Advance search

บ้านข้าวเม่า

ตรอกข้าวเม่า, บ้านสวน

ชุมชนบ้านข้าวเม่า แหล่งเรียนรู้ย่านบางกอกน้อยที่สัมผัสได้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตและการเรียนรู้วิธีการทำข้าวเม่าแบบฉบับของชุมชน

ซอยอิสรภาพ 47 (ตรอกข้าวเม่า 1) และซอยอิสรภาพ 49 (ตรอกข้าวเม่า 2) ถนนอิสรภาพ
บ้านช่างหล่อ
บางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
ละอองทิพย์ ทรัพย์ศิริ
20 มี.ค. 2023
ปวินนา เพ็ชรล้วน
15 เม.ย. 2023
ปวินนา เพ็ชรล้วน
30 เม.ย. 2023
บ้านข้าวเม่า
ตรอกข้าวเม่า, บ้านสวน

ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ควบคู่ไปกับการทำข้าวเม่าเกือบทุกหลังคาเรือน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า คนในชุมชนนี้เดิมอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เมื่อย้ายมาแล้วยังยึดอาชีพดั้งเดิม คือ การขายข้าวเม่าที่ปรุงเอง จึงเป็นที่มาของชื่อชุมชน


ชุมชนบ้านข้าวเม่า แหล่งเรียนรู้ย่านบางกอกน้อยที่สัมผัสได้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตและการเรียนรู้วิธีการทำข้าวเม่าแบบฉบับของชุมชน

ซอยอิสรภาพ 47 (ตรอกข้าวเม่า 1) และซอยอิสรภาพ 49 (ตรอกข้าวเม่า 2) ถนนอิสรภาพ
บ้านช่างหล่อ
บางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
10700
สำนักงานเขตบางกอกน้อย โทร. 0-2424-0056
13.7605086
100.4760690
กรุงเทพมหานคร

ชุมชนบ้านข้าวเม่าเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ผู้คนต่างอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย มีวิถีชีวิตทำสวน เดิมเรียกว่า ‘บ้านสวน’ ต่อมามีการทำข้าวเม่ากันภายในชุมชนเป็นจำนวนมาก และมีการทำสืบต่อกันมา จึงเรียกชุมชนนี้ว่า ‘บ้านข้าวเม่า’ เมื่อมีการตัดถนนซอยเล็กเข้ามาในพื้นที่บ้านข้าวเม่า จึงเรียกว่า ‘ตรอกข้าวเม่า’ สภาพตรอกเดิมซึ่งเป็นคันดิน บ้านเรือนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กระจายไปตามร่องสวน มีลักษณะเป็นบ้านไม้เรือนชั้นเดียวยกสูง ดังนั้นชาวบ้านจึงมีการประกอบอาชีพทำข้าวเม่าควบคู่ไปกับการทำสวน ปลูกผัก ผลไม้นานาชนิด

ในสมัยกรุงธนบุรีและสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณบ้านข้าวเม่าเป็นพื้นที่บ้านสวนมีคลองลัดวัดทองโอบทางทิศเหนือและทิศตะวันตก โดยมีลำปะโดงแยกจากคลองลัดวัดทองด้านตะวันตกไหลผ่านกลางชุมชน ทำให้พื้นที่บ้านข้าวเม่าเป็นที่ลุ่มเหมาะแก่การทำสวนแบบยกร่อง ส่วนใหญ่เป็นสวนผลไม้ ได้แก่ สวนทุเรียน มังคุด มะปราง ขนุน มะม่วง มะไฟ และละมุด บางพื้นที่ปลูกไม่กี่ชนิด ปลูกคละกันไปแบบสวนเบญจพรรณ

ชาวบ้านเล่าว่ารุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 ผ่านบ้านข้าวเม่าเคยปลูกทุเรียนหลายชนิด ได้แก่ หมอนทอง กระดุม กบตาแดง ก้านยาว และราชินี เป็นต้น โดยพันธุ์ราชินีจะขายดีเป็นที่นิยม เพราะเนื้อนุ่มนวล เม็ดลีบ รสชาติจะหวานแหลมชาวบ้านข้าวเม่าจะเรียกทุเรียนย่านบ้านข้าวเม่าว่า ‘ทุเรียนสวน’ และเรียกทุเรียนเมืองนนทบุรีว่า ‘ทุเรียนนอก’ ซึ่งชาวบ้านบ้านข้าวเม่าในอดีตปลูกผลไม้ต่าง ๆ ไว้รับประทาน และบางส่วนจะนำไปขายโดยวิธีล่องเรือไปตามลำคลองวัดทองไปขายที่ตลาดวัดทอง บ้านบุริมคลองบางกอกน้อยฝั่งใต้ แต่บางครั้งจะใช้วิธีหาบเดินจากบ้านข้าวเม่าข้ามทางรถไฟเข้าตลาดวัดทอง หรือต่อเรือที่ท่าน้ำตลาดวัดทองล่องออกปากคลองบางกอกน้อย แล้วข้ามฟากไปท่าช้างวังหลวง และหาบเดินไปขายยังตลาดท่าเตียน ชาวบ้านสวนบ้านข้าวเม่ามีวิถีชีวิตที่อัมพาสมบูรณ์ เพราะในคลองจะมีปลานานาชนิด เมื่อถึงฤดูหนาวของทุกปีจะมีกุ้งก้ามนำมาทำอาหาร ในสวนจะมีผัก มัน เผือก ข้าวโพด และพริก แม้กระทั่งข้าว ซึ่งในอดีตมักจะปลูกไว้ตามร่องสวน เรียกว่า ‘ข้าวท้องร่อง’ ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวเจ้า ปลูกด้วยการดำเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะนำข้าวมาตากแดดใส่ครกใหญ่ตำ จากนั้นนำมาร่อนเหลือเป็นข้าวสารและเก็บใส่โอ่งไว้สำหรับหุงข้าวรับประทานต่อไป

การปลูกข้าวตามร่องสวนได้เลิกไป ภายหลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2485 ส่งผลให้สวนผลไม้ของชุมชนบ้านข้าวเม่าเสียหายหลายปีกว่าจะฟื้นตัว ประกอบกับในช่วงปี พ.ศ. 2487 - 2488 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านได้พากันอพยพหนีภัยสงคราม ทำให้ชุมชนบ้านข้าวเม่าซบเซาไประยะหนึ่ง เมื่อสงครามสิ้นสุดลงผู้คนอพยพกลับมา หลังจากนั้นไม่นานได้มีการตัดถนนหลายสายในย่านฝั่งธนบุรี รวมทั้งถนนอิสรภาพด้วย ทำให้การเดินทางถึงชุมชนบ้านข้าวเม่าด้วยทางรถสะดวกรวดเร็วกว่าการคมนาคมทางน้ำ อีกทั้งชุมชนบ้านข้าวเม่าอยู่ไม่ไกลใจกลางพระนครทำให้มีผู้คนจากภายนอกอพยพเข้าไปซื้อที่ดินตั้งบ้านเรือน และมีกลุ่มคนที่เข้ามาเช่าบ้านอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนสภาพความเป็นบ้านสวนหมดไป

สภาพพื้นที่โดยทั่วไป ของเขตบางกอกน้อยเป็นที่ราบลุ่ม มีคูคลองจำนวนมาก โดยแขวงทั้ง 5 แขวงของเขตบางกอกน้อยอยู่ในคุ้งลำน้ำเจ้าพระยาสายเก่า ในอดีตแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมนั้นไหลคดเป็นรูปโค้งเกือกม้า มีพื้นที่ทั้งสิ้น 11.944 ตารางเซนติเมตร

ชุมชนบ้านข้าวเม่า มีเนื้อที่โดยประมาณ 23 ไร่ มีบ้านเรือนประมาณ 750 หลังคาเรือน มีประชากรประมาณ 1,200 คน โดยเป็นคนดั้งเดิมประมาณร้อยละ 50 คนใต้ร้อยละ 35 และคนจากสุพรรณบุรี ร้อยละ 15

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

1. นายอนุชา เกื้อจรูญ  ปราชญ์ชุมชน ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนตรอกข้าวเม่า เล่าว่า แม้ชาวชุมชนนี้จะทำข้าวเม่ากันทุกบ้าน แต่ก็ไม่สามารถปลูกข้าวเองได้จึงต้องสั่งข้าวเปลือกจากอยุธยา โดยบรรทุกเรือล่องมาตามลำน้ำผ่านคลองบางกอกน้อย มาส่งถึงตามสวนบ้านต่าง ๆ นำมาเก็บไว้ในยุ้งฉาง ทยอยนำมาทำเป็นข้าวเม่าตลอดทั้งปี และนายอนุชา เกื้อจรูญ ยังอุทิศแรงกายแรงใจสร้างพิพิธภัณฑ์ประจำชุมชนขึ้นที่วัดสุทธาวาส วัดประจำชุมชน โดยนำข้าวของเครื่องใช้ วัตถุทางวัฒนธรรมในการประกอบอาชีพของวิถีชีวิตชุมชนบ้านข้าวเม่าตั้งแต่อดีตมาจัดแสดงถ่ายทอดเรื่องราวให้กับผู้คนที่สนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ทุนทางวัฒนธรรม

  • วัดสุทธาวาส เป็นวัดเก่าแก่ของเขตบางกอกน้อยที่มีอายุกว่า 200 ปี เดิมอยู่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบ้านเลขที่ 613 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เดิมวัดสุทธาวาสมีชื่อเดิมว่า "วัดดุสิต" ตามทะเบียนวัดกล่าวว่าก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2315 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาจากรัชกาลที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2330 ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันว่า ท้าวทรงกันดาร เป็นผู้สร้างหรืออีกในหนึ่งคาดว่าพระสนมดุสิต หรือเจ้าแม่ดุสิตที่หลบภัยสงครามมาจากอยุธยาม เมื่อบ้านเรือนสงบสุขปกติดีแล้ว จึงได้สร้างวัดขึ้นและขนานนามตามผู้สร้าง ในระยะแรกเป็นเพียงสำนักสงฆ์ โดยใช้ชื่อว่าวัดดุสิต ตามชื่อตนเอง ต่อมาภายหลังได้ขอเปลี่ยนชื่อวัดเป็น ‘วัดสุทธาวาส’ ซึ่งใช้ชื่อเป็นทางการมาจนถึงปัจจุบัน
  • พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนตรอกข้าวเม่า ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2554 โดยความร่วมมือของเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส ประชาคมตรอกข้าวเม่าและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ที่เห็นคุณค่าและความสำคัญของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านนี้ จึงได้ร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่ชั้นล่างของศาลาการเปรียญให้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมดังนี้ (1) เรื่องราวและสิ่งของภายในท้องถิ่น (2) จัดแสดงเป็นนิทรรศการโดยการเชื่อมโยงกับข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรม (3) แหล่งภูมิปัญญาวัฒนธรรมการทำอาหาร งานช่าง งานฝีมือ และ (4) เรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหลากหลายมิติที่ผนวกไว้ภายในพิพิธภัณฑ์
  • ข้าวเม่า คือภูมิปัญญาทางด้านอาหารของชุมชนบ้านข้าวเม่า บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยการทำข้าวเม่าของชาวบ้านชุมชนตรอกข้าวเม่าเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งการทำข้าวเม่าสมัยโบราณจะใช้มือนวดเมล็ดข้าวและใช้เท้าเหยียบครกกระเดื่องในการตำข้าว การที่จะได้ข้าวเม่ามานั้น ต้องใช้ระยะเวลานานและใช้แรงกายเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงบางอย่างตามยุคสมัย แต่ยังคงใช้วัตถุดิบแบบดั้งเดิมและมักทำข้าวเม่าในงานบุญ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ในอดีตนั้นการทำข้าวเม่าเป็นที่ได้รับความนิยมจากคนในชุมชน ซึ่งทำกันเกือบทุกครัวเรือนจึงเกิดเป็นอาชีพที่ทำให้เกิดรายได้ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่าน สิ่งแวดล้อมได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งก่อสร้างที่เป็นอาคารสูงและบ้านพักอาศัยเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งเปลี่ยนไปตามบริบททางสังคม ทำให้การทำข้าวเม่ามีอุปสรรคมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหนึ่งในขั้นตอนการทำข้าวเม่า ต้องมีการจัดไฟตั้งกระทะเพื่อทำการคั่วข้าว ทำให้เกิดควันจำนวนมาก ประกอบกับเริ่มมีคนจากท้องถิ่นอื่นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานภายในชุมชน ทำให้ในปี พ.ศ. 2535 มีชาวบ้านภายในชุมชนแจ้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้ดูแลชุมชนว่ามีควันจากการทำข้าวเม่าเข้าตาทำให้เกิดการระคายเคืองชาวบ้าน จึงมีการยุติการคั่วข้าวเม่า

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ธนธรณ์ สาริกบุตร. (2562). แนวทางในการสืบทอดภูมิปัญญาการทำข้าวเม่า ชุมชนตรอกข้าวเม่า เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.

Museum Thailand. (ม.ป.ป.). พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนตรอกข้าวเม่า. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2566, จาก museumthailand.com/

trueid. (2563). ย่านเก่าเล่าเรื่อง “ชุมชนตรอกข้าวเม่า” ชุมชนแห่งการเรียนรู้วิถีชีวิตชาวฝั่งธน. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2556. จาก https://travel.trueid.net/detail/oz811BmnvB49.

คนไทยวันนี้. (2555). 'ตรอกข้าวเม่า'. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2556. จาก https://centuryboydotme.wordpress.com/