ชุมชนริมคลองบางน้อย ชุมชนที่อยู่ในเมืองแต่มีวิถีชีวิตแบบชาวสวน รวมถึงคลองที่เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน
ชุมชนริมคลองบางน้อย ชุมชนที่อยู่ในเมืองแต่มีวิถีชีวิตแบบชาวสวน รวมถึงคลองที่เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน
นับย้อนไปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 150 ปี กลุ่มคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ย่านวัดสะพานคลองบางน้อย คือ คนไทย ซึ่งมีหลากหลายเชื้อสายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายไทย เชื้อสายจีน และคนไทยที่มีสายเลือดผสมระหว่างไทยจีน ปัจจุบันคนกลุ่มนี้คือประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากคลองแห่งนี้ ด้วยในอดีตบรรพบุรุษชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพทำมาหากินในพื้นที่แถบนี้ มักแต่งงานกับหญิงชาวไทย และตั้งรกรากสร้างครอบครัว ตลอดจนมีลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลอยู่ในพื้นที่ กลุ่มคนที่อยู่อาศัยริมคลองบางน้อยส่วนใหญ่จึงมีเชื้อสายไทยจีน และยังมีวิถีชีวิตที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมจีน ที่ผสมผสานกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชุมชนชาวสวนวัดสะพาน เป็นชุมชนเกษตรกรรมทำสวน ที่มีลักษณะการตั้งบ้านเรือนเกาะกลุ่มหนาแน่นเรียงรายไปตามเส้นลำคลองและใกล้วัด บ้านเรือนมีทั้งอยู่เกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ริมน้ำและกระจายตัวไปตามพื้นที่การเกษตร ตามสองฝั่งคลองมีร้านค้าต่าง ๆ เช่น ร้านขายของชำ อู่ต่อเรือ เป็นต้น และในปัจจุบันปรากฏการณ์ขยายตัวของหมู่บ้านจัดสรรเข้ามาสู่พื้นที่สองฝั่งคลองบางน้อยมากขึ้น
พื้นที่ริมคลองบางน้อย เดิมเป็นทุ่งนา มีสภาพเป็นชนบท ประชาชนมีการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย บ้านเรือนมีไม่มาก พื้นที่ล้วนเป็นที่ราบลุ่ม มีหญ้ามีปรงขึ้นรก อาชีพหลักในขณะนั้นคือการทำนา ชาวนามีทั้งที่เป็นคนจีนและคนไทย ด้วยสมัยนั้นที่ดินยังรกรากไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ชาวบ้านพอใจจับจองที่ดินตรงไหนก็สามารถทำได้ คนจีนที่อพยพเข้ามาช่วงแรกก็มารับจ้าง เช่าที่ทำนาและทำสวนบ้าง บ้างก็บุกเบิกที่ดินว่างเปล่าเพื่อทำหากิน ชาวบ้านปลูกข้าวไว้แค่พอบริโภคในแต่ละปี โดยผลผลิตที่ได้ชาวบ้านจะนำไปสีที่โรงสีข้าวตั้งอยู่บริเวณริมคลองบางเชือกหนัง ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 3 โรง และโรงสีฝั่งตลิ่งชันมี 2 โรง แต่ในปัจจุบันโรงสีเหล่านี้ได้มีการยกเลิกกิจการไปแล้ว ชาวบ้านเริ่มมีการเปลี่ยนสภาพพื้นที่นาเป็นพื้นที่สวน นับตั้งแต่ประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2485 จนในช่วง ปี พ.ศ. 2500 พื้นที่แถบนี้จึงกลายเป็นพื้นที่สวนเกือบทั้งหมด เริ่มจากการที่ช่วงแรกชาวจีนเข้ามาเช่าที่ชั่วคราวเป็นที่บุกเบิกการยกร่องสวน เมื่อครบสัญญาเช่าก็คืนที่ดินให้เจ้าของ เจ้าของก็ทำสวนต่อ หรือบางรายเมื่อเห็นว่าการทำสวนสร้างผลผลิตได้ดี ก็ยกร่องสวนตามแบบอย่างการทำสวนของคนจีน ทำให้ชาวบ้านเริ่มมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ ยกร่องสวน แต่ในช่วงแรกชาวบ้านยังมีการปลูกข้าวไว้ตามแคบร่องอยู่พร้อมกับการทำสวนไปด้วย
สภาพพื้นที่ทางกายภาพ
ชุมชนชาวสวนย่านวัดสะพาน คลองบางน้อย เป็นชุมชนเกษตรกรรมท่ามกลางสภาพแวดล้อมของการตัดถนนสายใหม่ ๆ และหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีที่ตั้งและอาณาเขตพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ริมสองฝั่งคลองบางน้อย ย่านวัดสะพาน ขอบเขตพื้นที่ของชุมชนจะครอบคลุมพื้นที่หมู่ 7 แขวงบางพรม และพื้นที่หมู่ 12 แขวงบางเชือกหนัง และมีศูนย์กลางชุมชนอยู่ที่วัดสะพาน ริมคลองบางน้อย ในพื้นที่แขวงบางพรม ทำให้มีผลต่อการให้นิยามความหมายของการเป็นคนในชุมชนดังกล่าว ด้วยคำเรียกที่ชาวบ้านมักจะเรียกตัวเองว่า “คนบางน้อย” หรือ “คนวัดสะพาน”
การตั้งบ้านเรือนของคนในชุมชนชาวสวนย่านวัดสะพาน ยังคงมีลักษณะไม่แตกต่างจากในอดีต ด้วยการตั้งบ้านเรือนมักนิยมตั้งหนาแน่นอยู่บริเวณใกล้วัด ชาวบ้านมักตั้งบ้านเรือนเกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในหมู่เครือญาติใกล้ ๆ กับพื้นที่ทางการเกษตร และมีลักษณะสำคัญ คือ หันหน้าเข้าหาคลองไม่ว่าจะเป็นคลองหลัก คลองลัด หรือลำประโดง การคมนาคมขนส่งยังคงใช้เรือพายและเรือเครื่องเป็นหลัก ในการเดินทางไปมาหาสู่กันและขนผลผลิตทางการเกษตร ด้วยถนนที่เข้าสู่ชุมชนนั้นยังเป็นเพียงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 1.5 เมตร จึงมีเพียงจักรยานและจักรยานยนต์เท่านั้นที่ชาวบ้านนิยมใช้เดินทาง ส่วนถนนสำหรับรถยนต์ในแขวงบางพรม มีถนนปากน้ำ-กระโจมทองเพียงสายเดียว และถนนก็มาสุดเพียงหน้าวัดสะพานเท่านั้น
สถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม
- วัดสะพาน เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในชุมชนชาวสวนย่านวัดสะพานริมคลองบางน้อย ตั้งอยู่ที่ แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้น เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2320 หลักฐานที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของวัด คือ หลวงพ่อโต หลวงพ่อกลาง หลวงพ่อดำ ซากปรักหักพังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงโบราณ และพระพุทธรูปหินทรายที่พบเกลื่อนกลาดอยู่ภายในวัด รวมถึงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษเกี่ยวกับการเคลื่อนทัพผ่านมาของกองทัพพม่า และการเข้าทำลายสิ่งก่อสร้างและพระพุทธรูปต่าง ๆ ในวัดเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ประชากร
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือนและประชากร ชุมชนวัดสะพาน จำนวน 4,976 หลัง ประชากรรวมทั้งหมด 13,177 คน แบ่งเป็นประชากรชายได้ 6,249 คน แบ่งเป็นประชากรหญิงได้ 6,928 คน (สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2565)
ระบบเครือญาติ
ลักษณะครอบครัวของผู้คนที่อยู่อาศัยในชุมชนชาวสวนวัดสะพานในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และครอบครัวขยายจะมีหลาย ๆ ครอบครัวอาศัยร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน การนับญาติก็นับทั้ง 2 ข้าง ทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง แล้วแต่จะให้ความสำคัญหรือใกล้ชิดกับญาติข้างไหนมากกว่ากัน การแต่งงานในอดีตต้องตามใจพ่อแม่ พ่อแม่ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายไปสู่ขอเจ้าสาวให้กับลูกชายตามความเหมาะสม สมัยก่อนค่านิยมในการแต่งงาน จะต้องดูว่าทั้งสองฝ่ายมีทรัพย์สินเท่าไหร่ นอกจากนี้ในการเลือกคู่จำเป็นต้องคำนึงถึงความประพฤติของฝ่ายหญิงด้วย โดยในขั้นตอนการดูตัวนอกจากฝ่ายเจ้าบ่าวจะไปดูตัวผู้หญิงแล้วยังดูบ้านช่อง ดูครัว สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นแม่ศรีเรือนของเจ้าสาว เมื่อไม่มีที่ติและเป็นที่พอใจจะมีการสู่ขอต่อไป การสู่ขอนี้จะเป็นข้อตกลงระหว่าง 2 ฝ่ายว่าจะเรียกร้องสินสอดกันเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นการแต่งงานที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของพ่อแม่ทำให้หลายคู่อาจต้องหนีตามกัน หรือมีการฉุดกันเกิดขึ้นแล้วค่อยมาขอขมาพ่อแม่ทีหลัง
แต่ในปัจจุบันด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมมีการเปิดกว้างในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้การคบหากันของหนุ่มสาวมีอิสรเสรีภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นพ่อรุ่นแม่ การเลือกคู่ครองของหนุ่มสาวจึงไม่จำกัดอยู่แค่เพียงในท้องถิ่น หนุ่มสาวจึงมีอิสระในการเลือกคู่ครองตามความพึงพอใจของตนเองต่างจากอดีตที่พ่อแม่มักจะเป็นผู้จัดการให้ การสืบทอดมรดก พ่อแม่จะเป็นคนแบ่งทรัพย์สินให้ลูกหลานส่วนมากจะเฉลี่ย ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่คนที่มักจะได้มากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ มักจะเป็นลูกคนเล็กซึ่งนอกจากจะได้ทรัพย์สินแล้วมักจะได้บ้านของพ่อแม่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย แต่ในบางกรณีอาจเป็นลูกคนใดคนหนึ่งที่อยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นคนเล็กหรือคนโต
กลุ่มอาชีพ
- สวนผัก การยกร่องสวนเพื่อเพาะปลูก เป็นวิถีการผลิตที่ชาวจีนนำติดตัวมาจากถิ่นฐานเดิมยามอพยพมาอยู่ที่แห่งนี้ และได้เผยแพร่องค์ความรู้ให้กับคนไทยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนหรือเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวจีนเช่าทำสวน ผักจีนที่ปลูก ได้แก่ คะน้า กุยช่าย ผักกวางตุ้ง ผักบุ้งจีน ฯลฯ โดยการปลูกผักของคนจีนนิยมใช้ปุ๋ยหมักรดและปลาเน่า การทำสวนผักจีนภายหลังเมื่อชาวจีนอพยพออกไป เจ้าของที่ดินเดิมก็เข้ามาทำการเกษตรในพื้นที่ที่ยกร่องแล้ว หรือเริ่มขุดลอกเปลี่ยนที่นาให้กลายเป็นที่สวน พืชที่ปลูกในขณะนั้นมีทั้งผักจีนตามแบบอย่างที่เห็น หรือการปลูกพืชประเภทอื่น เช่น พืชไร่จำพวกมันเทศ อ้อย ข้าวโพด แตง หรือพืชผักสวนครัวจำพวก ขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา กะเพรา มะนาว มะกรูด ฯลฯ นอกเหนือจากการเพาะปลูกพืชผักตามร่องสวนแล้ว ชาวสวนยังมีการปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลต่าง ๆ เช่น กล้วย ชมพู่ มะม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว มะพร้าว หมาก ทองหลาง ฯลฯ ไว้เป็นพืชแซมตามริมร่องสวน ฝางทางเดินและพื้นที่ว่างในสวน เพื่อบริโภคในครัวเรือนและส่งขายเพื่อเพิ่มรายได้
- สวนกล้วยไม้ การทำสวนกล้วยไม้ในย่านนี้มีมากว่า 30 ปี โดยชาวสวนได้นำพันธุ์และองค์ความรู้ในการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้มาจากกลุ่มผู้ปลูกกล้วยไม้เพื่อส่งออกต่างประเทศย่านคลองบางเชือกหนัง ส่วนใหญ่นิยมปลูกกล้วยไม้สกุลหวาย นอกจากนี้ยังมีการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้สกุลอื่น ๆ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลคัทลียา และกล้วยไม้สกุลแวนด้า ส่วนการตัดดอกขายก็มีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางมารับกล้วยไม้จากสวนไปส่งขายที่ปากคลองตลาด แต่บางส่วนเจ้าของก็นำไปส่งเองที่สนามหลวง ซึ่งเป็นจุดนัดให้พ่อค้าแม่ค้าคนกลางที่รับซื้อไปบรรจุหีบห่อส่งขายต่างประเทศในยุคนั้น และในเวลาต่อมามีการส่งออกกล้วยไม้ไปขายต่างประเทศ ผ่านบริษัทบางกอกฟลาวเวอร์ เซนเตอร์ จำกัด ในปัจจุบันสวนกล้วยไม้ที่เคยหนาแน่นก็ค่อย ๆ ลดลง ส่วนสวนที่มีอยู่ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเป็นหลัก และปัจจุบันสวนนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางล่องเรือท่องเที่ยวชมคลองขึ้นชมและจำหน่ายกล้วยไม้กระถาง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ชาวสวนเลิกทำสวนกล้วยไม้เพราะมีปัญหาน้ำเน่าเสีย และน้ำในคลองมีความเป็นกรดมาก ซึ่งมีผลทำให้รากไม่เจริญและทำให้ต้นกล้วยไม้ตายในที่สุด ตลอดจนมลภาวะทางอากาศ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตคุณภาพต่ำ จนเป็นสาเหตุให้เกษตรหลาย ๆ รายเลิกทำสวนกล้วยไม้ในที่สุด ส่วนบางรายที่ยังคงต้องการทำสวนกล้วยไม้ต่อไปจะมีการหาทางออกไปหาซื้อที่ดินทำสวนในพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมยังดีอยู่
- สวนเตย ชาวสวนทำสวนผัก สวนกล้วยไม้เรื่อยจนกระทั่งปี พ.ศ. 2538 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตตลิ่งชันซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำจึงได้รับผลกระทบ พืชพันธุ์ที่ชาวบ้านปลูกกันในช่วงนั้น อาทิ ข่า ตะไคร้ เสียหายล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงมีผลให้เกษตรกรหลายรายเลิกทำสวนผักสวนครัวเหล่านี้หันมาปลูกเตยแทน ด้วยเตยเป็นพืชที่ปลูกได้ในพื้นที่ต่ำ เปียก ๆ แฉะ ๆ เติบโตง่าย และไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มากนัก มีผลผลิตตลอดปี (โดยเฉพาะหน้าฝน เตยจะงามที่สุด) เพียงใส่ปุ๋ย ตัดแต่ง และปลูกพืชให้ร่มเงาเพื่อบังแดดหรือทำร้านกางซาแลนให้ ชาวสวนสามารถมีรายได้จากพืชที่ปลูกเพียงครั้งเดียวแต่สามารถสร้างดอกผลไปได้ตลอด การปลูกเตยของชาวสวนมีด้วยกันหลายรูปแบบ อาทิ การปลูกเตยเพียงอย่างเดียวบนร่องสวนแล้วใช้ซาแลนกันแสงแดด หรือการปลูกต้นมะกรูดหรือต้นทองหลางไว้กลางสวนเพื่อให้ร่มเงาแก่เตยที่ปลูกไว้แคมร่อง หรือการปลูกใต้เรือนปลูกกล้วยไม้ ด้วยปุ๋ยยาที่ต้องฉีดพ่นให้กล้วยไม้นั้นตกไปโดนต้นเตยที่อยู่ข้างล่างด้วย จึงไม่เป็นการเสียเปล่าซ้ำยังเพิ่มรายได้ให้ชาวสวนอีกด้วย โดยชาวสวนจะตัดผลผลิตในช่วงเช้า นำมาแยกขนาดและมัดเป็นกำ ๆ เพื่อเตรียมส่งขายในเย็นวันนั้นหรือเช้าของวันรุ่งขึ้น ซึ่งราคาขายระหว่างชาวสวนนำไปขายเองที่ปากคลองตลอดกับขายกันเองในสวนจะต่างกัน เพราะการลงเรือไปขายเองที่ปากคลองตลาดจะมีราคาสูงกว่าเนื่องจากต้องนำค่าเดินทางมาคิดเป็นต้นทุนด้วย
ปฏิทินวัฒนธรรม
- เดือนยี่ : เดือนมกราคม มีการทำบุญตักบาตรในวันขึ้นปีใหม่
- เดือนสาม : เดือนกุมภาพันธ์ มีการทำบุญตักบาตรในวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ
- เดือนสี่ : เดือนมีนาคม มีการจัดงานเทศกาลตรุษไทย ซึ่งถือเป็นเทศกาลสิ้นปีแบบโบราณ คือ ปีที่เรียกว่าสิบสองนักษัตร เช่น ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ กำหนดเอาวันสิ้นเดือนสี่ ซึ่งโบราณจัดให้เป็นเทศกาล 3 วัน คือ แรม 14 แรม 15 ค่ำ เดือนสี่ กับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า
- เดือนห้า : เดือนเมษายน มีการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่อีกครั้ง คือ ปีใหม่ที่เปลี่ยนจุลศักราช สงกรานต์จึงนับเป็นปีใหม่แบบสมบูรณ์ และเป็นเทศกาลเอิกเกริกมาตั้งแต่โบราณ มีกำหนด 3 วันเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เป็นวันสงกรานต์ วันที่สองเรียกวันเนา ถึงวันที่สามตรงกับวันที่ 15 เรียกวันเถลิงศกขึ้นจุลศักราชใหม่
- เดือนหก : เดือนพฤษภาคม มีการทำบุญตักบาตรในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ
- เดือนแปด : เดือนกรกฎาคม มีการทำบุญตักบาตรในวันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ และวันเข้าพรรษา แรม 1 ค่ำ
- เดือนสิบ : เดือนกันยายน มีการทำบุญตักบาตรในเทศกาลสารทไทย ซึ่งถือเป็นเทศกาลกลางปีที่จัดขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ
- เดือนสิบเอ็ด : เดือนตุลาคม วันขึ้น 15 ค่ำ ถือเป็นวันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสิ้นสุดการอยู่จำพรรษา ชาวบ้านจะไปร่วมกันทำบุญ และถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน ในวันแรม 1 ค่ำ มีการทำบุญตักบาตรเทโว ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ชาวบ้านจึงนิยมนำข้าวต้มลูกโยน ส้มเขียวหวาน มาทำบุญใส่บาตร
- เดือนสิบสอง : เดือนพฤศจิกายน มีการจัดงานเทศกาลลอยกระทงในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำกำลังเจิ่งนอง มีประเพณีลอยกระทงบูชาเพื่อรำลึกพระคุณของน้ำ หรือเป็นการขอขมาพระแม่คงคา
วิถีชีวิต
ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และมักเดินทางไปทำบุญตักบาตรที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองบางน้อย ได้แก่ วัดสะพาน วัดกระโจมทองและวัดพิกุล ชุมชนชาวสวนย่านวัดสะพานริมคลองบางน้อย คงไว้ซึ่งการเป็นชุมชนเกษตรกรรมย่านชานเมือง ที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างความเป็นชุมชนเมืองและชุมชนชนบท ด้วยเป็นชุมชนที่ยังปรากฏแบบความสัมพันธ์ที่มีผู้คนใกล้ชิดสนิทสนมพึ่งพาอาศัยกัน มีความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวชุมชนในลักษณะต่าง ๆ อย่างคนในชุมชนชนบท ในขณะเดียวกันก็เปิดรับให้มีการเปลี่ยนแปลง มีแนวทางการพัฒนา และบริโภคสิ่งอำนวยความสะดวกอันซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพของชุมชนเมืองไปพร้อม ๆ กัน ชาวบ้านมักจะใช้ลานหน้าบ้านหรือท่าน้ำเป็นพื้นที่ในการจัดเรียงคัดขนาดผลผลิตที่ลำเลียงมาจากสวนในตอนเช้า เช่น เตย มะกรูด ตะไคร้ ข่า เป็นต้น
ผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้ชาวสวนอาจนำไปขายเองหรือฝากเรือที่พ่อค้าแม่ค้าคนกลางรับผลผลิตจากสวนไปขายที่ปากคลองตลาด ซึ่งในคลองบางน้อยมีเรือผักรับส่ง 2 เที่ยว ในช่วงตี 4 และตี 5 การเดินทางไปมาหาสู่กัน ชาวสวนจะเดินไปตามถนนที่เรียกว่า “ฝาง” ซึ่งเป็นคันดินที่ยกสูงขึ้นมาจากการยกร่องสวนเพื่อใช้เป็นทางเดิน เป็นคันดินกั้นน้ำ และเป็นเส้นแบ่งขอบเขตขนาดสวน (สวนแปลงหนึ่ง) การทำคันดินเหล่านี้จะเริ่มจากการนำควายมาย่ำบนคันดิน เพื่อให้ดินแน่น น้ำจากท้องร่องหรือลำกระโดงจะได้ไม่รั่วเข้ามาในสวน แล้วจึงปลูกต้นมะพร้าวยึดเพื่อไม่ให้คันดินพังทลาย และจะมีการโกยโคลนเพื่อเสริมคันดินให้แน่นและสูงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการโกยโคลนเพื่อเสริมเรื่องสวนเมื่อมีการพังทลายของตลิ่ง
ในด้านการเดินทางออกนอกชุมชน ชาวบ้านใช้บริการเรือโดยสารรับจ้างเป็นหลัก นับแต่ยุคเรือพายจนเข้าสู่ยุคเรือติดเครื่องยนต์เป็นหลัก และยุคของเรือหางยาวในที่สุด เรือหางยาวที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารคลองบางน้อย มีเพียงเส้นทางเดินเรือเดียว เส้นทางเดินเรือที่ให้บริการระหว่างท่าเรือพุทธมณฑลสาย 1 ถึงท่าเรือท่าเตียน จะมีการแล่นรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เฉพาะช่วงเช้า นอกจากการรับส่งผู้โดยสารแล้ว ในช่วงที่ไม่ได้รับส่งคนขับเรือหางยาวจะนำเรือไปให้นักท่องเที่ยวบริการเป็นเรือนำเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ในยุคสมัยปัจจุบันที่การคมนาคมทางบกมีการพัฒนาขึ้น ทำให้มีถนนที่มีการตัดผ่านเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนชาวสวนวัดสะพาน จึงเริ่มมีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ส่วนตัวเพื่อเข้าออกชุมชน และชาวบ้านยังได้ใช้บริการรถโดยสารประจำทาง เช่น จักรยานยนต์รับจ้างและรถสองแถว
ทุนกายภาพ
- คลองบางน้อย เป็นลำคลองสำคัญสายหนึ่งในพื้นที่เขตตลิ่งชัน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือขุดขึ้นมาในสมัยไหนไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน คลองบางน้อยมีลักษณะลำน้ำยาวตามตะวัน (จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก) ขนานไปกับคลองอีกหลายสายที่มีลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ คลองบางเชือกหนัง คลองบางพรม และคลองบางระมาด เป็นต้น และมีการขุดคลองลัดเชื่อมคลองดังกล่าวกับคลองบางน้อย เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางไปมาหาสู่กันของชาวบ้าน ได้แก่ คลองลัดตาเหนียวและคลองลัดตานิลเป็นคลองขุดที่เชื่อมระหว่างคลองบางเชือกหนังกับคลองบางน้อย คลองวัดเพลงและคลองลัดวัดใหม่เป็นคลองขุดเชื่อมระหว่างคลองบางน้อยกับคลองบางพรม เป็นต้น นับแต่อดีตคลองบางน้อยมีความสำคัญในการเป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งของผู้คนในพื้นที่แขวงบางเชือกหนังและแขวงบางพรม ด้วยเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างคลองทวีวัฒนาและคลองบางเชือกหนัง ตรงบริเวณวัดเกาะ ซึ่งเป็นจุดตัดระหว่างคลองบางน้อยกับคลองบางเชือกหนัง และมีความสำคัญในการเป็นท่าเทียบเรือโดยสารสายสำคัญในอดีต
ทุนวัฒนธรรม
ด้านความเชื่อที่ยังมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชนชาวสวนวัดสะพาน ได้แก่
- ความเชื่อเกี่ยวกับการเพาะปลูก ในการเพาะปลูกมีพิธีกรรมที่บ่งบอกถึงความเชื่อในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพิธีทำขวัญข้าว พิธีแรกนา โดยจะทำขึ้นในช่วงเดือน 6 ขั้นตอนคือ นำจอบไปฟันตามมุมคันนา ในการแรกนาจะมีตำราไว้ดูฤกษ์ยามว่าถ้าวันนี้เดือนนี้ทำพิธีแรกนารวงข้าวที่ได้จะสั้นหรือยาว ช่วงที่ข้าวตั้งท้องจะมีพิธีทำขวัญข้าว จัดเครื่องเซ่นสังเวย ภายหลังเลิกทำนาจึงหันมายกพื้นที่นาขึ้นเป็นร่องสวนปลูกผัก พิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมจึงถูกยกเลิกไป ทำให้เกิดพิธีกรรมใหม่ คือ การทำบุญสวน เพื่อเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่ากำลังทำอะไร และขอให้ได้ผลผลิตดี
- ความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีเชื้อสายผสมระหว่างไทยกับจีน จึงทำให้มีความเชื่อที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมจีน โดยมีการสร้างศาลประจำตระกูล เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงที่มาของตนว่ามาจากตระกูลแซ่ใด และมีพิธีกรรมตามความเชื่อที่ยังถือปฏิบัติอยู่ เช่น เทศกาลตรุษจีน และเทศกาลสารทจีน แต่ในปัจจุบันบางบ้านอาจไม่มีการทำพิธีเหล่านี้แล้ว เพียงแต่รู้ว่าบรรพบุรุษตนเองมาจากจีนหรือมีเชื้อจีนเพียงเท่านั้น
นอกจากเป็นปัญหาต่อชาวบ้านและพื้นที่ทางการเกษตรในชุมชนแล้ว ยังส่งผลให้การค้าในคลองแห่งนี้ซบเซาลง จากในอดีตที่มีเรือสินค้ามากมายและขายสินค้าอย่างหลากหลายชนิดได้หายไปจากคลอง ปัจจุบันจะเห็นเพียงเรือสินค้าไม่กี่ชนิด เช่น เรือขายสินค้าจำพวกอาหารสดอาหารแห้ง ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว หรือพวกอาหารกินสำเร็จรูป เป็นต้น แม้จำนวนเรือจะลดน้อยลงแต่ยังมีความสำคัญสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมคลองที่มีบ้านเรือนตั้งห่างไกลถนนและตลาด และไม่สะดวกที่จะเดินทางออกมาซื้อสินค้าและอาหารการกินนอกชุมชนทุกวันได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงอีกสิ่งหนึ่งคือ ชุมชนชาวสวนริมคลองบางน้อย มีการเกิดขึ้นของตลาดน้ำวัดสะพาน ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2549 โดยการริเริ่มของพันตำรวจโทสิทธิชน อังศุศาสตร์ ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้เพิ่มจากการนำผลิตภัณฑ์ อาหารการกิน และผลผลิตทางการเกษตรมาจำหน่าย แต่ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2551 ตลาดน้ำวัดสะพานได้ปิดตัวไปช่วงหนึ่ง และได้กลับมาดำเนินการอีกครั้งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551 โดยมีชาวบ้านเป็นผู้ดำเนินการและจัดการความเรียบร้อยต่าง ๆ ในตลาด
สภาพบ้านเรือนปัจจุบัน ยังคงเกาะกลุ่มเรียงรายอยู่ริมคลองและตามคลองซอยย่อยที่เชื่อมต่อกับคลอง บางบริเวณมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น เช่น บริเวณใกล้วัด หรือใกล้ทางเดินคอนกรีตเสริมเหล็ก บางบริเวณมีบ้านเรือนไม่หนาแน่น ลักษณะบ้านเรือนยังมีบางบ้านที่เป็นแบบบ้านไม้สองชั้น บ้านเรือนไทย หรือบางหลังเป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นพ่อแม่มีการปรับปรุงให้แข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นยังมีการสร้างบ้านขึ้นมาใหม่แทนบ้านหลังเก่า หรือสร้างแยกมาเป็นครอบครัวใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสมัยใหม่ รูปร่างทันสมัยและก่ออิฐถือปูนอย่างดี นอกจากบ้านเรือนของชาวบ้านที่มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ยังมีการเข้ามาของหมู่บ้านจัดสรรทำให้พื้นที่ทางการเกษตรของชาวบ้านถูกแทรกตัวเข้ามามากยิ่งขึ้น ดังนั้นในชุมชนจึงจะเห็นเป็นภาพของบ้านเรือน หมู่บ้านจัดสรรและสวนของชาวบ้าน
ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้านเนื่องจากชุมชนไม่มีการจัดการน้ำที่ดีทำให้น้ำเสียจากครัวเรือนถูกปล่อยลงคลอง ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการอุปโภคซักล้างและอาบได้อย่างในอดีต และไม่สามารถใช้น้ำในการทำเกษตรได้ รวมถึงการที่มีหมู่บ้านจัดสรรทำให้คนภายนอกเข้ามาในชุมชนมากขึ้น เกิดเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเข้ามาในชุมชน ทำให้ชาวบ้านค่อนข้างที่จะมีการหวาดระแวงคนภายนอกที่เข้ามาในชุมชน
มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2551). การสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อพัฒนาการวิจัยสังคมวัฒนธรรมชุมชนริมแม่น้ำลำคลองชานเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเมือง: พื้นที่ศึกษา ชุมชนในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และชุมชนท่าพูด จังหวัดนครปฐม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร. ค้นคืนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2566, จาก ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส.: https://www.sac.or.th/databases/sac_research/
สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง. (2565). สถิติจำนวนประชากร ปี พ.ศ. 2565. ค้นจาก https://stat.bora.dopa.go.th/