. 2504 จากการมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ที่ทำให้รัฐมีการสนับสนุนให้ชาวบ้านมีการปลูกปอซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจชาวบ้านหัวขัวก็มีการปลูกปอเช่นเดียวกัน ทำให้เริ่มมีการสร้างรายได้จากการปลูกพืชเศรษฐกิจเงินตราเริ่มเข้ามามีบทบาทในชุมชน ปอเมื่อลอกแล้วชาวบ้านจะนำไปขายที่ร้านสหสินบริเวณสามแยกวาปีปทุม ซึ่งอยู่ใกล้กับวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม

พ.ศ. 2515 มีการปลูกยาจี๊ดซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนบ้านหัวขัวอีกช่องทางหนึ่ง

พ.ศ. 2520 สร้างสถานีสูบน้ำประปาในบริเวณใกล้กับหนองน้ำเพื่อสูบน้ำแจกจ่ายให้กับชาวบ้านได้อุปโภค-บริโภค 

พ.ศ. 2546 มีการขุดลอกหนองน้ำอีกครั้งหนึ่งในฝั่งบ้านหัวขัว หลังขุดลอกแล้วมีพื้นที่สาธารณะ จำนวน 20 ไร่ จึงได้มีการแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรให้กับชาวบ้านและมีการสร้าง ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและแปลงผักปลอดสารพิษ

พ.ศ. 2553 ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและแปลงผักปลอดสารพิษ ใช้เป็นสถานที่ประชุมและอบรมถ่ายทอดความรู้แก่ชาวบ้าน วัดอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านได้ไปทำบุญและใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและวัฒนธรรม และการฝึกของเด็กและเยาวชน ศาลากลางบ้าน เป็นสถานที่ประชุม และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมด้านพุทธศาสนาของชาวบ้านตลอดจนแจ้งข่าวสาร ใน พ.ศ. 2557 ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐมาสนับสนุนการปลูกผักปลอดสารพิษ สนับสนุนการเพิ่มชนิดผักที่ปลูก สนับสนุนตลาดที่ต้องการผักปลอดสารพิษ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการปลูกผักขาย

พ.ศ. 2558 นายชยาวุธ จันทร เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้มีการพัฒนาสะพานไม้แกดำซึ่งมีอยู่แล้วพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำอำเภอแกดำ จากนั้นสะพานไม้แกดำก็เป็นที่รู้จักของคนมหาสารคาม หน่วยงานต่าง ๆ เริ่มให้ความสนใจสะพานไม้มากขึ้นมีการจัดงานประเพณี หรือกิจกรรมต่าง ๆ โดยใช้สะพานไม้แกดำเป็นจุดสนใจของผู้มาร่วมงานหลังจากที่สะพานไม้แกดำได้เป็นที่รู้จักของคนในชุมชน คนในจังหวัด จากการพัฒนาของหน่วยงานราชการ จากสื่อต่าง ๆ ที่มีการแชร์ออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชุมชนบ้านหัวขัวที่เป็นพื้นที่อีกฝั่งของสะพานไม้แกดำเป็นที่น่าสนใจ

พ.ศ. 2560 มีการตั้งกลุ่มแปรรูปผ้า กลุ่มทอเสื่อกก กลุ่มจักสาน เป็นต้น จากการมีกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นมาทำให้มีสินค้าเพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสะพานไม้ในปี

พ.ศ. 2562 มีการสนับสนุนจัดตั้งตลาดต้องชมขึ้นในพื้นที่บ้านหัวขัวบริเวณทางลงสะพานไม้เพื่อให้ชาวบ้านได้นำสินค้าของกลุ่มต่าง ๆ มาขายให้นักท่องเที่ยวที่มาชมสะพานไม้ นอกจากนั้นแล้วยังมีการตั้งโฮมสเตย์ขึ้นเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาและอยากพักชมวิถีชีวิตของชาวบ้านหัวขัว

ชุมชนบ้านหัวขัว เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชุมชนบ้านแกดำ โดยมีสะพานไม้แกดำเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกันระหว่างชุมชน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประมาณ 25 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างอำเภอเมืองและอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลวังแสง
  • ทิศใต้ ติดกับ ตำบลแกดำ
  • ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลโนนภิบาล
  • ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลวังแสง

ปัจจุบันชุมชนมีสภาพบ้านเรือนที่มีความมั่นคงแข็ง และมีเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดินครบถ้วน รวมถึงมีวัดประจำชุมชน โรงเรียนประจำชุมชน ตลอดจนชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านการรวมกลุ่มทำวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวแม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ชุมชนยังสามารถรวมกลุ่มเตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาสู่การเป็นชุมชนการท่องเที่ยวเช่นเดิม

การเดินทางเข้ามายังชุมชนบ้านหัวขัวปัจจุบันมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีการปรับปรุงเส้นทางระหว่างอำเภอแกดำเชื่อมกับอำเภอวาปีปทุมทำให้สามารถเดินทางสัญจรได้อย่างสะดวก ซึ่งสามารถเดินทางมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสาร หรือการเดินชมบรรยากาศจากวัดดาวดึงส์อีกฝั่งเพื่อเดินข้ามหนองแกดำด้วยสะพานไม้มาชมสวนผักปลอดสารพิษของชุมชนบ้านหัวขัว และสามารถซื้อกลับไปรับประทานได้

ด้านสาธารณสุข มีโรงพยาบาลแกดำซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนบ้านหัวขัวประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินทางจากชุมชนถึงโรงพยาบาลได้ภายใน 5 นาที

จากแผนพัฒนา พ.ศ. 2561-2565 ของเทศบาลตำบลแกดำ ได้ระบุจำนวนครัวเรือน และจำนวนประชากรเพศชาย/หญิง ไว้ดังนี้ จำนวนครัวเรือนมีจำนวนทั้งสิ้น 182 หลังคาเรือน จำนวนประชากร เพศชาย มีจำนวน 356 คน และ เพศหญิง จำนวน 369 คน รวมทั้งสิ้น 725 คน คนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว บรรยากาศภายในชุมชนเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน 

การพึ่งพาอาศัยกันภายในชุมชนเป็นระบบเครือญาติเนื่องจากชุมชนบ้านหัวเป็นชุมชนที่ผ่านการจัดการท่องเที่ยวมาแล้วจึงมีความสามัคคีในด้านต่างๆ ประกอบการเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนา มีการปลูกผักปลอดสารพิษ การแลกเปลี่ยนพืชผักกันในครัวเรือน

เครื่องจักสาน

กลุ่มเครื่องจักสานบ้านหัวผลิตภัณฑ์หลักที่มีการจัดทำขึ้นคือกระติบข้าวโบราณ ซึ่งเป็นกระติบข้าวสั่งทำตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เป็นกระติบข้าวโบราณที่มีลักษณะตีนที่ใช้ตั้งเป็นขาสูง ฝากระติบข้าวเป็นทรงกรวยคว่ำบนยอดแหลม เป็นกระติบข้าวโบราณ

กลุ่มทอเสื่อกก

กลุ่มทอเสื่อกกเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นพร้อม ๆ กับกลุ่มจักสาน เป็นการทอเสื่อหลายรูปแบบตั้งแต่เสื่อธรรมดาที่ไม่มีลวดลาย แบบมีลวดลาย แบบม้วน แบบพับ สามารถเลือกหาได้ตามต้องการของผู้ที่จะซื้อ ซึ่งการทอเสื่อกกของชุมชนบ้านหัวขัวจะทอหลังจากช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนา หรือว่างจากการทำเกษตรกรรมต่าง ๆ

กลุ่มแปรรูปผ้าขาวม้า

กลุ่มแปรรูปผ้าขาวม้าเป็นกลุ่มที่นำผ้าม้ามาแปรรูปเป็นสินค้าหลากหลายชนิด เช่น กระเป๋าผ่า พวงกุญแจ หมวก กระเป๋าสะพาย ผ้าพันคอ ฯลฯ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ตลอดจนเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนถักทอขึ้นมา

กลุ่มขนมไทย

ขนมไทยของชุมชนบ้านหัวขัวเป็นขนมข้าวเหนียวปิ้งซึ่งแตกต่างจากข้าวเหนียวปิ้งที่ขายตามตลาดทั่วไปซึ่งเป็นกรวยแหลมหัวตัด แต่ด้วยเอกลักษณ์ของบ้านหัวขัวเองที่ชาวบ้านนิยมใช้เรืออีโปงหรือเรือที่ขุดขึ้นจากต้นตาล ทำให้กลุ่มขนมไทยทำรูปแบบข้าวเหนียวปิ้งออกมาในรูปของเรืออีโปงเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน

โฮมสเตย์

ปี พ.ศ. 2562 ชุมชนบ้านหัวขัวได้จัดตั้งกลุ่มธุรกิจโฮมสเตย์ขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลจากการที่สะพานไม้แกดำเป็นแหล่งท่องเที่ยวละชุมชนบ้านหัวมีการจัดตั้งกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ กลุ่มจักสาน แปรรูปผ้าขาวม้า ซึ่งเป็นที่สนใจของบุคคลภายนอก ทำให้มีการริเริ่มการจัดตั้งโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาพักค้างคืนและชมวิถีชีวิตของชาวแกดำ

ผักปลอดสารพิษ

ชุมชนบ้านหัวขัวมีการริเริ่มปลูกผักปลอดสารพิษตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 สืบเนื่องมาจากบริเวณบ้านหัวขัวอยู่ติดกับหนองแกดำซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำตลอดทั้งปี สามารถทำการเกษตรได้ตลอดชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันเพื่อทำการปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อขายในชุมชน เร่ขาย ขายตามตลาดสด จนในปี พ.ศ. 2557 หน่วยงานของรัฐเริ่มมาสนับสนุนการปลูกผักปลอดสารพิษสามารถส่งขายตามโรงพยาบาล หรือหน่วยงานราชการสั่งซื้อ สนับสนุนให้ขายในห้างสรรพสินค้าได้

ในรอบปีชุมชนบ้านหัวขัวมีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งมีการปฏิบัติกิจกรรมที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนดังต่อไปนี้

วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม

วิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหัวขัวมีความสัมพันธ์กับ ฮีต 12 คอง 14 ซึ่งมีการจัดงานประเพณีทุกประเพณีในรอบ 12 เดือนที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มีงานบุญบั้งไฟ เป็นงานบุญที่ผู้คนต้องจัดเพื่อบูชาพญาแถน เพื่อขอฝนให้ฝนตกตามฤดูกาล จนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 2545 ทางอำเภอยกระดับงานประเพณีบุญบั้งไฟให้มีความยิ่งใหญ่ จึงเรียกงาน “บุญบั้งไฟกบใหญ่แกดำ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอมาจัดร่วมกันกับบุญบั้งไฟ ชาวบ้านจากทุกหมู่บ้านของอำเภอมีส่วนร่วมในงานบุญประเพณีที่ดีงาม และสร้างชื่อเสียงให้กับอำเภอแกดำ

นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่เป็นที่โดดเด่นของชาวอำเภอแกดำที่เป็นที่แตกต่างจากชุมชนอื่นๆคือ ความเชื่อในองค์หลวงปู่จ้อย เมื่อมีการจัดงานใดๆก็ตามก็จะต้องมีการบอกกล่าวหลวงปู่จ้อยซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอำเภอ และล่าสุดมีการจัดประเพณีประดิษฐ์คือ คือการถวายเทียนพรรษาหลวงปู่จ้อย ซึ่งมีการนำเอาความเชื่อของคนทั้งอำเภอที่มีศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่องค์หลวงปู่จ้อยจึงมีการรวมตัวแห่เทียนพรรษาเพื่อถวายหลวงปู่จ้อย และมีการนิมนต์พระทั่วอำเภอแกดำมาเพื่อรับเทียนพรรษาอย่างทั่วถึงทุกวัด

วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ

ปัจจุบันชุมชนบ้านหัวขัวมีความโดดเด่นด้านการปลูกผัดปลอดสารพิษในช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม เนื่องจากชุมชนได้รับการจัดสรรพื้นที่จากกรมชลประทานในการปลูกผัก ซึ่งมีการจัดสรรให้ชุมชนถึง 5 โซนสามารถสร้างรายได้ในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก ปัจจุบันคนหนุ่มสาวในชุมชนเดินทางไปทำงานที่ภาคอุตสาหกรรม และมีบางส่วนที่รับราชการ คนในชุมชนโดยมากเป็นผู้สูงอายุที่ทำการเกษตร และกลุ่มอาชีพที่ชุมชนมีการก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม

ชุมชนบ้านหัวขัวมีผู้นำชุมชนเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานด้านกรพัฒนาชุมชนอย่างรอบด้าน คือ ผู้ใหญ่อาทิตย์ ภูมิแกดำ เป็นคนที่เกิดในชุมชนบ้านหัวขัว เป็นบุคคลที่ชื่นชอบการเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพมหานครเหมือนกับวัยรุ่นคนอื่น ที่หากไม่ได้รับราชการก็จะเดินทางไปทำงานหาเลี้ยงชีพที่เมืองหลวง จากการที่ต้องทำงานบริการอยู่โรงแรมก็ต้องกลับบ้านเนื่องจากพ่อเสียชีวิต ต้องกลับมาดูแลแม่ที่บ้าน แรกเปิดร้านขายของเพื่อสร้างรายได้ ทำนา ทำการเกษตร และเริ่มเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยการลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาล แต่ก็ไม่ได้รับเลือกในช่วงนั้น หลังจากนั้นจึงลงสมัครผู้ใหญ่บ้านเป็นครั้งแรกและได้รับเลือก จึงเอาความคิดของตนเองว่าบ้านเราทำไมไม่พัฒนาให้มากกว่านี้ เนื่องจากเป็นชุมชนที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอ ไม่ได้รับการพัฒนาและหากพัฒนาก็อยู่ท้ายแถว

เมื่อได้รับเลือกก็ทำหน้าที่ด้วยดีเสมอมาสามารถพาชุมชนได้รับรางวัลมากมาย ทั้งยังได้รับรางผู้ใหญ่บ้านแหนบทองคำ ซึ่งต้องมีตัวชี้วัดมากมายหากชุมชนใดไม่เห็นคุณค่าของการพัฒนา หากไม่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ผู้ใหญ่ท่านนี้ได้รับคำชม ยกย่องจากหลายสถานที่จนเป็นที่โด่งดังทั้งในภาพของชุมชน

ด้านสุขภาพชุมชน เมื่อ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ชุมชนบ้านหัวขัว ได้อาศัยทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีปริมาณน้ำมากเพียงพอแก่การทำเกษตรกรรม และเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ผู้คนเกิดการร่วมกลุ่มเป็น "กลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ" ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของการบริโภคผักปลอดสารพิษ คือผู้คนในชุมชน เมื่อกระแสการบริโภคปลูกผักปลอดสารพิษ ก่อให้เกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ทางโรงพยาบาลได้เข้ามาสั่งซื้อผักปลอดสารพิษ และทำให้ผู้คนในชุมชนเกิดรายได้จากการปลูกผักปลอดสารพิษ

ผู้คนในชุมชนใช้ภาษาอีสาน ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างกัน


เนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวที่เริ่มเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งเข้ามากระทบต่อชุมชน เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ภายในชุมชนเกิดการตื่นตัวเป็นอย่างมาก ทางผู้นำและผู้คนในชุมชนต่างต้องปรับตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ความท้าทายในประเด็นนี้ทำให้ผู้คนเกิดการสร้างเครือข่ายทางสังคม โดยการนำสมาชิกของแต่ละกลุ่ม อาทิ กลุ่มจักสาน กุล่มแปรรูปผ้า กลุ่มทำขนมไทย กลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ และการจัดทำกลุ่มโฮมสเตย์ ประกอบกับการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ชุมชนมีศักยภาพที่สามารถจะรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าสัมผัสวิถีชุมชนได้เป็นอย่างดี

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

นายอาทิตย์ ภูมิแกดำ, สัมภาษณ์โดย นายเกริกกฤษณ์ โชคชัยรัชดา ณ ที่ทำการบ้านผู้ใหญ่บ้านหัวขัว หมู่ 4 ตำบลแกดำ อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม 

คุณอาทิตย์ ภูมิแกดำ (ผู้ใหญ่บ้าน) โทร. 08 3339 3470